ตลาด
ข่าวสาร
การวิเคราะห์
ผู้ใช้
24x7
ปฏิทินเศรษฐกิจ
แหล่งเรียนรู้
ข้อมูล
- ชื่อ
- ค่าล่าสุด
- ครั้งก่อน












สัญญาณ VIP
ทั้งหมด
ทั้งหมด



ฝรั่งเศส อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยการประมูลหนี้ OAT 10-ปีค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน ดัชนียอดค้าปลีก YoY (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
บราซิล GDP YoY (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา จำนวนการปลดพนักงานบริษัทชาเลนเจอร์ เกรย์ และคริสต์มาส YoY (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การเลิกจ้างพนักงานบริษัทชาเลนเจอร์ เกรย์ และคริสต์มาส MoM (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การเลิกจ้างพนักงานบริษัทชาเลนเจอร์ เกรย์ และคริสต์มาส YoY (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ค่าเฉลี่ยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก4 สัปดาห์ (SA)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์ (SA)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานต่อรายสัปดาห์ (SA)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา Ivey PMI (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา Ivey PMI (Not SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา คำสั่งซื้อสินค้าคงทนนอกกระทรวงกลาโหมที่ได้แก้ไข MoM (ไม่รวมเครื่องบิน)(SA) (ก.ย.)ค:--
ค: --
สหรัฐอเมริกา คำสั่งซื้อโรงงาน MoM(ยกเว้นการขนส่ง) (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา คำสั่งซื้อโรงงาน MoM (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา คำสั่งซื้อโรงงาน MoM(ยกเว้นภาคกลาโหม) (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การเปลี่ยนแปลงสต็อกก๊าซธรรมชาติประจำสัปดาห์ของ EIAค:--
ค: --
ค: --
ซาอุดิอาระเบีย การผลิตน้ำมันดิบค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การถือครองธนารักษ์สหรัฐฯของธนาคารกลางต่างประเทศรายสัปดาห์ค:--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น เงินตราที่ใช้เป็นทุนสำรอง (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย อัตราขายคืนค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย ดอกเบี้ยอ้างอิงค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย อัตราขายคืนค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย อัตราเงินสดสำรองค:--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น อินดิเคเตอร์ชั้นนำเบื้องต้น (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหราชอาณาจักร ดัชนีราคาที่อยู่อาศัย Halifax YoY (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหราชอาณาจักร ดัชนีราคาที่อยู่อาศัย Halifax MoM (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส บัญชีเดินสะพัด (Not SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส ดุลการค้า (SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส การผลิตภาคอุตสาหกรรม MoM(SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
อิตาลี ดัชนียอดค้าปลีก MoM (SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงาน YoY (SA) (ไตรมาส 3)--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน GDP Final YoY (ไตรมาส 3)--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน GDP Final QoQ (ไตรมาส 3)--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงาน QoQ (SA) (ไตรมาส 3)--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงานสุดท้าย (SA) (ไตรมาส 3)--
ค: --
บราซิล PPI MoM (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
เม็กซิโก ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา อัตราการว่างงาน (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา อัตราการมีส่วนร่วมในการจ้างงาน (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงาน (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงานนอกเวลา (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงานเต็มเวลา (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา รายได้ส่วนบุคคล MoM (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาธนาคารกลางรัฐดัลลาส สหรัฐอเมริกา PCE YoY (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคา PCE YoY (SA) (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคา PCE MoM (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา รายจ่ายส่วนบุคคล MoM(SA) (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาPCEหลักMoM (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา เงินเฟ้อเบื้องต้น UMich 5-YearYoY (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาPCEหลักYoY (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ค่าใช้จ่ายการบริโภคส่วนบุคคลที่จริง MoM (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การคาดการณ์เงินเฟ้อ 5-10 ปี (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีสถานภาพเบื้องต้น UMich ปัจจุบัน (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้น UMich (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อล่วงหน้า 1 ปี UMich (เบื้องต้น) (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีความคาดหวังผู้บริโภค UMich (เบื้องต้น) (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ปริมาณเครื่องเจาะทั้งหมดรายสัปดาห์--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ปริมาณเครื่องเจาะน้ำมันทั้งหมดรายสัปดาห์--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา สินเชื่ออุปโภคบริโภค (SA) (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ เงินตราที่ใช้เป็นทุนสำรอง (พ.ย.)--
ค: --
ค: --


ไม่มีข้อมูลที่ตรงกัน
ทัศนคติล่าสุด
ทัศนคติล่าสุด
หัวข้อยอดนิยม
คอลัมนิสต์ยอดนิยม
อัปเดตล่าสุด
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
ดูผลการค้นหาทั้งหมด

ไม่มีข้อมูล
ผลสำรวจจากซิติกรุ๊ปพบว่า ครอบครัวที่มีฐานะมั่งคั่งกำลังแสวงหาสินทรัพย์เสี่ยง และลดการถือครองเงินสดลง ขณะที่พวกเขามีมุมมองเชิงบวกมากขึ้นเกี่ยวกับแนวโน้มการลงทุน โดยสำนักงานครอบครัวราว 97% จาก 338 แห่งที่ซิติสำรวจความเห็นนั้น คาดว่าผลตอบแทนการลงทุนจะเป็นบวกในช่วง 12 เดือนข้างหน้า เพิ่มขึ้นจาก 95% ในปีที่แล้ว
นายอันเนส ฮอฟแมน ผู้อำนวยการกลุ่มสำนักงานครอบครัวของซิติกล่าวว่า "นักลงทุนมีมุมมองเชิงบวกมาก และเราเห็นสิ่งนี้แม้แต่ในประเภทความเสี่ยงที่พวกเขากำลังถือก็ตาม" โดยเขาได้ระบุถึงการลงทุนโดยตรงของครอบครัวที่มีฐานะมั่งคั่งในบริษัทต่างๆในรอบการระดมทุนเบื้องต้น ซึ่งมักจะมีความเสี่ยงมากกว่ารอบต่อมา
แนวทางอัตราดอกเบี้ยเป็นเรื่องที่สร้างความวิตกสูงสุดสำหรับผู้ตอบแบบสำรวจมากกว่าครึ่ง โดยแทนที่เงินเฟ้อเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 2021 และมากกว่า 75% ของผลตอบแบบสำรวจทำเงินได้ในปีที่แล้ว เทียบกับ 12% ที่ขาดทุน และ 10% ที่พอร์ทการลงทุนทรงตัว ขณะที่ครอบครัวต่างๆค่อยลดสัดส่วนการถือครองเงินสดลง และเพิ่มสินทรัพย์เสี่ยง
ผลตอบแทนที่สูงขึ้นเพิ่มความน่าสนใจของการลงทุนในตราสารหนี้ ซึ่งกระตุ้นให้ผู้ตอบแบบสำรวจจำนวน 49% เพิ่มสัดส่วนการลงทุน ขณะเดียวกัน ผู้ตอบแบบสำรวจ 43% ได้เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้น และ 42% เพิ่มหุ้นนอกตลาด
นอกจากนี้ มากกว่าครึ่งหนึ่งของผู้ตอบแบบสำรวจมีการลงทุนในปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) ที่สามารถสร้างสรรค์ แต่มีไม่ถึง 15% ที่ใช้เอไอในการดำเนินการของตนเอง--จบ--
Eikon source text
โกลด์แมน แซคส์ และซิติกรุ๊ปได้ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจทั้งปีของจีนลงสู่ระดับ 4.7% ในปีนี้ หลังจากที่ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของจีนชะลอตัวสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 5 เดือนในเดือนส.ค.
ก่อนหน้านี้ โกลด์แมน แซคส์คาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัว 4.9% ขณะที่ซิติกรุ๊ปคาดการณ์ไว้ที่ 4.8%
โกลด์แมน แซคส์ระบุว่า "เราเชื่อว่ามีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นที่จีนจะพลาดเป้าหมายจีดีพีราว 5% ในปีนี้ และความเร่งด่วนที่ต้องออกมาตรการผ่อนคลายด้านอุปสงค์มากขึ้นนั้นก็กำลังมีมากขึ้นเช่นกัน" แต่โกลด์แมน แซคส์คงคาดการณ์จีดีพีในปีหน้าที่ 4.3%
แต่ซิติกรุ๊ปปรับลดคาดการณ์จีดีพีในปีหน้าลงสู่ระดับ 4.2% จาก 4.5% ที่คาดไว้ก่อนหน้า เนื่องจากการขาดปัจจัยกระตุ้นสำคัญสำหรับอุปสงค์ในประเทศ "เราเชื่อว่า นโยบายการคลังจำเป็นต้องเพิ่มขึ้นเพื่อทำลายกับดักการรัดเข็มขัด และใช้มาตรการหนุนเศรษฐกิจในเวลาที่เหมาะสม"--จบ--
Eikon source text
ผู้บริหารจากธนาคารสหรัฐยังคงมีความเห็นแตกต่างกันเกี่ยวกับแนวทางการลดอัตราดอกเบี้ยในอนาคตของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และระบุถึงการถดถอยลงของภาคการอุปโภคบริโภคในการแถลงผลประกอบการที่ออกมาไร้ทิศทาง ขณะที่ธนาคารต่างๆจะต้องจ่ายมากขึ้นเพื่อรักษาลูกค้าที่ต้องการผลตอบแทนที่สูงกว่าไว้ พร้อมๆกับรับมือกับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นนานขึ้นด้วย ขณะที่ผู้ขอกู้ลังเลที่จะขอสินเชื่อใหม่
นายเจมี ไดมอน ซีอีโอเจพีมอร์แกนกล่าวว่า "ขณะที่มูลค่าตลาดและเครดิต สเปรดดูเหมือนจะสะท้อนแนวโน้มเศรษฐกิจที่ค่อนข้างดี แต่เราก็ยังคงเฝ้าระวังความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น" และความเสี่ยงดังกล่าวได้แก่สถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ที่เปลี่ยนไป ซึ่งยังคงอันตรายที่สุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง และเขาระบุว่า อัตราเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ยอาจจะสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ เนื่องจากภัยคุกคามต่างๆ อาทิ ยอดขาดดุลทางการคลังจำนวนมาก และการปรับโครงสร้างการค้า "เรายังไม่รู้ผลกระทบทั้งหมดจากการคุมเข้มเชิงปริมาณในขนาดนี้"
นายชาร์ลี ชาร์ฟ ซีอีโอจากเวลส์ ฟาร์โกกล่าวว่า "โดยรวมแล้ว เศรษฐกิจสหรัฐยังแข็งแกร่ง โดยถูกขับเคลื่อนจากตลาดแรงงาน และเศรษฐกิจที่ขยายตัวแข็งแกร่ง แต่เศรษฐกิจกำลังชะลอตัว และมีอุปสรรคจากเงินเฟ้อที่ยังคงเพิ่มขึ้น และอัตราดอกเบี้ยที่สูงเป็นผู้จัดการสถานการณ์ทางการเงินที่ซับซ้อนขนาดใหญ่นี้"
เจน เฟรเซอร์ ซีอีโอจากซิติแบงก์กล่าวว่า "เมื่อดูสภาวะแวดล้อมระดับมหภาคขณะที่เรากำลังเข้าสู่ช่วงครึ่งปีหลัง สหรัฐก็ยังคงเป็นเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งทางโครงสร้างมากที่สุดในโลก หลังจากที่มีความคืบหน้า ดูเหมือนเงินเฟ้อก็กลับไปมีทิศทางที่ลดลง ส่วนการใช้จ่ายในภาคบริการยังคงอยู่ในทิศทางขาขึ้น แม้มีสัญญาณชัดเจนแสดงว่าตลาดแรงงานชะลอตัวลง และมีการคุมเข้มงบประมาณของผู้บริโภคก็ตาม"
นายโรบิน วินซ์ ซีอีโอจากบีเอ็นวายกล่าวว่า "เศรษฐกิจสหรัฐปรับตัวได้ค่อนข้างดี และอาจจะดีมากเกิดคาดอยู่เล็กน้อยเมื่อเทียบกับที่บางคนคาดไว้ แต่ความท้าทายสำหรับเฟดก็คือการพยายามหาเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยเพื่อให้สามารถรองรับภาวะอ่อนแอที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต"--จบ--
Eikon source text
ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยรายงานการตรวจสอบภาวะวิกฤติประจำปีพบว่า ธนาคารสหรัฐที่ใหญ่ที่สุดมีเงินทุนเพียงพอที่จะต้านทานภาวะปั่นป่วนทางเศรษฐกิจและตลาดที่ร้ายแรง แต่ธนาคารได้รับผลขาดทุนตามสมมติฐานมากขึ้นในปีนี้เนื่องจากพอร์ทการลงทุนที่มีความเสี่ยงมากขึ้น
รายงานพบว่า ธนาคารขนาดใหญ่ 31 แห่งจะต้านทานอัตราว่างงานที่พุ่งสูง, ภาวะผันผวนรุนแรงของตลาด และการดิ่งลงของตลาดสินเชื่อจำนองเพื่อที่อยู่อาศัย และเพื่อการพาณิชย์ และยังคงมีเงินทุนเพียงพอที่จะปล่อยสินเชื่อต่อไปได้ นอกจากนี้ เฟดยังพบว่า ระดับของเงินทุนที่มีคุณภาพสูงของธนาคารเหล่านี้จะลดลงสู่ระดับ 9.9% มาที่ระดับต่ำสุด ซึ่งยังคงสูงเกินเกณฑ์ขั้นต่ำอยู่กว่าสองเท่า
แต่ธนาคารได้รับผลขาดทุนมากขึ้นในปีนี้ และเฟดระบุว่า ผลขาดทุนที่สูงขึ้นดังกล่าวมีสาเหตุมาจากการเปลี่ยนแปลงพอร์ทการลงทุนของธนาคารต่างๆ โดยธนาคารที่ถูกทดสอบจะมีผลขาดทุนรวมกัน 6.85 แสนล้านดอลลาร์ภายใต้ฉากทัศน์ร้ายแรงตามสมมติฐาน และโดยเฉลี่ย ธนาคารมีสัดส่วนเงินทุนลดลง 2.8% ซึ่งเป็นการลดลงมากที่สุดตั้งแต่ปี 2018
เฟดระบุว่า บัตรเครดิตเป็นสาเหตุที่เฉพาะเจาะจงของผลขาดทุนสำหรับธนาคาร โดยมีสัดส่วนมากกว่า 25% ของผลขาดทุนตามสมมติฐาน และเฟดตั้งข้อสังเกตว่า บัญชีบัตรเครดิตของธนาคารขนาดใหญ่พุ่งขึ้นกว่า 1.00 แสนล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว และอัตราการค้างชำระหนี้พุ่งกว่า 40%--จบ--
Eikon source text
22 เม.ย.--รอยเตอร์
ธนาคารโกลด์แมน แซคส์ปรับขึ้นตัวเลขคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ในช่วงเย็นวันพฤหัสบดีที่แล้ว โดยคาดว่าราคาน้ำมันดิบเบรนท์จะอยู่ที่ 86 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในช่วงครึ่งหลังของปี 2024 โดยปรับขึ้นจากตัวเลขคาดการณ์เดิมที่ 85 ดอลลาร์ และคาดว่าราคาน้ำมันดิบเบรนท์จะอยู่ที่ 82 ดอลลาร์ในปี 2025 โดยปรับขึ้นจากตัวเลขคาดการณ์เดิมที่ 80 ดอลลาร์ นอกจากนี้ โกลด์แมนยังระบุอีกด้วยว่า "เรายังคงมองว่าการถือครองสถานะซื้อน้ำมันเป็นสิ่งที่มีค่า เพราะว่าการทำประกันความเสี่ยงให้กับพอร์ตลงทุนเพื่อรับมือกับความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศเป็นสิ่งที่มีประโยชน์มาก และกำไรจากการเปลี่ยนไปถือสัญญาใหม่ (roll yield) ก็อยู่ในระดับที่น่าดึงดูดที่ 10% เมื่อเทียบเป็นตัวเลขเต็มปี (annualized)"
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนมิ.ย.ที่ตลาดกรุงลอนดอนปรับขึ้น 18 เซนต์ หรือ 0.21% มาปิดตลาดที่ 87.29 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในวันศุกร์ที่ 19 เม.ย. ก่อนจะดิ่งลงราว 1.5% สู่ 85.95 ดอลลาร์ในวันนี้ โดยทั้งราคาน้ำมันดิบสหรัฐและเบรนท์ต่างก็พุ่งขึ้นกว่า 3 ดอลลาร์ในช่วงแรกของวันศุกร์ โดยได้รับแรงหนุนจากข่าวเกี่ยวกับการโจมตีอิหร่าน ก่อนจะลดช่วงบวกลงในเวลาต่อมา
ธนาคารคอมเมอร์ซแบงก์คาดการณ์ในวันศุกร์ที่ 19 เม.ย.ว่า ราคาน้ำมันดิบเบรนท์จะอยู่ที่ 90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในช่วงปลายไตรมาสสอง และจะอยู่ที่ 90-95 ดอลลาร์ในช่วงครึ่งหลังของปี 2024 โดยปรับขึ้น 5 ดอลลาร์จากตัวเลขคาดการณ์เดิม โดยตัวเลขคาดการณ์ใหม่นี้ได้รับแรงหนุนจากความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศ, จากแนวโน้มที่อุปสงค์น้ำมันจะปรับขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ และจากการที่กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันและชาติพันธมิตร (โอเปกพลัส) จะจำกัดปริมาณการผลิตน้ำมันจนถึงช่วงกลางปีนี้ ทั้งนี้ คอมเมอร์ซแบงก์ระบุว่า "สำหรับช่วงครึ่งหลังของปีนี้นั้น มีความเป็นไปได้ที่กลุ่มโอเปกพลัสอาจจะค่อย ๆ ปรับลดการใช้มาตรการปรับลดปริมาณการผลิตน้ำมันโดยสมัครใจ"
กลุ่มโอเปกพลัสได้ตกลงกันในเดือนมี.ค.ว่า ทางกลุ่มจะใช้มาตรการปรับลดปริมาณการผลิตน้ำมันโดยสมัครใจในอัตรา 2.2 ล้านบาร์เรลต่อวันต่อไปจนถึงสิ้นเดือนมิ.ย.ปีนี้ เพื่อจะได้ช่วยหนุนราคาน้ำมัน และทางกลุ่มจะจัดการประชุมในเดือนมิ.ย.เพื่อจะได้ตัดสินใจว่า ทางกลุ่มจะยังคงใช้มาตรการดังกล่าวต่อไปหรือไม่ หรือว่าจะปรับเพิ่มอุปทานน้ำมันในตลาด
ซิตี้กรุ๊ประบุในวันพฤหัสบดีที่ 18 เม.ย.ว่า การต่อสู้กันระหว่างแรงหนุนที่ราคาน้ำมันได้รับจากความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศ กับแรงกดดันที่ราคาน้ำมันได้รับจากปัจจัยพื้นฐานที่ผ่อนคลายลง มีแนวโน้มที่จะส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ยังคงเคลื่อนตัวระหว่างระดับ 85-95 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลต่อไป นอกจากว่าจะเกิดเหตุไม่คาดฝันครั้งใหญ่ในความขัดแย้งทางการเมือง--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
กรุงเทพฯ--10 เม.ย.--รอยเตอร์
ดัชนีดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินทรงตัวในวันอังคาร ในขณะที่นักลงทุนใช้ความระมัดระวังในการลงทุน ก่อนที่รัฐบาลสหรัฐจะรายงานตัวเลขอัตราเงินเฟ้อออกมาในวันพุธ โดยนักลงทุนคาดการณ์กันว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ทั่วไปของสหรัฐอาจปรับขึ้น 0.3% ในเดือนมี.ค.เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากปรับขึ้น 0.4% ในเดือนก.พ. แต่ดัชนี CPI ทั่วไปแบบเทียบรายปีอาจปรับขึ้น 3.4% ในเดือนมี.ค. โดยเร่งตัวขึ้นจาก 3.2% ในเดือนก.พ. ทางด้านดัชนี CPI พื้นฐานอาจปรับขึ้น 0.3% ในเดือนมี.ค.เมื่อเทียบรายเดือน ทั้งนี้ นักลงทุนในตลาดสัญญาล่วงหน้าคาดการณ์ในวันอังคารว่า มีโอกาส 58% ที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในการประชุมวันที่ 11-12 มิ.ย. โดยปรับเพิ่มขึ้นจากโอกาส 52% ที่เคยคาดไว้ในช่วงเย็นวันจันทร์ และนักลงทุนคาดการณ์กันว่า เฟดอาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงรวมกันราว 0.74% ในปี 2024 หรือเท่ากับว่าเฟดอาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 3 ครั้ง ครั้งละ 0.25% ในปีนี้ Eikon source text
ดัชนีดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินอยู่ที่ 104.09 ในช่วงท้ายตลาดวันอังคาร ซึ่งใกล้เคียงกับระดับ 104.11 ในช่วงท้ายตลาดวันจันทร์
ดอลลาร์/เยนอยู่ที่ 151.77 เยนในช่วงท้ายตลาดวันอังคาร ซึ่งใกล้เคียงกับระดับปิดตลาดวันจันทร์ที่ 151.79 เยน และเทียบกับจุดสูงสุดรอบ 34 ปีที่ 151.97 เยนที่เคยทำไว้ในวันที่ 27 มี.ค.
ยูโร/ดอลลาร์อยู่ที่ 1.0855 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันอังคาร ซึ่งใกล้เคียงกับระดับ 1.0858 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันจันทร์
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ของตลาดหุ้นสหรัฐขยับลง แต่ดัชนี Nasdaq และ S&P 500 ปิดบวกขึ้นเล็กน้อยในวันอังคาร โดยดัชนี Nasdaq ได้รับแรงหนุนจากหุ้นกลุ่มชิปของสหรัฐ ในขณะที่ดัชนีหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐปิดบวกขึ้น 0.94% อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นสหรัฐได้รับแรงกดดันจากความอ่อนแอของหุ้นกลุ่มการเงิน ก่อนที่ฤดูการรายงานผลประกอบการไตรมาสแรกของบริษัทสหรัฐจะเริ่มต้นอย่างเป็นทางการในวันศุกร์ที่ 12 เม.ย. เมื่อธนาคารเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค, ซิตี้กรุ๊ป และเวลส์ ฟาร์โก แอนด์ โคเปิดเผยผลประกอบการออกมา โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์ในช่วงนี้ว่า ผลกำไรของบริษัทในดัชนี S&P 500 อาจปรับขึ้น 5.0% ในไตรมาสแรกเมื่อเทียบรายปี โดยปรับลดลงจากระดับ +7.2% ที่เคยคาดการณ์กันไว้ในช่วงต้นไตรมาสแรก นอกจากนี้ นักลงทุนก็รอดูตัวเลขอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐที่จะได้รับการรายงานออกมาในวันพุธด้วย ทั้งนี้ ในบรรดาหุ้น 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐนั้น หุ้น 9 กลุ่มปิดตลาดวันอังคารในแดนบวก โดยหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ถือเป็นกลุ่มที่พุ่งขึ้นมากที่สุด ส่วนหุ้นกลุ่มการเงินถือเป็นกลุ่มที่ดิ่งลงมากที่สุด ทางด้านหุ้นกลุ่มสกุลเงินคริปโตรูดลงในวันอังคารด้วยเช่นกัน โดยได้รับแรงกดดันจากการดิ่งลงของบิทคอยน์ โดยหุ้นบริษัทคอยน์เบส โกลบัลที่เป็นผู้ประกอบการตลาดดิ่งลง 5.5% และหุ้นบริษัทไมโครสเตรเทจีรูดลง 4.8% Eikon source text
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดขยับลง 0.02% สู่ 38,883.67
ดัชนี S&P 500 ปิดบวกขึ้น 0.14% สู่ 5,209.91
ดัชนี Nasdaq ปิดปรับขึ้น 0.32% สู่ 16,306.64
ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX ร่วงลงในวันอังคาร ในขณะที่การเจรจาเรื่องการหยุดยิงในเขตกาซายังคงดำเนินต่อไป แต่ราคาน้ำมันร่วงลงไม่มากนัก ในขณะที่ผู้ไกล่เกลี่ยของอียิปต์และกาตาร์เผชิญกับอุปสรรคในการหาทางยุติสงคราม และกลุ่มฮามาสระบุว่า ข้อเสนอของอิสราเอลไม่สอดคล้องกับข้อเรียกร้องของกลุ่มฮามาส อย่างไรก็ดี กลุ่มฮามาสจะศึกษาข้อเสนอต่อไป และจะยื่นส่งคำตอบให้กับผู้ไกล่เกลี่ย ทางด้านผู้บัญชาการกองทัพเรือของกองกำลังพิทักษ์ปฏิวัติของอิหร่านระบุว่า อิหร่านอาจจะปิดช่องแคบฮอร์มุซถ้าหากมีความจำเป็น ในขณะที่ปริมาณการขนส่งน้ำมันผ่านช่องแคบฮอร์มุซในแต่ละวันครองสัดส่วนราว 20% ของปริมาณการใช้น้ำมันทั่วโลก นอกจากนี้ ตุรกีก็ประกาศว่า ตุรกีจะจำกัดการส่งออกสินค้าหลายอย่างให้แก่อิสราเอล ซึ่งรวมถึงน้ำมันอากาศยาน จนกว่าจะมีการหยุดยิง ส่วนอิสราเอลประกาศว่าจะตอบโต้ตุรกีด้วยมาตรการของตนเอง ทั้งนี้ หลังจากตลาด NYMEX ปิดทำการในวันอังคาร การปิโตรเลียมสหรัฐ (API) ซึ่งเป็นหน่วยงานของเอกชน ได้เปิดเผยตัวเลขสต็อกน้ำมันสหรัฐประจำสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 5 เม.ย. โดยระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบในคลังสหรัฐพุ่งขึ้น 3.034 ล้านบาร์เรล, สต็อกน้ำมันเบนซินในคลังสหรัฐปรับลง 609,000 บาร์เรล และสต็อกน้ำมัน distillate ในคลังสหรัฐปรับขึ้น 120,000 บาร์เรล Eikon source text
ราคาน้ำมันดิบสหรัฐส่งมอบเดือนพ.ค.ดิ่งลง 1.20 ดอลลาร์ หรือ 1.4% มาปิดตลาดที่ 85.23 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนมิ.ย.ที่ตลาดกรุงลอนดอนรูดลง 96 เซนต์ หรือ 1.1% มาปิดตลาดที่ 89.42 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาทองสปอตที่ตลาดสหรัฐปรับขึ้น 13.69 ดอลลาร์ สู่ 2,352.58 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงท้ายตลาดวันอังคาร หลังจากพุ่งขึ้นแตะสถิติสูงสุดใหม่ในระหว่างวันที่ 2,365.09 ดอลลาร์ โดยราคาทองได้รับแรงหนุนจากคำสั่งซื้อที่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง และจากความเสี่ยงจากความข้ดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศ ในขณะที่นักลงทุนรอดูรายงานการประชุมกำหนดนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประจำวันที่ 19-20 มี.ค. และรอดูตัวเลขอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐที่จะได้รับการรายงานออกมาในวันพุธ ทั้งนี้ นายฟิลลิป สเตรเบิล หัวหน้านักยุทธศาสตร์การลงทุนตลาดของบริษัทบลู ไลน์ ฟิวเจอร์สกล่าวว่า "จะยังคงมีคำสั่งซื้อตามปัจจัยทางเทคนิคเข้ามาในตลาดทองต่อไป นอกจากว่าสหรัฐจะรายงานตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ที่สูงเกินคาดเป็นอย่างมาก แต่ถ้าหากสหรัฐรายงานว่า อัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลง ปัจจัยดังกล่าวก็อาจจะช่วยหนุนราคาทองให้พุ่งขึ้นสู่ 2,400 ดอลลาร์" Eikon source text
--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com ; โทร 08-7689-6043;
สิงคโปร์--14 มี.ค.--รอยเตอร์
นายโชว หม่าน หยิว หัวหน้าแผนกธนบดีธนกิจของธนาคารยูไนเต็ด โอเวอร์ซีส์ แบงก์ (ยูโอบี) ของสิงคโปร์ระบุว่า ยูโอบีกำลังวางแผนที่จะปรับเพิ่มสินทรัพย์ความมั่งคั่งส่วนบุคคลภายใต้การบริหารของยูโอบีขึ้นเป็น 2 เท่าในช่วง 2 ปีข้างหน้า ในขณะที่ยูโอบีคาดว่าจะมีเงินลงทุนจำนวนมากยิ่งขึ้นหลั่งไหลเข้าสู่ธุรกิจบริหารความมั่งคั่งในสิงคโปร์และภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ยูโอบีถือเป็นธนาคารที่มีสินทรัพย์มากเป็นอันดับ 3 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมูลค่าสินทรัพย์ทั้งหมดภายใต้การบริหาร (AUM) ของยูโอบีพุ่งขึ้นสู่สถิติสูงสุดที่ 1.76 แสนล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (1.3204 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในช่วงสิ้นเดือนธ.ค. 2023 ในขณะที่สินทรัพย์จากลูกค้าแผนกความมั่งคั่งส่วนบุคคลครองสัดส่วนสูงกว่าครึ่งหนึ่งของ AUM โดยลูกค้าแผนกนี้คือเศรษฐีที่ครอบครองสินทรัพย์มูลค่าอย่างน้อย 2 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์
นายโชวกล่าวต่อรอยเตอร์ว่า "เราเชื่อว่าธุรกิจบริหารความมั่งคั่งจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งและต่อเนื่อง ในขณะที่มีโอกาสที่จะมีเงินทุนหลั่งไหลเข้าสู่ธุรกิจนี้มากยิ่งขึ้นในภูมิภาคอาเซียน และธุรกิจนี้เติบโตอย่างแข็งแกร่งตามปกติภายในสิงคโปร์" ทั้งนี้ ผู้บริหารความมั่งคั่งในสิงคโปร์พบว่า มีเงินลงทุนหลั่งไหลเข้ามามากยิ่งขึ้นจากจีน, ฮ่องกง และประเทศอื่น ๆ ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา โดยเป็นผลจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจในประเทศอื่น ๆ และเป็นผลจากความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศ ซึ่งส่งผลให้มีการจัดตั้งสำนักงานธุรกิจครอบครัวและทรัสต์ในสิงคโปร์
ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ถือเป็นภูมิภาคสำคัญที่กระตุ้นการเติบโตในธุรกิจบริหารความมั่งคั่งด้วยเช่นกัน โดยรายงานของบริษัทไนท์ แฟรงค์ระบุว่า จำนวนประชากรที่เป็นนักลงทุนรายใหญ่พิเศษในมาเลเซีย, เวียดนาม และอินโดนีเซียมีแนวโน้มพุ่งขึ้น 34.6%, 34.1% และ 30% ตามลำดับภายในปี 2028 เมื่อเทียบกับปี 2023 ในขณะที่จำนวนนักลงทุนรายใหญ่พิเศษทั่วโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเพียง 28.1% ภายในช่วงเวลาเดียวกัน ทั้งนี้ ไนท์ แฟรงค์ระบุว่า สิงคโปร์ประสบความสำเร็จในการดึงดูดลูกค้าความมั่งคั่งจากประเทศเพื่อนบ้านในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ในช่วงนี้ โดยได้รับแรงหนุนจากนโยบายด้านการลดหย่อนภาษี ซึ่งช่วยจูงใจให้เศรษฐีในภูมิภาคนี้หันมาจัดตั้งสำนักงานธุรกิจครอบครัวในสิงคโปร์
นายโชวกล่าวว่า สินทรัพย์ความมั่งคั่งส่วนบุคคลของยูโอบีพุ่งขึ้น 14% ในปีที่แล้ว และเขากล่าวเสริมว่า กว่าครึ่งหนึ่งของสินทรัพย์ทั้งหมดของยูโอบีมาจากสิงคโปร์ ส่วนสินทรัพย์ที่เหลือนั้นส่วนใหญ่แล้วมาจากมาเลเซีย, ประเทศไทย, อินโดนีเซีย, เวียดนาม และภูมิภาคเอเชียเหนือ โดยภูมิภาคเอเชียเหนือนี้ครอบคลุมฮ่องกง, ไต้หวัน, จีน และญี่ปุ่น ทั้งนี้ ยูโอบีเพิ่งเข้าซื้อธุรกิจลูกค้ารายย่อยในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาจากซิตี้กรุ๊ปในช่วงต้นปี 2022 ในวงเงิน 5 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
เครื่องมือออกแบบโปสเตอร์
โครงการพันธมิตร
ความเสี่ยงของการสูญเสียในการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น หุ้น FX สินค้าโภคภัณฑ์ ฟิวเจอร์ส พันธบัตร ETFs หรือเงินดิจิทัลอาจมีมาก คุณอาจสูญเสียเงินทุนทั้งหมดที่คุณฝากไว้กับโบรกเกอร์ของคุณ ดังนั้น คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบว่าการซื้อขายดังกล่าวเหมาะสมกับคุณหรือไม่ในสถานการณ์และทรัพยากรทางการเงินของคุณ
ไม่ควรตัดสินใจลงทุนโดยไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบสถานะอย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วยตัวเองหรือปรึกษากับที่ปรึกษาทางการเงินของคุณ เนื้อหาเว็บของเราอาจไม่เหมาะกับคุณเนื่องจากเราไม่ทราบเงื่อนไขทางการเงินและความต้องการในการลงทุนของคุณ ข้อมูลทางการเงินของเราอาจมีความล่าช้าหรือมีความไม่ถูกต้อง ดังนั้นคุณควรรับผิดชอบอย่างเต็มที่ต่อการตัดสินใจซื้อขายและการลงทุนของคุณ บริษัทจะไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียเงินทุนของคุณ
หากไม่ได้รับอนุญาตจากเว็บไซต์ คุณจะไม่สามารถคัดลอกกราฟิก ข้อความ หรือเครื่องหมายการค้าของเว็บไซต์ได้ สิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาในเนื้อหาหรือข้อมูลที่รวมอยู่ในเว็บไซต์นี้เป็นของผู้ให้บริการและผู้ค้าแลกเปลี่ยน
ไม่ได้ล็อกอิน
เข้าสู่ระบบเพื่อเข้าถึงฟังก์ชั่นเพิ่มเติม

สมาชิก FastBull
ยังไม่ได้เปิด
สมัคร
เข้าสู่ระบบ
ลงทะเบียน