ตลาด
ข่าวสาร
การวิเคราะห์
ผู้ใช้
24x7
ปฏิทินเศรษฐกิจ
แหล่งเรียนรู้
ข้อมูล
- ชื่อ
- ค่าล่าสุด
- ครั้งก่อน












สัญญาณ VIP
ทั้งหมด
ทั้งหมด



ตุรกี ดุลการค้าค:--
ค: --
ค: --
เยอรมนี ดัชนี PMI การก่อสร้าง (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน PMI อุตสาหกรรมการก่อสร้าง IHS Markit (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
อิตาลี PMI อุตสาหกรรมการก่อสร้าง IHS Markit (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหราชอาณาจักร PMI อุตสาหกรรมการก่อสร้าง Markit/CIPS (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยการประมูลหนี้ OAT 10-ปีค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน ดัชนียอดค้าปลีก MoM (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน ดัชนียอดค้าปลีก YoY (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
บราซิล GDP YoY (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา จำนวนการปลดพนักงานบริษัทชาเลนเจอร์ เกรย์ และคริสต์มาส YoY (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การเลิกจ้างพนักงานบริษัทชาเลนเจอร์ เกรย์ และคริสต์มาส MoM (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การเลิกจ้างพนักงานบริษัทชาเลนเจอร์ เกรย์ และคริสต์มาส YoY (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ค่าเฉลี่ยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก4 สัปดาห์ (SA)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์ (SA)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานต่อรายสัปดาห์ (SA)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา Ivey PMI (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา Ivey PMI (Not SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา คำสั่งซื้อสินค้าคงทนนอกกระทรวงกลาโหมที่ได้แก้ไข MoM (ไม่รวมเครื่องบิน)(SA) (ก.ย.)ค:--
ค: --
สหรัฐอเมริกา คำสั่งซื้อโรงงาน MoM(ยกเว้นการขนส่ง) (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา คำสั่งซื้อโรงงาน MoM (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา คำสั่งซื้อโรงงาน MoM(ยกเว้นภาคกลาโหม) (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การเปลี่ยนแปลงสต็อกก๊าซธรรมชาติประจำสัปดาห์ของ EIAค:--
ค: --
ค: --
ซาอุดิอาระเบีย การผลิตน้ำมันดิบค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การถือครองธนารักษ์สหรัฐฯของธนาคารกลางต่างประเทศรายสัปดาห์ค:--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น เงินตราที่ใช้เป็นทุนสำรอง (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย อัตราขายคืนค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย ดอกเบี้ยอ้างอิงค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย อัตราขายคืนค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย อัตราเงินสดสำรองค:--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น อินดิเคเตอร์ชั้นนำเบื้องต้น (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหราชอาณาจักร ดัชนีราคาที่อยู่อาศัย Halifax YoY (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
สหราชอาณาจักร ดัชนีราคาที่อยู่อาศัย Halifax MoM (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส บัญชีเดินสะพัด (Not SA) (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส ดุลการค้า (SA) (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส การผลิตภาคอุตสาหกรรม MoM(SA) (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
อิตาลี ดัชนียอดค้าปลีก MoM (SA) (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงาน YoY (SA) (ไตรมาส 3)--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน GDP Final YoY (ไตรมาส 3)--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน GDP Final QoQ (ไตรมาส 3)--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงาน QoQ (SA) (ไตรมาส 3)--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงานสุดท้าย (SA) (ไตรมาส 3)--
ค: --
บราซิล PPI MoM (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
เม็กซิโก ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา อัตราการว่างงาน (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา อัตราการมีส่วนร่วมในการจ้างงาน (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงาน (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงานนอกเวลา (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงานเต็มเวลา (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาธนาคารกลางรัฐดัลลาส สหรัฐอเมริกา PCE YoY (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคา PCE YoY (SA) (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคา PCE MoM (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา รายจ่ายส่วนบุคคล MoM(SA) (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาPCEหลักMoM (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา เงินเฟ้อเบื้องต้น UMich 5-YearYoY (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาPCEหลักYoY (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การคาดการณ์เงินเฟ้อ 5-10 ปี (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีสถานภาพเบื้องต้น UMich ปัจจุบัน (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้น UMich (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อล่วงหน้า 1 ปี UMich (เบื้องต้น) (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีความคาดหวังผู้บริโภค UMich (เบื้องต้น) (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --


ไม่มีข้อมูลที่ตรงกัน
ทัศนคติล่าสุด
ทัศนคติล่าสุด
หัวข้อยอดนิยม
คอลัมนิสต์ยอดนิยม
อัปเดตล่าสุด
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
ดูผลการค้นหาทั้งหมด

ไม่มีข้อมูล
ลอนดอน--5 พ.ย.--รอยเตอร์
ผลสำรวจของรอยเตอร์ระบุว่า ปริมาณการผลิตน้ำมันของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) อยู่ที่ 26.33 ล้านบาร์เรลต่อวันในเดือนต.ค. โดยพุ่งขึ้น 195,000 บาร์เรลต่อวันจากเดือนก.ย. โดยได้รับแรงหนุนจากการปรับเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมันในลิเบีย หลังจากลิเบียคลี่คลายวิกฤติการเมืองได้สำเร็จ อย่างไรก็ดี ปริมาณการผลิตน้ำมันของกลุ่มโอเปกพุ่งขึ้นไม่มากนักในเดือนต.ค. เพราะว่าอิรักปรับลดปริมาณการผลิตน้ำมันลงเพื่อพยายามทำตามโควต้าของกลุ่มโอเปกและชาติพันธมิตร (โอเปกพลัส)
ลิเบียปรับเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมันหลังจากมีการคลี่คลายข้อพิพาทเรื่องอำนาจควบคุมธนาคารกลางลิเบีย โดยลิเบียผลิตน้ำมัน 1.05 ล้านบาร์เรลต่อวันในเดือนต.ค. โดยปรับเพิ่มขึ้น 400,000 บาร์เรลต่อวันจาก 650,000 บาร์เรลต่อวันในเดือนก.ย. โดยปริมาณการผลิตน้ำมันที่เพิ่มขึ้นนี้มีส่วนในการกดดันราคาน้ำมันให้ร่วงลง ในขณะที่ราคาน้ำมันได้รับแรงกดดันอยู่แล้วจากความกังวลเรื่องอุปสงค์น้ำมันในตลาดโลก ทั้งนี้ เวเนซูเอลาปรับเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมันด้วยเช่นกัน โดยปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของเวเนซูเอลาปรับเพิ่มขึ้น 40,000 บาร์เรลต่อวัน จาก 820,000 บาร์เรลต่อวันในเดือนก.ย. สู่ 860,000 บาร์เรลต่อวันในเดือนต.ค. ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2020 เป็นอย่างน้อย โดยทั้งลิเบียและเวเนซูเอลาต่างก็ได้รับการยกเว้นจากมาตรการจำกัดปริมาณการผลิตน้ำมันของกลุ่มโอเปกพลัส
อิรักและอิหร่านถือเป็นสองประเทศในกลุ่มโอเปกที่ปรับลดปริมาณการผลิตน้ำมันลงมากที่สุดในเดือนต.ค. โดยอิรักปรับลดปริมาณการผลิตน้ำมันลง 120,000 บาร์เรลต่อวัน จาก 4.10 ล้านบาร์เรลต่อวันในเดือนก.ย. สู่ 3.98 ล้านบาร์เรลต่อวันในเดือนต.ค. และปริมาณการผลิตน้ำมันในเดือนต.ค.นี้อยู่ต่ำกว่าโควต้าที่กลุ่มโอเปกพลัสกำหนดไว้ที่ระดับ 4,009,000 บาร์เรลต่อวันด้วย โดยอิรักปรับลดปริมาณการผลิตน้ำมันลงเพราะว่ายอดส่งออกน้ำมันและปริมาณการใช้น้ำมันในอิรักปรับลดลง และเพราะว่าภาคเหนือของอิรักปรับลดการผลิตน้ำมันลงด้วย ทั้งนี้ อิหร่านปรับลดปริมาณการผลิตน้ำมันลง 100,000 บาร์เรลต่อวัน โดยปรับลดลงจาก 3.3 ล้านบาร์เรลต่อวันในเดือนก.ย. สู่ 3.2 ล้านบาร์เรลต่อวันในเดือนต.ค. ในขณะที่อิหร่านปรับลดปริมาณการส่งออกน้ำมันลงในเดือนต.ค.
โอเปกผลิตน้ำมันสูงเกินโควต้าราว 46,000 บาร์เรลต่อวันในเดือนต.ค.สำหรับสมาชิก 9 ประเทศในกลุ่มโอเปกที่อยู่ภายใต้โควต้าการผลิต โดยกาบองถือเป็นประเทศที่ผลิตน้ำมันสูงเกินโควต้ามากที่สุดในเดือนต.ค. เพราะว่ากาบองผลิตน้ำมัน 220,000 บาร์เรลต่อวันในเดือนต.ค. ซึ่งสูงกว่าโควต้าการผลิตของกาบองที่ถูกกำหนดไว้ที่ระดับ 169,000 บาร์เรลต่อวัน--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
ลอนดอน/มอสโคว์--31 ต.ค.--รอยเตอร์
กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันและชาติพันธมิตร (โอเปกพลัส)อาจจะเลื่อนแผนการปรับเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมันในเดือนธ.ค.ออกไปอีกหนึ่งเดือนหรือมากกว่านั้น โดยเป็นผลจากความกังวลเรื่องอุปสงค์น้ำมันที่ระดับต่ำ และอุปทานน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น โดยแหล่งข่าวกล่าวว่า โอเปกอาจจะตัดสินใจเรื่องนี้ในสัปดาห์หน้า ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ทางกลุ่มโอเปกพลัสเคยวางแผนจะเริ่มปรับเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมันขึ้น 180,000 บาร์เรลต่อวันตั้งแต่เดือนต.ค.ปีนี้ แต่หลังจากนั้นทางกลุ่มก็ได้เลื่อนแผนการดังกล่าวออกไปสู่เดือนธ.ค.แทน โดยเป็นผลจากการร่วงลงของราคาน้ำมันในช่วงที่ผ่านมา
กลุ่มโอเปกพลัสได้เริ่มดำเนินมาตรการปรับลดปริมาณการผลิตน้ำมันตั้งแต่ปี 2022 เป็นต้นมาเพื่อช่วยพยุงราคาน้ำมัน โดยมาตรการปรับลดปริมาณการผลิตน้ำมันดังกล่าวมีขนาดรวมกันราว 5.86 ล้านบาร์เรลต่อวัน หรือราว 5.7% ของอุปสงค์น้ำมันในตลาดโลก และมาตรการปรับลดปริมาณการผลิตนี้ครอบคลุมมาตรการปรับลดปริมาณการผลิตน้ำมันโดยสมัครใจในขนาด 2.2 ล้านบาร์เรลต่อวันสำหรับ 8 ประเทศสมาชิกในกลุ่มโอเปกพลัส อย่างไรก็ดี กลุ่มโอเปกพลัสตกลงกันในช่วงที่ผ่านมาว่า ทางกลุ่มจะเริ่มทยอยยกเลิกมาตรการปรับลดการผลิตแบบสมัครใจดังกล่าวตั้งแต่เดือนธ.ค. 2024 เป็นต้นไป โดยการทยอยยกเลิกนี้จะเริ่มต้นด้วยการปรับเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมันในอัตรา 180,000 บาร์เรลต่อวันตั้งแต่เดือนธ.ค. ส่วนมาตรการปรับลดปริมาณการผลิตน้ำมันสำหรับกลุ่มโอเปกพลัสทั้งกลุ่มที่มีขนาด 3.66 ล้านบาร์เรลต่อวันนั้นจะยังคงมีผลต่อไปจนถึงสิ้นปี 2025
ราคาน้ำมันยังคงได้รับแรงกดดันในช่วงนี้จากอุปสงค์ที่อ่อนแอ โดยแหล่งข่าวรายหนึ่งกล่าวว่า "กลุ่มโอเปกพลัสอาจจะเลื่อนกำหนดการปรับเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมันในเดือนธ.ค.ออกไป เพราะว่าตลาดน้ำมันไม่ได้อยู่ในภาวะที่แข็งแกร่งมากพอ" ทั้งนี้ ข่าวเรื่องโอเปกพลัสมีส่วนช่วยหนุนให้ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนธ.ค.ที่ตลาดกรุงลอนดอนทะยานขึ้น 1.43 ดอลลาร์ หรือ 2.01% มาปิดตลาดวันพุธที่ 72.55 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล แต่ว่าราคาน้ำมันดิบเบรนท์ยังคงอยู่ใกล้กับจุดต่ำสุดของปีนี้ที่ระดับ 68.68 ดอลลาร์ ซึ่งทำไว้ในวันที่ 10 ก.ย.
นายอเล็กซานเดอร์ โนแวค รองนายกรัฐมนตรีรัสเซียเพิ่งกล่าวในเตือนนี้ว่า ขณะนี้ยังคงเป็นเวลาที่เร็วเกินไปที่จะตัดสินได้ว่า จำเป็นจะต้องมีการปรับเพิ่มอุปทานน้ำมันในตลาดหรือไม่ ทั้งนี้ รัฐมนตรีของกลุ่มโอเปกพลัสจะจัดการประชุมกันเพื่อตัดสินเรื่องนโยบายการผลิตน้ำมันในวันที่ 1 ธ.ค.--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
ผลสำรวจของรอยเตอร์พบว่า ราคาทองจะทะยานขึ้นต่อเนื่องในปีหน้า ขณะที่ภาวะอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐที่เอื้อหนุน และสถานการณ์ตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ยังคงเพิ่มความน่าสนใจของทอง โดยราคาทองในตลาดสปอตพุ่งทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 2,771.61 ดอลลาร์ต่อออนซ์เมื่อวานนี้ ซึ่งทองได้แรงหนุนในช่วงที่ผ่านมาจากความวิตกของนักลงทุนเกี่ยวกับการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งผลสำรวจความเห็นพบว่ายังคงสูสี
ผลสำรวจความเห็นนักวิเคราะห์และเทรดเดอร์ 36 คนคาดว่า ค่ากลางราคาทองจะอยู่ที่ 2,674 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในปีหน้า เพิ่มขึ้นจาก 2,496 ดอลลาร์ต่อออนซ์ที่คาดไว้เมื่อ 3 เดือนก่อน และเพิ่มขึ้นจากคาดการณ์เฉลี่ยของปีนี้ที่ 2,384 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และในไตรมาสแรกปีหน้า คาดว่าราคาทองจะอยู่ที่ระดับเฉลี่ย 2,700 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ทองจะเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่ทำผลงานได้ดีที่สุดของปีนี้ โดยราคาทองพุ่งขึ้น 33% แล้วในปีนี้ ขณะที่ข้อมูลของ LSEG Workspace พบว่า ปีนี้จะเป็นการปรับขึ้นเมื่อเทียบเป็นเปอร์เซนต์รายปีมากที่สุดของราคาทองนับตั้งแต่ปี 1979 ถ้าตลาดยังคงอยู่ใกล้ระดับปัจจุบัน
หนึ่งในปัจจัยที่กระตุ้นราคาทองพุ่งขึ้นก็คือการเริ่มลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งเริ่มต้นด้วยการลดดอกเบี้ย 0.50% ในเดือนก.ย. ซึ่งเพิ่มความน่าสนใจของทองในฐานะสินทรัพย์ที่ไม่มีผลตอบแทน
นักวิเคราะห์ระบุว่า เนื่องจากความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ทั่วโลก และการคาดการณ์ว่าจะมีการผ่อนคลายนโยบายการเงินลงอีก จึงคาดว่าทองจะทำลายสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์อีก--จบ--
Eikon source text
ปักกิ่ง--29 ต.ค.--รอยเตอร์
สมาคมทองจีนรายงานในวันจันทร์ว่า ปริมาณการใช้ทองในจีนในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2024 ดิ่งลง 11.18% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน สู่ 741.732 ตัน เนื่องจากราคาทองที่ระดับสูงส่งผลลบต่อความต้องการซื้อเครื่องประดับทอง ทั้งนี้ ปริมาณการซื้อเครื่องประดับทองในจีน ซึ่งครองสัดส่วน 53.9% ของปริมาณการใช้ทองทั้งหมดในจีน ดิ่งลงสู่ 400.038 ตันในเดือนม.ค.-ก.ย.ปีนี้ โดยรูดลง 27.53% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน
ราคาสัญญาทองในตลาดสัญญาล่วงหน้าเซี่ยงไฮ้พุ่งขึ้น 23.5% ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ โดยทะยานขึ้นสู่ 596.72 หยวน (83.69 ดอลลาร์) ต่อกรัมในวันที่ 30 ก.ย. และหลังจากนั้นราคาสัญญาทองก็พุ่งขึ้นต่อไปจนแตะสถิติสูงสุดที่ 630.44 หยวนต่อกรัมในวันที่ 23 ต.ค. โดยได้รับแรงหนุนจากความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลาง ทั้งนี้ สมาคมทองจีนระบุว่า "ราคาทองพุ่งขึ้นในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปีนี้ และสิ่งนี้ส่งผลกระทบต่อคำสั่งซื้อเครื่องประดับ ถึงแม้ว่าปริมาณการซื้อเครื่องประดับทองขนาดเล็กได้รับแรงกระตุ้นจากรูปแบบการค้าทางระบบอิเล็กทรอนิกส์แบบใหม่ที่ได้รับการพัฒนาอย่างรวดเร็ว ซึ่งรวมถึงไลฟ์สตรีมมิง และการค้าปลีกแบบจัดส่งทันที"
ปริมาณการซื้อทองแท่งและเหรียญทองในจีน ซึ่งมักจะสะท้อนให้เห็นถึงความต้องการซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย พุ่งขึ้น 27.14% สู่ 282.721 ตันในช่วงสามไตรมาสแรก โดยได้รับแรงหนุนจาก "ค่าพรีเมียมที่ระดับต่ำ" ส่วนปริมาณการใช้ทองในภาคอุตสาหกรรมและภาคอื่น ๆ ของจีนร่วงลง 2.78% สู่ 58.97 ตันในช่วงสามไตรมาสแรก
ปริมาณผลผลิตทองจากวัตถุดิบภายในจีนร่วงลง 1.17% สู่ 268.068 ตันในช่วงสามไตรมาสแรกของปีนี้ โดยสมาคมทองจีนระบุว่า "อุตสาหกรรมทองในจีนอยู่ในระหว่างการเปลี่ยนกำลังการผลิตจากเก่าไปใหม่ และเหมืองทองขนาดใหญ่ที่เพิ่งขุดในจีนก็ยังไม่ได้จัดตั้งกำลังการผลิตใหม่ ดังนั้นปริมาณผลผลิตทองจึงยังไม่ได้เพิ่มขึ้นตามความคาดหมาย อย่างไรก็ดี ในระยะยาวนั้น ปริมาณผลผลิตทองในจีนมีแนวโน้มที่ดี ถึงแม้ว่าผลผลิตร่วงลงชั่วคราวในตอนนี้" ทั้งนี้ ปริมาณผลผลิตทองจากวัตถุดิบนำเข้าพุ่งขึ้น 15.51% เมื่อเทียบรายปี สู่ 111.207 ตันในช่วงสามไตรมาสแรก และส่งผลให้ปริมาณผลผลิตทองทั้งหมดในจีนอยู่ที่ 379.275 ตันในช่วงเดือนม.ค.-ก.ย.ปีนี้ โดยปรับขึ้น 3.2% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
สิงคโปร์--28 ต.ค.--รอยเตอร์
ราคาน้ำมันดิบดิ่งลงอย่างรุนแรงในช่วงเช้าวันนี้ หลังจากอิสราเอลโจมตีอิหร่านในวันเสาร์ที่ผ่านมา แต่ไม่ได้โจมตีโรงงานน้ำมันและโรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่าน และการโจมตีดังกล่าวไม่ได้ส่งผลกระทบต่ออุปทานพลังงาน ดังนั้นเหตุการณ์ดังกล่าวจึงช่วยลดความตึงเครียดในภูมิภาคตะวันออกกลาง ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบสหรัฐดิ่งลง 3.27 ดอลลาร์ หรือ 4.6% สู่ 68.51 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในช่วงเช้าวันนี้ หลังจากรูดลงแตะ 67.79 ดอลลาร์ในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. ส่วนราคาน้ำมันดิบเบรนท์รูดลง 3.35 ดอลลาร์ หรือ 4.4% สู่ 72.70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในช่วงเช้าวันนี้ หลังจากดิ่งลงแตะ 71.99 ดอลลาร์ในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์เพิ่งปิดตลาดสัปดาห์ที่แล้วด้วยการพุ่งขึ้น 4% จากสัปดาห์ก่อนหน้านั้น ในขณะที่นักลงทุนมีความกังวลในสัปดาห์ที่แล้วว่าอิสราเอลจะดำเนินมาตรการอย่างไรในการตอบโต้อิหร่าน หลังจากอิหร่านใช้ขีปนาวุธโจมตีอิสราเอลในวันที่ 1 ต.ค. ทั้งนี้ อิสราเอลได้ส่งเครื่องบินหลายลำไปโจมตีอิหร่าน 3 ระลอกในช่วงก่อนเช้าตรู่ของวันเสาร์ที่ 26 ต.ค. โดยเป็นการโจมตีโรงงานขีปนาวุธและจุดอื่น ๆ ใกล้กรุงเตหะรานและในภาคตะวันตกของอิหร่าน
นายซอล คาโวนิค นักวิเคราะห์พลังงานของบริษัทเอ็มเอสที มาร์คีระบุว่า "อิสราเอลโจมตีเพียงในวงจำกัด และหลีกเลี่ยงการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำมัน และการทำเช่นนี้ก็ทำให้มีการตั้งความหวังกันว่า จะมีการลดระดับความขัดแย้งลงในอนาคต และส่งผลให้ค่าพรีเมียมความเสี่ยงของราคาน้ำมันลดลงมา 2-3 ดอลลาร์" และเขากล่าวเสริมว่า "ตลาดจะจับตาดูอย่างใกล้ชิดว่า อิหร่านจะโจมตีกลับหรือไม่ในช่วง 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า" ทั้งนี้ นายวิเวค ดาร์ นักวิเคราะห์ของธนาคารคอมมอนเวลธ์ แบงก์ ออฟ ออสเตรเลียคาดว่า ตลาดจะมุ่งความสนใจไปยังการเจรจาเรื่องการหยุดยิงระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสที่เริ่มต้นขึ้นอีกครั้งในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่เขากล่าวเสริมว่า เขาไม่แน่ใจว่าอิสราเอลกับกลุ่มต่าง ๆ ที่เป็นตัวแทนของอิหร่าน ซึ่งรวมถึงกลุ่มฮามาสกับกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ จะสามารถทำข้อตกลงหยุดยิงได้อย่างยั่งยืนหรือไม่
ซิตี้กรุ๊ปปรับลดตัวเลขเป้าหมายราคาน้ำมันดิบเบรนท์สำหรับช่วง 3 เดือนข้างหน้าลงสู่ 70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จากเดิมที่เคยตั้งไว้ที่ 74 ดอลลาร์ เนื่องจากค่าพรีเมียมความเสี่ยงปรับลดลงในระยะใกล้ ทั้งนี้ นายทิม อีแวนส์ นักวิเคราะห์ของบริษัทอีแวนส์ เอ็นเนอร์จีระบุว่า "มีความเสี่ยงที่กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันและชาติพันธมิตร (โอเปกพลัส) อาจจะผลักดันให้มีการเลื่อนกำหนดการปรับเพิ่มเป้าหมายปริมาณการผลิตน้ำมันออกไปอีก จากเดิมที่เคยกำหนดไว้ในเดือนธ.ค."
กลุ่มโอเปกพลัสเคยตกลงกันในเดือนต.ค.ว่า ทางกลุ่มจะตรึงเป้าหมายปริมาณการผลิตน้ำมันไว้ที่ระดับเดิม แต่จะเริ่มต้นปรับเพิ่มปริมาณการผลิตตั้งแต่เดือนธ.ค.เป็นต้นไป โดยทางกลุ่มจะจัดการประชุมกันอีกครั้งในวันที่ 1 ธ.ค.--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--10 ต.ค.--รอยเตอร์
สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) ได้เปิดเผยรายงานแนวโน้มพลังงานระยะสั้นในวันอังคารที่ผ่านมา โดยรายงานฉบับนี้คาดว่า ราคาน้ำมันดิบสหรัฐอาจจะมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 76.91 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในปี 2024 โดยปรับลดลง 2.4% จากรายงานคาดการณ์ครั้งก่อน และรายงานฉบับนี้คาดว่าราคาน้ำมันดิบเบรนท์อาจจะมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 80.89 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในปีนี้ โดยปรับลดลง 2.3% จากรายงานคาดการณ์ครั้งก่อน ทั้งนี้ รายงานฉบับนี้ได้ปรับลดตัวเลขคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันในตลาดสหรัฐและตลาดโลกสำหรับปี 2025 ลงด้วย โดยเป็นผลจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอในจีนและในทวีปอเมริกาเหนือ
รายงานของ EIA คาดว่า อุปสงค์น้ำมันในตลาดโลกอาจจะอยู่ที่ราว 103.1 ล้านบาร์เรลต่อวันในปีนี้ โดยปรับลดลง 20,000 บาร์เรลต่อวันจากตัวเลขคาดการณ์ครั้งก่อน และรายงานคาดว่าอุปสงค์น้ำมันในตลาดโลกอาจจะเพิ่มขึ้น 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน สู่ 104.3 ล้านบาร์เรลต่อวันในปีหน้า โดยปรับลดลงราว 300,000 บาร์เรลต่อวันจากตัวเลขคาดการณ์ครั้งก่อน ทั้งนี้ EIA ปรับลดตัวเลขคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันสำหรับปี 2024 ลงในครั้งนี้เพราะว่า อัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันในจีนปรับลดลง และปริมาณการนำเข้าน้ำมันในจีนปรับลดลง โดยจีนถือเป็นประเทศผู้นำเข้าน้ำมันดิบรายใหญ่ที่สุดในโลก ส่วนการปรับลดตัวเลขคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันในตลาดโลกสำหรับปี 2025 เป็นผลมาจากความกังวลเรื่องการชะลอตัวลงในภาคโรงงานและในการผลิตภาคอุตสาหกรรมในสหรัฐและแคนาดา
EIA คาดว่า อุปสงค์น้ำมันในสหรัฐอาจจะอยู่ที่ 20.3 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 2024 ซึ่งเท่ากับตัวเลขคาดการณ์ครั้งก่อน และคาดว่าอุปสงค์น้ำมันในสหรัฐอาจจะปรับขึ้นสู่ 20.5 ล้านบาร์เรลต่อวันในปีหน้า แต่ตัวเลขคาดการณ์ใหม่นี้ปรับลดลงจากตัวเลขคาดการณ์เดิมที่ 20.6 ล้านบาร์เรลต่อวัน
EIA คาดว่าปริมาณการผลิตน้ำมันในสหรัฐ ซึ่งถือเป็นประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ที่สุดในโลก อาจจะอยู่ที่ 13.22 ล้านบาร์เรลต่อวันในปีนี้ โดยปรับลดลงจากตัวเลขคาดการณ์ครั้งก่อนที่ 13.25 ล้านบาร์เรลต่อวัน และ EIA คาดว่าปริมาณการผลิตน้ำมันในสหรัฐอาจจะมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 13.54 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 2025 โดยปรับลดลงราว 1% จากตัวเลขคาดการณ์ครั้งก่อนที่ 13.67 ล้านบาร์เรลต่อวัน
หน่วยงานชั้นนำในตลาดน้ำมันโลกคาดการณ์ตัวเลขที่แตกต่างกันไปในปีนี้ โดยเป็นผลจากมุมมองที่แตกต่างกันที่มีต่อเศรษฐกิจจีน และต่อความเร็วในการเปลี่ยนไปใช้แหล่งพลังงานทดแทนได้ โดยองค์การพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) คาดว่าอุปสงค์น้ำมันในตลาดโลกอาจจะเพิ่มขึ้น 950,000 บาร์เรลต่อวันในปีหน้า ส่วนกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) คาดว่าอุปสงค์น้ำมันในตลาดโลกอาจจะพุ่งขึ้น 1.74 ล้านบาร์เรลต่อวันในปีหน้า ทั้งนี้ หน่วยงานทั้งสามแห่งนี้คาดการณ์ตัวเลขที่แตกต่างกันสำหรับปี 2024 ด้วยเช่นกัน โดย EIA คาดว่า อุปสงค์น้ำมันในตลาดโลกอาจจะเพิ่มขึ้น 940,000 บาร์เรลต่อวันในปี 2024 ส่วน IEA คาดว่า อุปสงค์น้ำมันในตลาดโลกอาจจะเพิ่มขึ้น 900,000 บาร์เรลต่อวันในปี 2024 ทางด้านโอเปกคาดว่า อุปสงค์น้ำมันในตลาดโลกอาจจะพุ่งขึ้นกว่า 2 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 2024--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;





กลุ่มผู้เข้าร่วมการประชุมปิโตรเลียมเอเชียแปซิฟิค (APPEC) กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงของจีนไปสู่การใช้เชื้อเพลิงที่มีคาร์บอนลดลง และเศรษฐกิจที่ซบเซาจะถ่วงความต้องการใช้น้ำมันในจีน
นายดาอัน สตูเวน ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยน้ำมันของโกลด์แมน แซคส์กล่าวว่า ความต้องการน้ำมันต่อปีของจีนชะลอตัวลงจากราว 500,000-600,000 บาร์เรลต่อวันในระยะ 5 ปีก่อนเกิดโรคระบาดโควิด-19 สู่ระดับ 200,000 บาร์เรลต่อวันในขณะนี้ และสาเหตุหลักก็คือการใช้รถยนต์ไฟฟ้า และการใช้รถบรรทุกที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) แทนน้ำมันดีเซล "จีนให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการเป็นผู้นำในการเปลี่ยนถ่ายพลังงานด้วยการผลักดันด้านอุปทาน ซึ่งกำลังจะทำให้พลังงานทางเลือกมีราคาถูกกว่า"
ในไตรมาส 2 ความต้องการใช้น้ำมันของจีนชะลอตัวอย่างมาก โดยถูกกดดันจากกำลังการผลิตของโรงกลั่นที่ลดลง และเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง
นายหง-ปิง เฉิน รองประธานบริษัทในสิงคโปร์ในเครือหรงเซิง ปิโตรเคมิกัลของจีนกล่าวว่า ขณะที่การบริโภคน้ำมันของจีนถูกกดดันจากความต้องการดีเซลที่ย่ำแย่ แต่การขยายตัวของอุปสงค์ในอนาคต 75-80% จะถูกขับเคลื่อนจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจ "ในฉากทัศน์ที่เป็นกลาง เราคาดว่าความต้องการใช้น้ำมันเบนซินของจีนจะเพิ่มขึ้น 2.5-3% ในปีหน้า โดยมีการเจาะตลาดของรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น"
แต่เทรดเดร์บางคนยังคงมองว่าภาวะตกต่ำของอุปสงค์น้ำมันโดยรวมของจีนเป็นเรื่องตามวัฏจักร โดยนายซาอัด ราฮิม หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จากทราฟิกูรา กล่าวว่า "เราคิดว่าอุปสงค์ที่ชะลอตัวในจีนเป็นเรื่องทางวัฏจักรมากกว่าโครงสร้าง แต่ก็ยังคงอยู่ในภาวะตกต่ำตามวัฏจักรในขณะนี้ เราจึงต้องเห็นภาวะตกต่ำนี้ฟื้นตัวและกลับมา"--จบ--
Eikon source text
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
เครื่องมือออกแบบโปสเตอร์
โครงการพันธมิตร
ความเสี่ยงของการสูญเสียในการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น หุ้น FX สินค้าโภคภัณฑ์ ฟิวเจอร์ส พันธบัตร ETFs หรือเงินดิจิทัลอาจมีมาก คุณอาจสูญเสียเงินทุนทั้งหมดที่คุณฝากไว้กับโบรกเกอร์ของคุณ ดังนั้น คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบว่าการซื้อขายดังกล่าวเหมาะสมกับคุณหรือไม่ในสถานการณ์และทรัพยากรทางการเงินของคุณ
ไม่ควรตัดสินใจลงทุนโดยไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบสถานะอย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วยตัวเองหรือปรึกษากับที่ปรึกษาทางการเงินของคุณ เนื้อหาเว็บของเราอาจไม่เหมาะกับคุณเนื่องจากเราไม่ทราบเงื่อนไขทางการเงินและความต้องการในการลงทุนของคุณ ข้อมูลทางการเงินของเราอาจมีความล่าช้าหรือมีความไม่ถูกต้อง ดังนั้นคุณควรรับผิดชอบอย่างเต็มที่ต่อการตัดสินใจซื้อขายและการลงทุนของคุณ บริษัทจะไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียเงินทุนของคุณ
หากไม่ได้รับอนุญาตจากเว็บไซต์ คุณจะไม่สามารถคัดลอกกราฟิก ข้อความ หรือเครื่องหมายการค้าของเว็บไซต์ได้ สิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาในเนื้อหาหรือข้อมูลที่รวมอยู่ในเว็บไซต์นี้เป็นของผู้ให้บริการและผู้ค้าแลกเปลี่ยน
ไม่ได้ล็อกอิน
เข้าสู่ระบบเพื่อเข้าถึงฟังก์ชั่นเพิ่มเติม

สมาชิก FastBull
ยังไม่ได้เปิด
สมัคร
เข้าสู่ระบบ
ลงทะเบียน