ตลาด
ข่าวสาร
การวิเคราะห์
ผู้ใช้
24x7
ปฏิทินเศรษฐกิจ
แหล่งเรียนรู้
ข้อมูล
- ชื่อ
- ค่าล่าสุด
- ครั้งก่อน












สัญญาณ VIP
ทั้งหมด
ทั้งหมด



ฝรั่งเศส อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยการประมูลหนี้ OAT 10-ปีค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน ดัชนียอดค้าปลีก YoY (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
บราซิล GDP YoY (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา จำนวนการปลดพนักงานบริษัทชาเลนเจอร์ เกรย์ และคริสต์มาส YoY (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การเลิกจ้างพนักงานบริษัทชาเลนเจอร์ เกรย์ และคริสต์มาส MoM (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การเลิกจ้างพนักงานบริษัทชาเลนเจอร์ เกรย์ และคริสต์มาส YoY (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ค่าเฉลี่ยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก4 สัปดาห์ (SA)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์ (SA)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานต่อรายสัปดาห์ (SA)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา Ivey PMI (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา Ivey PMI (Not SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา คำสั่งซื้อสินค้าคงทนนอกกระทรวงกลาโหมที่ได้แก้ไข MoM (ไม่รวมเครื่องบิน)(SA) (ก.ย.)ค:--
ค: --
สหรัฐอเมริกา คำสั่งซื้อโรงงาน MoM(ยกเว้นการขนส่ง) (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา คำสั่งซื้อโรงงาน MoM (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา คำสั่งซื้อโรงงาน MoM(ยกเว้นภาคกลาโหม) (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การเปลี่ยนแปลงสต็อกก๊าซธรรมชาติประจำสัปดาห์ของ EIAค:--
ค: --
ค: --
ซาอุดิอาระเบีย การผลิตน้ำมันดิบค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การถือครองธนารักษ์สหรัฐฯของธนาคารกลางต่างประเทศรายสัปดาห์ค:--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น เงินตราที่ใช้เป็นทุนสำรอง (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย อัตราขายคืนค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย ดอกเบี้ยอ้างอิงค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย อัตราขายคืนค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย อัตราเงินสดสำรองค:--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น อินดิเคเตอร์ชั้นนำเบื้องต้น (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหราชอาณาจักร ดัชนีราคาที่อยู่อาศัย Halifax YoY (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหราชอาณาจักร ดัชนีราคาที่อยู่อาศัย Halifax MoM (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส บัญชีเดินสะพัด (Not SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส ดุลการค้า (SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส การผลิตภาคอุตสาหกรรม MoM(SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
อิตาลี ดัชนียอดค้าปลีก MoM (SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงาน YoY (SA) (ไตรมาส 3)--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน GDP Final YoY (ไตรมาส 3)--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน GDP Final QoQ (ไตรมาส 3)--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงาน QoQ (SA) (ไตรมาส 3)--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงานสุดท้าย (SA) (ไตรมาส 3)--
ค: --
บราซิล PPI MoM (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
เม็กซิโก ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา อัตราการว่างงาน (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา อัตราการมีส่วนร่วมในการจ้างงาน (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงาน (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงานนอกเวลา (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงานเต็มเวลา (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา รายได้ส่วนบุคคล MoM (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาธนาคารกลางรัฐดัลลาส สหรัฐอเมริกา PCE YoY (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคา PCE YoY (SA) (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคา PCE MoM (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา รายจ่ายส่วนบุคคล MoM(SA) (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาPCEหลักMoM (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา เงินเฟ้อเบื้องต้น UMich 5-YearYoY (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาPCEหลักYoY (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ค่าใช้จ่ายการบริโภคส่วนบุคคลที่จริง MoM (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การคาดการณ์เงินเฟ้อ 5-10 ปี (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีสถานภาพเบื้องต้น UMich ปัจจุบัน (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้น UMich (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อล่วงหน้า 1 ปี UMich (เบื้องต้น) (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีความคาดหวังผู้บริโภค UMich (เบื้องต้น) (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ปริมาณเครื่องเจาะทั้งหมดรายสัปดาห์--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ปริมาณเครื่องเจาะน้ำมันทั้งหมดรายสัปดาห์--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา สินเชื่ออุปโภคบริโภค (SA) (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ เงินตราที่ใช้เป็นทุนสำรอง (พ.ย.)--
ค: --
ค: --


ไม่มีข้อมูลที่ตรงกัน
ทัศนคติล่าสุด
ทัศนคติล่าสุด
หัวข้อยอดนิยม
คอลัมนิสต์ยอดนิยม
อัปเดตล่าสุด
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
ดูผลการค้นหาทั้งหมด

ไม่มีข้อมูล
ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยรายงานการตรวจสอบภาวะวิกฤติประจำปีพบว่า ธนาคารสหรัฐที่ใหญ่ที่สุดมีเงินทุนเพียงพอที่จะต้านทานภาวะปั่นป่วนทางเศรษฐกิจและตลาดที่ร้ายแรง แต่ธนาคารได้รับผลขาดทุนตามสมมติฐานมากขึ้นในปีนี้เนื่องจากพอร์ทการลงทุนที่มีความเสี่ยงมากขึ้น
รายงานพบว่า ธนาคารขนาดใหญ่ 31 แห่งจะต้านทานอัตราว่างงานที่พุ่งสูง, ภาวะผันผวนรุนแรงของตลาด และการดิ่งลงของตลาดสินเชื่อจำนองเพื่อที่อยู่อาศัย และเพื่อการพาณิชย์ และยังคงมีเงินทุนเพียงพอที่จะปล่อยสินเชื่อต่อไปได้ นอกจากนี้ เฟดยังพบว่า ระดับของเงินทุนที่มีคุณภาพสูงของธนาคารเหล่านี้จะลดลงสู่ระดับ 9.9% มาที่ระดับต่ำสุด ซึ่งยังคงสูงเกินเกณฑ์ขั้นต่ำอยู่กว่าสองเท่า
แต่ธนาคารได้รับผลขาดทุนมากขึ้นในปีนี้ และเฟดระบุว่า ผลขาดทุนที่สูงขึ้นดังกล่าวมีสาเหตุมาจากการเปลี่ยนแปลงพอร์ทการลงทุนของธนาคารต่างๆ โดยธนาคารที่ถูกทดสอบจะมีผลขาดทุนรวมกัน 6.85 แสนล้านดอลลาร์ภายใต้ฉากทัศน์ร้ายแรงตามสมมติฐาน และโดยเฉลี่ย ธนาคารมีสัดส่วนเงินทุนลดลง 2.8% ซึ่งเป็นการลดลงมากที่สุดตั้งแต่ปี 2018
เฟดระบุว่า บัตรเครดิตเป็นสาเหตุที่เฉพาะเจาะจงของผลขาดทุนสำหรับธนาคาร โดยมีสัดส่วนมากกว่า 25% ของผลขาดทุนตามสมมติฐาน และเฟดตั้งข้อสังเกตว่า บัญชีบัตรเครดิตของธนาคารขนาดใหญ่พุ่งขึ้นกว่า 1.00 แสนล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว และอัตราการค้างชำระหนี้พุ่งกว่า 40%--จบ--
Eikon source text
26 มิ.ย.--รอยเตอร์
นักวิเคราะห์ของธนาคารเจพีมอร์แกนประเมินว่า การที่พันธบัตรรัฐบาลอินเดียจะได้รับการบรรจุรวมไว้ในดัชนีพันธบัตรรัฐบาลตลาดเกิดใหม่ (GBI-EM) ของเจพีมอร์แกนในเร็ว ๆ นี้ จะส่งผลให้มีเงินลงทุน 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์ไหลออกจากตลาดพันธบัตรของแอฟริกาใต้, โปแลนด์ และไทยรวมกัน โดยนักวิเคราะห์คาดว่า จะมีเงินลงทุนไหลออกจากไทย 3.2 พันล้านดอลลาร์, ไหลออกจากแอฟริกาใต้ 4.7 พันล้านดอลลาร์, ไหลออกจากโปแลนด์ 3.3 พันล้านดอลลาร์, ไหลออกจากสาธารณรัฐเช็ก 2.9 พันล้านดอลลาร์ และไหลออกจากชิลี 2.5 พันล้านดอลลาร์ โดยเงินลงทุนเหล่านี้จะไหลเข้าสู่พันธบัตรอินเดีย ทั้งนี้ จะเริ่มมีการบรรจุพันธบัตรรัฐบาลอินเดียเข้าไว้ในดัชนี GBI-EM ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 28 มิ.ย. โดยจะมีการปรับเพิ่มน้ำหนักครั้งละ 1% และจะใช้เวลาราว 10 เดือนในการปรับเพิ่มน้ำหนักของพันธบัตรอินเดียในดัชนีนี้จนชนระดับเพดานที่ 10% ในเดือนมี.ค. 2025
น้ำหนักของประเทศอื่น ๆ ในดัชนีนี้จะลดลง โดยน้ำหนักของไทยในดัชนีนี้จะลดลงจาก 9.19% ในปัจจุบัน สู่ 7.59% ในเดือนมี.ค. 2025, น้ำหนักของแอฟริกาใต้ในดัชนีนี้จะลดลงจาก 8.27% ในปัจจุบัน สู่ 6.83% ในเดือนมี.ค. 2025 และน้ำหนักของโปแลนด์ในดัชนีนี้จะลดลงจาก 8.08% ในปัจจุบัน สู่ 6.68% ในเดือนมี.ค. 2025 ทั้งนี้ ทีมนักยุทธศาสตร์การลงทุนของเจพีมอร์แกนที่นำโดยนายไมเคิล แฮร์ริสันกล่าวว่า "ในส่วนของนักลงทุนในตลาดเกิดใหม่นั้น เรามองว่าการรวมอินเดียเข้าไว้ในดัชนีถือเป็นเกมที่มีผู้แพ้และผู้ชนะ และเราก็คาดว่าจะมีเงินลงทุนไหลออกจากตลาดพันธบัตรประเทศตลาดเกิดใหม่ประเทศอื่น ๆ เพื่อไหลเข้าสู่อินเดีย"
คาดกันว่าภูมิภาคยุโรป, ตะวันออกกลาง และแอฟริกา (EMEA) จะเป็นภูมิภาคที่ได้รับความเสียหายมากที่สุดในส่วนของน้ำหนักในดัชนี โดยคาดกันว่าน้ำหนักของ EMEA ในดัชนีตลาดเกิดใหม่อาจดิ่งลงสู่ 26.2% ในเดือนมี.ค. 2025 โดยลดลงจากระดับราว 32% ในช่วงต้นเดือนนี้ และดิ่งลงจาก 40% ในปี 2021 ซึ่งเป็นช่วงก่อนที่จะมีการปลดรัสเซียออกจากดัชนีนี้หลังจากเกิดสงครามยูเครนในช่วงต้นปี 2022 ทั้งนี้ ดัชนีพันธบัตรของเจพีมอร์แกนและของหน่วยงานอื่น ๆ ถือเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลต่อตลาด เพราะว่ากองทุนต่าง ๆ มักจะใช้ดัชนีเหล่านี้เป็นเกณฑ์อ้างอิงในการทำงาน และใช้เป็นตัวกำหนดว่าทางกองทุนควรจะซื้อหรือขายพันธบัตรใด
หลังจากเจพีมอร์แกนประกาศในเดือนก.ย. 2023 เรื่องแผนการรวมพันธบัตรอินเดียไว้ในดัชนี นักลงทุนต่างชาติก็ได้เข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลอินเดียไปแล้วเป็นมูลค่ากว่า 1.0 หมื่นล้านดอลลาร์ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา และส่งผลให้การถือครองพันธบัตรอินเดียโดยนักลงทุนต่างชาติพุ่งขึ้นสู่สถิติสูงสุดใหม่ ทั้งนี้ นายแฮร์ริสันกล่าวว่า "มีการประเมินกันว่าจะมีเงินลงทุน 2.0-2.5 หมื่นล้านดอลลาร์ไหลเข้าสู่อินเดียโดยเป็นผลจากดัชนีนี้ และตัวเลขเงินลงทุนไหลเข้าเพราะดัชนีในช่วงที่ผ่านมาก็บ่งชี้ว่า มีเงินลงทุนไหลเข้าอินเดียไปแล้วราว 32-40% ของปริมาณเงินไหลเข้าทั้งหมดที่คาดไว้"
คาดกันว่าจีน, อินโดนีเซีย และเม็กซิโกจะไม่ถูกปรับลดน้ำหนักในดัชนี GBI-EM ลงจากระดับเพดานที่ 10% โดยน้ำหนักของประเทศตลาดเกิดใหม่ในเอเชียในดัชนีนี้มีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้น แต่น้ำหนักของภูมิภาคลาตินอเมริกามีแนวโน้มที่จะปรับลดลงเล็กน้อย--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--24 มิ.ย.--รอยเตอร์
นักวิเคราะห์ตลาดหุ้นสหรัฐระบุว่า หุ้นบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ในสหรัฐพุ่งขึ้นสูงมากในปีนี้ และก็อาจจะถึงเวลาที่หุ้นกลุ่มนี้จะชะลอตัวลงแล้ว และปัจจัยนี้ก็อาจจะส่งผลบวกต่อหุ้นกลุ่มอื่น ๆ ในสหรัฐที่เคยปรับตัวอย่างอ่อนแอในช่วงต้นปีนี้ ทั้งนี้ ดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐพุ่งขึ้นมาแล้ว 14.6% จากช่วงต้นปีนี้ แต่การพุ่งขึ้นส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในหุ้นกลุ่มใหญ่เพียง 2 กลุ่มจากทั้งหมด 11 กลุ่ม ซึ่งได้แก่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศ (ไอที) ที่พุ่งขึ้น 28.2% จากช่วงต้นปีนี้ และหุ้นกลุ่มบริการการสื่อสารที่ทะยานขึ้น 24.3% จากช่วงต้นปีนี้ ส่วนหุ้นกลุ่มอื่น ๆ ปรับขึ้นในอัตราที่น้อยกว่านี้มาก ซึ่งรวมถึงหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคที่พุ่งขึ้น 9.5% จากช่วงต้นปีนี้, หุ้นกลุ่มการเงินที่ทะยานขึ้น 9.4%, หุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นที่บวกขึ้น 8.7%, หุ้นกลุ่มพลังงานที่ปรับขึ้น 7.5%, หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมที่บวกขึ้น 7.3%, หุ้นกลุ่มการแพทย์ที่ปรับขึ้น 7.3%, หุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยที่บวกขึ้น 4.2% และหุ้นกลุ่มวัสดุที่ปรับขึ้น 3.9% ทางด้านหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ดิ่งลงมาแล้ว 5.0% จากช่วงต้นปีนี้
นักลงทุนหลายรายคาดว่า หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีของสหรัฐมีแนวโน้มที่แข็งแกร่งในระยะยาว โดยได้รับแรงหนุนจากผลกำไรของบริษัทกลุ่มนี้ และจากกระแสความนิยมในเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยปัจจัยดังกล่าวมีส่วนช่วยหนุนให้หุ้นบริษัทเอ็นวิเดียพุ่งขึ้นมาแล้ว 155% จากช่วงต้นปีนี้ อย่างไรก็ดี ราคาหุ้นที่พุ่งสูงก็ส่งผลให้นักลงทุนกังวลกันว่า หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีอาจทะยานขึ้นอย่างร้อนแรงจนเกินไปในช่วงที่ผ่านมา และนักลงทุนก็มองว่า หุ้นบริษัทขนาดเล็ก และหุ้นคุณค่า ซึ่งรวมถึงหุ้นกลุ่มการเงินและหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรม อาจจะเหมาะต่อการเข้าช้อนซื้อในช่วงนี้ ทั้งนี้ นายไมเคิล เพอร์เวส ซีอีโอของบริษัททอลล์แบคเคน แคปิตัล แอดไวเซอร์สกล่าวว่า "หุ้นเอ็นวิเดียพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วมากในช่วงที่ผ่านมา และการพุ่งขึ้นแบบนี้ก็ส่งผลให้คุณไม่ต้องการที่จะเทขายหุ้นดังกล่าวออกมาเป็นคนสุดท้าย" และเขากล่าวเสริมว่า "นักลงทุนต้องการจะลงทุนในการพุ่งขึ้นของตลาดหุ้น ดังนั้นถ้าหากนักลงทุนขายหุ้นเอ็นวิเดียออกมา ก็มีแนวโน้มสูงที่เงินลงทุนจะไหลเข้าสู่หุ้นคุณค่าและหุ้นกลุ่มวัฏจักรเศรษฐกิจ"
ถ้าหากนักลงทุนโยกย้ายเงินลงทุนออกจากหุ้นบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ การทำเช่นนี้ก็จะช่วยลดความกังวลเรื่องการกระจุกตัวในตลาดหุ้นในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยบริษัทเอสแอนด์พี ดาวโจนส์ อินไดเซสรายงานว่า การลงทุนในดัชนี S&P 500 ให้ผลตอบแทนสูงกว่า 14% นับตั้งแต่ช่วงต้นปีนี้ แต่ราว 60% ของผลตอบแทนดังกล่าวมาจากบริษัทเพียงแค่ 5 แห่งเท่านั้น ซึ่งได้แก่บริษัทเอ็นวิเดีย, ไมโครซอฟท์, เมตา แพลตฟอร์มส์, แอลฟาเบท และอะเมซอนดอทคอม ทั้งนี้ เริ่มมีสัญญาณบ่งชี้ถึงการชะลอตัวในภาคเทคโนโลยีปรากฏออกมาแล้วในช่วงนี้ โดยหุ้นเอ็นวิเดียดิ่งลงมาแล้วราว 10% จากจุดสูงสุดของวันพฤหัสบดีที่ 20 มิ.ย. และส่งผลให้บริษัทเอ็นวิเดียก้าวลงจากตำแหน่งบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก
นายเพอร์เวสตั้งข้อสังเกตว่า มีสัญญาณบางประการที่บ่งชี้ว่า หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีพุ่งขึ้นมากเกินไปแล้ว โดยสัญญาณดังกล่าวรวมถึงดัชนี RSI สำหรับหุ้นบริษัทที่ใหญ่ที่สุด 6 แห่งในตลาดหุ้นสหรัฐ ซึ่งเป็นดัชนีที่ใช้วัดความเร็วและขนาดความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นกลุ่มนี้ โดยดัชนีดังกล่าวได้พุ่งขึ้นแตะสถิติสูงสุดใหม่ ทั้งนี้ นักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายย่อยก็คาดการณ์ในทางบวกต่อตลาดหุ้นเป็นอย่างมากด้วย และนักลงทุนบางรายมองว่าสิ่งนี้ถือเป็นเครื่องบ่งชี้แบบสวนกระแส เพราะสิ่งนี้หมายความว่า เป็นเรื่องยากที่จะเกิดเหตุการณ์ที่สร้างความประหลาดใจในทางบวกต่อนักลงทุนได้
ผลสำรวจความเชื่อมั่นของสมาคมนักลงทุนรายย่อยสหรัฐ (AAII) อยู่ที่ระดับ 44% ในช่วงสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 19 มิ.ย. ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวราว 8% ทางด้านแบงก์ ออฟ อเมริกา โกลบัล รีเสิร์ชระบุในผลสำรวจล่าสุดว่า ระดับความเชื่อมั่นของผู้จัดการกองทุนพุ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดนับตั้งแต่ปลายปี 2021 ในขณะที่นักลงทุนปรับลดการถือครองเงินสด และปรับเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้น ทั้งนี้ ถึงแม้หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีย่อตัวลงในอนาคต ก็ไม่มีสัญญาณบ่งชี้ว่านักลงทุนจะหลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและหุ้นเติบโตเป็นเวลานาน เพราะว่าดัชนี Nasdaq 100 พุ่งขึ้นมาแล้วกว่า 400% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา แต่ดัชนี Russell 1000 สำหรับหุ้นกลุ่มคุณค่าของสหรัฐปรับขึ้นเพียงราว 70% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ ดัชนีหุ้นกลุ่มคุณค่าก็บวกขึ้น 5.6% จากช่วงต้นปีนี้ ในขณะที่ดัชนีหุ้นบริษัทขนาดเล็กของสหรัฐปรับลง 0.5% จากช่วงต้นปีนี้--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
แมรี่ เออร์โดส ซีอีโอฝ่ายบริหารสินทรัพย์และความมั่งคั่งของเจพีมอร์แกน เชสกล่าวว่า บริษัทกำลังเห็นสัญญาณเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้นในจีน ซึ่งจะส่งเสริมธุรกิจของบริษัทในจีน หลังจากที่ซบเซามาระยะหนึ่ง
การใช้จ่ายของผู้บริโภคของจีนกำลังแสดงสัญญาณการฟื้นตัวขึ้น และขณะที่จีนยังคงเผชิญกับปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ แต่รัฐบาลก็กำลังหาทางแก้ไขปัญหาเหล่านี้ ซึ่งเป็น "สัญญาณบวกทั้งคู่"
บริษัทสหรัฐกำลังประเมินแนวโน้มของพวกเขาในจีน ขณะที่เศรษฐกิจจีนกำลังฟื้นตัวอย่างไม่ต่อเนื่อง และความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐย่ำแย่ลง สำหรับธนาคารต่างๆ ตลาดทุนที่ซบเซาถ่วงกิจกรรมในจีน และนักลงทุนกำลังจับตาผลของมาตรการหนุนของรัฐบาลต่อเศรษฐกิจ
เธอกล่าวว่า "สิ่งแวดล้อมทางธุรกิจในจีนท้าทายในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่ความเชื่อมั่นเริ่มเปลี่ยนเป็นสดใสมากขึ้นในเดือนมี.ค." พร้อมทั้งระบุว่า "นักลงทุนระยะยาวรู้และเข้าใจว่า จีนเป็นตลาดที่สำคัญมาก และเราจะยังคงเติบโตและขยายธุรกิจของเราในจีนต่อไป"
เจพีมอร์แกนเป็นบริษัทต่างประเทศแห่งแรกที่ถือครองบริษัทหลักทรัพย์ในจีนในปี 2021 และฝ่ายบริหารสินทรัพย์ในจีนมีพนักงาน 400 คน และเจพีมอร์แกนเป็นหนึ่งในบริษัทที่ลดตำแหน่งงานในจีนในปีนี้--จบ--
Eikon source text
ฝ่ายวิจัยโลกจากแบงก์ ออฟ อเมริกาเปิดเผยว่า นักลงทุนเทขายหุ้นคุณค่าของสหรัฐ และซื้อหุ้นเติบโตในรอบสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 12 มิ.ย. ซึ่งมีการเปิดเผยข้อมูลเงินเฟ้อที่ชะลอตัวกว่าคาด ซึ่งทำให้ผลตอบแทนพันธบัตรลดลง
ข้อมูลที่อ้างอิงจากอีพีเอฟอาร์พบว่า มีคำสั่งซื้อหุ้นเติบโตของสหรัฐ 1.8 พันล้านดอลลาร์ และคำสั่งขายหุ้นคุณค่าคิดเป็นมูลค่า 2.6 พันล้านดอลลาร์ในสัปดาห์ดังกล่าว
ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐไม่เปลี่ยนแปลงในเดือนพ.ค. ซึ่งสวนทางกับที่คาดไว้ และทำให้ตลาดคาดการณ์มากขึ้นว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจลดอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้ โดยตามปกติ หุ้นกลุ่มเติบโตมักจะทำผลงานได้ดีในภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ำ
มีการถือครองเงินสด 4.0 หมื่นล้านดอลลาร์ในรอบสัปดาห์ดังกล่าวด้วย และนักลงทุนซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ 1.8 พันล้านดอลลาร์ และตราสารหนี้ที่มีอันดับน่าลงทุน 7.7 พันล้านดอลลาร์
เฟดคาดการณ์ว่าจะมีการลดดอกเบี้ยเพียง 1 ครั้งในปีนี้ ลดลงจากที่คาดไว้ในเดือนมี.ค.ว่าจะมีการลดดอกเบี้ย 3 ครั้ง--จบ--
Eikon source text
นายไมเคิล วิลสัน ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุนของมอร์แกน สแตนเลย์กล่าวว่า ตลาดตราสารหนี้อาจจะได้รับประโยชน์ ถ้าหากประธานาธิบดีโจ ไบเดนชนะการเลือกตั้งอีกครั้ง ขณะที่ฝ่ายบริหารของเขาจะพยายามปรับขึ้นภาษีเพื่อชดเชยงบรายจ่ายของรัฐบาลบางส่วน แต่ถ้าหากนายโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตปธน.ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีในวันที่ 5 พ.ย. "นั่นก็จะเป็นผลดีกว่าสำหรับเศรษฐกิจ แต่เลวร้ายลงสำหรับตราสารหนี้"
ในรอบ 12-18 เดือนที่ผ่านมา นักลงทุนชื่นชอบหุ้นขนาดใหญ่ที่มีคุณภาพสูง ซึ่งมีการทบทวนผลกำไร ซึ่งก็ทำให้เกิดอัลฟาสำหรับหุ้นเหล่านี้ โดยอัลฟาคือมาตรวัดผลการดำเนินงานของผู้จัดการกองทุนเชิงรุกที่บ่งชี้ความสามารถในการสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าดัชนีอ้างอิง
บริษัทและนักวิเคราะห์แก้ไขผลกำไรเพื่อรวมข้อมูลใหม่เกี่ยวกับผลการดำเนินงาน หรือเพื่อรวมการเปลี่ยนแปลงในภาวะเศรษฐกิจ
เขากล่าวว่า กฎการอพยพเข้าเมืองภายใต้การบริหารของทั้งคู่จะถูกจับตาอย่างใกล้ชิด ขณะที่ชัยชนะของนายไบเดนจะ "เอื้อหนุนมากขึ้นสำหรับอุปทานแรงงานและเงินเฟ้อ" ส่วนชัยชนะของนายทรัมป์จะ "ปิดพรมแดน" ซึ่งอาจจะทำให้เกิดความวิตกด้านเงินเฟ้อขึ้นมาอีกครั้ง
เขายังคาดว่า ภาคพลังงานและภาคการเงิน รวมทั้งหุ้นขนาดเล็กจะพุ่งขึ้น ถ้านายทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง และบริษัทขนาดใหญ่จะได้รับประโยชน์จากการชนะการเลือกตั้งของนายไบเดน--จบ--
Eikon source text
สิงคโปร์/ลอนดอน--28 พ.ค.--รอยเตอร์
ตลาดเงินนิวยอร์คปิดทำการในวันจันทร์เนื่องในวันเมโมเรียล เดย์ของสหรัฐ ในขณะที่ดัชนีดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินปรับลงในวันจันทร์ และมีแนวโน้มว่าอาจจะปิดตลาดเดือนพ.ค.ในแดนลบ ซึ่งจะถือเป็นการปิดตลาดรายเดือนในแดนลบเป็นเดือนแรกของปีนี้ ทางด้านนักลงทุนรอดูตัวเลขอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐ, ยูโรโซน และกรุงโตเกียวของญี่ปุ่น ที่จะได้รับการรายงานออกมาในวันศุกร์ที่ 31 พ.ค. เพื่อใช้ตัวเลขเหล่านี้ในการประเมินแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยทั่วโลก นอกจากนี้ นักลงทุนก็จะรอดูตัวเลขอัตราเงินเฟ้อของเยอรมนีในวันพุธนี้ด้วย ทั้งนี้ นักลงทุนจะใช้ตัวเลขอัตราเงินเฟ้อของเยอรมนีและยูโรโซนในการประเมินว่า ธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) มีแนวโน้มที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในการประชุมวันที่ 6 มิ.ย.เหมือนที่เทรดเดอร์คาดการณ์กันไว้หรือไม่ ทางด้านนายฟิลิป เลน หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของอีซีบีกล่าวในวันจันทร์ว่า จังหวะความเร็วในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของอีซีบีจะขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน
ดัชนีดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินอยู่ที่ 104.56 ในช่วงท้ายตลาดวันจันทร์ โดยอ่อนค่าลงจาก 104.74 ในช่วงท้ายตลาดวันศุกร์ และดัชนีดอลลาร์มีแนวโน้มว่าอาจจะปิดตลาดเดือนพ.ค.ด้วยการดิ่งลง 1.5% จากเดือนเม.ย. ซึ่งจะถือเป็นการดิ่งลงรายเดือนครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค. 2023
ดอลลาร์/เยนอยู่ที่ 156.86 เยนในช่วงท้ายตลาดวันจันทร์ โดยปรับลงจากระดับปิดตลาดวันศุกร์ที่ 156.99 เยน
ยูโร/ดอลลาร์อยู่ที่ 1.0858 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันจันทร์ โดยแข็งค่าขึ้นจาก 1.0845 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันศุกร์ หลังจากปรับขึ้น 0.9% ในสัปดาห์ที่แล้ว
ยูโรไม่ได้รับผลกระทบมากนักจากผลสำรวจของสถาบัน Ifo ที่ออกมาในวันจันทร์ โดย Ifo รายงานว่า ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจของเยอรมนีทรงตัวที่ 89.3 ในเดือนพ.ค. ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ในโพลล์รอยเตอร์ที่ 90.4 โดยรายงานนี้บ่งชี้ว่า เศรษฐกิจเยอรมนีอาจจะฟื้นตัวอย่างเชื่องช้าในปีนี้
นักลงทุนรอดูดัชนีราคาค่าใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ที่รัฐบาลสหรัฐจะรายงานออกมาในวันศุกร์นี้ เนื่องจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มักใช้ดัชนี PCE เป็นมาตรวัดภาวะเงินเฟ้อ โดยนักลงทุนคาดว่าอัตราเงินเฟ้อของดัชนี PCE ในเดือนเม.ย.อาจอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับเดือนมี.ค. ทั้งนี้ นายคริส เวสตัน นักยุทธศาสตร์การลงทุนของบริษัทเพพเพอร์สโตนกล่าวว่า "นักลงทุนคาดการณ์ในตอนนี้ว่า มีโอกาสราว 50% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ในเดือนก.ย. และนักลงทุนคาดว่าเฟดอาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงรวมกันราว 0.57% ในปีนี้ ดังนั้นนักลงทุนจะปรับเปลี่ยนการคาดการณ์ดังกล่าวก็ต่อเมื่อสหรัฐรายงานดัชนี PCE ที่แตกต่างไปจากที่คาดไว้เป็นอย่างมาก" และเขากล่าวเสริมว่า "ถ้าหากดัชนี PCE พื้นฐานของสหรัฐอยู่สูงกว่า 3% ตัวเลขดังกล่าวก็อาจจะส่งผลให้นักลงทุนปรับเปลี่ยนการคาดการณ์ได้ และสิ่งนี้จะส่งผลบวกต่อดอลลาร์ แต่ถ้าหากดัชนี PCE พื้นฐานอยู่ต่ำกว่า 2.7% นักลงทุนทั่วทั้งตลาดการเงินก็จะลดความกังวลเรื่องภาวะเงินเฟ้อ"
นักลงทุนรอดูดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของกรุงโตเกียวที่จะได้รับการรายงานออกมาในวันศุกร์ เพราะตัวเลขนี้อาจจะบ่งชี้ถึงแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อของทั้งประเทศญี่ปุ่น ส่วนเยนมีแนวโน้มว่าอาจจะปิดตลาดเดือนพ.ค.ในแดนบวกได้สำเร็จ ซึ่งจะถือเป็นการปิดตลาดรายเดือนในแดนบวกได้เป็นครั้งแรกของปีนี้ โดยเยนได้รับแรงหนุนจากความเป็นไปได้ที่ทางการญี่ปุ่นอาจเข้ามาแทรกแซงตลาดในช่วงปลายเดือนเม.ย.และต้นเดือนพ.ค. หลังจากดอลลาร์/เยนเพิ่งพุ่งขึ้นแตะ 160.245 เยนในวันที่ 29 เม.ย. ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่ปี 1990 หรือจุดสูงสุดรอบ 34 ปี อย่างไรก็ดี เยนไม่ได้รับแรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่น (JGB) ในช่วงนี้ เพราะว่าส่วนต่างระหว่างอัตราผลตอบแทน JGB กับพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปียังคงอยู่ที่ระดับสูงเกือบถึง 3.50%--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
เครื่องมือออกแบบโปสเตอร์
โครงการพันธมิตร
ความเสี่ยงของการสูญเสียในการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น หุ้น FX สินค้าโภคภัณฑ์ ฟิวเจอร์ส พันธบัตร ETFs หรือเงินดิจิทัลอาจมีมาก คุณอาจสูญเสียเงินทุนทั้งหมดที่คุณฝากไว้กับโบรกเกอร์ของคุณ ดังนั้น คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบว่าการซื้อขายดังกล่าวเหมาะสมกับคุณหรือไม่ในสถานการณ์และทรัพยากรทางการเงินของคุณ
ไม่ควรตัดสินใจลงทุนโดยไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบสถานะอย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วยตัวเองหรือปรึกษากับที่ปรึกษาทางการเงินของคุณ เนื้อหาเว็บของเราอาจไม่เหมาะกับคุณเนื่องจากเราไม่ทราบเงื่อนไขทางการเงินและความต้องการในการลงทุนของคุณ ข้อมูลทางการเงินของเราอาจมีความล่าช้าหรือมีความไม่ถูกต้อง ดังนั้นคุณควรรับผิดชอบอย่างเต็มที่ต่อการตัดสินใจซื้อขายและการลงทุนของคุณ บริษัทจะไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียเงินทุนของคุณ
หากไม่ได้รับอนุญาตจากเว็บไซต์ คุณจะไม่สามารถคัดลอกกราฟิก ข้อความ หรือเครื่องหมายการค้าของเว็บไซต์ได้ สิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาในเนื้อหาหรือข้อมูลที่รวมอยู่ในเว็บไซต์นี้เป็นของผู้ให้บริการและผู้ค้าแลกเปลี่ยน
ไม่ได้ล็อกอิน
เข้าสู่ระบบเพื่อเข้าถึงฟังก์ชั่นเพิ่มเติม

สมาชิก FastBull
ยังไม่ได้เปิด
สมัคร
เข้าสู่ระบบ
ลงทะเบียน