ตลาด
ข่าวสาร
การวิเคราะห์
ผู้ใช้
24x7
ปฏิทินเศรษฐกิจ
แหล่งเรียนรู้
ข้อมูล
- ชื่อ
- ค่าล่าสุด
- ครั้งก่อน












สัญญาณ VIP
ทั้งหมด
ทั้งหมด



ฝรั่งเศส อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยการประมูลหนี้ OAT 10-ปีค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน ดัชนียอดค้าปลีก YoY (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
บราซิล GDP YoY (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา จำนวนการปลดพนักงานบริษัทชาเลนเจอร์ เกรย์ และคริสต์มาส YoY (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การเลิกจ้างพนักงานบริษัทชาเลนเจอร์ เกรย์ และคริสต์มาส MoM (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การเลิกจ้างพนักงานบริษัทชาเลนเจอร์ เกรย์ และคริสต์มาส YoY (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ค่าเฉลี่ยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก4 สัปดาห์ (SA)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์ (SA)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานต่อรายสัปดาห์ (SA)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา Ivey PMI (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา Ivey PMI (Not SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา คำสั่งซื้อสินค้าคงทนนอกกระทรวงกลาโหมที่ได้แก้ไข MoM (ไม่รวมเครื่องบิน)(SA) (ก.ย.)ค:--
ค: --
สหรัฐอเมริกา คำสั่งซื้อโรงงาน MoM(ยกเว้นการขนส่ง) (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา คำสั่งซื้อโรงงาน MoM (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา คำสั่งซื้อโรงงาน MoM(ยกเว้นภาคกลาโหม) (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การเปลี่ยนแปลงสต็อกก๊าซธรรมชาติประจำสัปดาห์ของ EIAค:--
ค: --
ค: --
ซาอุดิอาระเบีย การผลิตน้ำมันดิบค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การถือครองธนารักษ์สหรัฐฯของธนาคารกลางต่างประเทศรายสัปดาห์ค:--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น เงินตราที่ใช้เป็นทุนสำรอง (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย อัตราขายคืนค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย ดอกเบี้ยอ้างอิงค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย อัตราขายคืนค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย อัตราเงินสดสำรองค:--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น อินดิเคเตอร์ชั้นนำเบื้องต้น (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหราชอาณาจักร ดัชนีราคาที่อยู่อาศัย Halifax YoY (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหราชอาณาจักร ดัชนีราคาที่อยู่อาศัย Halifax MoM (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส บัญชีเดินสะพัด (Not SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส ดุลการค้า (SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส การผลิตภาคอุตสาหกรรม MoM(SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
อิตาลี ดัชนียอดค้าปลีก MoM (SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงาน YoY (SA) (ไตรมาส 3)--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน GDP Final YoY (ไตรมาส 3)--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน GDP Final QoQ (ไตรมาส 3)--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงาน QoQ (SA) (ไตรมาส 3)--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงานสุดท้าย (SA) (ไตรมาส 3)--
ค: --
บราซิล PPI MoM (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
เม็กซิโก ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา อัตราการว่างงาน (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา อัตราการมีส่วนร่วมในการจ้างงาน (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงาน (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงานนอกเวลา (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงานเต็มเวลา (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา รายได้ส่วนบุคคล MoM (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาธนาคารกลางรัฐดัลลาส สหรัฐอเมริกา PCE YoY (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคา PCE YoY (SA) (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคา PCE MoM (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา รายจ่ายส่วนบุคคล MoM(SA) (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาPCEหลักMoM (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา เงินเฟ้อเบื้องต้น UMich 5-YearYoY (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาPCEหลักYoY (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ค่าใช้จ่ายการบริโภคส่วนบุคคลที่จริง MoM (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การคาดการณ์เงินเฟ้อ 5-10 ปี (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีสถานภาพเบื้องต้น UMich ปัจจุบัน (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้น UMich (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อล่วงหน้า 1 ปี UMich (เบื้องต้น) (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีความคาดหวังผู้บริโภค UMich (เบื้องต้น) (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ปริมาณเครื่องเจาะทั้งหมดรายสัปดาห์--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ปริมาณเครื่องเจาะน้ำมันทั้งหมดรายสัปดาห์--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา สินเชื่ออุปโภคบริโภค (SA) (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ เงินตราที่ใช้เป็นทุนสำรอง (พ.ย.)--
ค: --
ค: --


ไม่มีข้อมูลที่ตรงกัน
ทัศนคติล่าสุด
ทัศนคติล่าสุด
หัวข้อยอดนิยม
คอลัมนิสต์ยอดนิยม
อัปเดตล่าสุด
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
ดูผลการค้นหาทั้งหมด

ไม่มีข้อมูล








ลอนดอน--29 พ.ย.--รอยเตอร์
ตลาดการเงินทั่วโลกในเดือนพ.ย.ได้รับผลกระทบจาก Trump trades หรือการลงทุนตามการคาดการณ์ที่ว่า สินทรัพย์ใดบ้างที่อาจจะได้รับผลกระทบในทางบวกหรือลบจากนโยบายต่าง ๆ ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ โดยตลาดแรกที่ได้รับผลกระทบคือตลาดปริวรรตเงินตราต่างประเทศ โดยยูโรดิ่งลงมาแล้ว 2.88% จาก 1.0883 ดอลลาร์สหรัฐในช่วงสิ้นเดือนต.ค. สู่ 1.0570 ดอลลาร์ในวันนี้ หลังจากรูดลงแตะ 1.0333 ดอลลาร์ในวันศุกร์ที่ 22 พ.ย. ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 30 พ.ย. 2022 หรือจุดต่ำสุดรอบ 2 ปี โดยยูโรอาจจะปิดตลาดเดือนพ.ย.ด้วยการดิ่งลงรายเดือนครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ต้นปี 2022 ในขณะที่ยูโรได้รับแรงกดดันจากความเสี่ยงด้านภาษีศุลกากรของสหรัฐ, จากปัญหาทางการเมืองในฝรั่งเศสและเยอรมนี และจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำอย่างรุนแรงในยูโรโซน ทางด้านนักวิเคราะห์คาดว่า ตลาดปริวรรตเงินตราที่มีขนาด 7.5 ล้านล้านดอลลาร์ต่อวันจะแกว่งตัวผันผวนต่อไป ในขณะที่นักลงทุนไม่แน่ใจว่า ยูโรจะดิ่งลงจนถึงระดับใด และไม่แน่ใจว่ามาตรการของนายทรัมป์จะช่วยหนุนเศรษฐกิจสหรัฐได้จริงหรือไม่ ทั้งนี้ สกุลเงินอื่น ๆ แกว่งตัวผันผวนด้วยเช่นกันในเดือนพ.ย. โดยเปโซของเม็กซิโกดิ่งลง 2.09% จาก 20.012 เปโซต่อดอลลาร์สหรัฐในช่วงสิ้นเดือนต.ค. สู่ 20.430 เปโซต่อดอลลาร์ในวันนี้ ส่วนปอนด์รูดลง 1.48% จาก 1.2899 ดอลลาร์สหรัฐในช่วงสิ้นเดือนต.ค. สู่ 1.2708 ดอลลาร์ในวันนี้ ทางด้านหยวนในตลาดต่างประเทศดิ่งลง 1.63% จาก 7.1211 หยวนต่อดอลลาร์ในช่วงสิ้นเดือนต.ค. สู่ 7.2370 หยวนต่อดอลลาร์ในวันนี้ โดยหยวนอาจจะปิดตลาดเดือนพ.ย.ด้วยการดิ่งลงรายเดือนครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนส.ค. 2023
ตลาดที่สองที่ได้รับผลกระทบอย่างมากจากนายทรัมป์ในเดือนพ.ย.คือตลาดบิทคอยน์ โดยบิทคอยน์พุ่งขึ้น 38% จาก 69,927 ดอลลาร์ในช่วงสิ้นเดือนต.ค. สู่ 96,380 ดอลลาร์ในวันนี้ หลังจากทะยานขึ้นแตะสถิติสูงสุดใหม่ที่ 99,830 ดอลลาร์ในวันที่ 22 พ.ย. โดยบิทคอยน์ได้รับแรงหนุนจากความคาดหวังที่ว่า นายทรัมป์จะผ่อนคลายกฎระเบียบด้านสกุลเงินคริปโต ทั้งนี้ นักวิเคราะห์บางรายมองว่า ถ้าหากบิทคอยน์สามารถพุ่งขึ้นแตะระดับ 100,000 ดอลลาร์ได้ในอนาคต สิ่งนี้ก็จะบ่งชี้ว่าบิทคอยน์ได้กลายเป็นการลงทุนกระแสหลักแล้ว โดยนายแดน โคทส์เวิร์ธ นักวิเคราะห์การลงทุนของบริษัทเอเจ เบลล์ระบุว่า "ถ้าหากบิทคอยน์ทะยานขึ้นเหนือระดับ 100,000 ดอลลาร์ ก็จะมีนักลงทุนจำนวนมากยิ่งขึ้นที่สนใจจะเข้ามาลงทุนในบิทคอยน์" อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์รายอื่น ๆ มองว่า มีความเสี่ยงจากการเก็งกำไรมากเกินไป ซึ่งนั่นหมายความว่า เป็นเรื่องง่ายที่บิทคอยน์อาจจะดิ่งลงอย่างรุนแรงหลังจากพุ่งขึ้นในช่วงที่ผ่านมา
ตลาดที่ 3 ที่ได้รับผลกระทบ คือหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีของสหรัฐ โดยดัชนี Nasdaq 100 ที่ครอบคลุมหุ้นหลายตัวในกลุ่มนี้พุ่งขึ้นสูงมากในเดือนพ.ย. ในขณะที่หุ้นบริษัทเทสลาของนายอีลอน มัสก์ ซึ่งเป็นผู้ให้การสนับสนุนนายทรัมป์พุ่งขึ้น 33% และหุ้นบริษัทเอ็นวิเดียที่เป็นผู้ผลิตชิปทะยานขึ้น 1.94% สู่ 135.34 ดอลลาร์ในเดือนพ.ย. ถึงแม้เอ็นวิเดียคาดการณ์ว่ายอดขายจะชะลอการเติบโต อย่างไรก็ดี ภาคเทคโนโลยีกำลังเผชิญกับความเสี่ยง เพราะว่าแผนภาษีศุลกากรของนายทรัมป์เป็นภัยคุกคามต่อห่วงโซ่อุปทาน และนักลงทุนก็กังวลกับการที่บริษัทศูนย์ข้อมูลขนาดยักษ์ อย่างเช่นไมโครซอฟท์, เมตา แพลตฟอร์มส์ และอะเมซอน ลงทุนในปัญญาประดิษฐ์ (AI) เป็นเงินจำนวนมากด้วย ซึ่งอาจจะนำไปสู่การลงทุนที่มากเกินไป ทั้งนี้ ธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ประกาศเตือนในสัปดาห์ที่แล้วว่า ตลาดทั่วโลกจะได้รับผลกระทบในทางลบ ถ้าหากเกิดภาวะฟองสบู่แตกใน AI และหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีดิ่งลงอย่างรุนแรง
ตลาดที่ 4 ที่ได้รับผลกระทบคือหุ้นกลุ่มธนาคาร ในขณะที่นักลงทุนชื่นชอบหุ้นธนาคารขนาดใหญ่ของสหรัฐ แต่เทขายหุ้นกลุ่มธนาคารของยุโรป โดยดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารของสหรัฐพุ่งขึ้น 13% ในเดือนพ.ย. ซึ่งถือเป็นการพุ่งขึ้นรายเดือนครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 1 ปี โดยได้รับแรงหนุนจากความคาดหวังที่ว่า นายทรัมป์จะผ่อนคลายกฎระเบียบ อย่างไรก็ดี ดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารของยุโรปดิ่งลง 5% ในเดือนพ.ย. โดยได้รับแรงกดดันจากความอ่อนแอทางเศรษฐกิจในยุโรป และความอ่อนแอดังกล่าวกระตุ้นการคาดการณ์เรื่องการปรับลดอัตราดอกเบี้ย แต่ดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารของยุโรปยังคงพุ่งขึ้นมาแล้ว 16% จากช่วงต้นปีนี้ โดยได้รับแรงหนุนจากอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ทั้งนี้ กองทุนเฮดจ์ฟันด์ยังคงขายสุทธิหุ้นกลุ่มธนาคารของยุโรป ส่วนธนาคารดอยช์ แบงก์ระบุว่า ภาคธนาคารจำเป็นจะต้องปรับเพิ่มกิจกรรมที่คิดค่าธรรมเนียม ซึ่งรวมถึงการบริหารสินทรัพย์, การบริหารความมั่งคั่ง, การทำข้อตกลงทางธุรกิจ และวาณิชธนกิจ
ตลาดที่ 5 ที่ได้รับผลกระทบคือตลาดพันธบัตรรัฐบาล โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีขยับลงเล็กน้อยในเดือนพ.ย. โดยปรับลงจาก 4.284% ในช่วงสิ้นเดือนต.ค. สู่ 4.242% ในช่วงท้ายวันพุธ แต่อัตราผลตอบแทนพุ่งขึ้นมาแล้ว 0.60% นับตั้งแต่กลางเดือนก.ย. โดยได้รับแรงหนุนจากตัวเลขเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งในสหรัฐ, จากการคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น และจากการคาดการณ์ที่ว่าจะมีการดำเนินนโยบายการคลังแบบขาดดุลในยุคของประธานาธิบดีทรัมป์ ทางด้านบริษัทแคปิตัล อิโคโนมิคส์คาดว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐอาจจะพุ่งขึ้นสู่ 4.5% ก่อนสิ้นปีนี้ ทั้งนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลเยอรมนีประเภทอายุ 10 ปีดิ่งลงมาแล้ว 0.266% ในเดือนพ.ย. โดยดิ่งลงจาก 2.392% ในช่วงสิ้นเดือนต.ค. สู่ 2.126% ในช่วงท้ายวานนี้ ซึ่งถือเป็นการดิ่งลงรายเดือนครั้งใหญ่ที่สุดในปี 2024 โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรเยอรมนีได้รับแรงกดดันจากความอ่อนแอทางเศรษฐกิจ, จากแผนการด้านภาษีศุลกากรของนายทรัมป์ และจากสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนที่ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ทางด้านอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นประเภทอายุ 10 ปีพุ่งขึ้น 0.115% ในเดือนพ.ย. โดยพุ่งขึ้นจาก 0.935% ในช่วงสิ้นเดือนต.ค. สู่ 1.050% ในวันนี้ ในขณะที่การดิ่งลงของเยนในช่วงหลังการเลือกตั้งสหรัฐกระตุ้นให้นักลงทุนคาดการณ์กันว่า ธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) อาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 18-19 ธ.ค.--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;








นิวยอร์ค--27 พ.ย.--รอยเตอร์
บริษัทข้ามชาติหลายแห่งกำลังปรับเพิ่มการทำประกันความเสี่ยง (เฮดจ์) ด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศในช่วงนี้ เพื่อปกป้องผลกำไรในต่างประเทศไม่ให้ได้รับความเสียหายจากการแกว่งตัวผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงิน ในขณะที่นายโดนัลด์ ทรัมป์กำลังจะเริ่มดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐเป็นสมัยที่สองในช่วงต้นปีหน้า และนโยบายต่าง ๆ ของเขาอาจจะส่งผลให้อัตราแลกเปลี่ยนแกว่งตัวผันผวนมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ นับตั้งแต่สหรัฐจัดการเลือกตั้งประธานาธิบดีในวันที่ 5 พ.ย. หรือเมื่อราว 3 สัปดาห์ก่อน นักยุทธศาสตร์การลงทุนและผู้บริหารธนาคารก็ระบุว่า บริษัทต่าง ๆ แสดงความสนใจมากยิ่งขึ้นในออปชั่นและการทำสัญญาสว็อปข้ามสกุลเงิน เพราะว่าบริษัทเหล่านี้มุ่งความสนใจไปยังประเด็นที่ว่า สกุลเงินอาจจะแกว่งตัวผันผวนเป็นอย่างมากในยุคของปธน.ทรัมป์ โดยเฉพาะบริษัทในกลุ่มการแพทย์และกลุ่มอุตสาหกรรม
นายคาร์ล ชามอททา หัวหน้านักยุทธศาสตร์การลงทุนตลาดของบริษัทคอร์เพย์ระบุว่า "การเลือกตั้งในสหรัฐถือเป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้ผู้ทำประกันความเสี่ยงคิดถึงความเสี่ยงด้านสกุลเงิน" และเขากล่าวเสริมว่า "ธุรกิจหลายแห่งเคยพึงพอใจกับทิศทางของอัตราแลกเปลี่ยนและขนาดความเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยนมาเป็นเวลานาน ก่อนที่ผลการเลือกตั้งจะส่งผลให้ธุรกิจเหล่านี้เลิกชะล่าใจ" ทั้งนี้ ชัยชนะของนายทรัมป์ในการเลือกตั้งจะเปิดโอกาสให้เขาสามารถดำเนินมาตรการด้านภาษีศุลกากรและมาตรการกีดกันทางการค้า และมาตรการเหล่านี้อาจจะส่งผลให้สกุลเงินแกว่งตัวผันผวน โดยนายทรัมป์เพิ่งประกาศในวันจันทร์ว่า เขาจะเก็บภาษีนำเข้า 25% จากสินค้าทั้งหมดที่มาจากเม็กซิโกและแคนาดาในวันแรกที่เขาเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี และจะเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มเติมอีก 10% จากสินค้าจีน โดยเขาอ้างว่ามาตรการนี้เป็นการตอบโต้การค้ายาผิดกฎหมายและการปล่อยให้ผู้อพยพเข้าสหรัฐอย่างผิดกฎหมาย ทางด้านดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์แคนาดาขยับลง 0.03% สู่ 1.4051 ดอลลาร์แคนาดาในวันนี้ หลังจากพุ่งขึ้นกว่า 1.5% จนแตะระดับ 1.4178 ดอลลาร์แคนาดาในระหว่างช่วงการซื้อขายวันอังคาร ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. 2020 หรือจุดสูงสุดรอบ 4 ปีครึ่ง ส่วนดอลลาร์สหรัฐ/เปโซเม็กซิโกพุ่งขึ้น 0.33% สู่ 20.695 เปโซในวันนี้ หลังจากทะยานขึ้นกว่า 2.5% ในระหว่างช่วงการซื้อขายวันอังคาร จนแตะระดับ 20.835 เปโซได้ในวันอังคาร ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.ค. 2022 หรือจุดสูงสุดในรอบกว่า 2 ปี นอกจากนี้ ดอลลาร์สหรัฐ/หยวนก็แข็งค่าขึ้น 0.13% สู่ 7.2657 หยวนในวันนี้ หลังจากทะยานขึ้นแตะ 7.2726 หยวนในระหว่างช่วงการซื้อขายวันอังคาร ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 30 ก.ค.
ดัชนีดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินพุ่งขึ้นมาแล้วราว 3.5% นับตั้งแต่วันที่ 5 พ.ย. โดยได้รับแรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่า นโยบายด้านการค้าและภาษีศุลกากรของนายทรัมป์จะส่งผลบวกต่อดอลลาร์ โดยนายทรัมป์เคยประกาศอีกด้วยว่า เขาตั้งใจที่จะปรับปรุงข้อตกลงการค้าสหรัฐ-เม็กซิโก-แคนาดา (USMCA) ให้ดีขึ้นเป็นอย่างมาก แต่ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าการปรับเปลี่ยนข้อตกลงนี้จะมีรายละเอียดอย่างไร ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ระบุว่า สกุลเงินที่เกี่ยวข้องกับการค้าเคยแกว่งตัวอย่างรุนแรงในช่วงที่นายทรัมป์ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐสมัยแรกในปี 2017-2020 และสิ่งนี้ก็ตอกย้ำให้เห็นถึงความจำเป็นในการทำประกันความเสี่ยงในช่วงนี้ นอกจากนี้ ธนาคารกลางในอีกหลายประเทศทั่วโลกก็กำลังปรับนโยบายการเงินให้เข้าสู่ภาวะปกติในช่วงนี้ และพยายามรักษาสมดุลระหว่างความกังวลเรื่องความอ่อนแอทางเศรษฐกิจกับความกังวลเรื่องภาวะเงินเฟ้อ และปัจจัยดังกล่าวก็อาจจะกระตุ้นให้สกุลเงินแกว่งตัวผันผวนได้ด้วยเช่นกันในช่วงหลายเดือนข้างหน้า
ผลสำรวจโดยบริษัทมิลล์เทคเอฟเอ็กซ์ที่จัดทำในวันที่ 7-18 พ.ย.ระบุว่า เจ้าหน้าที่ผู้ตัดสินใจทางการเงินราว 94% ในบริษัทสหรัฐและอังกฤษระบุว่า ผลการเลือกตั้งในสหรัฐกระตุ้นให้พวกเขาปรับเปลี่ยนแผนยุทธศาสตร์การทำประกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน โดยเจ้าหน้าที่บางคนพยายามขยายระยะเวลาการทำประกันความเสี่ยงออกไป และเจ้าหน้าที่บางคนก็ปรับเพิ่มสัดส่วนการทำประกันความเสี่ยง นอกจากนี้ ผลสำรวจก็ระบุอีกด้วยว่า บริษัทหลายแห่งคาดว่าความไม่แน่นอนทางการค้าจะส่งผลลบเป็นอย่างมากต่อภูมิภาคเอเชียตะวันออกและทวีปยุโรปด้วย ทั้งนี้ บริษัทในดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐมีรายได้ราว 41% มาจากนอกสหรัฐ และบริษัทหลายแห่งก็พยายามทำประกันความเสี่ยงสำหรับยูโรและเปโซเม็กซิโกในช่วงนี้ โดยเปโซเม็กซิโกดิ่งลงมาแล้วราว 2% นับตั้งแต่การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ และรูดลงมาแล้วเกือบ 17% จากช่วงต้นปีนี้ ทางด้านพอลา คัมมิงส์ จากธนาคารยูเอสแบงก์ระบุว่า ถึงแม้ว่าส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างสหรัฐกับเม็กซิโกตึงตัวมากยิ่งขึ้นนับตั้งแต่การเลือกตั้ง ต้นทุนในการทำประกันความเสี่ยงสำหรับสถานะซื้อเปโซก็เพิ่มสูงขึ้น โดยเป็นผลจากการดิ่งลงของเปโซ และเธอกล่าวเสริมว่า "ผู้ที่ขายเปโซเม็กซิโกและเข้าซื้อดอลลาร์ในตอนนี้อาจลังเลที่จะปรับเพิ่มวอลุ่มการทำประกันความเสี่ยงสัญญาฟอร์เวิร์ด แต่อาจจะพิจารณาออปชั่นในฐานะทางเลือกหนึ่ง"
ยูโร/ดอลลาร์ดิ่งลงมาแล้วราว 4% นับตั้งแต่การเลือกตั้งในสหรัฐ ในขณะที่คัมมิงส์กล่าวว่า นักลงทุนไม่ได้ปรับตัวรับผลกระทบที่ยูโรจะได้รับในช่วงก่อนการเลือกตั้ง ซึ่งสิ่งนี้แตกต่างจากเปโซเม็กซิโกและหยวนของจีนที่ปรับตัวรับผลกระทบไปแล้วตั้งแต่ก่อนการเลือกตั้ง โดยยูโรได้รับแรงกดดันในช่วงนี้จากข่าวเรื่องภาษีศุลกากร, จากปัญหาทางเศรษฐกิจในเยอรมนี และจากความอ่อนแอในภาคโรงงานในหลายประเทศในยุโรป ทั้งนี้ คัมมิงส์ระบุว่า บริษัทบางแห่งในกลุ่มการแพทย์และกลุ่มอุตสาหกรรมของสหรัฐแสดงความสนใจที่จะใช้สัญญาสว็อปข้ามสกุลเงินยูโรเพื่อบริหารความเสี่ยง และเพื่อลดการจ่ายดอกเบี้ย ทางด้านนายฮวน เปเรซ จากบริษัทโมเน็กซ์ ยูเอสเอระบุว่า "ผลการเลือกตั้งส่งผลให้บริษัทต่าง ๆ มีความจำเป็นมากยิ่งขึ้นที่จะต้องทำความเข้าใจว่า อัตราแลกเปลี่ยนที่ระดับใดที่จะส่งผลให้บริษัทบางแห่งไม่สามารถดำเนินธุรกิจในต่างประเทศได้ ถ้าหากต้องรับมือกับอัตราภาษีนำเข้าที่สูงขึ้นหรือรับมือกับกฎระเบียบที่เปลี่ยนไป"--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
ลอนดอน--21 พ.ย.--รอยเตอร์
นายฟรานเซสโก เกร์เรรา ผู้เขียนคอลัมน์ของรอยเตอร์ระบุว่า การที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐในวันที่ 5 พ.ย.ที่ผ่านมาส่งผลบวกต่อราคาสินทรัพย์หลายประเภท โดยเฉพาะหุ้นสหรัฐ, สกุลเงินคริปโต และดอลลาร์สหรัฐ โดยเป็นผลจากนโยบายต่าง ๆ ของนายทรัมป์ ซึ่งรวมถึงนโยบายปรับลดกฎระเบียบ และนโยบายปรับลดภาษีเงินได้ อย่างไรก็ดี ถ้าหากนโยบายของนายทรัมป์ส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐเติบโตอย่างร้อนแรง ยอดขาดดุลงบประมาณและอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐก็อาจจะพุ่งสูงขึ้น และปัจจัยดังกล่าวจะสร้างความกังวลต่อนักลงทุนในตลาดพันธบัตร และนักลงทุนในตลาดพันธบัตรก็อาจจะเทขายพันธบัตรสหรัฐออกมา ซึ่งจะส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยิลด์) พุ่งสูงขึ้น และปัจจัยดังกล่าวจะส่งผลลบต่อตลาดหุ้นสหรัฐได้ด้วย ทั้งนี้ ปัจจัยสำคัญอันหนึ่งที่ส่งผลให้นายทรัมป์ชนะการเลือกตั้งในครั้งนี้ คือภาวะเงินเฟ้อในสหรัฐ โดยราคาผู้บริโภคในสหรัฐพุ่งขึ้นมาแล้ว 21% เมื่อเทียบกับระดับในช่วงที่ปธน.โจ ไบเดนชนะการเลือกตั้งในช่วงปลายปี 2020 ทางด้านผลสำรวจหน้าคูหาการเลือกตั้งของสถานี NBC ระบุว่า ใน 3 รัฐสำคัญของสหรัฐนั้น ผู้โหวตราว 75% ระบุว่าภาวะเงินเฟ้อสร้างความยากลำบากในระดับปานกลางหรือรุนแรงต่อพวกเขาในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา และผู้โหวตส่วนใหญ่ในกลุ่มนี้ระบุว่า พวกเขาเลือกพรรครีพับลิกันในการเลือกตั้งในวันที่ 5 พ.ย.
นายเกร์เรราระบุว่า นโยบายของนายทรัมป์เองก็มีแนวโน้มที่จะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะนโยบายเก็บภาษีนำเข้าถ้วนหน้าในอัตรา 10% และเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนในอัตรา 60% โดยนายดาริโอ เพอร์กินส์จากบริษัททีเอส ลอมบาร์ดระบุว่า มาตรการปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าดังกล่าวจะส่งผลให้อัตราภาษีนำเข้าในสหรัฐพุ่งขึ้นจาก 2% ในปัจจุบัน สู่ระดับราว 17% ซึ่งจะถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่ช่วงหลังจากทศวรรษ 1940 เป็นต้นมา และปัจจัยดังกล่าวจะส่งผลบวกราว 1.3% ต่อดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐ ซึ่งผลกระทบดังกล่าวจะเท่ากับผลกระทบที่เกิดจากการพุ่งขึ้น 20% ของราคาน้ำมัน ทางด้านดัชนี CPI เพิ่งปรับขึ้น 2.6% ในเดือนต.ค.เมื่อเทียบรายปี ทั้งนี้ นักลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐไม่ได้กังวลกับปัจจัยดังกล่าวในช่วงนี้ เพราะว่าดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐพุ่งขึ้นหลังจากนายทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง ในขณะที่นักลงทุนเชื่อว่านายทรัมป์จะดำเนินมาตรการปรับลดกฎระเบียบในวงกว้าง และนโยบายดังกล่าวอาจจะส่งผลให้การควบรวมกิจการเข้าสู่ภาวะเฟื่องฟู โดยการคาดการณ์ในเรื่องนี้มีส่วนช่วยหนุนหุ้นวาณิชธนกิจบางแห่งเป็นอย่างมาก ซึ่งรวมถึงหุ้นบริษัทโมเอลิส และหุ้นบริษัทพีเจที พาร์ทเนอร์สที่พุ่งขึ้นมาแล้วราว 10% นับตั้งแต่วันที่ 5 พ.ย.
ผู้จัดการกองทุนชื่นชอบนโยบายของนายทรัมป์ที่จะปรับลดอัตราภาษีนิติบุคคลลงสู่ 15% จาก 21% โดยการปรับลดอัตราภาษีดังกล่าวจะส่งผลให้ผลกำไรต่อหุ้นของบริษัทสหรัฐโดยเฉลี่ยพุ่งขึ้นไปอีก 4% นอกจากนี้ เทรดเดอร์ก็มองว่าสงครามการค้าอาจจะส่งผลบวกต่อบริษัทขนาดเล็กของสหรัฐด้วย เพราะว่ามาตรการกีดกันทางการค้าจะส่งผลดีต่อบริษัทที่เน้นการทำธุรกิจภายในสหรัฐ โดยการคาดการณ์ในเรื่องนี้มีส่วนช่วยหนุนให้ดัชนี Russell 2000 สำหรับบริษัทขนาดเล็กของสหรัฐพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในช่วงที่ผ่านมา ทั้งนี้ ชัยชนะของนายทรัมป์ส่งผลดีต่อบิทคอยน์ด้วยเช่นกัน โดยบิทคอยน์พุ่งขึ้นแตะสถิติสูงสุดใหม่ที่ 97,902 ดอลลาร์ในวันนี้ โดยทะยานขึ้นมาแล้ว 46.6% จากระดับ 66,776.19 ดอลลาร์ในวันที่ 4 พ.ย. โดยได้รับแรงหนุนจากการที่นายทรัมป์ได้ให้สัญญาว่า เขาจะทำให้สหรัฐกลายเป็น "เมืองหลวงแห่งคริปโตบนดาวเคราะห์ดวงนี้" ทางด้านกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) คาดการณ์ว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของสหรัฐอาจขยายตัว 2.8% ในปีนี้ และ 2.2% ในปี 2025
อย่างไรก็ดี นโยบายของนายทรัมป์อาจจะสร้างความเสียหายต่อการคลังของสหรัฐ โดยคณะกรรมการเพื่องบประมาณของรัฐบาลกลางที่มีความรับผิดชอบประเมินว่า นโยบายของนายทรัมป์จะส่งผลให้ยอดขาดดุลงบประมาณของสหรัฐเพิ่มสูงขึ้นอีก 15.5 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงสิบปีข้างหน้า ในขณะที่ยอดขาดดุลงบประมาณอยู่สูงกว่า 7% ของจีดีพีอยู่แล้วในปัจจุบัน ดังนั้นการที่ยอดขาดดุลงบประมาณจะพุ่งสูงขึ้นไปอีกจึงทำให้เกิดคำถามตามมาว่า ฐานะการคลังของรัฐบาลสหรัฐจะมีความยั่งยืนหรือไม่ ทั้งนี้ นักลงทุนในตลาดพันธบัตรได้แสดงปฏิกิริยาต่อปัจจัยนี้ โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีพุ่งขึ้นจากระดับ 3.6% ในเดือนก.ย. สู่ระดับราว 4.4% ในปัจจุบัน โดยเป็นผลจากปัจจัยสำคัญสองประการ ซึ่งได้แก่ความกังวลที่ว่า เฟดจำเป็นจะต้องตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับสูงเพื่อรับมือกับภาวะเงินเฟ้อ และการที่นักลงทุนต้องการผลตอบแทนที่สูงขึ้นเพื่อชดเชยความเสี่ยงจากระดับหนี้สินที่สูงขึ้นของรัฐบาลสหรัฐ
นักลงทุนบางรายมองว่า ตลาดพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐจะสามารถรับมือกับปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ได้ เพราะว่าดอลลาร์สหรัฐถือเป็นสกุลเงินหลักของโลก และปัจจัยนี้จะส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติต้องการซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐต่อไป อย่างไรก็ดี นายเกร์เรราระบุว่า การพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอาจจะส่งผลลบต่อตลาดหุ้น เพราะว่าการพุ่งขึ้นของบอนด์ยิลด์จะส่งผลให้หุ้นมีความน่าดึงดูดน้อยลง--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;








โตเกียว--21 พ.ย.--รอยเตอร์
ดัชนีดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินขยับลงเล็กน้อยในการซื้อขายช่วงเช้าวันนี้ที่ตลาดเอเชีย ในขณะที่นักลงทุนพยายามประเมินแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และรอดูนโยบายต่าง ๆ ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ โดยในตอนนี้นักลงทุนคาดว่า มีโอกาส 53.3% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% สู่ 4.25-4.50% ในการประชุมวันที่ 17-18 ธ.ค. โดยปรับลดลงจากโอกาส 82.5% ที่เคยคาดไว้เมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อน และนักลงทุนยังคาดการณ์ในตอนนี้อีกด้วยว่า มีโอกาส 46.7% ที่เฟดจะตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 4.50-4.75% ตามเดิมในการประชุมวันที่ 17-18 ธ.ค. และนักลงทุนคาดว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงรวมกันเพียง 0.73% ตั้งแต่ช่วงนี้จนถึงสิ้นปี 2025 ทั้งนี้ รอยเตอร์ได้สำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์ในวันที่ 12-20 พ.ย. และได้เปิดเผยผลสำรวจออกมาในวันพุธ โดยผลสำรวจระบุว่า นักเศรษฐศาสตร์ 94 จาก 106 ราย หรือนักเศรษฐศาสตร์ 89% ในโพลล์รอยเตอร์คาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% สู่ 4.25%-4.50% ในการประชุมวันที่ 17-18 ธ.ค. ส่วนนักเศรษฐศาสตร์ที่เหลืออีก 12 รายคาดว่า เฟดจะตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 4.50-4.75% ตามเดิมในการประชุมเดือนธ.ค. นอกจากนี้ นักเศรษฐศาสตร์ยังคาดการณ์ในตอนนี้ว่า อัตราดอกเบี้ย fed funds จะอยู่ที่ 3.50%-3.75% ในช่วงสิ้นปี 2025 หากวัดจากค่ากลางของโพลล์ ซึ่งสูงกว่าระดับ 3.00%-3.25% ที่เคยคาดไว้เมื่อหนึ่งเดือนก่อน โดยเป็นผลจากความเสี่ยงที่นโยบายของนายทรัมป์อาจจะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อปรับสูงขึ้น
ดอลลาร์/เยนร่วงลง 0.30% สู่ 154.96 เยนในช่วงเช้าวันนี้ หลังจากพุ่งขึ้นแตะ 156.74 เยนในวันศุกร์ที่ 15 พ.ย. ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 23 ก.ค. และเทียบกับระดับ 161.96 เยนที่เคยทำไว้ในวันที่ 3 ก.ค. ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่ปี 1986 หรือจุดสูงสุดในรอบ 38 ปี ส่วนยูโร/ดอลลาร์ขยับขึ้น 0.06% สู่ 1.0549 ดอลลาร์สหรัฐในช่วงเช้าวันนี้ หลังจากดิ่งลงแตะ 1.0496 ดอลลาร์ในวันพฤหัสบดีที่ 14 พ.ย. ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนต.ค. 2023 หรือจุดต่ำสุดรอบ 1 ปี ทางด้านดัชนีดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินขยับลง 0.06% สู่ 106.55 ในช่วงเช้าวันนี้ หลังจากพุ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดรอบ 1 ปีที่ 107.07 ในวันพฤหัสบดีที่ 14 พ.ย. ทั้งนี้ ปอนด์ขยับขึ้น 0.07% สู่ 1.2656 ดอลลาร์สหรัฐในช่วงเช้าวันนี้ ส่วนดอลลาร์ออสเตรเลียแข็งค่าขึ้น 0.14% สู่ 0.6515 ดอลลาร์สหรัฐในช่วงเช้าวันนี้ ทางด้านดอลลาร์นิวซีแลนด์ขยับขึ้น 0.03% สู่ 0.5879 ดอลลาร์สหรัฐในช่วงเช้าวันนี้
ดัชนีดอลลาร์สหรัฐพุ่งขึ้นมาแล้วกว่า 2% นับตั้งแต่การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในวันที่ 5 พ.ย. โดยดอลลาร์ได้รับแรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่า เฟดอาจจะชะลอความเร็วในการปรับลดอัตราดอกเบี้ย เพราะว่านโยบายของนายทรัมป์จะกระตุ้นภาวะเงินเฟ้อในสหรัฐ นอกจากนี้ ดอลลาร์ยังได้รับแรงหนุนเพิ่มเติมจากการคาดการณ์ที่ว่า มาตรการด้านภาษีศุลกากรของนายทรัมป์จะสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจยุโรปและเศรษฐกิจจีนด้วย ทั้งนี้ นายแมทท์ ซิมป์สัน นักวิเคราะห์ตลาดของบริษัทซิตี้ อินเด็กซ์ระบุว่า "เป็นเรื่องยากที่จะขายดอลลาร์สหรัฐในตอนนี้" ในขณะที่นักลงทุนพิจารณาความเป็นไปได้ที่เฟดจะไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในเดือนหน้า และเขากล่าวเสริมว่า "ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครนทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น และปัจจัยนี้ก็ส่งผลลบต่อยูโร ในขณะที่ยูโรได้รับแรงกดดันอยู่แล้วจากแนวโน้มที่สหรัฐจะปรับขึ้นภาษีนำเข้า"
มีข่าวว่า ยูเครนได้ยิงขีปนาวุธ ATACMS ที่ผลิตในสหรัฐเข้าไปในรัสเซียในวันอังคาร และยูเครนได้ยิงขีปนาวุธพิสัยไกล "บริติช สตอร์ม ชาโดว์" เข้าไปในรัสเซียในวันพุธด้วย ทางด้านรัฐบาลรัสเซียได้ประกาศปรับลดเงื่อนไขในการใช้อาวุธนิวเคลียร์ อย่างไรก็ดี นายเซอร์ไก ลาฟรอฟ รมว.ต่างประเทศรัสเซียกล่าวในเวลาต่อมาว่า รัสเซียจะ "ทำทุกสิ่งที่ทำได้" เพื่อหลีกเลี่ยงสงครามนิวเคลียร์ ทั้งนี้ มิเชลล์ โบว์แมน ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ว่าการเฟด และลิซา คุก ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ว่าการเฟด แสดงความเห็นที่ขัดแย้งกันเองในวันพุธในเรื่องแนวโน้มนโยบายการเงินในสหรัฐ โดยโบว์แมนแสดงความกังวลต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่สูงกว่าระดับเป้าหมายที่เฟดตั้งไว้ที่ 2% และเธอเรียกร้องให้เฟดใช้ความระมัดระวังในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงต่อไป ทางด้านลิซา คุก กล่าวในวันพุธว่า อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐยังคงชะลอตัวลงต่อไป, ค่าแรงชะลอตัวลง และตลาดแรงงานชะลอตัวลง ส่วนการเพิ่มขึ้นของราคาในระดับที่มากเกินไปส่วนใหญ่แล้วจำกัดวงอยู่แค่ภายในภาคที่อยู่อาศัย ดังนั้นสถานการณ์ในตอนนี้จึงมีแนวโน้มว่าจะยังคงอยู่ในภาวะที่เหมาะสมสำหรับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงต่อไป
ดอลลาร์/เยนเพิ่งพุ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.ค.ในสัปดาห์ที่แล้ว และปัจจัยดังกล่าวทำให้นักลงทุนกังวลว่า ทางการญี่ปุ่นอาจจะเข้ามาแทรกแซงตลาดเพื่อหนุนค่าเงินเยนในอนาคต โดยนักลงทุนกำลังรอฟังถ้อยแถลงของนายคาสุโอะ อุเอดะ ผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) ในงานประชุมทางการเงินที่กรุงปารีสในช่วงต่อไปในวันนี้ หลังจากที่ถ้อยแถลงของเขาในช่วงต้นสัปดาห์นี้เปิดโอกาสสำหรับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนธ.ค. นอกจากนี้ นักลงทุนยังคาดการณ์อีกด้วยว่า มีโอกาส 52% ที่บีโอเจอาจจะตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 0.25% ตามเดิมในการประชุมวันที่ 19 ธ.ค. และมีโอกาส 48% ที่บีโอเจอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ 0.50% ในการประชุมวันที่ 19 ธ.ค. ทั้งนี้ บิทคอยน์พุ่งขึ้นแตะสถิติสูงสุดใหม่ที่ 95,050.28 ดอลลาร์ในวันนี้ หลังจากที่เพิ่งทะยานขึ้น 2.41% สู่ 94,461 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันพุธ โดยบิทคอยน์ได้รับแรงหนุนจากความคาดหวังที่ว่า รัฐบาลใหม่ของสหรัฐจะผ่อนคลายกฎระเบียบด้านสกุลเงินคริปโต และได้รับแรงหนุนจากข่าวที่ว่า บริษัทด้านสื่อสังคมของนายทรัมป์กำลังเจรจาเพื่อเข้าซื้อบริษัท Bakkt ที่ทำธุรกิจซื้อขายสกุลเงินคริปโต--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;








นิวยอร์ค--21 พ.ย.--รอยเตอร์
ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นในวันพุธ หลังจากปิดตลาดในแดนลบมานานติดต่อกัน 3 วัน ในขณะที่นักลงทุนพยายามประเมินแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และรอดูนโยบายต่าง ๆ ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ โดยในตอนนี้นักลงทุนคาดว่า มีโอกาส 53.2% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% สู่ 4.25-4.50% ในการประชุมวันที่ 17-18 ธ.ค. โดยปรับลดลงจากโอกาส 82.5% ที่เคยคาดไว้เมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อน และนักลงทุนยังคาดการณ์ในตอนนี้อีกด้วยว่า มีโอกาส 46.8% ที่เฟดจะตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 4.50-4.75% ตามเดิมในการประชุมวันที่ 17-18 ธ.ค. และนักลงทุนคาดว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงรวมกันเพียง 0.73% ตั้งแต่ช่วงนี้จนถึงสิ้นปี 2025 ทั้งนี้ นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ในโพลล์รอยเตอร์คาดว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในเดือนธ.ค. แต่นักเศรษฐศาสตร์ปรับลดการคาดการณ์เรื่องแนวโน้มในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีหน้าเมื่อเทียบกับที่เคยคาดไว้เมื่อหนึ่งเดือนก่อน โดยเป็นผลจากความเสี่ยงที่นโยบายของนายทรัมป์อาจจะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อปรับสูงขึ้น โดยนักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ในตอนนี้ว่า อัตราดอกเบี้ย fed funds จะอยู่ที่ 3.50%-3.75% ในช่วงสิ้นปี 2025 ซึ่งสูงกว่าระดับ 3.00%-3.25% ที่เคยคาดไว้เมื่อหนึ่งเดือนก่อน
ดัชนีดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินอยู่ที่ 106.61 ในช่วงท้ายตลาดวันพุธ โดยแข็งค่าขึ้นจาก 106.13 ในช่วงท้ายตลาดวันอังคาร
ดอลลาร์/เยนอยู่ที่ 155.43 เยนในช่วงท้ายตลาดวันพุธ โดยพุ่งขึ้นจากระดับปิดตลาดวันอังคารที่ 154.65 เยน หลังจากพุ่งขึ้นแตะ 156.74 เยนในวันศุกร์ที่ 15 พ.ย. ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 23 ก.ค.
ยูโร/ดอลลาร์อยู่ที่ 1.0543 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันพุธ โดยร่วงลงจาก 1.0595 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันอังคาร
เยน, ฟรังก์สวิส และดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถือเป็นสามสกุลเงินปลอดภัย ได้รับแรงหนุนเป็นเวลาสั้น ๆ ในระหว่างช่วงการซื้อขายวันพุธ หลังจากรัฐบาลรัสเซียประกาศปรับลดเงื่อนไขในการใช้อาวุธนิวเคลียร์ อย่างไรก็ดี คำสั่งซื้อสกุลเงินปลอดภัยจางหายไปในเวลาต่อมา หลังจากนายเซอร์ไก ลาฟรอฟ รมว.ต่างประเทศรัสเซียกล่าวว่า รัสเซียจะ "ทำทุกสิ่งที่ทำได้" เพื่อหลีกเลี่ยงสงครามนิวเคลียร์ ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์สหรัฐพุ่งขึ้นมาแล้วราว 3% นับตั้งแต่การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในวันที่ 5 พ.ย. โดยดอลลาร์ได้รับแรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่า เฟดอาจจะชะลอความเร็วในการปรับลดอัตราดอกเบี้ย เพราะว่านโยบายของนายทรัมป์จะกระตุ้นภาวะเงินเฟ้อในสหรัฐ
มิเชลล์ โบว์แมน ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ว่าการเฟด และลิซา คุก ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ว่าการเฟด แสดงความเห็นที่ขัดแย้งกันเองในวันพุธในเรื่องแนวโน้มนโยบายการเงินในสหรัฐ โดยโบว์แมนแสดงความกังวลต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่สูงกว่าระดับเป้าหมายที่เฟดตั้งไว้ที่ 2% และเธอเรียกร้องให้เฟดใช้ความระมัดระวังในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงต่อไป ทางด้านลิซา คุก กล่าวในวันพุธว่า อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐยังคงชะลอตัวลงต่อไป, ค่าแรงชะลอตัวลง และตลาดแรงงานชะลอตัวลง ส่วนการเพิ่มขึ้นของราคาในระดับที่มากเกินไปส่วนใหญ่แล้วจำกัดวงอยู่แค่ภายในภาคที่อยู่อาศัย ดังนั้นสถานการณ์ในตอนนี้จึงมีแนวโน้มว่าจะยังคงอยู่ในภาวะที่เหมาะสมสำหรับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงต่อไป
ปอนด์อ่อนค่าลงจาก 1.2682 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันอังคาร สู่ 1.2647 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันพุธ ถึงแม้อังกฤษรายงานว่า อัตราเงินเฟ้อพุ่งขึ้นสูงเกินคาดในเดือนต.ค. ทางด้านเทรดเดอร์คาดว่า มีโอกาส 82.8% ที่ธนาคารกลางอังกฤษ (บีโออี) จะตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิมในการประชุมวันที่ 19 ธ.ค. ทั้งนี้ บิทคอยน์พุ่งขึ้น 2.41% สู่ 94,461 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันพุธ หลังจากทะยานขึ้นแตะสถิติสูงสุดใหม่ที่ 94,982.37 ดอลลาร์ได้ในระหว่างวัน โดยบิทคอยน์ได้รับแรงหนุนจากความคาดหวังที่ว่า รัฐบาลใหม่ของสหรัฐจะผ่อนคลายกฎระเบียบด้านสกุลเงินคริปโต และได้รับแรงหนุนจากข่าวที่ว่า บริษัทด้านสื่อสังคมของนายทรัมป์กำลังเจรจาเพื่อเข้าซื้อบริษัท Bakkt ที่ทำธุรกิจซื้อขายสกุลเงินคริปโต--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;








สกุลเงินตลาดเกิดใหม่ในเอเชียได้รับแรงหนุนบ้างในวันนี้ หลังจากเคลื่อนตัวผันผวนในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา โดยดอลลาร์สิงคโปร์ และบาทแข็งค่าขึ้น ส่วนริงกิตทรงตัว แม้เศรษฐกิจมาเลเซียชะลอตัวในไตรมาส 3 ก็ตาม
นักวิเคราะห์จากพีบีเอสกล่าวว่า "ความหวังที่เกิดขึ้นในช่วงแรกจากการคาดการณ์การลดดอกเบี้ยของสหรัฐราวกลางปีนี้นั้นจางหายไปส่วนใหญ่แล้ว และเมื่อดูจากภูมิหลังที่ท้าทายดังกล่าว ขอบเขตที่ธนาคารกลางในเอเชียจะลดดอกเบี้ยนั้นจึงถูกจำกัดมากขึ้น ขณะที่ความเชื่อมั่นของนักลงทุนเกี่ยวกับตราสารหนี้/อัตราดอกเบี้ยสกุลเงินท้องถิ่นลดลงมากขึ้นด้วย"
ริงกิต และบาทอ่อนค่า 3% และ 3.8% ตามลำดับนับตั้งแต่วันที่ 5 พ.ย. เนื่องจากเศรษฐกิจของมาเลเซียและไทยที่พึ่งพาการค้า โดยเฉพาะกับจีน ทำให้ประเทศเหล่านี้มีความเปราะบางต่ออุปสรรคที่เกี่ยวกับภาษีนำเข้า
บาทแข็งค่า 0.4% ในวันนี้ หลังจากผลสำรวจของรอยเตอร์คาดว่า เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวในอัตราสูงสุดในรอบกว่า 1 ปีในไตรมาส 3
อัตราแลกเปลี่ยน ณ เวลา 12.00 น.ตามเวลาไทย
COUNTRY | FX RIC | FX DAILY % | FX YTD % |
Japan | JPY= | -0.06 | -9.77 |
China | CNY=CFXS | -0.08 | -1.88 |
India | INR=IN | +0.00 | -1.41 |
Indonesia | IDR= | -0.22 | -3.08 |
Malaysia | MYR= | +0.04 | +2.55 |
Philippines | PHP= | -0.02 | -5.88 |
S.Korea | KRW=KFTC | +0.16 | -8.01 |
Singapore | SGD= | +0.15 | -1.84 |
Taiwan | TWD=TP | -0.02 | -5.58 |
Thailand | THB=TH | +0.16 | -2.20 |
Eikon source text






สกุลเงินตลาดเกิดใหม่ในเอเชียส่วนใหญ่อ่อนค่าลงต่อเนื่องในวันนี้ โดยริงกิตร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 3 เดือน เนื่องจากดอลลาร์แข็งค่าแตะระดับสูงสุดในรอบ 1 ปีจากโมเมนตัมที่เกิดขึ้นจากการชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีของนายโดนัลด์ ทรัมป์
ริงกิต, บาท และรูเปียห์ร่วงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 3 เดือน โดยริงกิตร่วงลงเป็นวันที่ 4 ติดต่อกัน
นักวิเคราะห์จากบาร์เคลย์สกล่าวว่า "อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นนานขึ้น และการแข็งค่าของดอลลาร์ดูเหมือนว่ายากที่จะรับมือ แต่ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการลำดับนโยบายต่างๆของนายทรัมป์บ่งชี้ว่า แนวทางดังกล่าวจะไม่เป็นเส้นตรง"
ความเสี่ยงจากการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนและสินค้าเอเชียที่ส่งออกไปยังสหรัฐกลายเป็นเรื่องใหญ่ที่น่าวิตกอีกเรื่องสำหรับตลาดอัตราแลกเปลี่ยนเหล่านี้ ขณะที่มีเงินทุนไหลออกจากมาเลเซียและไทยมากขึ้น เนื่องจากประเทศเหล่านี้มีความเปราะบางต่อความเสี่ยงภาษีนำเข้า โดยริงกิตและบาทร่วงลงราว 4% แล้วนับตั้งแต่ผลการเลือกตั้งสหรัฐ
นักวิเคราะห์จากดีบีเอสกล่าวว่า "อินโดนีเซียและอินเดียมีขับเคลื่อนจากอุปสงค์ในประเทศมากกว่า นักลงทุนจึงมองว่าสามารถฟื้นตัวรับอันตรายจากภาษีนำเข้าได้มากกว่าประเทศอื่นในเอเชีย"
อัตราแลกเปลี่ยน ณ เวลา 11.36 น.ตามเวลาไทย
COUNTRY | FX RIC | FX DAILY % | FX YTD % |
Japan | JPY= | -0.38 | -9.61 |
China | CNY=CFXS | -0.11 | -1.97 |
India | INR=IN | -0.03 | -1.42 |
Indonesia | IDR= | -0.69 | -3.05 |
Malaysia | MYR= | -0.89 | +2.32 |
Philippines | PHP= | -0.16 | -5.81 |
S.Korea | KRW=KFTC | -0.64 | -8.43 |
Singapore | SGD= | -0.18 | -1.94 |
Taiwan | TWD=TP | -0.39 | -5.65 |
Thailand | THB=TH | -0.41 | -2.41 |
Eikon source text
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
เครื่องมือออกแบบโปสเตอร์
โครงการพันธมิตร
ความเสี่ยงของการสูญเสียในการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น หุ้น FX สินค้าโภคภัณฑ์ ฟิวเจอร์ส พันธบัตร ETFs หรือเงินดิจิทัลอาจมีมาก คุณอาจสูญเสียเงินทุนทั้งหมดที่คุณฝากไว้กับโบรกเกอร์ของคุณ ดังนั้น คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบว่าการซื้อขายดังกล่าวเหมาะสมกับคุณหรือไม่ในสถานการณ์และทรัพยากรทางการเงินของคุณ
ไม่ควรตัดสินใจลงทุนโดยไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบสถานะอย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วยตัวเองหรือปรึกษากับที่ปรึกษาทางการเงินของคุณ เนื้อหาเว็บของเราอาจไม่เหมาะกับคุณเนื่องจากเราไม่ทราบเงื่อนไขทางการเงินและความต้องการในการลงทุนของคุณ ข้อมูลทางการเงินของเราอาจมีความล่าช้าหรือมีความไม่ถูกต้อง ดังนั้นคุณควรรับผิดชอบอย่างเต็มที่ต่อการตัดสินใจซื้อขายและการลงทุนของคุณ บริษัทจะไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียเงินทุนของคุณ
หากไม่ได้รับอนุญาตจากเว็บไซต์ คุณจะไม่สามารถคัดลอกกราฟิก ข้อความ หรือเครื่องหมายการค้าของเว็บไซต์ได้ สิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาในเนื้อหาหรือข้อมูลที่รวมอยู่ในเว็บไซต์นี้เป็นของผู้ให้บริการและผู้ค้าแลกเปลี่ยน
ไม่ได้ล็อกอิน
เข้าสู่ระบบเพื่อเข้าถึงฟังก์ชั่นเพิ่มเติม

สมาชิก FastBull
ยังไม่ได้เปิด
สมัคร
เข้าสู่ระบบ
ลงทะเบียน