ตลาด
ข่าวสาร
การวิเคราะห์
ผู้ใช้
24x7
ปฏิทินเศรษฐกิจ
แหล่งเรียนรู้
ข้อมูล
- ชื่อ
- ค่าล่าสุด
- ครั้งก่อน












สัญญาณ VIP
ทั้งหมด
ทั้งหมด



สหรัฐอเมริกา ค่าเฉลี่ยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก4 สัปดาห์ (SA)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานต่อรายสัปดาห์ (SA)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา Ivey PMI (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา Ivey PMI (Not SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา คำสั่งซื้อสินค้าคงทนนอกกระทรวงกลาโหมที่ได้แก้ไข MoM (ไม่รวมเครื่องบิน)(SA) (ก.ย.)ค:--
ค: --
สหรัฐอเมริกา คำสั่งซื้อโรงงาน MoM(ยกเว้นการขนส่ง) (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา คำสั่งซื้อโรงงาน MoM (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา คำสั่งซื้อโรงงาน MoM(ยกเว้นภาคกลาโหม) (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การเปลี่ยนแปลงสต็อกก๊าซธรรมชาติประจำสัปดาห์ของ EIAค:--
ค: --
ค: --
ซาอุดิอาระเบีย การผลิตน้ำมันดิบค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การถือครองธนารักษ์สหรัฐฯของธนาคารกลางต่างประเทศรายสัปดาห์ค:--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น เงินตราที่ใช้เป็นทุนสำรอง (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย อัตราขายคืนค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย ดอกเบี้ยอ้างอิงค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย อัตราขายคืนค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย อัตราเงินสดสำรองค:--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น อินดิเคเตอร์ชั้นนำเบื้องต้น (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหราชอาณาจักร ดัชนีราคาที่อยู่อาศัย Halifax YoY (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหราชอาณาจักร ดัชนีราคาที่อยู่อาศัย Halifax MoM (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส บัญชีเดินสะพัด (Not SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส ดุลการค้า (SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส การผลิตภาคอุตสาหกรรม MoM(SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
อิตาลี ดัชนียอดค้าปลีก MoM (SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงาน YoY (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน GDP Final YoY (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน GDP Final QoQ (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงาน QoQ (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงานสุดท้าย (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
บราซิล PPI MoM (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
เม็กซิโก ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา อัตราการว่างงาน (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา อัตราการมีส่วนร่วมในการจ้างงาน (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงาน (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงานนอกเวลา (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงานเต็มเวลา (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา รายได้ส่วนบุคคล MoM (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาธนาคารกลางรัฐดัลลาส สหรัฐอเมริกา PCE YoY (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคา PCE YoY (SA) (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคา PCE MoM (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา รายจ่ายส่วนบุคคล MoM(SA) (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาPCEหลักMoM (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา เงินเฟ้อเบื้องต้น UMich 5-YearYoY (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาPCEหลักYoY (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ค่าใช้จ่ายการบริโภคส่วนบุคคลที่จริง MoM (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การคาดการณ์เงินเฟ้อ 5-10 ปี (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีสถานภาพเบื้องต้น UMich ปัจจุบัน (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้น UMich (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อล่วงหน้า 1 ปี UMich (เบื้องต้น) (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีความคาดหวังผู้บริโภค UMich (เบื้องต้น) (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ปริมาณเครื่องเจาะทั้งหมดรายสัปดาห์--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ปริมาณเครื่องเจาะน้ำมันทั้งหมดรายสัปดาห์--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา สินเชื่ออุปโภคบริโภค (SA) (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ เงินตราที่ใช้เป็นทุนสำรอง (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ปริมาณการส่งออก YoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การนำเข้า YoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การนำเข้าYoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การนำเข้า (CNH) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ดุลการค้า (CNH) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การส่งออก (พ.ย.)--
ค: --
ค: --


ไม่มีข้อมูลที่ตรงกัน
ทัศนคติล่าสุด
ทัศนคติล่าสุด
หัวข้อยอดนิยม
คอลัมนิสต์ยอดนิยม
อัปเดตล่าสุด
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
ดูผลการค้นหาทั้งหมด

ไม่มีข้อมูล
สถาบันการลงทุนแบล็คร็อคเปิดเผยว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะไม่ลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างมากเท่ากับที่ตลาดตราสารหนี้คาดไว้ เนื่องจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวไว และเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่
เทรดเดอร์สัญญาล่วงหน้าคาดว่าจะมีการลดดอกเบี้ยลงรวมราว 1.20% ในปีนี้ และลดดอกเบี้ยรวม 2.50% ภายในปลายปีหน้า ซึ่งนั่นจะทำให้อัตราดอกเบี้ยลดลงสู่ระดับ 2.8-2.9% ภายในปลายปีหน้า จากกรอบปัจจุบันที่ 5.25-5.5%
แบล็คร็อคระบุว่า การลดดอกเบี้ยในสัดส่วนดังกล่าวสะท้อนถึงความวิตกเกี่ยวกับภาวะถดถอยที่มากเกินไป รวมทั้งการคาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อจะลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจจะชะลอตัวเพียงชั่วคราวแทน "ขณะที่เฟดพร้อมที่จะเริ่มลดดอกเบี้ย ตลาดก็กำลังปรับตัวรับการลดดอกเบี้ยลงอย่างมากเหมือนกับในช่วงที่เกิดภาวะถดถอยที่ผ่านๆมา เราจึงคิดว่า การคาดการณ์ดังกล่าวเป็นการคาดการณ์มากเกินไป"
แม้อัตราว่างงานเพิ่มขึ้น การจ้างงานก็ยังคงขยายตัว และภาวะจำกัดด้านอุปทานจะยังคงสร้างแรงกดดันในช่วงขาขึ้นต่อราคาต่อไป "แรงงานสูงอายุ, ยอดขาดดุลงบประมาณต่อเนื่อง และผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้าง เช่นการแยกส่วนทางภูมิรัฐศาสตร์น่าจะทำให้เงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยนโยบายสูงขึ้นในระยะกลางต่ไป"
สถาบันลดน้ำหนักการลงทุนพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้นของสหรัฐ เนื่องจากผลตอบแทนปัจจุบันสะท้อนการคาดการณ์ว่าจะมีการลดดอกเบี้ยลงมาก แต่ยังคงเพิ่มน้ำหนักการลงทุนหุ้นสหรัฐแทนจากความหวังเกี่ยวกับผลกระทบของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์--จบ--
Eikon source text
3 ก.ย.--รอยเตอร์
หลังจากหน่วยงานควบคุมกฎระเบียบของสหรัฐอนุมัติให้มีการจัดตั้งกองทุนสปอตบิทคอยน์ ETF จำนวน 10 แห่งในช่วงต้นปีนี้ กองทุนเหล่านี้ก็มีขนาดรวมกันสูงกว่า 5.2 หมื่นล้านดอลลาร์แล้วในช่วงปลายเดือนส.ค. หรือในเวลาราว 8 เดือนนับตั้งแต่เริ่มต้นก่อตั้ง ซึ่งถือเป็นการขยายตัวอย่างรวดเร็วเกินคาดเป็นอย่างมาก เพราะว่านายแมทธิว ฮูแกน ซีอีโอของบริษัทบิทไวส์เคยกล่าวในเดือนต.ค. 2023 ว่า เขาคาดว่ากองทุนสปอตบิทคอยน์ ETF จะดึงดูดเงินลงทุนได้ 5.5 หมื่นล้านดอลลาร์ในช่วง 5 ปีแรก ทั้งนี้ ฮูแกนกล่าวว่า "ผมไม่ได้คาดการณ์ในทางบวกมากพอในตอนนั้น" และเขากล่าวเสริมว่า "เราจะต้องวัดขนาดธุรกิจนี้โดยใช้หน่วยเป็นแสนล้านดอลลาร์"
ถึงแม้กองทุนสปอตบิทคอยน์ ETF เติบโตอย่างรวดเร็วมากในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา การที่ธุรกิจนี้จะได้รับการยอมรับในวงกว้างในฐานะสินทรัพย์กระแสหลักก็อาจจะดำเนินไปอย่างเชื่องช้าและไม่ราบรื่นในช่วงต่อจากนี้ โดยอีกเหตุการณ์หนึ่งที่ถือเป็นหมุดหมายสำคัญสำหรับธุรกิจนี้เพิ่งเกิดขึ้นในเดือนส.ค. เมื่อธนาคารมอร์แกน สแตนเลย์ตัดสินใจอนุญาตให้ที่ปรึกษาทางการเงินของมอร์แกน สแตนเลย์ ซึ่งมีจำนวนรวมกันราว 15,000 คน สามารถให้คำแนะนำแก่ลูกค้าเรื่องการลงทุนในกองทุนบิทคอยน์ ETF อย่างน้อย 2 กองทุน ซึ่งได้แก่กองทุนไอแชร์ส บิทคอยน์ ทรัสต์ และกองทุนฟิเดลิตี ไวส์ ออริจิน บิทคอยน์ ฟันด์ ทั้งนี้ นายจอห์น ฮอฟฟ์แมน จากกองทุนเกรย์สเกล ฟันด์ระบุว่า "สิ่งที่ไม่อาจจะยอมรับได้ในตอนนี้ ก็คือการไม่ประเมินมูลค่าและไม่ทำความเข้าใจในผลิตภัณฑ์เหล่านี้" และเขากล่าวเสริมว่า "ความเสี่ยงสำหรับธุรกิจบริหารความมั่งคั่งในตอนนี้ได้พลิกไปเป็นความเสี่ยงที่เกิดจากการไม่เข้าไปลงทุน"
กระแสเงินลงทุนที่ไหลเข้าสู่กองทุน ETF แห่งใหม่เหล่านี้ส่วนใหญ่มาจากนักลงทุนรายย่อย โดยมีนักลงทุนสถาบันขนาดใหญ่เพียงไม่กี่แห่งเท่านั้นที่เปิดเผยสถานะการลงทุนในกองทุนเหล่านี้ โดยนักลงทุนสถาบันเหล่านี้รวมถึงกองทุนเฮดจ์ฟันด์ และคณะกรรมการการลงทุนของรัฐวิสคอนซิน ทั้งนี้ การที่มอร์แกน สแตนเลย์ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากในประเด็นนี้ บ่งชี้ว่ากองทุนคริปโต ETF อาจจะต้องใช้เวลาอีกนานก่อนที่จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของการลงทุนกระแสหลัก โดยนายแอนดรูว์ ลอม ทนายความของบริษัทนอร์ตัน โรส ฟุลไบรท์ระบุว่า "มอร์แกน สแตนเลย์ถูกมองว่าล้ำหน้ามากในเรื่องนี้ และนั่นแสดงให้เห็นว่า การที่มอร์แกน สแตนเลย์เคลื่อนไหวก่อนธนาคารแห่งอื่น ๆ ก็ส่งผลให้มอร์แกน สแตนเลย์ถูกมองว่าทำในสิ่งที่เสี่ยงสูงด้วยเหมือนกัน"
นายลอมระบุว่า บททดสอบที่แท้จริงสำหรับประเด็นที่ว่า กองทุนสปอตบิทคอยน์ ETF เหล่านี้จะเป็นการลงทุนกระแสหลักหรือไม่ ขึ้นอยู่กับทั้งขนาดและสภาพคล่องของกองทุนเหล่านี้ และเขากล่าวเสริมว่า "ในอนาคตนั้น นักลงทุนจะเริ่มคิดถึงและพูดถึงกองทุนเหล่านี้ในฐานะของสิ่งหนึ่งที่สามารถลงทุนได้ตามปกติ และเมื่อนั้นผู้จัดทำโมเดลพอร์ตลงทุนสมัยใหม่ก็จะเริ่มพิจารณาว่า จะให้กองทุนเหล่านี้ครองสัดส่วนเท่าใดในพอร์ตลงทุน" ทั้งนี้ บททดสอบขั้นต่อไปสำหรับกองทุนสปอตบิทคอยน์ ETF ก็คือว่า โมเดลพอร์ตลงทุนจะเริ่มบรรจุกองทุนเหล่านี้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของพอร์ตลงทุนเมื่อใด โดยมีการคาดการณ์กันว่า สิ่งนี้จะต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อย 6-12 เดือนถึงจะเกิดขึ้นได้
กองทุนสปอตอีเธอเรียม ETF มีอนาคตที่ไม่แน่นอนมากกว่ากองทุนบิทคอยน์ โดยกองทุนสปอตอีเธอเรียม ETF เพิ่งเปิดตัวในวันที่ 23 ก.ค. และกองทุนกลุ่มนี้ก็มีขนาดเกือบถึง 7 พันล้านดอลลาร์ในเวลา 1 เดือนต่อมา โดยหนึ่งในกองทุนขนาดใหญ่ในกลุ่มนี้คือกองทุนไอแชร์ อีเธอเรียม ทรัสต์ของบริษัทแบล็คร็อคที่มีขนาดสินทรัพย์ 900 ล้านดอลลาร์ แต่กองทุนดังกล่าวก็เติบโตช้ากว่ากองทุนบิทคอยน์ของแบล็คร็อคเป็นอย่างมาก เพราะกองทุนบิทคอยน์ของแบล็คร็อคมีขนาดพุ่งขึ้นถึง 1 พันล้านดอลลาร์ได้ใน 4 วันแรกของการเปิดขาย ทั้งนี้ นักลงทุนบางรายคาดการณ์อย่างระมัดระวังต่อแนวโน้มของกองทุนอีเธอเรียม โดยตั้งข้อสังเกตว่าอีเธอร์ถือเป็นสกุลเงินคริปโตที่มีความแตกต่างเป็นอย่างมากจากบิทคอยน์ โดยนายซุย ชุง ซีอีโอของบริษัทซีเอฟ เบนช์มาร์คส์ระบุว่า "ถ้าหากบิทคอยน์ถือเป็นทองคำดิจิทัล อีเธอร์ก็ถือเป็นน้ำมันดิจิทัล โดยสาเหตุที่อาจจะส่งผลให้อีเธอเรียมมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น ก็คือการที่ประชาชนอาจจะต้องใช้อีเธอร์ในการเคลื่อนย้ายสินทรัพย์ไปมาในเครือข่ายดิจิทัล เหมือนกับที่ประชาชนใช้น้ำมันในการทำงานในโลกแห่งความเป็นจริง"--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นายเดวิด โรกัล ผู้จัดการกลุ่มตราสารหนี้พื้นฐานของแบล็คร็อคกล่าวว่า การพุ่งขึ้นของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่ผ่านมา ซึ่งเกิดขึ้นจากการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างมีนัยสำคัญนั้น เป็นการพุ่งขึ้นมากเกินไป ขณะที่การฟื้นตัวไวของเศรษฐกิจอาจจะทำให้ไม่จำเป็นที่เฟดจะต้องลดอัตราดอกเบี้ยลงมากเท่ากับที่ตลาดคาดไว้ อย่างไรก็ดี เฟดก็น่าจะเริ่มลดดอกเบี้ยในเดือนที่แล้วเพื่อค่อยๆปรับไปสู่นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายลง
ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐดิ่งลง หลังจากข้อมูลภาคการผลิตที่อ่อนแอ และข้อมูลการจ้างงานในสัปดาห์ที่แล้วทำให้เกิดความวิตกเกี่ยวกับภาวะถดถอย และมีการปรับคาดการณ์ใหม่เกี่ยวกับนโยบายการเงินสำหรับช่วงที่เหลือของปีนี้
เขากล่าวว่า การพุ่งขึ้นดังกล่าวทำให้มูลค่าพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐน่าสนใจลดลง โดยราคาพันธบัตรร่วงลงเมื่อวานนี้ แต่ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 2 ปียังคงต่ำกว่าสัปดาห์ที่แล้วอยู่ราว 0.50% และผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีลดลง 0.40% ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่นักลงทุนคาดการณ์ว่า จะมีการลดดอกเบี้ยลงราว 1.14% ในปีนี้ ซึ่งมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ในสัปดาห์ที่แล้วเกือบสองเท่า
การพุ่งขึ้นอีกของราคาพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐจะสะท้อนการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงอย่างรวดเร็ว แต่ถ้าเฟดลดดอกเบี้ย เขาก็คาดว่า เศรษฐกิจจะชะลอตัวอย่างนุ่มนวล หรือสถานการณ์ที่เงินเฟ้อลดลงโดยที่ไม่ทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวครั้งใหญ่
เขากล่าวว่า เฟดน่าจะเริ่มลดดอกเบี้ย 0.25% ในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเฟดมีมติคงดอกเบี้ยไว้ที่ 5.25-5.5% "ปฏิกริยาบางส่วนของตลาดก็คือ ดูเหมือนว่าเฟดกำลังขึ้นดอกเบี้ยช้าไปอยู่เล็กน้อย และนั่นเพิ่มโอกาสที่จะมีการลดดอกเบี้ย 0.50% ในเดือนก.ย. ซึ่งอาจจะดูตื่นตระหนกบ้าง"--จบ--
Eikon source text
นิวยอร์ค--9 เม.ย.--รอยเตอร์
นักวิเคราะห์ตลาดหุ้นสหรัฐระบุว่า มูลค่าหุ้นสหรัฐเคลื่อนตัวอยู่ใกล้ระดับที่สูงที่สุดในรอบราว 2 ปีในช่วงนี้ และมูลค่าหุ้นดังกล่าวอาจจะเผชิญกับบททดสอบในเร็ว ๆ นี้จากฤดูการรายงานผลประกอบการไตรมาสแรกของบริษัทสหรัฐที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการในวันศุกร์ที่ 12 เม.ย. เมื่อธนาคารเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค, ซิตี้กรุ๊ป และเวลส์ ฟาร์โก แอนด์ โคเปิดเผยผลประกอบการออกมา และสายการบินเดลต้า แอร์ไลน์กับบริษัทแบล็คร็อคก็จะเปิดเผยผลประกอบการรายไตรมาสออกมาในเร็ว ๆ นี้ด้วย ทั้งนี้ ค่าพีอีเรโชของหุ้นในดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐอยู่ที่ 20.7 เท่าของตัวเลขคาดการณ์ผลกำไรสำหรับช่วง 12 เดือนข้างหน้า ซึ่งใกล้เคียงกับจุดสูงสุดในรอบกว่า 2 ปีที่ 21.2 เท่าที่เคยทำไว้ในช่วงปลายเดือนมี.ค. ในขณะที่ดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้นมาแล้วกว่า 9% จากช่วงต้นปีนี้ แต่อาจจะเป็นเรื่องที่ยากมากยิ่งขึ้นที่ตลาดหุ้นสหรัฐจะยังคงทะยานขึ้นในอัตราที่แข็งแกร่งแบบนี้ได้อีกในช่วงหลังจากนี้
ถ้าหากบริษัทสหรัฐเปิดเผยผลกำไรที่ปรับขึ้นน้อยเกินคาด นักลงทุนก็อาจจะเทขายหุ้นออกมา โดยเฉพาะในช่วงที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐพุ่งขึ้นในช่วงนี้ ซึ่งส่งผลให้พันธบัตรมีความน่าดึงดูดเพิ่มมากขึ้นเมื่อเทียบกับหุ้น ทั้งนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 2 ปีพุ่งขึ้นจาก 4.732% ในช่วงท้ายวันศุกร์ สู่ 4.789% ในช่วงท้ายวันจันทร์ และปรับขึ้นต่อไปสู่ 4.801% ในช่วงเช้าวันนี้ ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 28 พ.ย. 2023 ทางด้านอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีพุ่งขึ้นจาก 4.378% ในช่วงท้ายวันศุกร์ สู่ 4.424% ในช่วงท้ายวันจันทร์ หลังจากทะยานขึ้นแตะ 4.464% ในระหว่างช่วงการซื้อขายวันจันทร์ ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย. หรือจุดสูงสุดรอบ 4 เดือน และอยู่ที่ 4.396% ในวันนี้
นักลงทุนจะจับตาดูความเห็นของบริษัทต่าง ๆ ที่มีต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและภาวะเงินเฟ้อ เพื่อใช้ในการประเมินว่า ภาวะเศรษฐกิจแบบพอเหมาะพอดีในช่วงนี้จะยังคงดำเนินต่อไปได้หรือไม่ โดยภาวะดังกล่าวคือภาวะที่อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจยังคงรักษาระดับความแข็งแกร่งเอาไว้ได้ แต่อัตราเงินเฟ้อของผู้บริโภคยังคงชะลอตัวลงต่อไป ทั้งนี้ นักวิเคราะห์คาดว่า ผลกำไรของบริษัทในดัชนี S&P 500 อาจปรับขึ้น 5% ในไตรมาสแรกเมื่อเทียบรายปี โดยปรับลดลงจากระดับ +7.2% ที่เคยคาดการณ์กันไว้ในช่วงต้นไตรมาสแรก และชะลอตัวลงจากอัตราการเติบโตที่ 10.1% ในไตรมาส 4/2023 โดยอัตรา +5% นี้จะถือว่าต่ำที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาส 2/2023 เป็นต้นมา ในขณะที่อัตราผลกำไรได้รับแรงกดดันจากอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูง, การพุ่งขึ้นของต้นทุนสินค้าโภคภัณฑ์ และการที่ภาคเอกชนมีอำนาจน้อยลงในการกำหนดราคา ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลง
นักลงทุนจะจับตาดูผลประกอบการของบริษัทขนาดยักษ์ของสหรัฐในช่วงนี้ด้วย หลังจากราคาหุ้นของบริษัทกลุ่ม "Magnificent 7" หรือบริษัทขนาดยักษ์ 7 แห่งที่ประกอบด้วย บริษัทแอปเปิล, ไมโครซอฟท์, แอลฟาเบท, อะเมซอนดอทคอม, เอ็นวิเดีย, เมตา แพลตฟอร์มส์ และเทสลา ปรับตัวในทิศทางที่แตกต่างกันในช่วงนี้ โดยหุ้นเอ็นวิเดียซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตชิปมีราคาพุ่งขึ้นมาแล้ว 78% จากช่วงต้นปีนี้ แต่หุ้นเทสลามีราคาอยู่ที่ 172.98 ดอลลาร์ในช่วงนี้ โดยดิ่งลงมาแล้วราว 30% จาก 248.48 ดอลลาร์ในช่วงปลายปีที่แล้ว ในขณะที่เทสลายกเลิกแผนการผลิตรถยนต์ราคาถูก
นักลงทุนจะจับตาดูว่า ความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของสหรัฐในช่วงนี้จะส่งผลบวกต่อรายได้และผลกำไรของบริษัทที่มักปรับตัวตามภาวะเศรษฐกิจหรือไม่ ซึ่งบริษัทในกลุ่มนี้รวมถึงบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมและกลุ่มพลังงาน โดยหุ้นกลุ่มนี้ปรับตัวได้ดีเป็นส่วนใหญ่ในปีนี้ ในขณะที่การพุ่งขึ้นในตลาดหุ้นสหรัฐกระจายออกไปในวงกว้าง แทนที่จะกระจุกตัวอยู่แต่ในหุ้นเติบโตและหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com ; โทร 08-7689-6043;
นายริค ไรเดอร์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุนจากบริษัทแบล็คร็อคคาดว่า การใช้จ่ายของผู้บริโภคจะปรับตัวเพิ่มขึ้น และเศรษฐกิจจะมีอัตราการขยายตัวแท้จริง 1-2% ในปีนี้--จบ--
Eikon source text
กรุงเทพฯ--30 ม.ค.--รอยเตอร์
ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับยูโรในวันจันทร์ ในขณะที่นักลงทุนคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 5.25-5.50% ตามเดิมในการประชุมวันที่ 30-31 ม.ค. แต่เฟดจะคัดค้านการคาดการณ์ในตลาดที่ว่า เฟดอาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในเร็ว ๆ นี้ ทางด้านเทรดเดอร์คาดการณ์ในตอนนี้ว่า มีโอกาสเพียง 48% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในการประชุมวันที่ 19-20 มี.ค. โดยปรับลดลงจากโอกาส 89% ที่เคยคาดไว้เมื่อหนึ่งเดือนก่อน หลังจากตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาในระยะนี้แสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจสหรัฐยังคงอยู่ในภาวะแข็งแกร่ง ทั้งนี้ ยูโรได้รับแรงกดดันจากแนวโน้มเศรษฐกิจยุโรปที่อยู่ในภาวะอ่อนแอกว่าสหรัฐ Eikon source text
ดัชนีดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินอยู่ที่ 103.46 ในช่วงท้ายตลาดวันจันทร์ ซึ่งใกล้เคียงกับระดับ 103.47 ในช่วงท้ายตลาดวันศุกร์ หลังจากพุ่งขึ้นแตะ 103.82 ในระหว่างวัน ซึ่งเท่ากับจุดสูงสุดของสัปดาห์ที่แล้ว และถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 13 ธ.ค.
ดอลลาร์/เยนอยู่ที่ 147.49 เยนในช่วงท้ายตลาดวันจันทร์ โดยร่วงลงจากระดับปิดตลาดวันศุกร์ที่ 148.16 เยน อย่างไรก็ดี ดอลลาร์/เยนมีแนวโน้มที่จะปิดตลาดเดือนม.ค.ด้วยการพุ่งขึ้นราว 4.5% จากเดือนธ.ค. ในขณะที่เทรดเดอร์ปรับลดการคาดการณ์เรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ)
ยูโร/ดอลลาร์อยู่ที่ 1.0833 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันจันทร์ โดยอ่อนค่าลงจาก 1.0852 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันศุกร์ หลังจากดิ่งลงแตะ 1.07955 ดอลลาร์ในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 13 ธ.ค.
ตลาดหุ้นสหรัฐปรับขึ้นในวันจันทร์ ในขณะที่นักลงทุนรอดูการประชุมกำหนดนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 30-31 ม.ค., รอดูตัวเลขเศรษฐกิจหลายตัว และรอดูผลประกอบการของบริษัทสำคัญหลายแห่งของสหรัฐที่จะได้รับการประกาศออกมาในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงบริษัทแอลฟาเบท, ไมโครซอฟท์ และเจเนอรัล มอเตอร์ส (GM) ที่จะเปิดเผยผลประกอบการในวันอังคาร, บริษัทควอลคอมม์ ที่จะเปิดเผยผลประกอบการในวันพุธ, บริษัทโบอิ้ง, แอปเปิล, อะเมซอนดอทคอม และเมตา แพลตฟอร์มส์ ที่จะเปิดเผยผลประกอบการในวันพฤหัสบดี และบริษัทเอ็กซอน โมบิล กับเชฟรอน ซึ่งถือเป็นสองบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ที่จะเปิดเผยผลประกอบการในวันศุกร์ ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจที่นักลงทุนจับตาดูในสัปดาห์นี้รวมถึง ผลสำรวจตำแหน่งงานว่างและการเข้า-ออกงาน (JOLTS), ตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชนของสหรัฐที่จัดทำโดยบริษัท ADP, ต้นทุนการจ้างงานประจำไตรมาสสี่, ประสิทธิภาพการผลิต, ยอดการประกาศปลดพนักงานออก, ตัวเลขราคาบ้านสหรัฐที่จัดทำโดยบริษัทเคส-ชิลเลอร์, ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐ, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ที่จัดทำโดยสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM), ค่าใช้จ่ายภาคก่อสร้าง, ยอดสั่งซื้อภาคโรงงาน และตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนม.ค.ที่กระทรวงแรงงานสหรัฐจะรายงานออกมาในวันศุกร์ที่ 2 ก.พ. ทั้งนี้ หุ้น 10 กลุ่มจาก 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐปิดตลาดวันจันทร์ในแดนบวก โดยดัชนีหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยพุ่งขึ้น 1.37% และถือเป็นกลุ่มที่พุ่งขึ้นมากที่สุดในวันจันทร์ ส่วนดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศ (ไอที) ทะยานขึ้น 0.97% และถือเป็นกลุ่มที่ปรับขึ้นมากเป็นอันดับสอง ทางด้านดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานถือเป็นหุ้นกลุ่มเดียวที่ปิดตลาดวันจันทร์ในแดนลบ Eikon source text
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวกขึ้น 0.59% สู่ 38,333.45
ดัชนี S&P 500 ปิดปรับขึ้น 0.76% สู่ 4,927.93 ซึ่งถือเป็นสถิติระดับปิดสูงสุดใหม่ โดยดัชนีพุ่งขึ้นมาแล้ว 3.3% จากช่วงต้นเดือนนี้ และปัจจัยดังกล่าวมีส่วนช่วยหนุนให้บริษัทแบล็คร็อคปรับขึ้นมุมมองที่มีต่อหุ้นสหรัฐโดยรวมสู่ "overweight" จาก "neutral"
ดัชนี Nasdaq ปิดพุ่งขึ้น 1.12% สู่ 15,628.04
ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX ดิ่งลงในวันจันทร์ โดยได้รับแรงกดดันจากความกังวลเรื่องอุปสงค์น้ำมันในจีนท่ามกลางวิกฤติภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น หลังจากมีข่าวว่าศาลฮ่องกงออกคำสั่งให้บริษัทไชน่า เอเวอร์แกรนด์ กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ของจีนขายทรัพย์สินเพื่อนำเงินมาชำระหนี้ ทั้งนี้ ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นในช่วงแรกโดยได้รับแรงหนุนจากความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลาง หลังจากมีการใช้ขีปนาวุธโจมตีเรือขนส่งเชื้อเพลิงลำหนึ่งในทะเลแดง และมีการใช้โดรนโจมตีกองทัพสหรัฐในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจอร์แดน ซึ่งส่งผลให้มีทหารสหรัฐเสียชีวิต 3 นาย และส่งผลให้มีทหารได้รับบาดเจ็บอีกอย่างน้อย 34 นาย อย่างไรก็ดี ราคาน้ำมันดิ่งลงในเวลาต่อมา ในขณะที่นักลงทุนมองว่าอุปทานน้ำมันยังไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลาง Eikon source text
ราคาน้ำมันดิบสหรัฐส่งมอบเดือนมี.ค.รูดลง 1.23 ดอลลาร์ หรือ 1.6% มาปิดตลาดที่ 76.78 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนมี.ค.ที่ตลาดกรุงลอนดอนดิ่งลง 1.15 ดอลลาร์ หรือ 1.4% มาปิดตลาดที่ 82.40 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจากพุ่งขึ้นแตะ 84.80 ดอลลาร์ในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 7 พ.ย. หรือจุดสูงสุดในรอบกว่า 2 เดือน
ราคาทองสปอตที่ตลาดสหรัฐปรับขึ้น 13.41
ดอลลาร์ สู่ 2,031.75 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงท้ายตลาดวันจันทร์ ในขณะที่นักลงทุนเข้าซื้อทองในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยท่ามกลางความขัดแย้งที่ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นในภูมิภาคตะวันออกกลาง นอกจากนี้ นักลงทุนก็รอดูการประชุมกำหนดนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 30-31 ม.ค.ด้วย ทั้งนี้ มีการใช้โดรนโจมตีกองทัพสหรัฐในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจอร์แดน ซึ่งส่งผลให้มีทหารสหรัฐเสียชีวิต 3 นาย และส่งผลให้มีทหารได้รับบาดเจ็บอีกอย่างน้อย 34 นาย ทางด้านประธานาธิบดีโจ ไบเดนของสหรัฐระบุในวันอาทิตย์ว่า กลุ่มที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่านอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์โจมตีในครั้งนี้ โดยเหตุการณ์ดังกล่าวถือเป็นการโจมตีครั้งแรกที่ส่งผลให้ทหารสหรัฐเสียชีวิต นับตั้งแต่เกิดสงครามระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสในเดือนต.ค. 2023 เป็นต้นมา Eikon source text
--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
วอชิงตัน/นิวยอร์ค--11 ม.ค.--รอยเตอร์
บิทคอยพุ่งขึ้น 1.21% จาก 46,124 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันอังคาร สู่ 46,681 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันพุธ หลังจากแกว่งตัวผันผวนระหว่างระดับ 44,304-47,751 ดอลลาร์ในระหว่างช่วงการซื้อขายวันพุธ และหลังจากเพิ่งพุ่งขึ้นแตะ 47,897 ดอลลาร์สหรัฐในวันอังคาร ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค. 2022 หรือจุดสูงสุดรอบ 21 เดือน โดยบิทคอยน์ได้รับแรงหนุนในวันพุธ หลังจากคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐ (SEC) อนุมัติให้มีการจัดตั้งกองทุนสปอตบิทคอยน์ ETF 11 แห่ง ซึ่งรวมถึงกองทุนของบริษัทแบล็คร็อค, อาร์ค อินเวสท์เมนท์และ21แชร์ส, ฟิเดลิที, อินเวสโก, วัลคีรี และแวนเอค โดยกองทุนส่วนใหญ่ในกลุ่มนี้อาจจะเริ่มเปิดซื้อขายในวันนี้ ทั้งนี้ อีเธอร์ซึ่งถือเป็นสกุลเงินคริปโตขนาดใหญ่อันดับ 2 ของโลก พุ่งขึ้น 10.22% จาก 2,345.10 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันอังคาร สู่ 2,584.80 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันพุธ หลังจากทะยานขึ้นแตะ 2,644 ดอลลาร์ในระหว่างช่วงการซื้อขายวันพุธ ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค. 2022 โดยอีเธอร์อยู่ที่ระดับ 2,577.90 ดอลลาร์ในช่วงเช้าวันนี้ ส่วนบิทคอยน์อยู่ที่ 46,577 ดอลลาร์ในช่วงเช้าวันนี้
การอนุมัติจัดตั้งกองทุน ETF ในครั้งนี้จะส่งผลให้ตลาดการลงทุนในบิทคอยน์เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเป็นอย่างมาก เพราะกองทุนเหล่านี้จะเปิดโอกาสให้นักลงทุนได้รับผลกำไรหรือขาดทุนจากบิทคอยน์ได้โดยที่นักลงทุนไม่ต้องถือครองบิทคอยน์โดยตรง และการอนุมัติกองทุนเหล่านี้จะช่วยส่งเสริมอุตสาหกรรมสกุลเงินคริปโตเป็นอย่างมากด้วย หลังจากอุตสาหกรรมนี้เผชิญกับข่าวอื้อฉาวหลายข่าวในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ของธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ดระบุในสัปดาห์นี้ว่า กองทุน ETF เหล่านี้อาจจะดึงดูดเงินลงทุนได้ 0.5-1.00 แสนล้านดอลลาร์ในปีนี้ ในขณะที่นักวิเคราะห์รายอื่น ๆ คาดว่า เงินลงทุนที่ไหลเข้าสู่กองทุน ETF เหล่านี้จะอยู่ที่ระดับใกล้กับ 5.5 หมื่นล้านดอลลาร์ภายในเวลา 5 ปีข้างหน้า
บริษัทคอยน์เกคโคระบุว่า มูลค่าตามราคาตลาดของบิทคอยน์อยู่ที่ระดับสูงกว่า 9.13 แสนล้านดอลลาร์หากนับจนถึงวันที่ 10 ม.ค. ส่วนสถาบันบริษัทการลงทุน หรือ Investment Company Institute ระบุว่า สินทรัพย์สุทธิโดยรวมของกองทุน ETF ทั้งหมดในสหรัฐอยู่ที่ 6.5 ล้านล้านดอลลาร์ในเดือนธ.ค. 2022 ทั้งนี้ บิทคอยน์พุ่งขึ้นมาแล้วกว่า 70% ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา โดยได้รับแรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่า SEC จะอนุมัติให้มีการจัดตั้งกองทุน ETF
นักวิเคราะห์กล่าวว่า ความสำเร็จของกองทุน ETF แต่ละแห่งในการดึงดูดเงินลงทุน จะขึ้นอยู่กับค่าธรรมเนียมและสภาพคล่อง ในขณะที่บริษัทผู้ออกกองทุนบางแห่งได้ปรับลดค่าธรรมเนียมที่เคยวางแผนไว้ในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงบริษัทแบล็คร็อคและกองทุนของอาร์ค/21แชร์ส โดยค่าธรรมเนียมเหล่านี้อยู่ในระดับราว 0.2%-1.5% และบริษัทหลายแห่งก็เสนอที่จะงดเว้นการเก็บค่าธรรมเนียมเป็นเวลาระยะหนึ่งด้วย นอกจากนี้ บริษัทผู้ออกกองทุนบางแห่ง ซึ่งรวมถึงบิทไวส์และแวนเอค ก็ได้ออกโฆษณาเพื่อดึงดูดการลงทุนในบิทคอยน์แล้ว ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญบางรายคาดว่า การอนุมัติจัดตั้งกองทุนบิทคอยน์ ETF ในครั้งนี้จะปูทางไปสู่การออกผลิตภัณฑ์คริปโตแบบใหม่ ๆ อันอื่น ๆ ในเวลาต่อมา โดยบริษัทบางแห่งได้ยื่นเรื่องเพื่อขอจัดตั้งกองทุน ETF สำหรับอีเธอร์แล้วด้วย
ก่อนหน้านี้ SEC เคยปฏิเสธที่จะอนุมัติให้มีการจัดตั้งกองทุนบิทคอยน์ ETF ในอดีต เนื่องจาก SEC กังวลว่าบิทคอยน์อาจจะถูกปั่นตลาดได้อย่างง่ายดาย โดยนายแกรี เกนส์เลอร์ ประธาน SEC ก็มักจะแสดงความเห็นวิพากษ์วิจารณ์สกุลเงินคริปโตด้วย อย่างไรก็ดี ในการลงคะแนนเสียงของคณะกรรมการของ SEC ในครั้งนี้นั้น นายเกนส์เลอร์ ซึ่งเป็นสมาชิกพรรคเดโมแครต และกรรมการอีก 2 คนของ SEC ที่มาจากพรรครีพับลิกัน ได้โหวตให้มีการอนุมัติจัดตั้งกองทุนสปอตบิทคอยน์ ETF แต่กรรมการ 2 คนของ SEC ที่มาจากพรรคเดโมแครตโหวตคัดค้าน ซึ่งรวมถึงแคโรไลน์ เครนชอว์ ที่ให้เหตุผลว่ามีปัญหาเรื่องการปกป้องคุ้มครองนักลงทุน--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
เครื่องมือออกแบบโปสเตอร์
โครงการพันธมิตร
ความเสี่ยงของการสูญเสียในการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น หุ้น FX สินค้าโภคภัณฑ์ ฟิวเจอร์ส พันธบัตร ETFs หรือเงินดิจิทัลอาจมีมาก คุณอาจสูญเสียเงินทุนทั้งหมดที่คุณฝากไว้กับโบรกเกอร์ของคุณ ดังนั้น คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบว่าการซื้อขายดังกล่าวเหมาะสมกับคุณหรือไม่ในสถานการณ์และทรัพยากรทางการเงินของคุณ
ไม่ควรตัดสินใจลงทุนโดยไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบสถานะอย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วยตัวเองหรือปรึกษากับที่ปรึกษาทางการเงินของคุณ เนื้อหาเว็บของเราอาจไม่เหมาะกับคุณเนื่องจากเราไม่ทราบเงื่อนไขทางการเงินและความต้องการในการลงทุนของคุณ ข้อมูลทางการเงินของเราอาจมีความล่าช้าหรือมีความไม่ถูกต้อง ดังนั้นคุณควรรับผิดชอบอย่างเต็มที่ต่อการตัดสินใจซื้อขายและการลงทุนของคุณ บริษัทจะไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียเงินทุนของคุณ
หากไม่ได้รับอนุญาตจากเว็บไซต์ คุณจะไม่สามารถคัดลอกกราฟิก ข้อความ หรือเครื่องหมายการค้าของเว็บไซต์ได้ สิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาในเนื้อหาหรือข้อมูลที่รวมอยู่ในเว็บไซต์นี้เป็นของผู้ให้บริการและผู้ค้าแลกเปลี่ยน
ไม่ได้ล็อกอิน
เข้าสู่ระบบเพื่อเข้าถึงฟังก์ชั่นเพิ่มเติม

สมาชิก FastBull
ยังไม่ได้เปิด
สมัคร
เข้าสู่ระบบ
ลงทะเบียน