ตลาด
ข่าวสาร
การวิเคราะห์
ผู้ใช้
24x7
ปฏิทินเศรษฐกิจ
แหล่งเรียนรู้
ข้อมูล
- ชื่อ
- ค่าล่าสุด
- ครั้งก่อน












สัญญาณ VIP
ทั้งหมด
ทั้งหมด



สหรัฐอเมริกา การเลิกจ้างพนักงานบริษัทชาเลนเจอร์ เกรย์ และคริสต์มาส MoM (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ค่าเฉลี่ยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก4 สัปดาห์ (SA)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์ (SA)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานต่อรายสัปดาห์ (SA)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา Ivey PMI (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา Ivey PMI (Not SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา คำสั่งซื้อสินค้าคงทนนอกกระทรวงกลาโหมที่ได้แก้ไข MoM (ไม่รวมเครื่องบิน)(SA) (ก.ย.)ค:--
ค: --
สหรัฐอเมริกา คำสั่งซื้อโรงงาน MoM(ยกเว้นการขนส่ง) (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา คำสั่งซื้อโรงงาน MoM (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา คำสั่งซื้อโรงงาน MoM(ยกเว้นภาคกลาโหม) (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การเปลี่ยนแปลงสต็อกก๊าซธรรมชาติประจำสัปดาห์ของ EIAค:--
ค: --
ค: --
ซาอุดิอาระเบีย การผลิตน้ำมันดิบค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การถือครองธนารักษ์สหรัฐฯของธนาคารกลางต่างประเทศรายสัปดาห์ค:--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น เงินตราที่ใช้เป็นทุนสำรอง (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย อัตราขายคืนค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย ดอกเบี้ยอ้างอิงค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย อัตราขายคืนค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย อัตราเงินสดสำรองค:--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น อินดิเคเตอร์ชั้นนำเบื้องต้น (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหราชอาณาจักร ดัชนีราคาที่อยู่อาศัย Halifax YoY (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหราชอาณาจักร ดัชนีราคาที่อยู่อาศัย Halifax MoM (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส บัญชีเดินสะพัด (Not SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส ดุลการค้า (SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส การผลิตภาคอุตสาหกรรม MoM(SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
อิตาลี ดัชนียอดค้าปลีก MoM (SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงาน YoY (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน GDP Final YoY (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน GDP Final QoQ (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงาน QoQ (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงานสุดท้าย (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
บราซิล PPI MoM (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
เม็กซิโก ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา อัตราการว่างงาน (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา อัตราการมีส่วนร่วมในการจ้างงาน (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงาน (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงานนอกเวลา (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงานเต็มเวลา (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา รายได้ส่วนบุคคล MoM (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาธนาคารกลางรัฐดัลลาส สหรัฐอเมริกา PCE YoY (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคา PCE YoY (SA) (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคา PCE MoM (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา รายจ่ายส่วนบุคคล MoM(SA) (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาPCEหลักMoM (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา เงินเฟ้อเบื้องต้น UMich 5-YearYoY (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาPCEหลักYoY (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ค่าใช้จ่ายการบริโภคส่วนบุคคลที่จริง MoM (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การคาดการณ์เงินเฟ้อ 5-10 ปี (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีสถานภาพเบื้องต้น UMich ปัจจุบัน (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้น UMich (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อล่วงหน้า 1 ปี UMich (เบื้องต้น) (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีความคาดหวังผู้บริโภค UMich (เบื้องต้น) (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ปริมาณเครื่องเจาะทั้งหมดรายสัปดาห์--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ปริมาณเครื่องเจาะน้ำมันทั้งหมดรายสัปดาห์--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา สินเชื่ออุปโภคบริโภค (SA) (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ เงินตราที่ใช้เป็นทุนสำรอง (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ปริมาณการส่งออก YoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การนำเข้า YoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การนำเข้าYoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ดุลการค้า (CNH) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การส่งออก (พ.ย.)--
ค: --
ค: --


ไม่มีข้อมูลที่ตรงกัน
ทัศนคติล่าสุด
ทัศนคติล่าสุด
หัวข้อยอดนิยม
คอลัมนิสต์ยอดนิยม
อัปเดตล่าสุด
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
ดูผลการค้นหาทั้งหมด

ไม่มีข้อมูล
โตเกียว--7 ส.ค.--รอยเตอร์
ดอลลาร์/เยนพุ่งขึ้น 2.00% สู่ 147.19 เยนในวันนี้ หลังจากเพิ่งรูดลงแตะจุดต่ำสุดรอบ 7 เดือนที่ 141.675 เยนในวันจันทร์ และหลังจากเพิ่งปิดตลาดในแดนลบติดต่อกัน 5 วันในวันที่ 30 ก.ค.-5 ส.ค. โดยดอลลาร์/เยนยังคงดิ่งลงมาแล้วราว 9% จากจุดสูงสุดในรอบเกือบ 38 ปีที่ 161.96 เยนที่เคยทำไว้ในวันที่ 3 ก.ค. ทางด้านนักวิเคราะห์ระบุว่า การพุ่งขึ้นของเยนในช่วงนี้มีส่วนกดดันให้ตลาดหุ้นญี่ปุ่นดิ่งลงอย่างรุนแรงมากในวันจันทร์ หลังจากที่ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเคยพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา และเหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้นักลงทุนไม่แน่ใจว่า ความผันผวนของเยนในช่วงนี้จะส่งผลกระทบอย่างไรบ้างต่อแนวโน้มผลกำไรของบริษัทญี่ปุ่น ทั้งนี้ ดัชนีนิกเกอิของตลาดหุ้นญี่ปุ่นดิ่งลงราว 20% ในช่วงวันที่ 1-5 ส.ค. โดยดัชนีนิกเกอิรูดลง 12.4% ในวันจันทร์ที่ 5 ส.ค. ซึ่งถือเป็นการทำสถิติดิ่งลงครั้งใหญ่อันดับสอง ส่วนสถิติการดิ่งลงครั้งใหญ่ที่สุดเกิดขึ้นในเหตุการณ์ Black Monday ในเดือนต.ค. 1987 อย่างไรก็ดี ดัชนีนิกเกอิดีดกลับขึ้นมาได้บ้างในเวลาต่อมา โดยดัชนีพุ่งขึ้น 10.23% ในวันอังคาร และทะยานขึ้นราว 1.19% สู่ 35,089.62 ในวันนี้ แต่ดัชนียังคงดิ่งลงมาแล้วราว 17.3% จากสถิติสูงสุดที่ 42,426.77 ที่เคยทำไว้ในวันที่ 11 ก.ค.
แรงเทขายในตลาดหุ้นญี่ปุ่นในช่วงนี้มีสาเหตุบางส่วนมาจากการแข็งค่าของเยน หลังจากธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) ประกาศผลการประชุมกำหนดนโยบายออกมาในวันที่ 31 ก.ค. โดยระบุว่าบีโอเจปรับขึ้นเป้าหมายอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นจาก 0-0.1% สู่ 0.25% ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2008 โดยดอลลาร์/เยนได้ดิ่งลงจาก 152.76 เยนในช่วงท้ายวันที่ 30 ก.ค. จนลงไปแตะจุดต่ำสุดรอบ 7 เดือนที่ 141.675 เยนในวันจันทร์ ทั้งนี้ การอ่อนค่าของเยนในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาเคยช่วยหนุนตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพราะว่าการอ่อนค่าของเยนส่งผลดีต่อบริษัทส่งออกขนาดยักษ์หลายแห่งของญี่ปุ่น อย่างไรก็ดี เนื่องจากเยนแข็งค่าขึ้นในช่วงนี้ ดังนั้นนักลงทุนจึงจำเป็นจะต้องประเมินสถานการณ์ใหม่ว่า บริษัทญี่ปุ่นจะมีสถานะเป็นอย่างใดถ้าหากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากการอ่อนค่าของเยน
ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเคยพุ่งขึ้นเกือบ 30% ในปีที่แล้ว และเพิ่งพุ่งขึ้นแตะสถิติสูงสุดใหม่ในเดือนก.ค.ปีนี้ อย่างไรก็ดี นายอามีร์ อันวาร์ซาเดห์ จากบริษัทอะซิมเมทริก แอดไวเซอร์สกล่าวว่า "แรงหนุนทั้งหมดที่ดัชนีนิกเกอิ 225, หุ้นกลุ่มผู้ส่งออก และหุ้นบริษัทข้ามชาติเคยได้รับจากอัตราแลกเปลี่ยนได้หายไปหมดแล้ว" ทั้งนี้ การอ่อนค่าของเยนส่งผลให้ต้นทุนของธุรกิจขนาดเล็กและค่าใช้จ่ายของภาคครัวเรือนญี่ปุ่นพุ่งสูงขึ้น แต่การอ่อนค่าของเยนส่งผลดีต่อบริษัทส่งออกขนาดใหญ่ ซึ่งรวมถึงบริษัทโตโยต้า มอเตอร์ เพราะว่าการอ่อนค่าของเยนส่งผลให้สินค้าญี่ปุ่นมีราคาถูกลงในตลาดต่างประเทศ และการอ่อนค่าของเยนส่งผลให้ผลกำไรของบริษัทข้ามชาติเพิ่มสูงขึ้น เมื่อบริษัทเหล่านี้โอนย้ายผลกำไรจากต่างประเทศกลับเข้ามาในญี่ปุ่น ทางด้านโตโยต้า ซึ่งถือเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดในโลกระบุว่า อัตราแลกเปลี่ยนดอลลาร์/เยนที่เปลี่ยนแปลงไปทุก 1 เยน ส่งผลกระทบต่อผลกำไรของโตโยต้าราว 5.0 หมื่นล้านเยน (350 ล้านดอลลาร์) นอกจากนี้ โตโยต้ายังรายงานในสัปดาห์ที่แล้วอีกด้วยว่า ค่าเงินเยนส่งผลบวกราว 3.70 แสนล้านเยนต่อผลกำไรจากการดำเนินงานของโตโยต้าในไตรมาสล่าสุด
นักวิเคราะห์ระบุว่า ถึงแม้ภาคเอกชนของญี่ปุ่นยังคงมีพื้นฐานส่วนใหญ่ที่แข็งแกร่ง แรงเทขายหุ้นญี่ปุ่นในช่วงนี้ก็แสดงให้เห็นว่า ตลาดไม่ได้สะท้อนปัจจัยพื้นฐานเสมอไป นอกจากนี้ หุ้นกลุ่มผู้ส่งออกของญี่ปุ่นก็ได้รับแรงกดดันจากความกังวลเรื่องการชะลอตัวทางเศรษฐกิจในสหรัฐด้วย เพราะว่าสหรัฐนำเข้าสินค้าจำนวนมากจากญี่ปุ่น และสหรัฐถือเป็นตลาดที่สำคัญมากสำหรับอุตสาหกรรมรถยนต์ของญี่ปุ่น โดยนายทากาโตชิ อิโตชิมะ นักยุทธศาสตร์การลงทุนของบริษัทพิคเทท แอสเซท แมเนจเมนท์ เจแปนระบุว่า ถ้าหากเศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัวลง ยอดขายรถญี่ปุ่นก็จะได้รับความเสียหายเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ บริษัทซูบารุระบุในวันจันทร์ว่า ซูบารุยังคงคาดการณ์ว่าอัตราแลกเปลี่ยนดอลลาร์/เยนจะอยู่ที่ 142 เยนสำหรับช่วงตลอดทั้งปีนี้ และซูบารุระบุอีกด้วยว่า รายได้เกือบ 80% ของซูบารุในไตรมาสแรกมาจากทวีปอเมริกาเหนือ โดยนายคัทสึยุกิ มิสุมะ หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของซูบารุระบุว่า อัตราแลกเปลี่ยนดอลลาร์/เยนที่เปลี่ยนแปลงไปทุก 1 เยนส่งผลกระทบต่อผลกำไรจากการดำเนินงานของซูบารุราว 1.0 หมื่นล้านเยน
การแข็งค่าของเยนในช่วงนี้อาจจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในวงกว้างของญี่ปุ่น หลังจากที่การดิ่งลงอย่างรุนแรงของเยนในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาส่งผลให้ราคาผู้บริโภคพุ่งสูงขึ้น และทำให้นักลงทุนกังวลกับแนวโน้มการจับจ่ายใช้สอยของญี่ปุ่น ทั้งนี้ การดิ่งลงของเยนในช่วงที่ผ่านมา เคยส่งผลให้ผู้ก่อตั้งบริษัทฟาสต์ รีเทลลิง ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของยูนิโคลประกาศเตือนว่า การอ่อนค่าของเยนไม่มีข้อดี เพราะว่าญี่ปุ่นนำเข้าวัตถุดิบจากหลายประเทศทั่วโลกเพื่อนำมาใช้ในการผลิตสินค้าก่อนจะส่งออกไปต่างประเทศ--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
กรุงเทพ--24 มิ.ย.--รอยเตอร์
บริษัทเคาน์เตอร์พอยท์ รีเสิร์ชรายงานในวันศุกร์ที่ผ่านมาว่า ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าพุ่งสูงขึ้นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในช่วงนี้ โดยที่บริษัท BYD ของจีนและบริษัทวินฟาสต์ของเวียดนามครองตำแหน่งผู้นำในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของภูมิภาคนี้ และสิ่งนี้ก็ส่งผลลบต่อตลาดรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) ที่มีบริษัทญี่ปุ่นกับบริษัทเกาหลีใต้ครองตลาดอยู่ในตอนนี้ ทั้งนี้ ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้พุ่งขึ้นกว่า 2 เท่าในไตรมาสเดือนม.ค.-มี.ค.ปีนี้เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อน แต่ยอดขายรถยนต์ ICE ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ดิ่งลง 7% ในเวลาเดียวกัน
นายอภิค มุคเคอร์จี นักวิเคราะห์ของเคาน์เตอร์พอยท์กล่าวว่า "บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ของญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นผู้นำด้านยอดขายรถยนต์แบบดั้งเดิม ดำเนินการอย่างล่าช้าในการหันมาผลิต EV ดังนั้นบริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์ตามแบบฐาน (OEM) ของจีนจึงก้าวเข้ามาทำสิ่งนี้แทน" และเขากล่าวเสริมว่า "บริษัทจีนที่นำโดย BYD ครองส่วนแบ่งกว่า 70% ในยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในตอนนี้" หลังจากที่บริษัทจีนเคยครองส่วนแบ่งได้ถึง 75% ของยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในไตรมาส 1/2023
ประเทศไทยเป็นผู้นำในตลาดนี้ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในขณะที่ไทยถือเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของภูมิภาคนี้ และบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ของจีนมีภาระผูกพันในการลงทุนกว่า 1.44 พันล้านดอลลาร์ในการจัดตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแห่งใหม่ในไทย โดยไทยครองส่วนแบ่งได้ถึง 55% ของยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในไตรมาสแรก และยอดขายในไทยก็พุ่งขึ้น 44% จากเมื่อหนึ่งปีก่อน ทั้งนี้ ไทยถือเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ของภูมิภาคนี้ด้วย โดยทั้งบริษัทโตโยต้า มอเตอร์และบริษัทฮอนด้า มอเตอร์ของญี่ปุ่นต่างก็มีฐานการผลิตใหญ่ในไทย
เคาน์เตอร์พอยท์ รีเสิร์ชระบุว่า "เวียดนามมีการเติบโตที่น่าประทับใจมาก โดยยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) ในเวียดนามพุ่งขึ้นกว่า 400% และครองส่วนแบ่งได้สูงเกือบถึง 17% ของยอดขายทั้งหมดในภูมิภาคนี้" ทั้งนี้ ถ้าหากแยกตามบริษัทแล้ว บริษัท BYD ของจีนก็ครองอันดับหนึ่ง โดยครองส่วนแบ่งได้ถึง 47% ของตลาดภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่วนวินฟาสต์ครองอันดับสอง โดย BYD ได้รับแรงหนุนจากการที่ BYD เป็นหุ้นส่วนทางการจัดจำหน่ายกับบริษัทขนาดใหญ่ในภูมิภาคนี้ ซึ่งส่งผลให้ BYD ประสบความสำเร็จในภูมิภาคนี้ตั้งแต่ในช่วงแรก อย่างไรก็ดี ภูมิภาคนี้ยังคงถือว่าเป็นตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่มีขนาดเล็กเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่น ๆ
บริษัทเทสลาซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของสหรัฐมียอดขายพุ่งขึ้น 37% ในไตรมาสแรกในภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ แต่ครองส่วนแบ่งได้เพียง 4% ของยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในไตรมาสแรกในภูมิภาคนี้ โดยลดลงจากเดิม 2% ทั้งนี้ ประเทศไทย, อินโดนีเซีย และประเทศอื่น ๆ บางประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้ออกมาตรการจูงใจเพื่อกระตุ้นอุปสงค์ในรถยนต์ไฟฟ้าและเพื่อดึงดูดการลงทุนในช่วงนี้ และบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ของจีนก็ตอบรับต่อมาตรการจูงใจดังกล่าว ในขณะที่บริษัทจีนเผชิญกับการแข่งขันด้านราคาอย่างรุนแรงในจีน โดยนายมุคเคอร์จีกล่าวเสริมว่า "เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้กลายเป็นภูมิภาคสำคัญสำหรับการขยายตัวของบริษัทกลุ่ม OEM ของจีน"--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
โตเกียว--3 พ.ค.--รอยเตอร์
ภาคเอกชนของญี่ปุ่นเริ่มตั้งข้อสงสัยว่า การดิ่งลงมากเกินไปของเยนจะยังคงถือเป็นเรื่องที่ดีหรือไม่ โดยเยนเพิ่งดิ่งลงแตะ 160.245 เยนต่อดอลลาร์สหรัฐในวันจันทร์ที่ 29 เม.ย. ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 1990 หรือจุดต่ำสุดรอบ 34 ปี และเยนรูดลงมาแล้วราว 25% ในช่วงเวลาราว 2 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ โดยปกติแล้วการอ่อนค่าของเยนมักจะส่งผลบวกต่อภาคเอกชนของญี่ปุ่น เพราะว่ารถยนต์และสินค้าอื่น ๆ ของญี่ปุ่นจะมีราคาถูกลงในตลาดต่างประเทศ และสิ่งนี้จะช่วยหนุนผลกำไรของบริษัทญี่ปุ่น และจะส่งผลดีเมื่อบริษัทญี่ปุ่นโอนย้ายผลกำไรจากต่างประเทศกลับเข้ามาในญี่ปุ่นด้วย อย่างไรก็ดี การดิ่งลงของเยนส่งผลให้ราคาวัตถุดิบ, อาหาร และเชื้อเพลิงที่นำเข้าจากต่างประเทศพุ่งสูงขึ้น และสิ่งนี้สร้างความเสียหายต่อเกษตรกรที่นำเข้าปุ๋ยจากต่างประเทศ และสร้างความเสียหายต่อบริษัทผู้ผลิตขนาดเล็กของญี่ปุ่นที่พึ่งพาชิ้นส่วนที่นำเข้าจากจีน
ภาคครัวเรือนของญี่ปุ่นก็ได้รับความเสียหายจากการดิ่งลงของเยนเช่นเดียวกัน ในขณะที่ค่าแรงของคนงานญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นไม่มากนักในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทางด้านนักวิเคราะห์มองว่า ผลเสียที่ภาคครัวเรือนกับบริษัทขนาดเล็กของญี่ปุ่นได้รับจากการดิ่งลงของเยน อาจจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่นได้มากกว่าผลบวกที่บริษัทผู้ส่งออกของญี่ปุ่นได้รับ หรือมากกว่าผลบวกที่เกิดจากการที่ตลาดหุ้นญี่ปุ่นพุ่งขึ้นสู่สถิติสูงสุดใหม่ ทั้งนี้ บริษัทขนาดเล็กครองสัดส่วนราว 70% ของคนงานทั้งหมดในญี่ปุ่น และบริษัทขนาดเล็กมีความสามารถน้อยกว่าบริษัทขนาดใหญ่ในการผลักภาระต้นทุนที่สูงขึ้นไปให้แก่ลูกค้าท่ามกลางตลาดที่มีการแข่งขันสูง
นายมาซาคาสุ โทคุระ ประธานกรรมการกลุ่มเคดันเร็น ซึ่งเป็นกลุ่มล้อบบี้ทางธุรกิจที่ทรงอิทธิพลในญี่ปุ่นระบุในงานแถลงข่าวในสัปดาห์ที่แล้วว่า "เยนอยู่ในระดับที่อ่อนแอเกินไป" และเยนที่ระดับต่ำกว่า 150 เยนต่อดอลลาร์ไม่ได้สะท้อน "ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเศรษฐกิจญี่ปุ่น" ทั้งนี้ นายโคจิ ชิบาตะ ประธานและซีอีโอของบริษัท ANA Holdings ซึ่งเป็นบริษัทสายการบินอันดับหนึ่งของญี่ปุ่น กล่าวว่า เยนที่ระดับ 125 เยนต่อดอลลาร์จะถือเป็นระดับที่เหมาะสมมากกว่าในปัจจุบัน และเขากล่าวเสริมว่า "ค่าเงินเยนเป็นอุปสรรคขัดขวางผู้ที่ต้องการจะเดินทางไปต่างประเทศ โดยต้นทุนที่สูงขึ้นในต่างประเทศถือเป็นอุปสรรคใหญ่" ที่ขัดขวางไม่ให้ชาวญี่ปุ่นเดินทางไปต่างประเทศ ถึงแม้ว่าการดิ่งลงของเยนกระตุ้นให้มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากเดินทางเข้าสู่ญี่ปุ่นก็ตาม
มิตสึโกะ ทอทโทริ ประธานสายการบินเจแปน แอร์ไลน์กล่าวว่า เจแปน แอร์ไลน์อาจจะมีความจำเป็นต้องปรับขึ้นค่าตั๋วเครื่องบิน โดยเฉพาะในเส้นทางบินระหว่างประเทศ ถ้าหากค่าธรรมเนียมและการทำประกันความเสี่ยงด้านสกุลเงินไม่สามารถชดเชยต้นทุนพลังงานที่พุ่งสูงขึ้นเพราะการอ่อนค่าของเยนได้ และเธอกกล่าวเสริมว่า ค่าเงินเยนที่ 130 เยนต่อดอลลาร์จะส่งผลดีต่อเจแปน แอร์ไลน์ได้มากกว่าค่าเงินเยนในปัจจุบัน ทั้งนี้ นายทาดาชิ ยานาอิ ซึ่งเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดในญี่ปุ่น และเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทฟาสต์ รีเทลลิง ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของเครือข่ายร้านขายเสื้อผ้ายูนิโคล่ระบุว่า การอ่อนค่าของเยนไม่ได้ส่งผลดีต่อญี่ปุ่น เพราะญี่ปุ่นเป็นประเทศที่นำเข้าวัตถุดิบจากทั่วโลกเพื่อนำมาแปรรูปและเพิ่มมูลค่าก่อนจะนำออกขาย โดยเขาแสดงความเห็นแบบนี้ ถึงแม้ว่าการอ่อนค่าของเยนช่วยหนุนผลกำไรในต่างประเทศของยูนิโคล่ก็ตาม
นายทาคุ มินามิ หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของบริษัทโตเกียว แก๊สกล่าวในสัปดาห์ที่แล้วว่า การดิ่งลงอย่างรุนแรงเกินไปของเยนอาจจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่น และอาจจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจของโตเกียว แก๊สด้วย ทั้งนี้ ผู้บริหารบริษัทหลายแห่งระบุว่า ถึงแม้การดิ่งลงของเยนส่งผลบวกต่อผลกำไรของบริษัท ความผันผวนของเยนก็สร้างความยากลำบากต่อการวางแผนสำหรับอนาคต โดยนายเอริค จอห์นสัน ซีอีโอของ JSR ซึ่งเป็นผู้ผลิตวัสดุชิปกล่าวในวันอังคารว่า "การอ่อนค่าของเยนให้ผลประโยชน์บางประการสำหรับเรา แต่ในระยะยาวนั้น การอ่อนค่าของเยนส่งผลให้ห่วงโซ่อุปทานของเราและภาวะแวดล้อมทางธุรกิจเผชิญกับภาวะไร้เสถียรภาพมากยิ่งขึ้น" และเขากล่าวเสริมว่า "ผมมีความเห็นสอดคล้องกับผู้นำธุรกิจส่วนใหญ่ในประเด็นที่ว่า สิ่งที่สำคัญสำหรับเราก็คือเสถียรภาพและความสามารถในการคาดการณ์ล่วงหน้าได้"--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
ผลสำรวจของรอยเตอร์พบว่า การใช้จ่ายของภาคครัวเรือนญี่ปุ่นอาจลดลงมากขึ้นในเดือนมี.ค. ซึ่งจะตอกย้ำความยากลำบากที่ผู้กำหนดนโยบายกำลังเผชิญอยู่ในการทำให้เศรษฐกิจขยายตัวอย่างยั่งยืนเอง และปรับนโยบายการเงินให้เป็นปกติ
ค่ากลางจากความเห็นนักวิเคราะห์ 16 คนระบุว่า การใช้จ่ายภาคครัวเรือนในเดือนมี.ค.อาจลดลง 2.4% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว เทียบกับที่ลดลง 0.5% ในเดือนก.พ. และนั่นจะเป็นการลดลงเมื่อเทียบรายปีเป็นเดือนที่ 13 ติดต่อกัน และเป็นอัตราการลดลงมากที่สุดตั้งแต่เดือนม.ค.เมื่อลดลง 6.3%
เมื่อเทียบรายเดือน คาดว่าการใช้จ่ายภาคครัวเรือนจะลดลง 0.3% ในเดือนมี.ค. เทียบกับที่เพิ่มขึ้น 1.4% ในเดือนก.พ.
นอกจากนี้ คาดว่าข้อมูลดุลบัญชีเดินสะพัดจะพบว่ามียอดเกินดุล 3.49 ล้านล้านเยน(2.24 หมื่นล้านดอลลาร์) ในเดือนมี.ค. เทียบกับที่เกินดุล 2.64 ล้านล้านเยนในเดือนก.พ.
การอุปโภคบริโภคภาคครัวเรือนที่ย่ำแย่เป็นเหตุที่สร้างความกังวลให้แก่ผู้กำหนดนโยบาย ซึ่งต้องการเห็นวงจรการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่นำโดยการปรับค่าจ้างขึ้นมาก และการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่แข็งแกร่ง ทั้งนี้ ญี่ปุ่นจะประกาศข้อมูลการใช้จ่ายภาคครัวเรือน และข้อมูลดุลบัญชีเดินสะพัดในวันที่ 10 พ.ค.--จบ--
Eikon source text
ดัชนีวัดภาวะเศรษฐกิจของญี่ปุ่นลดลงเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกันในเดือนก.พ. ซึ่งเป็นสัญญาณที่บ่งชี้ถึงโมเมนตัมที่ชะลอตัวลง หลังจากญี่ปุ่นรอดพ้นจากภาวะถดถอยในไตรมาส 4 ได้อย่างหวุดหวิด
ดัชนี coincident indicator ซึ่งประเมินภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน ลดลง 1.2 จุดในเดือนก.พ. จากเดือนม.ค. สู่ระดับ 110.9 และการลดลงดังกล่าวมีสาเหตุมาจากยอดส่งออกและผลผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ตกต่ำลง ซึ่งบ่งชี้ว่า ผลกระทบจากปัญหาที่เกิดขึ้นกับการผลิตรถยนต์กำลังขยายวงกว้างออกไป
รัฐบาลระบุว่า "ดัชนีกำลังเปลี่ยนแปลงไปสู่ช่วงขาลง" โดยเป็นการทบทวนปรับลดการประเมินไปสู่ภาวะที่แสดงว่า เศรษฐกิจอาจแตะจุดสูงสุดของวงจร boom-and-bust ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาแล้ว
การอุปโภคบริโภคยังคงอ่อนแอ ขณะที่ค่าครองชีพที่สูงขึ้นกระทบภาคครัวเรือนก่อนที่พวกเขาจะเห็นค่าจ้างเพิ่มขึ้นมากกว่าอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งจะทำให้นักวิเคราะห์หลายคนคาดการณ์ว่า เศรษฐิจหดตัวลงในไตรมาสแรก
จีดีพีไตรมาส 4 ถูกทบทวนปรับขึ้นเป็นบวก 0.4% จากที่หดตัว 0.4% ซึ่งทำให้เศรษฐกิจหลีกเลี่ยงภาวะถดถอยทางเทคนิคได้--จบ--
Eikon source text
โตเกียว--14 มี.ค.--รอยเตอร์
แหล่งข่าวกล่าวว่า ธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) จะหารือเรื่องการยุตินโยบายอัตราดอกเบี้ยติดลบในการประชุมกำหนดนโยบายในวันที่ 18-19 มี.ค. ถ้าหากผลการเจรจาต่อรองเรื่องค่าแรงระหว่างบริษัทขนาดใหญ่ของญี่ปุ่นกับสหภาพแรงงาน ซึ่งจะได้รับการประกาศออกมาในวันศุกร์นี้ แสดงให้เห็นว่ามีการปรับขึ้นค่าแรงอย่างแข็งแกร่ง ทั้งนี้ บีโอเจใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยติดลบตั้งแต่ปี 2016 เป็นต้นมา ซึ่งถ้าหากบีโอเจตัดสินใจยุตินโยบายดังกล่าวในวันที่ 19 มี.ค. การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของบีโอเจในครั้งนี้ก็จะถือเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2007 เป็นต้นมา ทางด้านนักวิเคราะห์กล่าวว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของบีโอเจอาจจะส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินโลกเป็นอย่างมาก เพราะว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะส่งผลให้สถานะของญี่ปุ่นเปลี่ยนแปลงไป หลังจากญี่ปุ่นมีสถานะเป็นประเทศผู้จัดสรรเม็ดเงินดอกเบี้ยต่ำรายใหญ่เพียงประเทศเดียวในช่วงที่ผ่านมา
บริษัทขนาดใหญ่หลายแห่งของญี่ปุ่นประกาศว่า ทางบริษัทตกลงปรับขึ้นค่าแรงอย่างเต็มที่ตามที่สหภาพแรงงานเรียกร้องมา ซึ่งรวมถึงบริษัทโตโยต้า, พานาโซนิก, นิปปอน สตีล และนิสสัน โดยโตโยต้า มอเตอร์ตกลงในวันพุธว่าจะปรับขึ้นค่าแรงของคนงานโรงงานในอัตราที่สูงที่สุดในรอบ 25 ปี และข่าวนี้ทำให้นักลงทุนคาดการณ์กันว่า บริษัทอื่น ๆ จะทำตามโตโยต้าด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ แหล่งข่าว 3 รายระบุว่า สัญญาณบ่งชี้ถึงการปรับขึ้นค่าแรงอย่างแข็งแกร่งแบบนี้ช่วยเพิ่มโอกาสที่บีโอเจจะปรับลดขนาดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยบีโอเจจะพิจารณาผลการเจรจาต่อรองเรื่องค่าแรงที่สหภาพแรงงาน "เรงโกะ" จะเปิดเผยออกมาในวันศุกร์นี้ เพื่อใช้ในการตัดสินใจว่า มีการบรรลุเงื่อนไขในการปรับลดขนาดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจแล้วหรือไม่
แหล่งข่าวรายหนึ่งกล่าวว่า "ดูเหมือนจะมีปัจจัยมากพอที่สนับสนุนให้บีโอเจปรับนโยบายในเดือนมี.ค. และในที่สุดแล้วคณะกรรมการกำหนดโยบายของบีโอเจที่ประกอบด้วยสมาชิก 9 คนก็จะต้องใช้วิจารณญาณของตนเอง" ทั้งนี้ ยังไม่เป็นที่แน่นอนว่าบีโอเจจะปรับนโยบายในการประชุมเดือนมี.ค.หรือไม่ เพราะว่าสมาชิกบางคนในคณะกรรมการกำหนดนโยบายกังวลกับสัญญาณในระยะนี้ที่บ่งชี้ว่า การบริโภคอยู่ในภาวะอ่อนแอ และสิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่า การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นอยู่ในภาวะเปราะบาง
แหล่งข่าวกล่าวว่า บีโอเจอาจจะเลื่อนการตัดสินใจในเรื่องนี้ออกไปสู่การประชุมวันที่ 25-26 เม.ย. ถ้าหากผู้กำหนดนโยบายมองว่า พวกเขาจำเป็นจะต้องพิจารณาตัวเลขเศรษฐกิจเพิ่มเติม ซึ่งรวมถึงผลสำรวจความเชื่อมั่นภาคธุรกิจญี่ปุ่น หรือรายงาน "ทังกัน" ที่จะออกมาในวันที่ 1 เม.ย. และรายงานรายไตรมาสเรื่องเศรษฐกิจระดับภูมิภาคในญี่ปุ่น ทั้งนี้ นักลงทุนส่วนใหญ่คาดว่า บีโอเจอาจจะยุตินโยบายอัตราดอกเบี้ยติดลบในการประชุมวันที่ 18-19 มี.ค. หรือไม่ก็ในการประชุมวันที่ 25-26 เม.ย.
แหล่งข่าวกล่าวว่า หลังจากบีโอเจยุตินโยบายอัตราดอกเบี้ยติดลบ บีโอเจก็จะยุติมาตรการควบคุมเส้นอัตราผลตอบแทน (YCC) และจะยกเลิกกรอบการทำงานสำหรับการเข้าซื้อสินทรัพย์เสี่ยง ซึ่งรวมถึงกองทุน ETF ด้วย ทั้งนี้ นายคาสุโอะ อุเอดะ ผู้ว่าการบีโอเจส่งสัญญาณในวันพุธว่า บีโอเจพร้อมที่จะปรับลดขนาดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในสัปดาห์หน้า โดยเขาระบุว่าสหภาพแรงงานได้เรียกร้องขอขึ้นค่าแรงในระดับสูง และผลการเจรจาต่อรองเรื่องค่าแรงประจำปีนี้จะมีความสำคัญเป็นอย่างมากต่อการตัดสินใจเรื่องกำหนดเวลาในการยุติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
กระทรวงเศรษฐกิจ, การค้า และอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นเปิดเผยว่า ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมร่วงลงในอัตราสูงสุดตั้งแต่เดือนพ.ค.2020 ขณะที่ภาวะตกต่ำของการผลิตยานยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์เพิ่มความวิตกเกี่ยวกับความเปราะบางของเศรษฐกิจที่เข้าสู่ภาวะถดถอยในปลายปีที่แล้ว
ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมร่วงลง 7.5% ในเดือนม.ค.จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งแย่กว่าที่คาดไว้ว่าจะลดลง 7.3% โดยการผลิตร่วงลงในอุตสาหกรรม 14 กลุ่มจาก 15 กลุ่มที่กระทรวงสำรวจมา
กระทรวงยังได้ปรับลดการประเมินผลผลิตภาคอุตสาหกรรมลงเป็นครั้งแรกตั้งแต่เดือนก.ค.ปีที่แล้ว ซึ่งทำให้เห็นความท้าทายสำหรับเศรษฐกิจ ขณะที่เศรษฐกิจพยายามที่จะฟื้นตัวจากภาวะถดถอยในปลายปีที่แล้ว
ผู้ผลิตในผลสำรวจของกระทรวงยังคาดว่า ผลผลิตที่ปรับตามฤดูกาลจะเพิ่มขึ้น 4.8% ในเดือนก.พ. และ 2.0% ในเดือนมี.ค. แต่การคาดการณ์ว่าผลผลิตจะเพิ่มขึ้นในเดือนก.พ.และมี.ค.ก็ไม่มากพอที่จะชดเชยการร่วงลงในเดือนม.ค.
นักวิเคราะห์จากแคปิตอล อีโคโนมิคส์กล่าวว่า ข้อมูลนี้บ่งชี้ว่า จีดีพีอาจหดตัวลงอีกครั้งในไตรมาสนี้ โดยนายแกเบรียล อึ้ง ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์จากแคปิตอล อีโคโนมิคส์กล่าวว่า "ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ดิ่งลงในเดือนม.ค.บ่งชี้ว่า จีดีพีจะร่วงลงอีกครั้งในไตรมาสนี้ ซึ่งจะเพิ่มความเห็นที่ว่า เศรษฐกิจญี่ปุ่นกำลังถดถอย"--จบ--
Eikon source text
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
เครื่องมือออกแบบโปสเตอร์
โครงการพันธมิตร
ความเสี่ยงของการสูญเสียในการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น หุ้น FX สินค้าโภคภัณฑ์ ฟิวเจอร์ส พันธบัตร ETFs หรือเงินดิจิทัลอาจมีมาก คุณอาจสูญเสียเงินทุนทั้งหมดที่คุณฝากไว้กับโบรกเกอร์ของคุณ ดังนั้น คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบว่าการซื้อขายดังกล่าวเหมาะสมกับคุณหรือไม่ในสถานการณ์และทรัพยากรทางการเงินของคุณ
ไม่ควรตัดสินใจลงทุนโดยไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบสถานะอย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วยตัวเองหรือปรึกษากับที่ปรึกษาทางการเงินของคุณ เนื้อหาเว็บของเราอาจไม่เหมาะกับคุณเนื่องจากเราไม่ทราบเงื่อนไขทางการเงินและความต้องการในการลงทุนของคุณ ข้อมูลทางการเงินของเราอาจมีความล่าช้าหรือมีความไม่ถูกต้อง ดังนั้นคุณควรรับผิดชอบอย่างเต็มที่ต่อการตัดสินใจซื้อขายและการลงทุนของคุณ บริษัทจะไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียเงินทุนของคุณ
หากไม่ได้รับอนุญาตจากเว็บไซต์ คุณจะไม่สามารถคัดลอกกราฟิก ข้อความ หรือเครื่องหมายการค้าของเว็บไซต์ได้ สิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาในเนื้อหาหรือข้อมูลที่รวมอยู่ในเว็บไซต์นี้เป็นของผู้ให้บริการและผู้ค้าแลกเปลี่ยน
ไม่ได้ล็อกอิน
เข้าสู่ระบบเพื่อเข้าถึงฟังก์ชั่นเพิ่มเติม

สมาชิก FastBull
ยังไม่ได้เปิด
สมัคร
เข้าสู่ระบบ
ลงทะเบียน