ตลาด
ข่าวสาร
การวิเคราะห์
ผู้ใช้
24x7
ปฏิทินเศรษฐกิจ
แหล่งเรียนรู้
ข้อมูล
- ชื่อ
- ค่าล่าสุด
- ครั้งก่อน












สัญญาณ VIP
ทั้งหมด
ทั้งหมด



สหรัฐอเมริกา การเลิกจ้างพนักงานบริษัทชาเลนเจอร์ เกรย์ และคริสต์มาส MoM (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ค่าเฉลี่ยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก4 สัปดาห์ (SA)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์ (SA)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานต่อรายสัปดาห์ (SA)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา Ivey PMI (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา Ivey PMI (Not SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา คำสั่งซื้อสินค้าคงทนนอกกระทรวงกลาโหมที่ได้แก้ไข MoM (ไม่รวมเครื่องบิน)(SA) (ก.ย.)ค:--
ค: --
สหรัฐอเมริกา คำสั่งซื้อโรงงาน MoM(ยกเว้นการขนส่ง) (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา คำสั่งซื้อโรงงาน MoM (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา คำสั่งซื้อโรงงาน MoM(ยกเว้นภาคกลาโหม) (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การเปลี่ยนแปลงสต็อกก๊าซธรรมชาติประจำสัปดาห์ของ EIAค:--
ค: --
ค: --
ซาอุดิอาระเบีย การผลิตน้ำมันดิบค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การถือครองธนารักษ์สหรัฐฯของธนาคารกลางต่างประเทศรายสัปดาห์ค:--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น เงินตราที่ใช้เป็นทุนสำรอง (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย อัตราขายคืนค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย ดอกเบี้ยอ้างอิงค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย อัตราขายคืนค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย อัตราเงินสดสำรองค:--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น อินดิเคเตอร์ชั้นนำเบื้องต้น (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหราชอาณาจักร ดัชนีราคาที่อยู่อาศัย Halifax YoY (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหราชอาณาจักร ดัชนีราคาที่อยู่อาศัย Halifax MoM (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส บัญชีเดินสะพัด (Not SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส ดุลการค้า (SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส การผลิตภาคอุตสาหกรรม MoM(SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
อิตาลี ดัชนียอดค้าปลีก MoM (SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงาน YoY (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน GDP Final YoY (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน GDP Final QoQ (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงาน QoQ (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงานสุดท้าย (SA) (ไตรมาส 3)--
ค: --
บราซิล PPI MoM (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
เม็กซิโก ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา อัตราการว่างงาน (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา อัตราการมีส่วนร่วมในการจ้างงาน (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงาน (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงานนอกเวลา (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงานเต็มเวลา (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา รายได้ส่วนบุคคล MoM (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาธนาคารกลางรัฐดัลลาส สหรัฐอเมริกา PCE YoY (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคา PCE YoY (SA) (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคา PCE MoM (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา รายจ่ายส่วนบุคคล MoM(SA) (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาPCEหลักMoM (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา เงินเฟ้อเบื้องต้น UMich 5-YearYoY (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาPCEหลักYoY (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ค่าใช้จ่ายการบริโภคส่วนบุคคลที่จริง MoM (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การคาดการณ์เงินเฟ้อ 5-10 ปี (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีสถานภาพเบื้องต้น UMich ปัจจุบัน (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้น UMich (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อล่วงหน้า 1 ปี UMich (เบื้องต้น) (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีความคาดหวังผู้บริโภค UMich (เบื้องต้น) (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ปริมาณเครื่องเจาะทั้งหมดรายสัปดาห์--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ปริมาณเครื่องเจาะน้ำมันทั้งหมดรายสัปดาห์--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา สินเชื่ออุปโภคบริโภค (SA) (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ เงินตราที่ใช้เป็นทุนสำรอง (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ปริมาณการส่งออก YoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --


ไม่มีข้อมูลที่ตรงกัน
ทัศนคติล่าสุด
ทัศนคติล่าสุด
หัวข้อยอดนิยม
คอลัมนิสต์ยอดนิยม
อัปเดตล่าสุด
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
ดูผลการค้นหาทั้งหมด

ไม่มีข้อมูล
กรุงเทพฯ--27 ส.ค.--รอยเตอร์
ดัชนีดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินแข็งค่าขึ้นในวันจันทร์ และดีดขึ้นจากจุดต่ำสุดรอบ 8 เดือนที่ทำไว้ในระหว่างวัน ในขณะที่ความขัดแย้งทางการเมืองในภูมิภาคตะวันออกกลางทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น และปัจจัยดังกล่าวกระตุ้นให้นักลงทุนเข้าซื้อสกุลเงินปลอดภัย ซึ่งรวมถึงดอลลาร์สหรัฐ, เยน และฟรังก์สวิส ทั้งนี้ อิสราเอลและกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอนได้ยิงขีปนาวุธเข้าใส่กันเป็นจำนวนมากในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นหนึ่งในการปะทะกันครั้งใหญ่ที่สุดในรอบกว่า 10 เดือน โดยกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ได้ยิงจรวดและโดรนใส่อิสราเอลในช่วงเช้าวันอาทิตย์ และกองทัพอิสราเอลระบุว่า ทางกองทัพไดัส่งเครื่องบินราว 100 ลำไปโจมตีเลบานอนเพื่อขัดขวางการโจมตีครั้งใหญ่ โดยมีการยืนยันว่ามีผู้เสียชีวิต 3 รายในเลบานอน และ 1 รายในอิสราเอล และทั้งสองฝ่ายส่งสัญญาณว่าจะหลีกเลี่ยงการยกระดับการโจมตีในช่วงนี้ แต่ประกาศเตือนว่า อาจจะมีการโจมตีตามมาอีก Eikon source text
ดัชนีดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินอยู่ที่ 100.85 ในช่วงท้ายตลาดวันจันทร์ โดยแข็งค่าขึ้นจาก 100.69 ในช่วงท้ายตลาดวันศุกร์ หลังจากดิ่งลงแตะ 100.53 ในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดนับตั้งแต่ปลายเดือนธ.ค. 2023 หรือจุดต่ำสุดรอบ 8 เดือน
ดอลลาร์/เยนอยู่ที่ 144.52 เยนในช่วงท้ายตลาดวันจันทร์ โดยปรับขึ้นจากระดับปิดตลาดวันศุกร์ที่ 144.37 เยน หลังจากดิ่งลงแตะ 143.45 เยนในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดรอบ 3 สัปดาห์
ยูโร/ดอลลาร์อยู่ที่ 1.1160 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันจันทร์ โดยอ่อนค่าลงจาก 1.1190 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันศุกร์
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ของตลาดหุ้นสหรัฐปิดบวกขึ้นในวันจันทร์ โดยได้รับแรงหนุนจากหุ้นบริษัทแคเทอร์พิลลาร์ที่ปรับขึ้น 0.79% และหุ้นบริษัทอเมริกัน เอ็กซ์เพรสที่พุ่งขึ้น 1.03% อย่างไรก็ดี ดัชนี S&P 500 และดัชนี Nasdaq ของตลาดหุ้นสหรัฐปิดร่วงลงในวันจันทร์ ในขณะที่หุ้นบริษัทเอ็นวิเดียซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปปัญญาประดิษฐ์ (AI) ดิ่งลง 2.25% ในวันจันทร์ ก่อนที่เอ็นวิเดียจะเปิดเผยผลประกอบการในวันพุธนี้ และนักลงทุนบางรายกังวลว่า ถ้าหากเอ็นวิเดียไม่ได้คาดการณ์แนวโน้มในอนาคตในทางบวกเป็นอย่างมากในวันพุธนี้ ปัจจัยดังกล่าวก็อาจจะสร้างความเสียหายต่อหุ้นบริษัทหลายแห่งที่เกี่ยวข้องกับ AI ซึ่งรวมถึงหุ้นบริษัทไมโครซอฟท์, แอลฟาเบท และเมตา แพลตฟอร์มส์ นอกจากนี้ หุ้นเทสลาก็ดิ่งลง 3.2% ในวันจันทร์ หลังจากแคนาดาประกาศว่า แคนาดาจะเก็บภาษีนำเข้า 100% จากรถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในจีน ทั้งนี้ ในบรรดาดัชนีหุ้น 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐนั้น หุ้น 6 กลุ่มใหญ่ปิดตลาดในแดนลบ ซึ่งรวมถึงดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศ (ไอที) ที่รูดลง 1.12% และถือเป็นดัชนีหุ้นกลุ่มใหญ่ที่ดิ่งลงมากที่สุด และดัชนีหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยที่ปรับลง 0.81% ในวันจันทร์ อย่างไรก็ดี ดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้น 1.11% โดยได้รับแรงหนุนจากการทะยานขึ้นของราคาน้ำมันดิบ ทางด้านนักลงทุนรอดูผลประกอบการของบริษัทหลายแห่งในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงบริษัทเดลล์, เซลส์ฟอร์ซ, ดอลลาร์ เจเนอรัล และแกป และนักลงทุนก็รอดูรายงานดัชนีราคาค่าใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ประจำเดือนก.ค.ที่รัฐบาลสหรัฐจะรายงานออกมาในวันศุกร์นี้ด้วย เนื่องจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มักใช้ดัชนี PCE เป็นมาตรวัดภาวะเงินเฟ้อ Eikon source text
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวกขึ้น 0.16% สู่ 41,240.52
ดัชนี S&P 500 ปิดปรับลง 0.32% สู่ 5,616.84
ดัชนี Nasdaq ปิดร่วงลง 0.85% สู่ 17,725.77
ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX พุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในวันจันทร์ โดยได้รับแรงหนุนจากการปรับลดปริมาณการผลิตน้ำมันในลิเบีย ในขณะที่รัฐบาลลิเบียประกาศว่าจะปิดแหล่งน้ำมันทุกแหล่งในลิเบียในวันจันทร์ และจะระงับการผลิตและการส่งออกน้ำมัน โดยบริษัทวาฮา ออยล์ คอมปานี ซึ่งอยู่ในเครือบริษัทเนชันแนล ออยล์ คอร์ป (NOC) ของลิเบียระบุว่า วาฮาวางแผนที่จะปรับลดปริมาณการผลิตน้ำมันลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป และเตือนว่าอาจจะมีการระงับการผลิตน้ำมันทั้งหมดในลิเบีย เนื่องจากมีการประท้วง ส่วนบริษัทเซอร์เต ออยล์ คอมปานี ที่อยู่ในเครือ NOC เช่นกันระบุว่า เซอร์เตจะปรับลดการผลิตน้ำมันลงบางส่วน โดยปริมาณการผลิตน้ำมันทั้งหมดของลิเบียเคยอยู่ที่ 1.18 ล้านบาร์เรลต่อวันในเดือนก.ค. ทั้งนี้ ราคาน้ำมันได้รับแรงหนุนจากความขัดแย้งที่ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นในภูมิภาคตะวันออกกลางด้วย ในขณะที่อิสราเอลและกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอนได้ยิงขีปนาวุธเข้าใส่กันเป็นจำนวนมากในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นหนึ่งในการปะทะกันครั้งใหญ่ที่สุดในรอบกว่า 10 เดือน นอกจากนี้ ราคาน้ำมันก็ได้รับแรงหนุนเพิ่มเติมจากตัวเลขสต็อกน้ำมันดิบในคลังสหรัฐที่เมืองคุชชิง รัฐโอกลาโอมา ซึ่งเป็นจุดส่งมอบน้ำมันตามสัญญาในตลาด NYMEX ด้วย เพราะว่าสต็อกน้ำมันดิบที่เมืองคุชชิงดิ่งลงแตะจุดต่ำสุดรอบ 6 เดือนในช่วงนี้ Eikon source text
ราคาน้ำมันดิบสหรัฐส่งมอบเดือนต.ค.ทะยานขึ้น 2.59 ดอลลาร์ หรือ 3.5% มาปิดตลาดที่ 77.42 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนต.ค.ที่ตลาดกรุงลอนดอนพุ่งขึ้น 2.41 ดอลลาร์ หรือ 3.05% มาปิดตลาดที่ 81.43 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาทองสปอตที่ตลาดสหรัฐปรับขึ้น 6.56 ดอลลาร์ สู่ 2,516.89 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงท้ายตลาดวันจันทร์ และเทียบกับสถิติสูงสุดที่ 2,531.60 ดอลลาร์ที่เคยทำไว้ในวันที่ 20 ส.ค. โดยราคาทองได้รับแรงหนุนในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงนี้ท่ามกลางความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลางที่ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น และราคาทองก็ได้รับแรงหนุนเพิ่มเติมจากการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในการประชุมวันที่ 17-18 ก.ย.ด้วย หลังจากนายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณอย่างชัดเจนในวันศุกร์ว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในการประชุมวันที่ 17-18 ก.ย. โดยนายพาวเวลล์กล่าวในงานประชุมเศรษฐกิจประจำปีที่จัดโดยเฟดสาขาแคนซัส ซิตีที่แจ็คสัน โฮลในรัฐไวโอมิงว่า "ถึงเวลาแล้วสำหรับการปรับนโยบาย" เพราะว่าความเสี่ยงด้านสูงต่อภาวะเงินเฟ้อได้ลดน้อยลงแล้ว และความเสี่ยงด้านต่ำต่อการจ้างงานได้เพิ่มสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา Eikon source text
--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--5 ส.ค.--รอยเตอร์
นักวิเคราะห์ตลาดหุ้นสหรัฐระบุว่า ตลาดหุ้นสหรัฐกำลังได้รับแรงกดดันจากความกังวลทางเศรษฐกิจในช่วงนี้ หลังจากสำนักงานสถิติแรงงาน (BLS) ในกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานในวันศุกร์ว่า การจ้างงานนอกภาคเกษตรในสหรัฐเพิ่มขึ้นเพียง 114,000 ตำแหน่งในเดือนก.ค. ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ 175,000 ตำแหน่ง และทางกระทรวงได้ปรับทบทวนตัวเลขการจ้างงานของเดือนพ.ค.และมิ.ย.ให้ต่ำลงจากเดิม 29,000 ตำแหน่งด้วย ทางด้านอัตราการว่างงานพุ่งขึ้นจาก 4.1% ในเดือนมิ.ย. สู่ 4.3% ในเดือนก.ค. ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.ย. 2021 หรือจุดสูงสุดในรอบเกือบ 3 ปี และอยู่สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ 4.1% โดยอัตราการว่างงานปรับขึ้นในเดือนก.ค.เป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกัน ทั้งนี้ รายงานตัวเลขดังกล่าวทำให้นักลงทุนกังวลว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับสูงเป็นเวลานานเกินไปในช่วงที่ผ่านมา จนส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐได้รับความเสียหายจากอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว และอาจจะส่งผลให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย
ตลาดหุ้นสหรัฐเพิ่งได้รับแรงกดดันจากตัวเลขเศรษฐกิจอื่น ๆ ในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาด้วย ในขณะที่กระทรวงแรงงานสหรัฐเพิ่งรายงานในวันพฤหัสบดีว่า ยอดผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในสหรัฐพุ่งขึ้น 14,000 ราย สู่ 249,000 รายในช่วงสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 27 ก.ค. ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนส.ค. 2023 หรือจุดสูงสุดรอบ 11 เดือน และสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) รายงานในวันพฤหัสบดีว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของสหรัฐดิ่งลงจาก 48.5 ในเดือนมิ.ย. สู่ 46.8 ในเดือนก.ค. ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย. 2023 หรือจุดต่ำสุดรอบ 8 เดือน โดยรายงานตัวเลขเหล่านี้กระตุ้นให้นักลงทุนเทขายหุ้นกลุ่มชิปและหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรม และนำเงินเข้าไปลงทุนในหุ้นกลุ่มปลอดภัย ทั้งนี้ ดัชนี Nasdaq ของตลาดหุ้นสหรัฐปิดดิ่งลง 2.43% สู่ 16,776.16 ในวันศุกร์ โดยดัชนี Nasdaq รูดลงมาแล้วกว่า 10% จากสถิติระดับปิดสูงสุดที่ทำไว้ในเดือนก.ค. และสิ่งนี้ถือเป็นการยืนยันว่า ดัชนีกำลังปรับฐานลง หลังจากนักลงทุนกังวลว่าหุ้นสหรัฐมีมูลค่าสูง ทางด้านดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐดิ่งลงมาแล้ว 5.7% จากจุดสูงสุดของเดือนก.ค.
นักลงทุนเคยพึงพอใจกับตัวเลขอัตราเงินเฟ้อที่ชะลอตัวลง และตัวเลขการจ้างงานที่ชะลอตัวลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา โดยนักลงทุนมองว่าตัวเลขเหล่านี้จะช่วยสนับสนุนให้เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในปีนี้ โดยการคาดการณ์ดังกล่าวมีส่วนช่วยหนุนให้ดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้นมาแล้ว 12% จากช่วงต้นปีนี้ และดัชนี Nasdaq ทะยานขึ้นมาแล้วเกือบ 12% จากช่วงต้นปีนี้ อย่างไรก็ดี สถานการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไปในปัจจุบัน โดยในตอนนี้นักลงทุนกังวลว่า อัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงอาจสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจ และนักลงทุนก็กังวลกับผลประกอบการที่น่าผิดหวังของบริษัทสำคัญของสหรัฐ ซึ่งรวมถึงบริษัทอะเมซอน, แอลฟาเบท และอินเทลด้วย ทั้งนี้ นายเจมส์ เซนต์ ออบิน หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของบริษัทโอเชียน พาร์ค แอสเซท อินเวสท์เมนท์กล่าวว่า "สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงนี้คือผลกระทบจากการตั้งความหวังไว้สูงเกินไป โดยนักลงทุนได้ลงทุนไปมากแล้วตามการคาดการณ์ที่ว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะชะลอตัวลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป ดังนั้นสิ่งใดก็ตามที่ไม่สนับสนุนการคาดการณ์ดังกล่าวจะสร้างความยากลำบากให้แก่ตลาด"
เทรดเดอร์คาดการณ์กันในตอนนี้ว่า มีโอกาส 98.5% ที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.50% สู่ 4.75-5.00% ในการประชุมวันที่ 17-18 ก.ย. โดยปรับขึ้นจากโอกาสเพียง 22% ที่เคยคาดไว้ในวันพฤหัสบดีที่แล้ว และเทรดเดอร์คาดว่ามีโอกาส 1.5% ที่เฟดอาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% สู่ 5.00-5.25% ในการประชุมวันที่ 17-18 ก.ย. นอกจากนี้ เทรดเดอร์ก็คาดการณ์อีกด้วยว่า เฟดอาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงรวมกัน 1.27% ก่อนสิ้นปีนี้ หลังจากที่เคยคาดการณ์ในวันพุธที่ 31 ก.ค.ว่า เฟดอาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงรวมกันราว 0.60% ก่อนสิ้นปีนี้ ทั้งนี้ ดัชนีความผันผวน Cboe หรือดัชนี VIX ที่ใช้วัดระดับความกังวลในตลาดหุ้นสหรัฐ พุ่งขึ้นในวันศุกร์จนแตะจุดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค. 2023 เนื่องจากนักลงทุนต้องการซื้อออปชั่นที่ใช้คุ้มครองความปลอดภัยถ้าหากตลาดหุ้นเผชิญกับแรงเทขาย
นักลงทุนได้เข้าซื้อสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงนี้ ซึ่งรวมถึงพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีรูดลงจาก 3.978% ในช่วงท้ายวันพฤหัสบดี สู่ 3.796% ในช่วงท้ายวันศุกร์ และดิ่งลงแตะ 3.678% ในวันนี้ ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย. 2023 หรือจุดต่ำสุดในรอบกว่า 1 ปี โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยิลด์) เป็นสิ่งที่ปรับตัวสวนทางกับราคาพันธบัตร ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มที่มักได้รับแรงหนุนในช่วงที่เศรษฐกิจเผชิญกับความไม่แน่นอนก็พุ่งขึ้นในช่วงนี้ด้วย โดยดัชนีหุ้นกลุ่มการแพทย์ของสหรัฐพุ่งขึ้นมาแล้ว 4% ในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา และดัชนีหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคของสหรัฐทะยานขึ้นมาแล้วกว่า 9% ในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา แต่ดัชนีฟิลาเดลเฟียสำหรับหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐดิ่งลงมาแล้วเกือบ 17% ในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา โดยได้รับแรงกดดันจากการรูดลงของหุ้นบริษัทเอ็นวิเดียและบริษัทบรอดคอม--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--24 มิ.ย.--รอยเตอร์
นักวิเคราะห์ตลาดหุ้นสหรัฐระบุว่า หุ้นบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ในสหรัฐพุ่งขึ้นสูงมากในปีนี้ และก็อาจจะถึงเวลาที่หุ้นกลุ่มนี้จะชะลอตัวลงแล้ว และปัจจัยนี้ก็อาจจะส่งผลบวกต่อหุ้นกลุ่มอื่น ๆ ในสหรัฐที่เคยปรับตัวอย่างอ่อนแอในช่วงต้นปีนี้ ทั้งนี้ ดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐพุ่งขึ้นมาแล้ว 14.6% จากช่วงต้นปีนี้ แต่การพุ่งขึ้นส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในหุ้นกลุ่มใหญ่เพียง 2 กลุ่มจากทั้งหมด 11 กลุ่ม ซึ่งได้แก่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศ (ไอที) ที่พุ่งขึ้น 28.2% จากช่วงต้นปีนี้ และหุ้นกลุ่มบริการการสื่อสารที่ทะยานขึ้น 24.3% จากช่วงต้นปีนี้ ส่วนหุ้นกลุ่มอื่น ๆ ปรับขึ้นในอัตราที่น้อยกว่านี้มาก ซึ่งรวมถึงหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคที่พุ่งขึ้น 9.5% จากช่วงต้นปีนี้, หุ้นกลุ่มการเงินที่ทะยานขึ้น 9.4%, หุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นที่บวกขึ้น 8.7%, หุ้นกลุ่มพลังงานที่ปรับขึ้น 7.5%, หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมที่บวกขึ้น 7.3%, หุ้นกลุ่มการแพทย์ที่ปรับขึ้น 7.3%, หุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยที่บวกขึ้น 4.2% และหุ้นกลุ่มวัสดุที่ปรับขึ้น 3.9% ทางด้านหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ดิ่งลงมาแล้ว 5.0% จากช่วงต้นปีนี้
นักลงทุนหลายรายคาดว่า หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีของสหรัฐมีแนวโน้มที่แข็งแกร่งในระยะยาว โดยได้รับแรงหนุนจากผลกำไรของบริษัทกลุ่มนี้ และจากกระแสความนิยมในเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยปัจจัยดังกล่าวมีส่วนช่วยหนุนให้หุ้นบริษัทเอ็นวิเดียพุ่งขึ้นมาแล้ว 155% จากช่วงต้นปีนี้ อย่างไรก็ดี ราคาหุ้นที่พุ่งสูงก็ส่งผลให้นักลงทุนกังวลกันว่า หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีอาจทะยานขึ้นอย่างร้อนแรงจนเกินไปในช่วงที่ผ่านมา และนักลงทุนก็มองว่า หุ้นบริษัทขนาดเล็ก และหุ้นคุณค่า ซึ่งรวมถึงหุ้นกลุ่มการเงินและหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรม อาจจะเหมาะต่อการเข้าช้อนซื้อในช่วงนี้ ทั้งนี้ นายไมเคิล เพอร์เวส ซีอีโอของบริษัททอลล์แบคเคน แคปิตัล แอดไวเซอร์สกล่าวว่า "หุ้นเอ็นวิเดียพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วมากในช่วงที่ผ่านมา และการพุ่งขึ้นแบบนี้ก็ส่งผลให้คุณไม่ต้องการที่จะเทขายหุ้นดังกล่าวออกมาเป็นคนสุดท้าย" และเขากล่าวเสริมว่า "นักลงทุนต้องการจะลงทุนในการพุ่งขึ้นของตลาดหุ้น ดังนั้นถ้าหากนักลงทุนขายหุ้นเอ็นวิเดียออกมา ก็มีแนวโน้มสูงที่เงินลงทุนจะไหลเข้าสู่หุ้นคุณค่าและหุ้นกลุ่มวัฏจักรเศรษฐกิจ"
ถ้าหากนักลงทุนโยกย้ายเงินลงทุนออกจากหุ้นบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ การทำเช่นนี้ก็จะช่วยลดความกังวลเรื่องการกระจุกตัวในตลาดหุ้นในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยบริษัทเอสแอนด์พี ดาวโจนส์ อินไดเซสรายงานว่า การลงทุนในดัชนี S&P 500 ให้ผลตอบแทนสูงกว่า 14% นับตั้งแต่ช่วงต้นปีนี้ แต่ราว 60% ของผลตอบแทนดังกล่าวมาจากบริษัทเพียงแค่ 5 แห่งเท่านั้น ซึ่งได้แก่บริษัทเอ็นวิเดีย, ไมโครซอฟท์, เมตา แพลตฟอร์มส์, แอลฟาเบท และอะเมซอนดอทคอม ทั้งนี้ เริ่มมีสัญญาณบ่งชี้ถึงการชะลอตัวในภาคเทคโนโลยีปรากฏออกมาแล้วในช่วงนี้ โดยหุ้นเอ็นวิเดียดิ่งลงมาแล้วราว 10% จากจุดสูงสุดของวันพฤหัสบดีที่ 20 มิ.ย. และส่งผลให้บริษัทเอ็นวิเดียก้าวลงจากตำแหน่งบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก
นายเพอร์เวสตั้งข้อสังเกตว่า มีสัญญาณบางประการที่บ่งชี้ว่า หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีพุ่งขึ้นมากเกินไปแล้ว โดยสัญญาณดังกล่าวรวมถึงดัชนี RSI สำหรับหุ้นบริษัทที่ใหญ่ที่สุด 6 แห่งในตลาดหุ้นสหรัฐ ซึ่งเป็นดัชนีที่ใช้วัดความเร็วและขนาดความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นกลุ่มนี้ โดยดัชนีดังกล่าวได้พุ่งขึ้นแตะสถิติสูงสุดใหม่ ทั้งนี้ นักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายย่อยก็คาดการณ์ในทางบวกต่อตลาดหุ้นเป็นอย่างมากด้วย และนักลงทุนบางรายมองว่าสิ่งนี้ถือเป็นเครื่องบ่งชี้แบบสวนกระแส เพราะสิ่งนี้หมายความว่า เป็นเรื่องยากที่จะเกิดเหตุการณ์ที่สร้างความประหลาดใจในทางบวกต่อนักลงทุนได้
ผลสำรวจความเชื่อมั่นของสมาคมนักลงทุนรายย่อยสหรัฐ (AAII) อยู่ที่ระดับ 44% ในช่วงสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 19 มิ.ย. ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวราว 8% ทางด้านแบงก์ ออฟ อเมริกา โกลบัล รีเสิร์ชระบุในผลสำรวจล่าสุดว่า ระดับความเชื่อมั่นของผู้จัดการกองทุนพุ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดนับตั้งแต่ปลายปี 2021 ในขณะที่นักลงทุนปรับลดการถือครองเงินสด และปรับเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้น ทั้งนี้ ถึงแม้หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีย่อตัวลงในอนาคต ก็ไม่มีสัญญาณบ่งชี้ว่านักลงทุนจะหลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและหุ้นเติบโตเป็นเวลานาน เพราะว่าดัชนี Nasdaq 100 พุ่งขึ้นมาแล้วกว่า 400% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา แต่ดัชนี Russell 1000 สำหรับหุ้นกลุ่มคุณค่าของสหรัฐปรับขึ้นเพียงราว 70% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ ดัชนีหุ้นกลุ่มคุณค่าก็บวกขึ้น 5.6% จากช่วงต้นปีนี้ ในขณะที่ดัชนีหุ้นบริษัทขนาดเล็กของสหรัฐปรับลง 0.5% จากช่วงต้นปีนี้--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--29 เม.ย.--รอยเตอร์
นักวิเคราะห์ตลาดหุ้นสหรัฐระบุว่า หุ้นบริษัทสหรัฐมีมูลค่าสูงในปัจจุบัน และปัจจัยนี้ส่งผลให้นักลงทุนเทขายหุ้นบริษัทที่มีผลกำไรน่าผิดหวังออกมาในช่วงนี้ ซึ่งรวมถึงหุ้นบริษัทเมตา แพลตฟอร์มส์ที่ดิ่งลง 10.56% ในวันพฤหัสบดีที่ 28 เม.ย. หลังจากบริษัทแม่ของเฟซบุ๊กแห่งนี้เปิดเผยผลประกอบการออกมา และรวมถึงหุ้นของบริษัทแคเทอร์พิลลาร์ที่รูดลง 7% หลังจากแคเทอร์พิลลาร์ประกาศเตือนเรื่องยอดขาย ทางด้านนักยุทธศาสตร์การลงทุนของธนาคารเจพีมอร์แกนระบุว่า บริษัทในดัชนี S&P 500 ที่เปิดเผยผลกำไรที่ดีเกินคาดในไตรมาสนี้มีราคาหุ้นพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งกว่าบริษัทโดยรวมเพียงแค่ราว 0.2% เท่านั้น แต่บริษัทสหรัฐที่มีผลกำไรต่ำเกินคาดมีราคาหุ้นปรับตัวอ่อนแอกว่าบริษัทโดยรวมถึง 4% ซึ่งถือเป็นการปรับตัวอ่อนแอกว่าตลาดหุ้นโดยรวมครั้งใหญ่ที่สุดในรอบอย่างน้อย 8 ปี ทั้งนี้ ในบรรดาบริษัทสหรัฐที่รายงานผลประกอบการไตรมาสล่าสุดออกมาแล้วนั้น บริษัท 78% เปิดเผยผลกำไรไตรมาสแรกที่ดีเกินคาด และมีแนวโน้มว่าผลกำไรไตรมาสแรกของบริษัทในดัชนี S&P 500 อาจปรับขึ้น 5.6% เมื่อเทียบรายปี
บริษัท 2 แห่งในกลุ่ม Magnificent Seven หรือบริษัทขนาดยักษ์ 7 แห่งของสหรัฐที่ประกอบด้วย บริษัทแอปเปิล, ไมโครซอฟท์, แอลฟาเบท, อะเมซอนดอทคอม, เอ็นวิเดีย, เมตา แพลตฟอร์มส์ และเทสลา จะรายงานผลประกอบการออกมาในสัปดาห์นี้ โดยบริษัทอะเมซอนในกลุ่มนี้มีกำหนดที่จะรายงานผลประกอบการในวันอังคารนี้ และแอปเปิลมีกำหนดจะรายงานผลประกอบการในวันพฤหัสบดี หลังจากเทสลาและเมตา แพลตฟอร์มส์เปิดเผยผลประกอบการที่ไร้ทิศทางชัดเจนในช่วงที่ผ่านมา ทั้งนี้ หุ้นแอปเปิลดิ่งลงมาแล้วกว่า 10% จากช่วงต้นปีนี้ และนักลงทุนคาดว่าแอปเปิลอาจจะรายงานว่า ผลกำไรร่วงลงในไตรมาสแรก หลังจากยอดขนส่งโทรศัพท์สมาร์ตโฟนของแอปเปิลในจีนดิ่งลง 19% ในไตรมาสแรก ทางด้านหุ้นอะเมซอนพุ่งขึ้นมาแล้วราว 18% จากช่วงต้นปีนี้ ในขณะที่นักลงทุนจะมุ่งความสนใจไปยังธุรกิจประมวลผลระบบคลาวด์ของอะเมซอน และจะจับตาดูความเห็นของอะเมซอนที่มีต่อปริมาณการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคสหรัฐด้วย
ไมโครซอฟท์กับแอลฟาเบทเพิ่งเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่งในวันพฤหัสบดี และปัจจัยดังกล่าวมีส่วนช่วยหนุนให้ดัชนี S&P 500 ปิดตลาดสัปดาห์ที่แล้วด้วยการพุ่งขึ้นรายสัปดาห์ครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ต้นเดือนพ.ย. หลังจากดัชนีเพิ่งย่อตัวลง 5% ครั้งแรกของปีนี้ โดยดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้นมาแล้วราว 7% ในปี 2024 และทะยานขึ้นมาแล้วราว 24% นับตั้งแต่ปลายเดือนต.ค. 2023 ทั้งนี้ นายริค เมคเลอร์ หุ้นส่วนของบริษัทเชอร์รี เลน อินเวสท์เมนท์กล่าวว่า บริษัทสหรัฐรายงานผลประกอบการที่ดีในฤดูนี้ แต่บริษัทแห่งใดก็ตามที่รายงานผลประกอบการที่อ่อนแอเกินคาดจะเผชิญกับแรงเทขายอย่างหนักหน่วง นอกจากนี้ นักลงทุนบางรายก็มองว่า การที่ตลาดหุ้นสหรัฐพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมามีส่วนทำให้นักลงทุนพร้อมที่จะเทขายหุ้นบริษัทที่มีผลกำไรอ่อนแอเกินคาดด้วย โดยขณะนี้ค่าพีอีเรโชของดัชนี S&P 500 อยู่ที่ 20 เท่าของคาดการณ์ผลกำไรล่วงหน้า ซึ่งอยู่สูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 15.7 เท่าเป็นอย่างมาก
นักยุทธศาสตร์การลงทุนของเจพีมอร์แกนระบุว่า "เรามองว่า บริษัทที่มีผลกำไรดีเกินคาดอาจจะไม่ได้มีราคาหุ้นพุ่งขึ้นในฤดูนี้ เพราะว่าตลาดหุ้นพุ่งขึ้นมาแล้วอย่างแข็งแกร่งก่อนฤดูการรายงานผลประกอบการ และสถานะการลงทุนก็อยู่สูงมากอยู่แล้ว" ทั้งนี้ หุ้นเทสลาพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในสัปดาห์ที่แล้ว โดยพุ่งขึ้น 14.4% จาก 147.05 ดอลลาร์ในวันศุกร์ที่ 19 เม.ย. สู่ 168.29 ดอลลาร์ในวันศุกร์ที่ 26 เม.ย. หลังจากเทสลาประกาศว่า เทสลาจะเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ในช่วงต้นปี 2025 และนักลงทุนบางรายมองว่า หุ้นเทสลาได้รับแรงหนุนจากคำสั่งช้อนซื้อเก็งกำไรด้วย ในขณะที่หุ้นเทสลายังคงดิ่งลงมาแล้วกว่า 30% จากช่วงต้นปีนี้
นักลงทุนจับตาดูการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐด้วยเช่นกัน ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีพุ่งขึ้นแตะ 4.739% ในวันที่ 25 เม.ย. ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่ต้นเดือนพ.ย. หรือจุดสูงสุดรอบ 5 เดือน หลังจากมีสัญญาณบ่งชี้ว่าอัตราเงินเฟ้อสหรัฐอยู่สูงเกินคาด โดยการพุ่งขึ้นของอัตราผตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยิลด์) อาจจะส่งผลลบต่อตลาดหุ้นสหรัฐ--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
กรุงเทพฯ--29 ม.ค.--รอยเตอร์
ดัชนีดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินขยับลงเล็กน้อยในวันศุกร์ หลังจากสหรัฐรายงานตัวเลขอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยในเดือนธ.ค. แต่อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มร่วงลงในอนาคต และปัจจัยดังกล่าวบ่งชี้ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ยังคงมีแนวโน้มที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงภายในช่วงกลางปีนี้ ทั้งนี้ สำนักงานวิเคราะห์เศรษฐกิจในกระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานในวันศุกร์ว่า ดัชนีราคาค่าใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ซึ่งถือเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่เฟดนิยมใช้ ปรับขึ้น 0.2% ในเดือนธ.ค.เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากขยับขึ้น 0.1% ในเดือนพ.ย. ส่วนดัชนี PCE ทั่วไปแบบเทียบรายปีปรับขึ้น 2.6% ในเดือนธ.ค. หลังจากปรับขึ้น 2.6% ในเดือนพ.ย.เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเท่ากับว่าอัตราเงินเฟ้ออยู่ต่ำกว่าระดับ 3% มาเป็นเวลานาน 3 เดือนติดต่อกัน ทางด้านดัชนี PCE พื้นฐานที่ไม่รวมราคาอาหารและพลังงานปรับขึ้น 0.2% ในเดือนธ.ค.เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากขยับขึ้น 0.1% ในเดือนพ.ย. ในขณะที่ดัชนี PCE พื้นฐานแบบเทียบรายปีปรับขึ้น 2.9% ในเดือนธ.ค. ซึ่งถือเป็นอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค. 2021 หลังจากปรับขึ้น 3.2% ในเดือนพ.ย.เมื่อเทียบรายปี Eikon source text
ดัชนีดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินอยู่ที่ 103.47 ในช่วงท้ายตลาดวันศุกร์ โดยขยับลงจาก 103.50 ในช่วงท้ายตลาดวันพฤหัสบดี โดยดัชนีดอลลาร์ปิดตลาดสัปดาห์นี้ในแดนบวกเป็นสัปดาห์ที่ 4 ติดต่อกัน
ดอลลาร์/เยนอยู่ที่ 148.16 เยนในช่วงท้ายตลาดวันศุกร์ โดยแข็งค่าขึ้นจากระดับปิดตลาดวันพฤหัสบดีที่ 147.65 เยน
ยูโร/ดอลลาร์อยู่ที่ 1.0852 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันศุกร์ โดยขยับขึ้นจาก 1.0846 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันพฤหัสบดี หลังจากดิ่งลงแตะจุดต่ำสุดรอบ 6 สัปดาห์ที่ 1.0811 ดอลลาร์ในระหว่างวัน โดยยูโรปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการอ่อนค่าลง 0.41% จากสัปดาห์ที่แล้ว
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ของตลาดหุ้นสหรัฐปิดบวกขึ้นในวันศุกร์ แต่ดัชนี S&P 500 และดัชนี Nasdaq ปรับลงในวันศุกร์ ในขณะที่หุ้นบริษัทอินเทลดิ่งลง 11.91% หลังจากอินเทลคาดการณ์รายได้ที่ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ในตลาดเป็นอย่างมาก ในขณะที่อินเทลพยายามไล่ตามบริษัทอื่น ๆ ในการแข่งขันกันในธุรกิจปัญญาประดิษฐ์ (AI) และอินเทลต้องรับมือกับตลาดเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (พีซี) ที่อ่อนแอ ทางด้านหุ้นเคแอลเอ คอร์ป ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์ผลิตชิปดิ่งลง 6.6% หลังจากเคแอลเอคาดการณ์รายได้ไตรมาสสามที่น่าผิดหวัง นอกจากนี้ ดัชนีฟิลาเดลเฟียสำหรับหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐก็รูดลง 2.9% ในวันศุกร์ และปิดตลาดในแดนลบเป็นวันที่สองติดต่อกัน หลังจากดัชนีเพิ่งพุ่งขึ้นมาปิดตลาดที่สถิติระดับปิดสูงสุดใหม่ในวันพุธที่ผ่านมา ทั้งนี้ ในบรรดาบริษัทในดัชนี S&P 500 ที่เปิดเผยผลประกอบการออกมาแล้วนั้น บริษัท 78.2% เปิดเผยผลกำไรที่ดีเกินคาด ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 67% โดยหุ้นบริษัทอเมริกัน เอ็กซ์เพรสพุ่งขึ้น 7.1% ในวันศุกร์ และทะยานขึ้นแตะสถิติสูงสุดใหม่ หลังจากบริษัทบัตรเครดิตแห่งนี้คาดการณ์ผลกำไรประจำปีที่สูงเกินคาด อย่างไรก็ดี หุ้นบริษัทวีซ่าดิ่งลง 1.7% หลังจากวีซ่าคาดการณ์รายได้ไตรมาสปัจจุบันที่ระดับต่ำ Eikon source text
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวกขึ้น 0.16% สู่ 38,109.43 ในวันศุกร์ และปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการปรับขึ้น 0.65% จากสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งถือเป็นการปิดตลาดรายสัปดาห์ในแดนบวกเป็นสัปดาห์ที่ 3 ติดต่อกัน
ดัชนี S&P 500 ปิดขยับลง 0.07% สู่ 4,890.97 ในวันศุกร์ หลังจากดัชนีเพิ่งปิดตลาดที่สถิติระดับปิดสูงสุดใหม่มาได้นาน 5 วันติดต่อกัน อย่างไรก็ดี ดัชนี S&P ปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการพุ่งขึ้น 1.06% จากสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งถือเป็นการปิดตลาดรายสัปดาห์ในแดนบวกเป็นสัปดาห์ที่ 3 ติดต่อกัน
ดัชนี Nasdaq ปิดปรับลง 0.36% สู่ 15,455.36 ในวันศุกร์ แต่ดัชนี Nasdaq ปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการทะยานขึ้น 0.94% จากสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งถือเป็นการปิดตลาดรายสัปดาห์ในแดนบวกเป็นสัปดาห์ที่ 3 ติดต่อกัน
ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX พุ่งขึ้นในวันศุกร์ และปิดตลาดสัปดาห์นี้ในแดนบวกเป็นสัปดาห์ที่ 2 ติดต่อกัน โดยได้รับแรงหนุนจากปัจจัยหลายประการ ซึ่งรวมถึงรายงานที่ระบุว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของสหรัฐเติบโต 3.3% ในไตรมาสสี่เมื่อเทียบเป็นตัวเลขเต็มปี (annualized) หลังจากเติบโต 4.9% ในไตรมาสสาม โดยอัตราการเติบโตนี้อยู่สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ 2% สำหรับไตรมาสสี่, ตัวเลขอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐที่ชะลอตัวลง, สัญญาณบ่งชี้ว่าจีนดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ, การที่ยูเครนใช้โดรนโจมตีโรงกลั่นน้ำมันในภาคใต้ของรัสเซีย, ตัวเลขสต็อกน้ำมันดิบในคลังสหรัฐที่ดิ่งลง 9.2 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ล่าสุด และความขัดแย้งในภูมิภาคคะวันออกกลาง ในขณะที่โฆษกของกลุ่มฮูตีประกาศว่า ทางกลุ่มได้โจมตีเรือขนส่งน้ำมันลำหนึ่งในอ่าวเอเดน และข่าวนี้ทำให้นักลงทุนกังวลว่าอาจจะเกิดการขาดตอนของอุปทานน้ำมัน ทั้งนี้ บริษัทเบเกอร์ ฮิวจ์รายงานในวันศุกร์ว่า จำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันที่ใช้งานในสหรัฐเพิ่มขึ้น 2 แท่น สู่ 499 แท่นในช่วงสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 26 ม.ค. ส่วนคณะกรรมการการค้าสัญญาล่วงหน้าสินค้าโภคภัณฑ์ของสหรัฐ (CFTC) รายงานในวันศุกร์ว่า ผู้จัดการกองทุนปรับเพิ่มปริมาณการถือครองสถานะซื้อสุทธิในสัญญาล่วงหน้าและออปชั่นน้ำมันดิบสหรัฐขึ้น 56,134 สัญญา สู่ 99,144 สัญญาในช่วงสัปดาห์สิ้นสุดวันอังคารที่ 23 ม.ค. Eikon source text
ราคาน้ำมันดิบสหรัฐส่งมอบเดือนมี.ค.ปรับขึ้น 65 เซนต์ หรือ 0.8% มาปิดตลาดที่ 78.01 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งถือเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย.
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนมี.ค.ที่ตลาดกรุงลอนดอนพุ่งขึ้น 1.12 ดอลลาร์ หรือ 1.4% มาปิดตลาดที่ 83.55 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งถือเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 30 พ.ย. โดยทั้งราคาน้ำมันดิบสหรัฐและเบรนท์ต่างก็ปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการพุ่งขึ้นกว่า 6% จากสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งถือเป็นการพุ่งขึ้นรายสัปดาห์ครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ช่วงสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 13 ต.ค. หรือนับตั้งแต่เกิดสงครามระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาส
ราคาทองสปอตที่ตลาดสหรัฐขยับลง 1.41 ดอลลาร์ สู่ 2,018.34 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงท้ายตลาดวันศุกร์ และปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการปรับลง 0.54% จากสัปดาห์ที่แล้ว ในขณะที่นักลงทุนรอดูการประชุมกำหนดนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 30-31 ม.ค. เพื่อใช้ในการประเมินแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในสหรัฐ ทั้งนี้ ค่าพรีเมียมทองในจีนปรับขึ้นในสัปดาห์นี้ ในขณะที่จีนดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม และมาตรการดังกล่าวช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นของนักลงทุนในช่วงก่อนถึงเทศกาลตรุษจีน Eikon source text
--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
บริษัทที่ได้รับการจัดอันดับสูงหลากหลายบริษัทเตรียมที่จะระดมทุน 1.45 หมื่นล้านดอลลาร์จากการขายหุ้นกู้ใหม่เพื่อฉวยโอกาสจากความต้องการสูงของนักลงทุนสำหรับหุ้นกู้ภาคเอกชนที่มีคุณภาพ โดยดำเนินการก่อนความผันผวนที่อาจจะเกิดขึ้นในตลาดโดยรวม
ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐปรับตัวขึ้นมาตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว และตลาดโดยรวมผันผวน หลังจากกระทรวงการคลังสหรัฐคาดการณ์ว่าจะมีการออกพันธบัตรมากกว่าคาดในไตรมาส 3 และบริษัทฟิทช์ เรทติงส์ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐ
แต่นั่นแทบไม่ได้มีผลกระทบต่อความต้องการหุ้นกู้สกุลดอลลาร์ของบริษัทที่ออกหุ้นกู้ที่มีอันดับน่าลงทุน เนื่องจากนักลงทุนสนใจผลตอบแทนโดยรวมที่ยังคงสูงกว่าผลตอบแทนของทั่วโลก ซึ่งความต้องการดังกล่าวช่วยทำให้ค่าสเปรดหุ้นกู้ภาคเอกชนตึงตัว หรือค่าพรีเมียมที่บริษัทออกหุ้นกู้จ่ายมากกว่าพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ
คาดว่าจะมีการขายหุ้นกู้ที่มีอันดับน่าลงทุนใหม่มูลค่าราว 3.0 หมื่นล้านดอลลาร์ในสัปดาห์นี้ก่อนการเปิดเผยข้อมูลเงินเฟ้อในวันพฤหัสบดีและศุกร์นี้ ซึ่งรวมถึงข้อมูลดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนก.ค. ซึ่งอาจจะทำให้ตลาดผันผวนมากขึ้น
ถ้าปริมาณการออกหุ้นกู้สอดคล้องกับที่คาดการณ์ไว้ ยอดรวมทั้งหมดของเดือนส.ค.ก็อาจจะเพิ่มขึ้นเป็น 4.5 หมื่นล้านดอลลาร์ภายในปลายสัปดาห์นี้ แต่ก็จะยังคงต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่คาดว่าจะมีปริมาณหุ้นกู้รวม 9.0-9.5 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนส.ค.--จบ--
Eikon source text
นิวยอร์ค--1 ก.พ.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดพุ่งขึ้นในวันอังคาร หลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ดัชนีต้นทุนการจ้างงาน (ECI) ซึ่งถือเป็นมาตรวัดต้นทุนแรงงานในวงกว้างที่สุดในสหรัฐ ปรับขึ้น 1.0% ในไตรมาส 4/2022 เมื่อเทียบรายไตรมาส ซึ่งถือเป็นการปรับขึ้นที่น้อยที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาส 4/2021 และอยู่ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ในโพลล์รอยเตอร์ที่ +1.1% หลังจากดัชนี ECI ปรับขึ้น 1.2% ในไตรมาสเดือนก.ค.-ก.ย. 2022 ทางด้านค่าแรงและเงินเดือนในสหรัฐปรับขึ้น 1.0% ในไตรมาส 4/2022 ซึ่งถือเป็นการปรับขึ้นที่น้อยที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาส 4/2021 ด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ นักลงทุนบางรายมองว่า รายงานตัวเลขนี้แสดงให้เห็นว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างแข็งกร้าวของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในช่วงที่ผ่านมากำลังประสบความสำเร็จในการทำให้อัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลง
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดพุ่งขึ้น 1.09% สู่ 34,086.04, ดัชนี S&P 500 ปิดทะยานขึ้น 1.46% สู่ 4,076.6 และดัชนี Nasdaq ปิดพุ่งขึ้น 1.67% สู่ 11,584.55 ทั้งนี้ ดัชนี S&P 500 ปิดตลาดเดือนม.ค.ด้วยการพุ่งขึ้น 6.2% จากเดือนธ.ค. ส่วนดัชนี Nasdaq ทะยานขึ้น 10.7% ในเดือนม.ค. ซึ่งถือเป็นอัตราการพุ่งขึ้นครั้งใหญ่ที่สุดสำหรับเดือนม.ค.ในแต่ละปีนับตั้งแต่ปี 2001 เป็นต้นมา
นักลงทุนในตลาดสัญญาล่วงหน้าคาดการณ์ว่า มีโอกาส 97.9% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ 4.50-4.75% ในการประชุมวันที่ 31 ม.ค.-1 ก.พ. และมีโอกาสเพียง 2.1% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% สู่ 4.75-5.00% ในการประชุมวันที่ 31 ม.ค.-1 ก.พ.
หุ้นทั้ง 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐปิดตลาดในแดนบวกในวันอังคาร โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มวัสดุกับหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยที่พุ่งขึ้นกว่า 2% ทั้งนี้ นักลงทุนจับตาดูผลประกอบการของบริษัทสหรัฐในช่วงนี้ โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิลในกลุ่มน้ำมันพุ่งขึ้น 2.2% ในวันอังคาร หลังจากเอ็กซอนรายงานว่ามีผลกำไรสุทธิ 5.6 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2022 ซึ่งถือเป็นการทำสถิติสูงสุดใหม่สำหรับอุตสาหกรรมน้ำมันในชาติตะวันตก ทางด้านหุ้นยูไนเต็ด พาร์เซล เซอร์วิส (UPS) ทะยานขึ้น 4.7% หลังจาก UPS เปิดเผยผลกำไรรายไตรมาสที่สูงเกินคาด
หุ้นเจเนอรัล มอเตอร์ส (GM) ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์พุ่งขึ้น 8.3% หลังจาก GM คาดการณ์ผลกำไรปี 2023 ที่สูงเกินคาด ทั้งนี้ หุ้นแคเทอร์พิลลาร์ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตเครื่องจักรดิ่งลง 3.5% หลังจากทางบริษัทรายงานว่า ผลกำไรไตรมาส 4 ดิ่งลง 29% ส่วนหุ้นแมคโดนัลด์รูดลง 1.3% หลังจากแมคโดนัลด์ประกาศเตือนว่า ภาวะเงินเฟ้อจะส่งผลลบต่ออัตราผลกำไรในปี 2023--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
เครื่องมือออกแบบโปสเตอร์
โครงการพันธมิตร
ความเสี่ยงของการสูญเสียในการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น หุ้น FX สินค้าโภคภัณฑ์ ฟิวเจอร์ส พันธบัตร ETFs หรือเงินดิจิทัลอาจมีมาก คุณอาจสูญเสียเงินทุนทั้งหมดที่คุณฝากไว้กับโบรกเกอร์ของคุณ ดังนั้น คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบว่าการซื้อขายดังกล่าวเหมาะสมกับคุณหรือไม่ในสถานการณ์และทรัพยากรทางการเงินของคุณ
ไม่ควรตัดสินใจลงทุนโดยไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบสถานะอย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วยตัวเองหรือปรึกษากับที่ปรึกษาทางการเงินของคุณ เนื้อหาเว็บของเราอาจไม่เหมาะกับคุณเนื่องจากเราไม่ทราบเงื่อนไขทางการเงินและความต้องการในการลงทุนของคุณ ข้อมูลทางการเงินของเราอาจมีความล่าช้าหรือมีความไม่ถูกต้อง ดังนั้นคุณควรรับผิดชอบอย่างเต็มที่ต่อการตัดสินใจซื้อขายและการลงทุนของคุณ บริษัทจะไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียเงินทุนของคุณ
หากไม่ได้รับอนุญาตจากเว็บไซต์ คุณจะไม่สามารถคัดลอกกราฟิก ข้อความ หรือเครื่องหมายการค้าของเว็บไซต์ได้ สิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาในเนื้อหาหรือข้อมูลที่รวมอยู่ในเว็บไซต์นี้เป็นของผู้ให้บริการและผู้ค้าแลกเปลี่ยน
ไม่ได้ล็อกอิน
เข้าสู่ระบบเพื่อเข้าถึงฟังก์ชั่นเพิ่มเติม

สมาชิก FastBull
ยังไม่ได้เปิด
สมัคร
เข้าสู่ระบบ
ลงทะเบียน