ตลาด
ข่าวสาร
การวิเคราะห์
ผู้ใช้
24x7
ปฏิทินเศรษฐกิจ
แหล่งเรียนรู้
ข้อมูล
- ชื่อ
- ค่าล่าสุด
- ครั้งก่อน












สัญญาณ VIP
ทั้งหมด
ทั้งหมด



สหรัฐอเมริกา ค่าเฉลี่ยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก4 สัปดาห์ (SA)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานต่อรายสัปดาห์ (SA)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา Ivey PMI (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา Ivey PMI (Not SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา คำสั่งซื้อสินค้าคงทนนอกกระทรวงกลาโหมที่ได้แก้ไข MoM (ไม่รวมเครื่องบิน)(SA) (ก.ย.)ค:--
ค: --
สหรัฐอเมริกา คำสั่งซื้อโรงงาน MoM(ยกเว้นการขนส่ง) (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา คำสั่งซื้อโรงงาน MoM (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา คำสั่งซื้อโรงงาน MoM(ยกเว้นภาคกลาโหม) (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การเปลี่ยนแปลงสต็อกก๊าซธรรมชาติประจำสัปดาห์ของ EIAค:--
ค: --
ค: --
ซาอุดิอาระเบีย การผลิตน้ำมันดิบค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การถือครองธนารักษ์สหรัฐฯของธนาคารกลางต่างประเทศรายสัปดาห์ค:--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น เงินตราที่ใช้เป็นทุนสำรอง (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย อัตราขายคืนค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย ดอกเบี้ยอ้างอิงค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย อัตราขายคืนค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย อัตราเงินสดสำรองค:--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น อินดิเคเตอร์ชั้นนำเบื้องต้น (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหราชอาณาจักร ดัชนีราคาที่อยู่อาศัย Halifax YoY (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหราชอาณาจักร ดัชนีราคาที่อยู่อาศัย Halifax MoM (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส บัญชีเดินสะพัด (Not SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส ดุลการค้า (SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส การผลิตภาคอุตสาหกรรม MoM(SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
อิตาลี ดัชนียอดค้าปลีก MoM (SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงาน YoY (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน GDP Final YoY (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน GDP Final QoQ (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงาน QoQ (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงานสุดท้าย (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
บราซิล PPI MoM (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
เม็กซิโก ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา อัตราการว่างงาน (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา อัตราการมีส่วนร่วมในการจ้างงาน (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงาน (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงานนอกเวลา (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงานเต็มเวลา (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา รายได้ส่วนบุคคล MoM (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาธนาคารกลางรัฐดัลลาส สหรัฐอเมริกา PCE YoY (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคา PCE YoY (SA) (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคา PCE MoM (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา รายจ่ายส่วนบุคคล MoM(SA) (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาPCEหลักMoM (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา เงินเฟ้อเบื้องต้น UMich 5-YearYoY (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาPCEหลักYoY (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ค่าใช้จ่ายการบริโภคส่วนบุคคลที่จริง MoM (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การคาดการณ์เงินเฟ้อ 5-10 ปี (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีสถานภาพเบื้องต้น UMich ปัจจุบัน (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้น UMich (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อล่วงหน้า 1 ปี UMich (เบื้องต้น) (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีความคาดหวังผู้บริโภค UMich (เบื้องต้น) (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ปริมาณเครื่องเจาะทั้งหมดรายสัปดาห์--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ปริมาณเครื่องเจาะน้ำมันทั้งหมดรายสัปดาห์--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา สินเชื่ออุปโภคบริโภค (SA) (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ เงินตราที่ใช้เป็นทุนสำรอง (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ปริมาณการส่งออก YoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การนำเข้า YoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การนำเข้าYoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การนำเข้า (CNH) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ดุลการค้า (CNH) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การส่งออก (พ.ย.)--
ค: --
ค: --


ไม่มีข้อมูลที่ตรงกัน
ทัศนคติล่าสุด
ทัศนคติล่าสุด
หัวข้อยอดนิยม
คอลัมนิสต์ยอดนิยม
อัปเดตล่าสุด
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
ดูผลการค้นหาทั้งหมด

ไม่มีข้อมูล
วอชิงตัน--31 ม.ค.--รอยเตอร์
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยผลสำรวจตำแหน่งงานว่างและการเข้า-ออกงาน (JOLTS) ในวันอังคาร โดยระบุว่า ยอดเปิดรับสมัครงานในสหรัฐพุ่งขึ้น 101,000 ตำแหน่ง สู่ 9.026 ล้านตำแหน่งในวันสุดท้ายของเดือนธ.ค. โดยทะยานขึ้นจาก 8.925 ล้านตำแหน่งในเดือนพ.ย. โดยตัวเลขของเดือนพ.ย.นี้ได้รับการปรับทบทวนขึ้นจากระดับ 8.79 ล้านตำแหน่งที่เคยรายงานไว้ในครั้งแรกด้วย และสิ่งนี้บ่งชี้ว่า ตลาดแรงงานสหรัฐอาจจะอยู่ในภาวะที่แข็งแกร่งมากเกินไป และปัจจัยดังกล่าวอาจจะเป็นอุปสรรคขัดขวางธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในไตรมาสแรกของปีนี้ โดยก่อนหน้านี้ยอดเปิดรับสมัครงานในสหรัฐเคยพุ่งขึ้นแตะสถิติสูงสุดที่ 12.0 ล้านตำแหน่งในเดือนมี.ค. 2022 และสามารถรักษาระดับความแข็งแกร่งไว้ได้เป็นอย่างดีในช่วงที่ผ่านมา ถึงแม้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมาแล้ว 5.25% นับตั้งแต่เดือนมี.ค. 2022 ทั้งนี้ อัตราการเปิดรับสมัครงานในสหรัฐทรงตัวที่ 5.4% ในเดือนธ.ค. ในขณะที่สัดส่วนตำแหน่งงานว่างต่อคนว่างงานอยู่ที่ 1.44 ตำแหน่งต่อคนว่างงานหนึ่งคนในเดือนธ.ค. ซึ่งเท่ากับระดับในเดือนพ.ย. แต่ดิ่งลงจากสัดส่วนตำแหน่งงานว่าง 2 ตำแหน่งต่อคนว่างงานหนึ่งคนที่เคยทำไว้ในเดือนมี.ค. 2022
มีสัญญาณบ่งชี้ว่า ตลาดแรงงานสหรัฐชะลอตัวลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปด้วยเช่นกัน เพราะว่ายอดการลาออกจากงานในสหรัฐดิ่งลง 132,000 คน สู่ 3.392 ล้านคนในเดือนธ.ค. ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนม.ค. 2021 หรือจุดต่ำสุดในรอบเกือบ 3 ปี และถือเป็นการรูดลงเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกัน ในขณะที่อัตราการลาออกจากงาน ซึ่งถือเป็นมาตรวัดความเชื่อมั่นในตลาดแรงงาน ทรงตัวที่ 2.2% ในเดือนธ.ค. โดยยอดการลาออกจากงานในสหรัฐนี้ได้รับแรงกดดันจากยอดการลาออกจากงานในภาคการแพทย์และสังคมสงเคราะห์ที่รูดลง 71,000 คนในเดือนธ.ค. ทั้งนี้ อัตราการลาออกจากงานที่ระดับต่ำบ่งชี้ว่า ค่าแรงจะชะลอการปรับขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อในสหรัฐชะลอตัวลงตามไปด้วย
ยอดการเปิดรับสมัครงานในภาคบริการธุรกิจและวิชาชีพพุ่งขึ้น 239,000 ตำแหน่งในเดือนธ.ค. และยอดการเปิดรับสมัครงานก็ทะยานขึ้นในภาคโรงงาน, ภาคการค้าปลีก, ภาคการแพทย์กับสังคมสงเคราะห์ และภาคกิจกรรมทางการเงินด้วย อย่างไรก็ดี ยอดการเปิดรับสมัครงานในภาคบริการอาหารและที่พักดิ่งลง 121,000 ตำแหน่งในเดือนธ.ค. และยอดการเปิดรับสมัครงานในภาคการค้าส่งรูดลง 83,000 ตำแหน่ง ทั้งนี้ ยอดการจ้างพนักงานใหม่ในสหรัฐปรับขึ้น 67,000 ตำแหน่ง สู่ 5.621 ล้านตำแหน่งในเดือนธ.ค. โดยได้รับแรงหนุนจากยอดการจ้างพนักงานใหม่ในภาคบริการธุรกิจและวิชาชีพ, ภาคบริการอาหารและที่พัก และภาครัฐบาลระดับรัฐกับรัฐบาลท้องถิ่น อย่างไรก็ดี ยอดการจ้างพนักงานใหม่ในภาคการแพทย์กับสังคมสงเคราะห์ดิ่งลง 119,000 ตำแหน่งในเดือนธ.ค. ในขณะที่อัตราการจ้างพนักงานใหม่ในสหรัฐปรับขึ้นจาก 3.5% ในเดือนพ.ย. สู่ 3.6% ในเดือนธ.ค.
ยอดการปลดพนักงานออกในสหรัฐพุ่งขึ้น 85,000 คน สู่ 1.616 ล้านคนในเดือนธ.ค. โดยได้รับแรงหนุนยอดการปลดพนักงานออกในภาคการขนส่ง, โกดังสินค้า กับสาธารณูปโภค โดยบริษัทยูไนเต็ด พาร์เซล เซอร์วิส (UPS) ของสหรัฐเพิ่งประกาศในวันอังคารว่า ทางบริษัทวางแผนจะปลดพนักงานออก 12,000 ตำแหน่ง ทางด้านอัตราการปลดพนักงานออกทรงตัวที่ 1.0% ในเดือนธ.ค.เป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกัน ในขณะที่บริษัทสหรัฐส่วนใหญ่ยังคงกักตุนคนงานไว้ หลังจากที่ทางบริษัทเคยประสบความยากลำบากในการหาพนักงานใหม่หลังเกิดวิกฤติโรคระบาด
กระทรวงแรงงานสหรัฐจะรายงานตัวเลขการจ้างงานเดือนม.ค.ในวันศุกร์นี้ โดยโพลล์รอยเตอร์คาดว่า การจ้างงานนอกภาคเกษตรในสหรัฐอาจเพิ่มขึ้น 180,000 ตำแหน่งในเดือนม.ค. หลังจากพุ่งขึ้น 216,000 ตำแหน่งในเดือนธ.ค. ส่วนอัตราการว่างงานอาจปรับขึ้นจาก 3.7% ในเดือนธ.ค. สู่ 3.8% ในเดือนม.ค.--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
ดอลลาร์แข็งค่าเมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินส่วนใหญ่ท่ามกลางภาวะซื้อขายผันผวนในวันพฤหัสบดี โดยได้แรงหนุนจากข้อมูลตลาดแรงงานที่ดีเกินคาด ซึ่งลดการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะลดอัตราดอกเบี้ยหลายครั้งในปีนี้ ทั้งนี้ รายงานการจ้างงานแห่งชาติของเอดีพีพบว่า การจ้างงานในภาคเอกชนเพิ่มขึ้น 164,000 ตำแหน่งในเดือนธ.ค. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นรายเดือนมากที่สุดตั้งแต่เดือนส.ค. และมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 115,000 ตำแหน่ง ส่วนจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 18,000 ราย สู่ระดับ 202,000 รายในรอบสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 30 ธ.ค. ขณะที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ 216,000 ราย Eikon source text
ดัชนีดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินอยู่ที่ 102.430 ในช่วงท้ายตลาดวันพฤหัสบดี
เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากระดับ 102.40 ในช่วงท้ายตลาดวันพุธ
หลังจากแข็งค่าแตะระดับสูงสุดรอบ 2 สัปดาห์ในวันพุธ
ดอลลาร์/เยนอยู่ที่ 144.62 เยนในช่วงท้ายตลาดวันพฤหัสบดี แข็งค่าขึ้นจากระดับ 143.29
ในช่วงท้ายตลาดวันพุธ โดยดอลลาร์แข็งค่าสูงสุดในรอบ 2 สัปดาห์ และปรับตัวขึ้น 3
วันติดต่อกันแล้ว
ยูโร/ดอลลาร์อยู่ที่ 1.0943 ดอลลาร์ในช่วงท้ายตลาดวันพฤหัสบดี แข็งค่าขึ้นจากระดับ
1.0921 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันพุธ เนื่องจากข้อมูลอัตราเงินเฟ้อในยุโรปเพิ่มขึ้น โดยอัตราเงินเฟ้อในฝรั่งเศสเพิ่มขึ้นตามคาดในเดือนธ.ค.ส่วนอัตราเงินเฟ้อในเยอรมนีเพิ่มขึ้น มาที่ 3.7% ในเดือนธ.ค. จาก 3.2% ในเดือนพ.ย.
ดัชนี S&P 500 และดัชนี Nasdaq ปิดลดลงในวันพฤหัสบดี โดยปรับตัวลงต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นปี แต่ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวกเล็กน้อยเนื่องจากหุ้นกลุ่มการเงิน และข้อมูลการจ้างงานที่แข็งแกร่ง โดยดัชนี S&P 500 ร่วงลง 3 วันติดต่อกันแล้ว ซึ่งนับเป็นการเริ่มต้นปีใหม่ที่แย่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 2015 เนื่องจากนักลงทุนยังคงขายทำกำไรออกมา หลังการพุ่งขึ้นมากในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของปีที่แล้ว นอกจากนี้ การปรับตัวขึ้นของผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐระยะยาวทำให้เทรดเดอร์ขายหุ้นกลุ่มเติบโต และเข้าซื้อหุ้นกลุ่มอื่นๆแทน
Eikon source text
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดเพิ่มขึ้น 0.03% ที่ 37,440.34
ดัชนี S&P 500 ปิดลดลง 0.34% ที่ 4,688.68
ดัชนี Nasdaq ปิดบวก 0.56% สู่ 14,510.3
ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX ปิดลดลงท่ามกลางภาวะซื้อขายผันผวนในวันพฤหัสบดี ขณะที่ปริมาณสต็อกน้ำมันเบนซิน และน้ำมันกลั่นที่เพิ่มขึ้นมากได้บดบังปริมาณสต็อกน้ำมันดิบที่ลดลงมากเกินคาด โดยสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของสหรัฐรายงานว่า สต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 10.9 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 237 ล้านบาร์เรล ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นเทียบรายสัปดาห์มากที่สุดในรอบกว่า 30 ปี ส่วนสต็อกน้ำมันกลั่นเพิ่มขึ้น 10.1 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 125.9 ล้านบาร์เรล แต่สต็อกน้ำมันดิบลดลง 5.5 ล้านบาร์เรล Eikon source text
ราคาน้ำมันดิบสหรัฐส่งมอบเดือนก.พ.ปิดลดลง 0.51 ดอลลาร์ หรือ 0.7% ที่ 72.19 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนมี.ค.ที่ตลาดกรุงลอนดอนปิดลดลง 0.66 ดอลลาร์ หรือ 0.8% ที่ 77.59 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาทองสปอตที่ตลาดสหรัฐทรงตัวในวันพฤหัสบดี หลังจากร่วงลง 4 วัน ขณะที่นักลงทุนรอดูข้อมูลการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐ ซึ่งอาจมีอิทธิพลต่อแนวทางอัตราดอกเบี้ยของเฟด โดยราคาทองสปอตบวก 0.2% มาที่ 2,044.39 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยนายจิม วิคออฟ นักวิเคราะห์อาวุโสจากคิทโก เมทัลส์กล่าวว่า "นักลงทุนในตลาดทองต้องการปัจจัยกระตุ้นใหม่เพื่อกระตุ้นให้ราคาพุ่งขึ้น แต่ถ้าข้อมูลการจ้างงานออกมาแข็งแกร่งขึ้น นั่นก็จะลดแรงกดดันต่อราคาไปได้บ้าง และอาจจะลดการคาดการณ์การลดดอกเบี้ยของเฟด" Eikon source text
--จบ--
วอชิงตัน--27 ต.ค.--รอยเตอร์
สำนักงานวิเคราะห์เศรษฐกิจในกระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานในวันพฤหัสบดีว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของสหรัฐเพิ่มขึ้น 4.9% ในไตรมาสสามเมื่อเทียบเป็นตัวเลขเต็มปี (annualized) ซึ่งถือเป็นอัตราการเติบโตที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาส 4/2021 หรือสูงที่สุดในรอบเกือบ 2 ปี และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ในโพลล์รอยเตอร์ที่ +4.3% โดยอัตราการเติบโตในไตรมาสสามนี้เร่งตัวขึ้นจาก 2.1% ในไตรมาสสอง และอยู่สูงกว่าอัตราการเติบโตศักยภาพ หรืออัตราการเติบโตที่จะไม่กระตุ้นให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ โดยเจ้าหน้าที่เฟดคาดว่าอัตราการเติบโตศักยภาพนี้อยู่ที่ราว 1.8% ทั้งนี้ เศรษฐกิจสหรัฐได้รับแรงหนุนจากปัจจัยบวกต่าง ๆ ในไตรมาสสาม ซึ่งรวมถึงตลาดแรงงานที่ตึงตัว เพราะปัจจัยนี้ส่งผลให้ค่าแรงปรับสูงขึ้น และสิ่งนี้ช่วยกระตุ้นปริมาณการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภค ส่วนปัจจัยบวกอื่น ๆ รวมถึงการที่ภาคธุรกิจปรับเพิ่มสต็อกสินค้าคงคลังอย่างรวดเร็วเพื่อตอบสนองอุปสงค์ที่แข็งแกร่ง และการลงทุนในภาคที่อยู่อาศัยที่ฟื้นตัวขึ้นในไตรมาสสาม หลังจากหดตัวลงมานาน 9 ไตรมาสติดต่อกัน โดยการลงทุนในภาคที่อยู่อาศัยพุ่งขึ้น 3.9% ในไตรมาสสาม หลังจากดิ่งลง 2.2% ในไตรมาสสอง และรูดลง 5.3% ในไตรมาสแรก
รายจ่ายภาครัฐบาลปรับขึ้นในไตรมาสสาม แต่การลงทุนทางธุรกิจในสหรัฐปรับลดลง 0.1% ในไตรมาสสาม ซึ่งถือเป็นการปรับลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปี หลังจากพุ่งขึ้น 7.4% ในไตรมาสสอง ในขณะที่การลงทุนในอุปกรณ์ซึ่งรวมถึงคอมพิวเตอร์ดิ่งลง 3.8% ในไตรมาสสาม หลังจากพุ่งขึ้น 7.7% ในไตรมาสสอง และการก่อสร้างโรงงานและสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ในภาคธุรกิจชะลอตัวลง โดยการลงทุนในส่วนนี้ปรับขึ้นเพียง 1.6% ในไตรมาสสาม หลังจากทะยานขึ้น 16.1% ในไตรมาสสอง โดยการลงทุนก่อสร้างโรงงานเคยได้รับแรงหนุนในช่วงก่อนหน้านี้จากนโยบายของรัฐบาลสหรัฐภายใต้ประธานาธิบดีโจ ไบเดนที่กระตุ้นให้มีการก่อสร้างโรงงานผลิตเซมิคอนดักเตอร์ในสหรัฐ ทั้งนี้ มีแนวโน้มว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะไม่สามารถรักษาอัตราการเติบโตที่สูงมากในไตรมาสสามได้ต่อไปอย่างยั่งยืน เพราะว่าเศรษฐกิจสหรัฐในไตรมาสสี่มีแนวโน้มว่าจะได้รับแรงกดดันจากปัจจัยหลายประการ ซึ่งรวมถึงการผละงานประท้วงของคนงานโรงงานรถยนต์ในสหรัฐ, ผลกระทบที่ล่าช้าจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมาแล้วรวมกัน 5.25% นับตั้งแต่เดือนมี.ค. 2022 เป็นต้นมา และการที่ชาวสหรัฐหลายล้านคนเริ่มกลับมาชำระหนี้การศึกษาอีกครั้งในเดือนต.ค. โดยนักเศรษฐศาสตร์ประเมินว่ายอดชำระหนี้ดังกล่าวอยู่ที่ราว 7.0 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือราว 0.3% ของรายได้ส่วนบุคคลสุทธิ
รายงานของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐแสดงให้เห็นว่า อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานชะลอตัวลงอย่างมากในไตรมาสสามด้วย โดยดัชนีราคาค่าใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) พื้นฐาน ซึ่งไม่รวมราคาอาหารและพลังงาน ปรับขึ้นเพียง 2.4% ในไตรมาสสาม ซึ่งถือเป็นอัตราที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาส 4/2020 เป็นต้นมา และชะลอตัวลงจาก 3.7% ในไตรมาสสอง และ 5.0% ในไตรมาสแรก โดยเฟดใช้ดัชนี PCE พื้นฐานเป็นมาตรวัดภาวะเงินเฟ้อ ทั้งนี้ ปริมาณการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภค ซึ่งครองสัดส่วนสูงกว่า 2 ใน 3 ของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในสหรัฐ พุ่งขึ้น 4.0% ในไตรมาสสาม หลังจากปรับขึ้นเพียง 0.8% ในไตรมาสสอง โดยปริมาณการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคส่งผลบวก 2.69% ต่ออัตราการเติบโตของจีดีพีในไตรมาสสาม ในขณะที่การใช้จ่ายทั้งในภาคสินค้าและภาคบริการต่างก็ส่งผลบวกต่อจีดีพีด้วยเช่นกัน โดยการใช้จ่ายในภาคบริการส่งผลบวก 1.6% ต่อจีดีพี, การใช้จ่ายซื้อสินค้าคงทนส่งผลบวก 0.6% ต่อจีดีพี และการใช้จ่ายในสินค้าไม่คงทนส่งผลบวก 0.5% ต่ออัตราการเติบโตของจีดีพีในไตรมาสสาม
การใช้จ่ายภาครัฐบาลส่งผลบวก 0.8% ต่ออัตราการเติบโตของจีดีพีในไตรมาสสาม, การลงทุนถาวรส่งผลบวก 0.2% และสต็อกสินค้าคงคลังภาคเอกชนส่งผลบวก 1.32% ต่อจีดีพี อย่างไรก็ดี ภาคการค้าส่งผลลบสุทธิต่อจีดีพี ในขณะที่ยอดนำเข้าส่งผลลบ 0.8% ต่อจีดีพี และยอดส่งออกส่งผลบวก 0.7% ต่อจีดีพีในไตรมาสสาม ทั้งนี้ สต็อกสินค้าคงคลังในสหรัฐพุ่งขึ้น 8.06 หมื่นล้านดอลลาร์ในไตรมาสสาม แต่ภาคธุรกิจปรับเพิ่มสต็อกสินค้าคงคลังโดยพึ่งพาการนำเข้า และส่งผลให้สหรัฐขาดดุลการค้าเล็กน้อย ซึ่งส่งผลลบเล็กน้อยต่อจีดีพี ส่วนเศรษฐกิจสหรัฐที่ไม่รวมภาคการค้าและสต็อกสินค้าคงคลังเติบโต 3.5% ในไตรมาสสาม
ค่าแรงชะลอการปรับขึ้นในช่วงที่ผ่านมา แต่ยังคงปรับขึ้นอย่างรวดเร็วกว่าอัตราเงินเฟ้อ และปัจจัยนี้ส่งผลบวกต่อกำลังซื้อของภาคครัวเรือน อย่างไรก็ดี ภาษีส่วนบุคคลปรับเพิ่มขึ้นในไตรมาสสาม และปัจจัยนี้ส่งผลให้รายได้สุทธิของภาคครัวเรือนหลังหักภาษีร่วงลง 1.0% ดังนั้นผู้บริโภคจึงนำเงินออมออกมาใช้จ่าย และส่งผลให้อัตราการออมเงินดิ่งลงสู่ 3.8% ในไตรมาสสาม จาก 5.2% ในไตรมาสสอง ทางด้านนักเศรษฐศาสตร์ประเมินว่า เงินออมส่วนเกินที่ชาวสหรัฐเคยเก็บสะสมไว้ในช่วงที่เกิดวิกฤติโรคระบาดอาจจะหมดลงภายในไตรมาสแรกของปี 2024--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--9 ส.ค.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดปรับลงในวันอังคาร หลังจากมีข่าวว่าบริษัทมูดี้ส์ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของธนาคารขนาดเล็กถึงขนาดกลางหลายแห่งของสหรัฐ และระบุว่าอาจจะปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือธนาคารที่ใหญ่ที่สุดบางแห่งของสหรัฐลงด้วย โดยมูดี้ส์เตือนว่า ความแข็งแกร่งด้านความน่าเชื่อถือของภาคธนาคารอาจจะถูกทดสอบจากความเสี่ยงด้านการระดมทุน และความสามารถในการทำกำไรที่ลดลง ทั้งนี้ มูดี้ส์ลดอันดับความน่าเชื่อถือของธนาคาร 10 แห่งลง 1 ขั้น และประกาศทบทวนโดยมีแนวโน้มปรับลดลงสำหรับธนาคารขนาดใหญ่อีก 6 แห่ง อาทิ แบงก์ ออฟ นิวยอร์ค เมลลอน, ยูเอส แบนคอร์ป, สเตท สตรีท และทรูอิสต์ ไฟแนนเชียล โดยข่าวนี้ทำให้นักลงทุนกังวลกับสถานะของภาคธนาคารสหรัฐและเศรษฐกิจสหรัฐ ทางด้านหุ้นธนาคารโกลด์แมน แซคส์และแบงก์ ออฟ อเมริกาดิ่งลงราว 1.9%, หุ้นแบงก์ ออฟ นิวยอร์ค เมลลอนรูดลง 1.3% และหุ้นทรูอิสต์ร่วงลง 0.6% ในวันอังคาร
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดปรับลง 0.45% สู่ 35,314.49, ดัชนี S&P 500 ปิดปรับลง 0.42% สู่ 4,499.38 และดัชนี Nasdaq ปิดร่วงลง 0.79% สู่ 13,884.32 ในวันอังคาร โดยดัชนี S&P ดิ่งลงมาแล้ว 2% จากช่วงต้นเดือนส.ค. ส่วน Nasdaq รูดลงมาแล้ว 3.2% จากช่วงต้นเดือนนี้ ในขณะที่ดัชนีทั้งสองตัวนี้ปิดตลาดในแดนลบเป็นจำนวน 5 วันในช่วง 6 วันทำการที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี ดัชนีทั้งสองตัวนี้เพิ่งพุ่งขึ้นในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา และอยู่ห่างจากสถิติสูงสุดไม่มากนัก
หุ้น 8 กลุ่มจาก 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐปิดตลาดในแดนลบในวันอังคาร โดยหุ้นกลุ่มที่ดิ่งลงอย่างรุนแรงรวมถึงหุ้นกลุ่มวัสดุ, หุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย และหุ้นกลุ่มการเงิน ในขณะที่ดัชนี KBW สำหรับหุ้นกลุ่มธนาคารระดับภูมิภาคของสหรัฐดิ่งลง 1.4% และดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารของสหรัฐรูดลง 1.1% ในวันอังคาร โดยดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารดิ่งลงมาแล้ว 2.5% จากช่วงต้นปีนี้ โดยได้รับแรงกดดันจากวิกฤติภาคธนาคารในช่วงต้นปีนี้ ซึ่งสวนทางกับดัชนี S&P 500 ที่พุ่งขึ้นมาแล้ว 17.2% จากช่วงต้นปีนี้ ทั้งนี้ ข่าวเรื่องการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือในภาคธนาคารส่งผลให้ดัชนีความผันผวน CBOE หรือดัชนี VIX ที่ใช้วัดระดับความกังวลในตลาดหุ้นสหรัฐ พุ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดรอบ 2 เดือนในระหว่างช่วงการซื้อขายวันอังคาร
ดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานของสหรัฐร่วงลงในช่วงแรก โดยได้รับแรงกดดันจากตัวเลขภาคการค้าที่น่าผิดหวังของจีน อย่างไรก็ดี ดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานปรับขึ้นมาปิดตลาดบวกขึ้น 0.5% ในวันอังคาร โดยได้รับแรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมัน
หุ้นกลุ่มการแพทย์พุ่งขึ้น โดยได้รับแรงหนุนจากหุ้นบริษัทอีไล ลิลลีที่ทะยานขึ้น 14.9% สู่สถิติระดับปิดสูงสุดใหม่ หลังจากทางบริษัทเปิดเผยผลกำไรรายไตรมาสที่สดใส นอกจากนี้ หุ้นบริษัทผู้ผลิตยาทั่วโลกก็ได้รับแรงหนุนจากข่าวเกี่ยวกับบริษัทโนโว นอร์ดิสก์ของเดนมาร์กด้วย หลังจากโนโว นอร์ดิสก์ประกาศว่า ยา Wegovy ที่ใช้รักษาโรคอ้วนของทางบริษัทช่วยลดความเสี่ยงจากโรคหัวใจ ทั้งนี้ หุ้นยูไนเต็ด พาร์เซล เซอร์วิส (UPS) ซึ่งเป็นบริษัทขนส่งพัสดุ ร่วงลง 0.9% หลังจาก UPS ปรับลดคาดการณ์รายได้ประจำปี--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--19 มิ.ย.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดปรับลงในวันศุกร์ตามหุ้นบริษัทไมโครซอฟท์และหุ้นบริษัทขนาดใหญ่แห่งอื่น ๆ หลังจากเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) 2 คนแสดงความเห็นแบบสายเหยี่ยว ซึ่งสวนทางกับการคาดการณ์ของนักลงทุนในช่วงก่อนหน้านี้ที่ว่า เฟดอาจใกล้ที่จะยุติวัฏจักรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ทั้งนี้ หุ้นไมโครซอฟท์ดิ่งลง 1.7% ในวันศุกร์ หลังจากเพิ่งทำสถิติระดับปิดสูงสุดใหม่ในวันพฤหัสบดี ส่วนหุ้นอะเมซอนดอทคอมรูดลง 1.3% ในวันศุกร์ ในขณะที่หน่วยงานควบคุมกฎระเบียบด้านการแข่งขันของอังกฤษอนุมัติแผนการขนาด 1.7 พันล้านดอลลาร์ของอะเมซอนในการเข้าซื้อกิจการบริษัทไอโรบอท คอร์ป ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องดูดฝุ่น โดยหุ้นไอโรบอทพุ่งขึ้น 21%
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดปรับลง 0.32% สู่ 34,299.12, ดัชนี S&P 500 ปิดปรับลง 0.37% สู่ 4,409.59 หลังจากเพิ่งปิดตลาดที่ระดับปิดสูงสุดรอบ 14 เดือนในวันพฤหัสบดี ส่วนดัชนี Nasdaq ปิดร่วงลง 0.68% สู่ 13,689.57 หลังจากเพิ่งปิดตลาดที่ระดับปิดสูงสุดรอบ 14 เดือนในวันพฤหัสบดี ทั้งนี้ ดัชนีดาวโจนส์ปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการพุ่งขึ้น 1.2% จากสัปดาห์ที่แล้ว, ดัชนี S&P 500 ทะยานขึ้น 2.6% ในสัปดาห์นี้ และปิดตลาดรายสัปดาห์ในแดนบวกเป็นสัปดาห์ที่ 5 ติดต่อกัน ส่วนดัชนี Nasdaq พุ่งขึ้น 3.2% ในสัปดาห์นี้ ซึ่งถือเป็นการปิดตลาดรายสัปดาห์ในแดนบวกเป็นสัปดาห์ที่ 8 ติดต่อกัน และระยะ 8 สัปดาห์นี้ถือว่ายาวนานที่สุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค. 2019
เทรดเดอร์คาดว่า มีโอกาส 69.2% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ 5.25-5.50% ในการประชุมวันที่ 25-26 ก.ค. แต่เฟดอาจจะหยุดพักจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงหลังจากนั้น และเทรดเดอร์คาดว่ามีความเป็นไปได้ที่เฟดอาจจะเริ่มต้นปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในเดือนธ.ค. อย่างไรก็ดี ผู้กำหนดนโยบายของเฟดส่งสัญญาณแบบสายเหยี่ยวในวันศุกร์ โดยนายคริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ หนึ่งในผู้ว่าการเฟดกล่าวเตือนว่า "อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานไม่ได้ชะลอตัวลงตามแบบที่ผมเคยคาดไว้" ส่วนนายโธมัส บาร์คิน ประธานเฟดสาขาริชมอนด์กล่าวว่า เขายอมรับได้กับการที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป เพราะว่าอัตราเงินเฟ้อยังไม่ได้มีแนวโน้มว่าะชะลอตัวลงสู่ 2%
มหาวิทยาลัยมิชิแกนรายงานในวันศุกร์ว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐพุ่งขึ้นจาก 59.2 ในเดือนพ.ค. สู่ 63.9 ในเดือนมิ.ย. ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดรอบ 4 เดือน ในขณะที่ผู้บริโภคคาดว่า อัตราเงินเฟ้อสหรัฐในช่วง 1 ปีข้างหน้าจะอยู่ที่ 3.3% ซึ่งถือเป็นตัวเลขคาดการณ์ที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค. 2021 หรือต่ำที่สุดในรอบกว่า 2 ปี โดยตัวเลขคาดการณ์ใหม่นี้ดิ่งลงจาก 4.2% ที่เคยคาดไว้ในเดือนพ.ค. นอกจากนี้ ผู้บริโภคยังคาดการณ์อีกด้วยว่า อัตราเงินเฟ้อสหรัฐในอีก 5 ปีข้างหน้าจะอยู่ที่ 3.0% โดยขยับลงจาก 3.1% ที่เคยคาดไว้ในเดือนพ.ค. โดยตัวเลขคาดการณ์นี้เคลื่อนตัวอยู่ในกรอบ 2.9-3.1% มาเป็นเวลานานถึง 22 เดือนในช่วง 23 เดือนที่ผ่านมา
หุ้น 8 กลุ่มจาก 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐปิดตลาดในแดนลบในวันศุกร์ โดยดัชนีหุ้นกลุ่มบริการการสื่อสารดิ่งลง 1% และถือเป็นกลุ่มที่ดิ่งลงมากที่สุด ส่วนดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศ (ไอที) ร่วงลง 0.83% และถือเป็นกลุ่มที่ปรับลงมากเป็นอันดับสอง ทั้งนี้ หุ้นเอ็นวิเดียขยับขึ้น 0.1% หลังจากธนาคารมอร์แกน สแตนเลย์ปรับขึ้นราคาเป้าหมายของหุ้นเอ็นวิเดีย และระบุว่าหุ้นเอ็นวิเดียถือเป็น top pick ในบรรดาหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐ--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--27 เม.ย.--รอยเตอร์
ดัชนี Nasdaq ของตลาดหุ้นสหรัฐปิดบวกขึ้นเล็กน้อยในวันพุธ หลังจากบริษัทไมโครซอฟท์ คอร์ปเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่ง และปัจจัยดังกล่าวช่วยหนุนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี อย่างไรก็ดี ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์และดัชนี S&P 500 ปรับลงในวันพุธ เนื่องจากนักลงทุนยังคงกังวลกับความอ่อนแอของเศรษฐกิจสหรัฐและวิกฤติภาคธนาคาร ทั้งนี้ หุ้นไมโครซอฟท์พุ่งขึ้น 7.2% หลังจากไมโครซอฟท์เปิดเผยยอดขายและผลกำไรรายไตรมาสที่แข็งแกร่ง ซึ่งรวมถึงยอดขายผลิตภัณฑ์ปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยผลประกอบการของไมโครซอฟท์ช่วยหนุนหุ้นตัวอื่น ๆ ในกลุ่มเทคโนโลยีให้พุ่งขึ้นด้วย ซึ่งรวมถึงหุ้นอะเมซอนดอทคอมที่พุ่งขึ้น 2.3% ในขณะที่อะเมซอนทำธุรกิจประมวลผลระบบคลาวด์, หุ้นดาตาด็อกที่ทะยานขึ้น 10.5% โดยดาตาด็อกทำธุรกิจวิเคราะห์ข้อมูล และหุ้นสโนว์เฟลคที่พุ่งขึ้น 8.5% โดยสโนว์เฟลคถือเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านระบบคลาวด์ข้อมูล
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดร่วงลง 0.68% สู่ 33,301.87, ดัชนี S&P 500 ปิดปรับลง 0.38% สู่ 4,055.99 และดัชนี Nasdaq ปิดบวกขึ้น 0.47% สู่ 11,854.35 ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีพุ่งขึ้น 1.7% และถือเป็นหุ้นกลุ่มใหญ่เพียงกลุ่มเดียวจากทั้งหมด 11 กลุ่มในสหรัฐที่ปิดตลาดในแดนบวกในวันพุธ ทางด้านดัชนีหุ้นกลุ่มการขนส่งดิ่งลง 3.6% ในวันพุธ ซึ่งถือเป็นการดิ่งลงครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 11 เดือน โดยหุ้นกลุ่มการขนส่งได้รับแรงกดดันจากความกังวลทางเศรษฐกิจในสหรัฐ หลังจากสหรัฐรายงานตัวเลขยอดสั่งซื้อสินค้าทุนที่อ่อนแอในวันพุธ และหลังจากบริษัทยูไนเต็ด พาร์เซล เซอร์วิส (UPS) ซึ่งเป็นบริษัทขนส่งพัสดุคาดการณ์รายได้ตลอดทั้งปีในระดับต่ำในวันอังคาร
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานในวันพุธว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าทุนยกเว้นอาวุธและเครื่องบิน หรือยอดสั่งซื้อสินค้าทุนพื้นฐาน ซึ่งถือเป็นมาตรวัดแผนการลงทุนทางธุรกิจ ร่วงลง 0.4% ในเดือนมี.ค. หลังจากปรับลง 0.7% ในเดือนก.พ. และเทียบกับโพลล์รอยเตอร์ที่คาดว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าทุนพื้นฐานอาจขยับลงเพียง 0.1% ในเดือนมี.ค. ทางด้านยอดขนส่งสินค้าทุนพื้นฐานปรับลง 0.4% ในเดือนมี.ค. หลังจากปรับลง 0.4% ในเดือนก.พ. และสิ่งนี้บ่งชี้ว่ารายจ่ายด้านอุปกรณ์ในภาคธุรกิจอาจจะเป็นปัจจัยที่ถ่วงเศรษฐกิจสหรัฐในไตรมาสแรก
หุ้นธนาคารเฟิร์สท์ รีพับลิก ซึ่งถือเป็นธนาคารระดับภูมิภาคในสหรัฐดิ่งลง 29.8% ในวันพุธ และรูดลงแตะสถิติต่ำสุดใหม่เป็นวันที่ 2 ติดต่อกัน โดยการดิ่งลงของหุ้นเฟิร์สท์ รีพับลิกมีส่วนกดดันดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารของสหรัฐให้รูดลง 1.4% ในวันพุธ นอกจากนี้ หุ้นเฟิร์สท์ รีพับลิกก็ดิ่งลงมาแล้ว 96.1% จากช่วงต้นปีนี้ด้วย ทั้งนี้ นักลงทุนกังวลกับข่าวที่ว่า รัฐบาลสหรัฐไม่เต็มใจที่จะจัดทำมาตรการช่วยเหลือเฟิร์สท์ รีพับลิก หลังจากยอดเงินฝากในธนาคารแห่งนี้ดิ่งลงกว่า 1.00 แสนล้านดอลลาร์ในไตรมาสแรก อย่างไรก็ดี หุ้นแพคเวสท์ แบงคอร์ป ซึ่งเป็นธนาคารระดับภูมิภาคในสหรัฐพุ่งขึ้น 7.5% หลังจากแพคเวสท์รายงานผลกำไรไตรมาสแรกที่ดีเกินคาด และรายงานว่าการถอนเงินฝากเข้าสู่เสถียรภาพแล้ว
หุ้นแอลฟาเบทซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิลขยับลง 0.1% ถึงแม้แอลฟาเบทรายงานผลประกอบการไตรมาสแรกที่ดีเกินคาด และประกาศแผนซื้อคืนหุ้น 7.0 หมื่นล้านดอลลาร์ ทั้งนี้ บริษัท 163 แห่งในดัชนี S&P 500 เปิดเผยผลประกอบการไตรมาสแรกออกมาแล้ว และบริษัท 79.8% ในกลุ่มนี้เปิดเผยผลกำไรที่ดีเกินคาด ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 66% ทางด้านนักวิเคราะห์คาดการณ์ในตอนนี้ว่า บริษัทในดัชนี S&P 500 อาจมีผลกำไรลดลงเพียง 3.2% ในไตรมาสแรก หลังจากที่เพิ่งคาดการณ์ในวันก่อนหน้านั้นว่า บริษัทกลุ่มนี้อาจมีผลกำไรหดตัวลง 3.9% ในไตรมาสแรก--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--1 ก.พ.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดพุ่งขึ้นในวันอังคาร หลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ดัชนีต้นทุนการจ้างงาน (ECI) ซึ่งถือเป็นมาตรวัดต้นทุนแรงงานในวงกว้างที่สุดในสหรัฐ ปรับขึ้น 1.0% ในไตรมาส 4/2022 เมื่อเทียบรายไตรมาส ซึ่งถือเป็นการปรับขึ้นที่น้อยที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาส 4/2021 และอยู่ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ในโพลล์รอยเตอร์ที่ +1.1% หลังจากดัชนี ECI ปรับขึ้น 1.2% ในไตรมาสเดือนก.ค.-ก.ย. 2022 ทางด้านค่าแรงและเงินเดือนในสหรัฐปรับขึ้น 1.0% ในไตรมาส 4/2022 ซึ่งถือเป็นการปรับขึ้นที่น้อยที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาส 4/2021 ด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ นักลงทุนบางรายมองว่า รายงานตัวเลขนี้แสดงให้เห็นว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างแข็งกร้าวของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในช่วงที่ผ่านมากำลังประสบความสำเร็จในการทำให้อัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลง
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดพุ่งขึ้น 1.09% สู่ 34,086.04, ดัชนี S&P 500 ปิดทะยานขึ้น 1.46% สู่ 4,076.6 และดัชนี Nasdaq ปิดพุ่งขึ้น 1.67% สู่ 11,584.55 ทั้งนี้ ดัชนี S&P 500 ปิดตลาดเดือนม.ค.ด้วยการพุ่งขึ้น 6.2% จากเดือนธ.ค. ส่วนดัชนี Nasdaq ทะยานขึ้น 10.7% ในเดือนม.ค. ซึ่งถือเป็นอัตราการพุ่งขึ้นครั้งใหญ่ที่สุดสำหรับเดือนม.ค.ในแต่ละปีนับตั้งแต่ปี 2001 เป็นต้นมา
นักลงทุนในตลาดสัญญาล่วงหน้าคาดการณ์ว่า มีโอกาส 97.9% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ 4.50-4.75% ในการประชุมวันที่ 31 ม.ค.-1 ก.พ. และมีโอกาสเพียง 2.1% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% สู่ 4.75-5.00% ในการประชุมวันที่ 31 ม.ค.-1 ก.พ.
หุ้นทั้ง 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐปิดตลาดในแดนบวกในวันอังคาร โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มวัสดุกับหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยที่พุ่งขึ้นกว่า 2% ทั้งนี้ นักลงทุนจับตาดูผลประกอบการของบริษัทสหรัฐในช่วงนี้ โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิลในกลุ่มน้ำมันพุ่งขึ้น 2.2% ในวันอังคาร หลังจากเอ็กซอนรายงานว่ามีผลกำไรสุทธิ 5.6 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2022 ซึ่งถือเป็นการทำสถิติสูงสุดใหม่สำหรับอุตสาหกรรมน้ำมันในชาติตะวันตก ทางด้านหุ้นยูไนเต็ด พาร์เซล เซอร์วิส (UPS) ทะยานขึ้น 4.7% หลังจาก UPS เปิดเผยผลกำไรรายไตรมาสที่สูงเกินคาด
หุ้นเจเนอรัล มอเตอร์ส (GM) ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์พุ่งขึ้น 8.3% หลังจาก GM คาดการณ์ผลกำไรปี 2023 ที่สูงเกินคาด ทั้งนี้ หุ้นแคเทอร์พิลลาร์ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตเครื่องจักรดิ่งลง 3.5% หลังจากทางบริษัทรายงานว่า ผลกำไรไตรมาส 4 ดิ่งลง 29% ส่วนหุ้นแมคโดนัลด์รูดลง 1.3% หลังจากแมคโดนัลด์ประกาศเตือนว่า ภาวะเงินเฟ้อจะส่งผลลบต่ออัตราผลกำไรในปี 2023--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
เครื่องมือออกแบบโปสเตอร์
โครงการพันธมิตร
ความเสี่ยงของการสูญเสียในการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น หุ้น FX สินค้าโภคภัณฑ์ ฟิวเจอร์ส พันธบัตร ETFs หรือเงินดิจิทัลอาจมีมาก คุณอาจสูญเสียเงินทุนทั้งหมดที่คุณฝากไว้กับโบรกเกอร์ของคุณ ดังนั้น คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบว่าการซื้อขายดังกล่าวเหมาะสมกับคุณหรือไม่ในสถานการณ์และทรัพยากรทางการเงินของคุณ
ไม่ควรตัดสินใจลงทุนโดยไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบสถานะอย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วยตัวเองหรือปรึกษากับที่ปรึกษาทางการเงินของคุณ เนื้อหาเว็บของเราอาจไม่เหมาะกับคุณเนื่องจากเราไม่ทราบเงื่อนไขทางการเงินและความต้องการในการลงทุนของคุณ ข้อมูลทางการเงินของเราอาจมีความล่าช้าหรือมีความไม่ถูกต้อง ดังนั้นคุณควรรับผิดชอบอย่างเต็มที่ต่อการตัดสินใจซื้อขายและการลงทุนของคุณ บริษัทจะไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียเงินทุนของคุณ
หากไม่ได้รับอนุญาตจากเว็บไซต์ คุณจะไม่สามารถคัดลอกกราฟิก ข้อความ หรือเครื่องหมายการค้าของเว็บไซต์ได้ สิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาในเนื้อหาหรือข้อมูลที่รวมอยู่ในเว็บไซต์นี้เป็นของผู้ให้บริการและผู้ค้าแลกเปลี่ยน
ไม่ได้ล็อกอิน
เข้าสู่ระบบเพื่อเข้าถึงฟังก์ชั่นเพิ่มเติม

สมาชิก FastBull
ยังไม่ได้เปิด
สมัคร
เข้าสู่ระบบ
ลงทะเบียน