ตลาด
ข่าวสาร
การวิเคราะห์
ผู้ใช้
24x7
ปฏิทินเศรษฐกิจ
แหล่งเรียนรู้
ข้อมูล
- ชื่อ
- ค่าล่าสุด
- ครั้งก่อน












สัญญาณ VIP
ทั้งหมด
ทั้งหมด



สหรัฐอเมริกา การเลิกจ้างพนักงานบริษัทชาเลนเจอร์ เกรย์ และคริสต์มาส MoM (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ค่าเฉลี่ยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก4 สัปดาห์ (SA)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์ (SA)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานต่อรายสัปดาห์ (SA)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา Ivey PMI (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา Ivey PMI (Not SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา คำสั่งซื้อสินค้าคงทนนอกกระทรวงกลาโหมที่ได้แก้ไข MoM (ไม่รวมเครื่องบิน)(SA) (ก.ย.)ค:--
ค: --
สหรัฐอเมริกา คำสั่งซื้อโรงงาน MoM(ยกเว้นการขนส่ง) (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา คำสั่งซื้อโรงงาน MoM (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา คำสั่งซื้อโรงงาน MoM(ยกเว้นภาคกลาโหม) (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การเปลี่ยนแปลงสต็อกก๊าซธรรมชาติประจำสัปดาห์ของ EIAค:--
ค: --
ค: --
ซาอุดิอาระเบีย การผลิตน้ำมันดิบค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การถือครองธนารักษ์สหรัฐฯของธนาคารกลางต่างประเทศรายสัปดาห์ค:--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น เงินตราที่ใช้เป็นทุนสำรอง (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย อัตราขายคืนค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย ดอกเบี้ยอ้างอิงค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย อัตราขายคืนค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย อัตราเงินสดสำรองค:--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น อินดิเคเตอร์ชั้นนำเบื้องต้น (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหราชอาณาจักร ดัชนีราคาที่อยู่อาศัย Halifax YoY (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหราชอาณาจักร ดัชนีราคาที่อยู่อาศัย Halifax MoM (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส บัญชีเดินสะพัด (Not SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส ดุลการค้า (SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส การผลิตภาคอุตสาหกรรม MoM(SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
อิตาลี ดัชนียอดค้าปลีก MoM (SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงาน YoY (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน GDP Final YoY (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน GDP Final QoQ (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงาน QoQ (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงานสุดท้าย (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
บราซิล PPI MoM (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
เม็กซิโก ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา อัตราการว่างงาน (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา อัตราการมีส่วนร่วมในการจ้างงาน (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงาน (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงานนอกเวลา (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงานเต็มเวลา (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา รายได้ส่วนบุคคล MoM (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาธนาคารกลางรัฐดัลลาส สหรัฐอเมริกา PCE YoY (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคา PCE YoY (SA) (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคา PCE MoM (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา รายจ่ายส่วนบุคคล MoM(SA) (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาPCEหลักMoM (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา เงินเฟ้อเบื้องต้น UMich 5-YearYoY (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาPCEหลักYoY (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ค่าใช้จ่ายการบริโภคส่วนบุคคลที่จริง MoM (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การคาดการณ์เงินเฟ้อ 5-10 ปี (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีสถานภาพเบื้องต้น UMich ปัจจุบัน (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้น UMich (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อล่วงหน้า 1 ปี UMich (เบื้องต้น) (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีความคาดหวังผู้บริโภค UMich (เบื้องต้น) (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ปริมาณเครื่องเจาะทั้งหมดรายสัปดาห์--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ปริมาณเครื่องเจาะน้ำมันทั้งหมดรายสัปดาห์--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา สินเชื่ออุปโภคบริโภค (SA) (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ เงินตราที่ใช้เป็นทุนสำรอง (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ปริมาณการส่งออก YoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การนำเข้า YoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การนำเข้าYoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ดุลการค้า (CNH) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การส่งออก (พ.ย.)--
ค: --
ค: --


ไม่มีข้อมูลที่ตรงกัน
ทัศนคติล่าสุด
ทัศนคติล่าสุด
หัวข้อยอดนิยม
คอลัมนิสต์ยอดนิยม
อัปเดตล่าสุด
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
ดูผลการค้นหาทั้งหมด

ไม่มีข้อมูล
15 ก.พ.--รอยเตอร์
บริษัทเบิร์คเชียร์ แฮทธาเวย์ได้ยื่นหนังสือตามกฎระเบียบเพื่อชี้แจงเรื่องการถือครองหุ้นบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐในช่วงสิ้นปี 2023 โดยเบิร์คเชียร์ระบุว่า ทางบริษัทได้ขายหุ้นบริษัทแอปเปิลเป็นจำนวน 10 ล้านหุ้นในไตรมาส 4/2023 แต่เบิร์คเชียร์ยังคงถือครองหุ้นแอปเปิลเป็นจำนวนสูงกว่า 905 ล้านหุ้น ซึ่งคิดเป็นมูลค่ารวมกันได้ราว 1.74 แสนล้านดอลลาร์ ทั้งนี้ ยังไม่เป็นที่แน่นอนว่า การเทขายหุ้นแอปเปิลในครั้งนี้ดำเนินการโดยนายวอร์เรน บัฟเฟตต์ ซีอีโอของเบิร์คเชียร์หรือไม่ เพราะว่านายท็อดด์ คอมบ์ และนายเท็ด เวชเลอร์ ผู้จัดการพอร์ตลงทุนของนายบัฟเฟตต์ก็อาจเป็นผู้ที่ดำเนินการเทขายหุ้นในครั้งนี้ได้ด้วยเช่นกัน
เบิร์คเชียร์รายงานว่า ทางบริษัทได้ยุติการลงทุนในบริษัท 4 แห่ง โดยเบิร์คเชียร์ไม่ได้ถือครองหุ้นบริษัทดีอาร์ นอร์ทัน ซึ่งทำธุรกิจก่อสร้างบ้าน, หุ้นบริษัทโกลบ ไลฟ์ ซึ่งทำธุรกิจประกัน, หุ้นบริษัทมาร์เคล ซึ่งทำธุรกิจการลงทุนและประกัน และหุ้นบริษัทสโตนโค ซึ่งเป็นผู้ประมวลผลบัตรเครดิตของบราซิลอีกต่อไป หลังจากที่เบิร์คเชียร์เคยถือครองหุ้น 4 บริษัทนี้เป็นมูลค่าสูงกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ในช่วงสิ้นเดือนก.ย. 2023 ทั้งนี้ เบิร์คเชียร์เปิดเผยว่า ทางบริษัทได้เพิ่มการถือครองหุ้นในเชฟรอน ซึ่งเป็นบริษัทน้ำมันขนาดใหญ่ของสหรัฐ แต่ปรับลดการถือครองหุ้นในบริษัท HP ซึ่งเป็นผู้ผลิตคอมพิวเตอร์และเครื่องพิมพ์ และปรับลดการถือครองหุ้นในบริษัทพาราเมาท์ โกลบัล ซึ่งทำธุรกิจสื่อ
เบิร์คเชียร์ได้ขออนุญาตจากคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐ (SEC) ในการปกปิดการถือครองหุ้นบางตัวไว้เป็นความลับด้วย โดยเบิร์คเชียร์มักจะขออนุญาตแบบนี้ในช่วงที่เบิร์คเชียร์กำลังเข้าลงทุนขนาดหลายพันล้านดอลลาร์ในบริษัทขนาดใหญ่บางแห่ง เพื่อเป็นการสกัดกั้นไม่ให้นักลงทุนรายอื่น ๆ ชิงเข้าซื้อหุ้นบริษัทดังกล่าวก่อนที่เบิร์คเชียร์จะเสร็จสิ้นจากการเข้าซื้อหุ้นบริษัทนั้น ทั้งนี้ ในรายงานประจำไตรมาส 3/2023 ที่ออกมาในเดือนพ.ย.ปีที่แล้วนั้น เบิร์คเชียร์ส่งสัญญาณว่า การถือครองหุ้นลับนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับธนาคาร, บริษัทการเงิน หรือบริษัทประกัน เพราะว่าเบิร์คเชียร์ได้ใช้เงิน 1.2 พันล้านดอลลาร์ในการเข้าซื้อหุ้นในกลุ่มนี้ และเบิร์คเชียร์ก็ยังไม่ได้เปิดเผยชื่อบริษัทเป้าหมายในรายงานครั้งนี้
นายบัฟเฟตต์ซึ่งมีอายุ 93 ปีได้บริหารเบิร์คเชียร์นับตั้งแต่ปี 1965 เป็นต้นมา โดยทางบริษัทได้ถือครองธุรกิจหลายสิบแห่งในปัจจุบัน ซึ่งรวมถึงเกโคซึ่งเป็นบริษัทประกันรถยนต์, BNSF ที่ทำธุรกิจทางรถไฟ, บริษัทในกลุ่มพลังงาน, บริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรม และบริษัทเจ้าของสินค้ายี่ห้อดังอีกหลายแห่ง ซึ่งรวมถึงเบนจามิน มัวร์ที่ทำธุรกิจสีทาบ้าน, แดรี่ควีน, ดูราเซลล์, ฟรุต ออฟ เดอะ ลูมที่ทำธุรกิจเสื้อผ้า และซีส์ แคนดีส์ที่ทำธุรกิจขนม
บริษัทเบิร์คเชียร์จะเปิดเผยรายละเอียดเรื่องการลงทุนและธุรกิจของตนเอง เมื่อทางบริษัทเปิดเผยรายงานประจำปีและจดหมายประจำปีของนายบัฟเฟตต์ที่ส่งถึงผู้ถือหุ้นในวันที่ 24 ก.พ.--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
กรุงเทพฯ--15 ก.พ.--รอยเตอร์
ดัชนีดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินปรับลงในวันพุธหลังจากพุ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดรอบ 3 เดือนในระหว่างวัน โดยก่อนหน้านี้ดอลลาร์เพิ่งพุ่งขึ้นในวันอังคาร โดยได้รับแรงหนุนจากตัวเลขอัตราเงินเฟ้อเดือนม.ค.ของสหรัฐที่อยู่ในระดับแข็งแกร่งเกินคาด เพราะตัวเลขดังกล่าวส่งผลให้นักลงทุนปรับลดการคาดการณ์เรื่องการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ทั้งนี้ สำนักงานสถิติแรงงาน (BLS) ในกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานในวันอังคารว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐแบบเทียบรายปีปรับขึ้น 3.1% ในเดือนม.ค. หลังจากพุ่งขึ้น 3.4% ในเดือนธ.ค.เมื่อเทียบรายปี และออกห่างจากจุดสูงสุดของวัฏจักรที่ 9.1% ที่เคยทำไว้ในเดือนมิ.ย. 2022 แต่ตัวเลขดังกล่าวอยู่สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ในโพลล์รอยเตอร์ที่ +2.9% สำหรับเดือนม.ค. ทางด้านนักลงทุนในตลาดสัญญาล่วงหน้า fed funds คาดการณ์ในตอนนี้ว่า เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 5.25-5.50% ตามเดิมในการประชุมวันที่ 19-20 มี.ค. และคาดว่ามีโอกาสสูงเกือบถึง 80% ที่เฟดอาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 11-12 มิ.ย. โดยนักลงทุนคาดการณ์กันอีกด้วยว่า เฟดอาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงเพียง 3 ครั้ง ครั้งละ 0.25% ในปีนี้ หลังจากที่เคยคาดการณ์เมื่อสองสัปดาห์ก่อนว่า เฟดอาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 5 ครั้งในปีนี้ Eikon source text
ดัชนีดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินอยู่ที่ 104.68 ในช่วงท้ายตลาดวันพุธ โดยอ่อนค่าลงจาก 104.86 ในช่วงท้ายตลาดวันอังคาร หลังจากปรับขึ้นแตะ 104.97 ในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดรอบ 3 เดือน
ดอลลาร์/เยนอยู่ที่ 150.55 เยนในช่วงท้ายตลาดวันพุธ โดยปรับลงจากระดับปิดตลาดวันอังคารที่ 150.79 เยน หลังจากดอลลาร์เพิ่งทะยานขึ้นแตะ 150.88 เยนในวันอังคาร ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย. หรือจุดสูงสุดรอบ 3 เดือน โดยดอลลาร์/เยนพุ่งขึ้นมาแล้วกว่า 6% จากช่วงต้นปีนี้ หรือทะยานขึ้นมาแล้วราว 10 เยนจากช่วงต้นปีนี้
ยูโร/ดอลลาร์อยู่ที่ 1.0725 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันพุธ โดยแข็งค่าขึ้นจาก 1.0709 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันอังคาร หลังจากดิ่งลงแตะ 1.0693 ดอลลาร์ในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดรอบ 3 เดือน
ตลาดหุ้นสหรัฐพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในวันพุธ โดยได้รับแรงหนุนจากการทะยานขึ้นของหุ้นบริษัทสำคัญหลายแห่ง ซึ่งรวมถึงหุ้นเอ็นวิเดีย ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตชิปสำหรับปัญญาประดิษฐ์ (AI) รายใหญ่ ก่อนที่เอ็นวิเดียจะเปิดเผยผลประกอบการรายไตรมาสในสัปดาห์หน้า โดยหุ้นเอ็นวิเดียพุ่งขึ้นราว 2.5% ในวันพุธ และส่งผลให้มูลค่าตามราคาตลาดของเอ็นวิเดียทะยานขึ้นมาอยู่ที่ 1.825 ล้านล้านดอลลาร์ และส่งผลให้เอ็นวิเดียก้าวขึ้นมาครองตำแหน่งบริษัทที่มีมูลค่ามากเป็นอันดับ 3 ในตลาดหุ้นสหรัฐ โดยแทนที่บริษัทแอลฟาเบท ในขณะที่หุ้นแอลฟาเบทปรับขึ้น 0.55% ในวันพุธ ซึ่งส่งผลให้แอลฟาเบทมีมูลค่าตามราคาตลาดอยู่ที่ 1.821 ล้านล้านดอลลาร์ ทางด้านหุ้นเมตา แพลตฟอร์มส์พุ่งขึ้น 2.86% ในวันพุธ ส่วนหุ้นเทสลาทะยานขึ้น 2.55% ในวันพุธ และหุ้นสองตัวนี้ก็มีส่วนช่วยหนุนดัชนี S&P 500 ขึ้นด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ ตลาดหุ้นก็ได้รับแรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นบริษัทลิฟท์และบริษัทอูเบอร์ ซึ่งเป็นสองบริษัทผู้ให้บริการเรียกรถด้วย โดยหุ้นลิฟท์พุ่งขึ้น 35% หลังจากลิฟท์เปิดเผยผลกำไรที่สูงเกินคาด และประกาศว่าลิฟท์จะมีตัวเลขกระแสเงินสดอิสระเป็นบวกได้เป็นครั้งแรกในปี 2024 ส่วนหุ้นอูเบอร์พุ่งขึ้น 14.7% สู่สถิติสูงสุดใหม่ โดยได้รับแรงหนุนจากแผนซื้อคืนหุ้นขนาด 7 พันล้านดอลลาร์ ทั้งนี้ ในบรรดาหุ้น 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐนั้น มีอยู่ 9 กลุ่มใหญ่ที่ปิดตลาดวันพุธในแดนบวก โดยดัชนีหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมพุ่งขึ้น 1.67% และถือเป็นกลุ่มที่พุ่งขึ้นมากที่สุด ส่วนดัชนีหุ้นกลุ่มบริการการสื่อสารทะยานขึ้น 1.42% และถือเป็นกลุ่มที่พุ่งขึ้นมากเป็นอันดับสอง ทางด้านดัชนี Russell 2000 สำหรับหุ้นบริษัทขนาดเล็กของสหรัฐทะยานขึ้น 2.4% ในวันพุธ โดยได้รับแรงหนุนจากหุ้นบริษัทซูเปอร์ ไมโคร คอมพิวเตอร์ที่ทะยานขึ้นกว่า 11% โดยบริษัทแห่งนี้ทำธุรกิจขายอุปกรณ์เซิร์ฟเวอร์ Eikon source text
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวกขึ้น 0.40% สู่ 38,424.27
ดัชนี S&P 500 ปิดพุ่งขึ้น 0.96% สู่ 5,000.62
ดัชนี Nasdaq ปิดทะยานขึ้น 1.30% สู่ 15,859.15
ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX ดิ่งลงในวันพุธ ในขณะที่มีความกังวลกันว่าอุปสงค์น้ำมันในสหรัฐอาจจะลดลงในอนาคต หลังจากนายไมค์ เทอร์เนอร์ ประธานคณะกรรมาธิการข่าวกรองประจำสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐออกแถลงการณ์ในวันพุธเพื่อเตือนว่า "มีภัยคุกคามอย่างร้ายแรงต่อความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐ" แต่เขาไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมในเรื่องนี้ และสิ่งนี้ก็สร้างความกังวลต่อนักลงทุนบางราย ทั้งนี้ ราคาน้ำมันได้รับแรงกดดันจากตัวเลขสต็อกน้ำมันด้วย โดยสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) รายงานในวันพุธว่า สต็อกน้ำมันดิบในคลังสหรัฐพุ่งขึ้น 12.0 ล้านบาร์เรล สู่ 439.5 ล้านบาร์เรลในช่วงสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 9 ก.พ. ถึงแม้โพลล์รอยเตอร์คาดว่า สต็อกน้ำมันดิบอาจปรับขึ้นเพียง 2.6 ล้านบาร์เรล โดย EIA ระบุอีกด้วยว่า ปริมาณการนำน้ำมันดิบเข้ากลั่นในโรงกลั่นสหรัฐดิ่งลง 298,000 บาร์เรลต่อวัน สู่ 14.54 ล้านบาร์เรลต่อวันในสัปดาห์ล่าสุด และอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันรูดลง 1.8% สู่ 80.6% ในสัปดาห์ล่าสุด ซึ่งต่างก็ถือเป็นจุดต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค. 2022 ซึ่งเป็นเดือนที่โรงกลั่นน้ำมันหลายแห่งในสหรัฐปิดทำการเพราะพายุฤดูหนาวเอลเลียต Eikon source text
ราคาน้ำมันดิบสหรัฐส่งมอบเดือนมี.ค.รูดลง 1.23 ดอลลาร์ หรือ 1.6% มาปิดตลาดที่ 76.64 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนเม.ย.ที่ตลาดกรุงลอนดอนดิ่งลง 1.17 ดอลลาร์ หรือ 1.4% มาปิดตลาดที่ 81.60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาทองสปอตที่ตลาดสหรัฐขยับขึ้น 0.26 ดอลลาร์ สู่ 1,992.39 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงท้ายตลาดวันพุธ หลังจากดิ่งลงแตะ 1,984.09 ดอลลาร์ในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 13 ธ.ค. หรือจุดต่ำสุดรอบ 2 เดือน โดยราคาทองยังคงได้รับแรงกดดันจากตัวเลขอัตราเงินเฟ้อเดือนม.ค.ที่แข็งแกร่งเกินคาดในสหรัฐ เพราะตัวเลขดังกล่าวส่งผลให้นักลงทุนปรับลดการคาดการณ์เรื่องการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อย่างไรก็ดี ราคาพัลลาเดียมพุ่งขึ้นกว่า 8% ในวันพุธ Eikon source text
--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
กรุงเทพฯ--30 ม.ค.--รอยเตอร์
ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับยูโรในวันจันทร์ ในขณะที่นักลงทุนคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 5.25-5.50% ตามเดิมในการประชุมวันที่ 30-31 ม.ค. แต่เฟดจะคัดค้านการคาดการณ์ในตลาดที่ว่า เฟดอาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในเร็ว ๆ นี้ ทางด้านเทรดเดอร์คาดการณ์ในตอนนี้ว่า มีโอกาสเพียง 48% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในการประชุมวันที่ 19-20 มี.ค. โดยปรับลดลงจากโอกาส 89% ที่เคยคาดไว้เมื่อหนึ่งเดือนก่อน หลังจากตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาในระยะนี้แสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจสหรัฐยังคงอยู่ในภาวะแข็งแกร่ง ทั้งนี้ ยูโรได้รับแรงกดดันจากแนวโน้มเศรษฐกิจยุโรปที่อยู่ในภาวะอ่อนแอกว่าสหรัฐ Eikon source text
ดัชนีดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินอยู่ที่ 103.46 ในช่วงท้ายตลาดวันจันทร์ ซึ่งใกล้เคียงกับระดับ 103.47 ในช่วงท้ายตลาดวันศุกร์ หลังจากพุ่งขึ้นแตะ 103.82 ในระหว่างวัน ซึ่งเท่ากับจุดสูงสุดของสัปดาห์ที่แล้ว และถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 13 ธ.ค.
ดอลลาร์/เยนอยู่ที่ 147.49 เยนในช่วงท้ายตลาดวันจันทร์ โดยร่วงลงจากระดับปิดตลาดวันศุกร์ที่ 148.16 เยน อย่างไรก็ดี ดอลลาร์/เยนมีแนวโน้มที่จะปิดตลาดเดือนม.ค.ด้วยการพุ่งขึ้นราว 4.5% จากเดือนธ.ค. ในขณะที่เทรดเดอร์ปรับลดการคาดการณ์เรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ)
ยูโร/ดอลลาร์อยู่ที่ 1.0833 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันจันทร์ โดยอ่อนค่าลงจาก 1.0852 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันศุกร์ หลังจากดิ่งลงแตะ 1.07955 ดอลลาร์ในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 13 ธ.ค.
ตลาดหุ้นสหรัฐปรับขึ้นในวันจันทร์ ในขณะที่นักลงทุนรอดูการประชุมกำหนดนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 30-31 ม.ค., รอดูตัวเลขเศรษฐกิจหลายตัว และรอดูผลประกอบการของบริษัทสำคัญหลายแห่งของสหรัฐที่จะได้รับการประกาศออกมาในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงบริษัทแอลฟาเบท, ไมโครซอฟท์ และเจเนอรัล มอเตอร์ส (GM) ที่จะเปิดเผยผลประกอบการในวันอังคาร, บริษัทควอลคอมม์ ที่จะเปิดเผยผลประกอบการในวันพุธ, บริษัทโบอิ้ง, แอปเปิล, อะเมซอนดอทคอม และเมตา แพลตฟอร์มส์ ที่จะเปิดเผยผลประกอบการในวันพฤหัสบดี และบริษัทเอ็กซอน โมบิล กับเชฟรอน ซึ่งถือเป็นสองบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ที่จะเปิดเผยผลประกอบการในวันศุกร์ ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจที่นักลงทุนจับตาดูในสัปดาห์นี้รวมถึง ผลสำรวจตำแหน่งงานว่างและการเข้า-ออกงาน (JOLTS), ตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชนของสหรัฐที่จัดทำโดยบริษัท ADP, ต้นทุนการจ้างงานประจำไตรมาสสี่, ประสิทธิภาพการผลิต, ยอดการประกาศปลดพนักงานออก, ตัวเลขราคาบ้านสหรัฐที่จัดทำโดยบริษัทเคส-ชิลเลอร์, ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐ, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ที่จัดทำโดยสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM), ค่าใช้จ่ายภาคก่อสร้าง, ยอดสั่งซื้อภาคโรงงาน และตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนม.ค.ที่กระทรวงแรงงานสหรัฐจะรายงานออกมาในวันศุกร์ที่ 2 ก.พ. ทั้งนี้ หุ้น 10 กลุ่มจาก 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐปิดตลาดวันจันทร์ในแดนบวก โดยดัชนีหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยพุ่งขึ้น 1.37% และถือเป็นกลุ่มที่พุ่งขึ้นมากที่สุดในวันจันทร์ ส่วนดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศ (ไอที) ทะยานขึ้น 0.97% และถือเป็นกลุ่มที่ปรับขึ้นมากเป็นอันดับสอง ทางด้านดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานถือเป็นหุ้นกลุ่มเดียวที่ปิดตลาดวันจันทร์ในแดนลบ Eikon source text
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวกขึ้น 0.59% สู่ 38,333.45
ดัชนี S&P 500 ปิดปรับขึ้น 0.76% สู่ 4,927.93 ซึ่งถือเป็นสถิติระดับปิดสูงสุดใหม่ โดยดัชนีพุ่งขึ้นมาแล้ว 3.3% จากช่วงต้นเดือนนี้ และปัจจัยดังกล่าวมีส่วนช่วยหนุนให้บริษัทแบล็คร็อคปรับขึ้นมุมมองที่มีต่อหุ้นสหรัฐโดยรวมสู่ "overweight" จาก "neutral"
ดัชนี Nasdaq ปิดพุ่งขึ้น 1.12% สู่ 15,628.04
ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX ดิ่งลงในวันจันทร์ โดยได้รับแรงกดดันจากความกังวลเรื่องอุปสงค์น้ำมันในจีนท่ามกลางวิกฤติภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น หลังจากมีข่าวว่าศาลฮ่องกงออกคำสั่งให้บริษัทไชน่า เอเวอร์แกรนด์ กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ของจีนขายทรัพย์สินเพื่อนำเงินมาชำระหนี้ ทั้งนี้ ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นในช่วงแรกโดยได้รับแรงหนุนจากความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลาง หลังจากมีการใช้ขีปนาวุธโจมตีเรือขนส่งเชื้อเพลิงลำหนึ่งในทะเลแดง และมีการใช้โดรนโจมตีกองทัพสหรัฐในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจอร์แดน ซึ่งส่งผลให้มีทหารสหรัฐเสียชีวิต 3 นาย และส่งผลให้มีทหารได้รับบาดเจ็บอีกอย่างน้อย 34 นาย อย่างไรก็ดี ราคาน้ำมันดิ่งลงในเวลาต่อมา ในขณะที่นักลงทุนมองว่าอุปทานน้ำมันยังไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลาง Eikon source text
ราคาน้ำมันดิบสหรัฐส่งมอบเดือนมี.ค.รูดลง 1.23 ดอลลาร์ หรือ 1.6% มาปิดตลาดที่ 76.78 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนมี.ค.ที่ตลาดกรุงลอนดอนดิ่งลง 1.15 ดอลลาร์ หรือ 1.4% มาปิดตลาดที่ 82.40 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจากพุ่งขึ้นแตะ 84.80 ดอลลาร์ในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 7 พ.ย. หรือจุดสูงสุดในรอบกว่า 2 เดือน
ราคาทองสปอตที่ตลาดสหรัฐปรับขึ้น 13.41
ดอลลาร์ สู่ 2,031.75 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงท้ายตลาดวันจันทร์ ในขณะที่นักลงทุนเข้าซื้อทองในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยท่ามกลางความขัดแย้งที่ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นในภูมิภาคตะวันออกกลาง นอกจากนี้ นักลงทุนก็รอดูการประชุมกำหนดนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 30-31 ม.ค.ด้วย ทั้งนี้ มีการใช้โดรนโจมตีกองทัพสหรัฐในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจอร์แดน ซึ่งส่งผลให้มีทหารสหรัฐเสียชีวิต 3 นาย และส่งผลให้มีทหารได้รับบาดเจ็บอีกอย่างน้อย 34 นาย ทางด้านประธานาธิบดีโจ ไบเดนของสหรัฐระบุในวันอาทิตย์ว่า กลุ่มที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่านอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์โจมตีในครั้งนี้ โดยเหตุการณ์ดังกล่าวถือเป็นการโจมตีครั้งแรกที่ส่งผลให้ทหารสหรัฐเสียชีวิต นับตั้งแต่เกิดสงครามระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสในเดือนต.ค. 2023 เป็นต้นมา Eikon source text
--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
กรุงเทพฯ--29 ม.ค.--รอยเตอร์
ดัชนีดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินขยับลงเล็กน้อยในวันศุกร์ หลังจากสหรัฐรายงานตัวเลขอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยในเดือนธ.ค. แต่อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มร่วงลงในอนาคต และปัจจัยดังกล่าวบ่งชี้ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ยังคงมีแนวโน้มที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงภายในช่วงกลางปีนี้ ทั้งนี้ สำนักงานวิเคราะห์เศรษฐกิจในกระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานในวันศุกร์ว่า ดัชนีราคาค่าใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ซึ่งถือเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่เฟดนิยมใช้ ปรับขึ้น 0.2% ในเดือนธ.ค.เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากขยับขึ้น 0.1% ในเดือนพ.ย. ส่วนดัชนี PCE ทั่วไปแบบเทียบรายปีปรับขึ้น 2.6% ในเดือนธ.ค. หลังจากปรับขึ้น 2.6% ในเดือนพ.ย.เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเท่ากับว่าอัตราเงินเฟ้ออยู่ต่ำกว่าระดับ 3% มาเป็นเวลานาน 3 เดือนติดต่อกัน ทางด้านดัชนี PCE พื้นฐานที่ไม่รวมราคาอาหารและพลังงานปรับขึ้น 0.2% ในเดือนธ.ค.เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากขยับขึ้น 0.1% ในเดือนพ.ย. ในขณะที่ดัชนี PCE พื้นฐานแบบเทียบรายปีปรับขึ้น 2.9% ในเดือนธ.ค. ซึ่งถือเป็นอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค. 2021 หลังจากปรับขึ้น 3.2% ในเดือนพ.ย.เมื่อเทียบรายปี Eikon source text
ดัชนีดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินอยู่ที่ 103.47 ในช่วงท้ายตลาดวันศุกร์ โดยขยับลงจาก 103.50 ในช่วงท้ายตลาดวันพฤหัสบดี โดยดัชนีดอลลาร์ปิดตลาดสัปดาห์นี้ในแดนบวกเป็นสัปดาห์ที่ 4 ติดต่อกัน
ดอลลาร์/เยนอยู่ที่ 148.16 เยนในช่วงท้ายตลาดวันศุกร์ โดยแข็งค่าขึ้นจากระดับปิดตลาดวันพฤหัสบดีที่ 147.65 เยน
ยูโร/ดอลลาร์อยู่ที่ 1.0852 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันศุกร์ โดยขยับขึ้นจาก 1.0846 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันพฤหัสบดี หลังจากดิ่งลงแตะจุดต่ำสุดรอบ 6 สัปดาห์ที่ 1.0811 ดอลลาร์ในระหว่างวัน โดยยูโรปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการอ่อนค่าลง 0.41% จากสัปดาห์ที่แล้ว
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ของตลาดหุ้นสหรัฐปิดบวกขึ้นในวันศุกร์ แต่ดัชนี S&P 500 และดัชนี Nasdaq ปรับลงในวันศุกร์ ในขณะที่หุ้นบริษัทอินเทลดิ่งลง 11.91% หลังจากอินเทลคาดการณ์รายได้ที่ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ในตลาดเป็นอย่างมาก ในขณะที่อินเทลพยายามไล่ตามบริษัทอื่น ๆ ในการแข่งขันกันในธุรกิจปัญญาประดิษฐ์ (AI) และอินเทลต้องรับมือกับตลาดเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (พีซี) ที่อ่อนแอ ทางด้านหุ้นเคแอลเอ คอร์ป ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์ผลิตชิปดิ่งลง 6.6% หลังจากเคแอลเอคาดการณ์รายได้ไตรมาสสามที่น่าผิดหวัง นอกจากนี้ ดัชนีฟิลาเดลเฟียสำหรับหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐก็รูดลง 2.9% ในวันศุกร์ และปิดตลาดในแดนลบเป็นวันที่สองติดต่อกัน หลังจากดัชนีเพิ่งพุ่งขึ้นมาปิดตลาดที่สถิติระดับปิดสูงสุดใหม่ในวันพุธที่ผ่านมา ทั้งนี้ ในบรรดาบริษัทในดัชนี S&P 500 ที่เปิดเผยผลประกอบการออกมาแล้วนั้น บริษัท 78.2% เปิดเผยผลกำไรที่ดีเกินคาด ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 67% โดยหุ้นบริษัทอเมริกัน เอ็กซ์เพรสพุ่งขึ้น 7.1% ในวันศุกร์ และทะยานขึ้นแตะสถิติสูงสุดใหม่ หลังจากบริษัทบัตรเครดิตแห่งนี้คาดการณ์ผลกำไรประจำปีที่สูงเกินคาด อย่างไรก็ดี หุ้นบริษัทวีซ่าดิ่งลง 1.7% หลังจากวีซ่าคาดการณ์รายได้ไตรมาสปัจจุบันที่ระดับต่ำ Eikon source text
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวกขึ้น 0.16% สู่ 38,109.43 ในวันศุกร์ และปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการปรับขึ้น 0.65% จากสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งถือเป็นการปิดตลาดรายสัปดาห์ในแดนบวกเป็นสัปดาห์ที่ 3 ติดต่อกัน
ดัชนี S&P 500 ปิดขยับลง 0.07% สู่ 4,890.97 ในวันศุกร์ หลังจากดัชนีเพิ่งปิดตลาดที่สถิติระดับปิดสูงสุดใหม่มาได้นาน 5 วันติดต่อกัน อย่างไรก็ดี ดัชนี S&P ปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการพุ่งขึ้น 1.06% จากสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งถือเป็นการปิดตลาดรายสัปดาห์ในแดนบวกเป็นสัปดาห์ที่ 3 ติดต่อกัน
ดัชนี Nasdaq ปิดปรับลง 0.36% สู่ 15,455.36 ในวันศุกร์ แต่ดัชนี Nasdaq ปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการทะยานขึ้น 0.94% จากสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งถือเป็นการปิดตลาดรายสัปดาห์ในแดนบวกเป็นสัปดาห์ที่ 3 ติดต่อกัน
ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX พุ่งขึ้นในวันศุกร์ และปิดตลาดสัปดาห์นี้ในแดนบวกเป็นสัปดาห์ที่ 2 ติดต่อกัน โดยได้รับแรงหนุนจากปัจจัยหลายประการ ซึ่งรวมถึงรายงานที่ระบุว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของสหรัฐเติบโต 3.3% ในไตรมาสสี่เมื่อเทียบเป็นตัวเลขเต็มปี (annualized) หลังจากเติบโต 4.9% ในไตรมาสสาม โดยอัตราการเติบโตนี้อยู่สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ 2% สำหรับไตรมาสสี่, ตัวเลขอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐที่ชะลอตัวลง, สัญญาณบ่งชี้ว่าจีนดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ, การที่ยูเครนใช้โดรนโจมตีโรงกลั่นน้ำมันในภาคใต้ของรัสเซีย, ตัวเลขสต็อกน้ำมันดิบในคลังสหรัฐที่ดิ่งลง 9.2 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ล่าสุด และความขัดแย้งในภูมิภาคคะวันออกกลาง ในขณะที่โฆษกของกลุ่มฮูตีประกาศว่า ทางกลุ่มได้โจมตีเรือขนส่งน้ำมันลำหนึ่งในอ่าวเอเดน และข่าวนี้ทำให้นักลงทุนกังวลว่าอาจจะเกิดการขาดตอนของอุปทานน้ำมัน ทั้งนี้ บริษัทเบเกอร์ ฮิวจ์รายงานในวันศุกร์ว่า จำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันที่ใช้งานในสหรัฐเพิ่มขึ้น 2 แท่น สู่ 499 แท่นในช่วงสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 26 ม.ค. ส่วนคณะกรรมการการค้าสัญญาล่วงหน้าสินค้าโภคภัณฑ์ของสหรัฐ (CFTC) รายงานในวันศุกร์ว่า ผู้จัดการกองทุนปรับเพิ่มปริมาณการถือครองสถานะซื้อสุทธิในสัญญาล่วงหน้าและออปชั่นน้ำมันดิบสหรัฐขึ้น 56,134 สัญญา สู่ 99,144 สัญญาในช่วงสัปดาห์สิ้นสุดวันอังคารที่ 23 ม.ค. Eikon source text
ราคาน้ำมันดิบสหรัฐส่งมอบเดือนมี.ค.ปรับขึ้น 65 เซนต์ หรือ 0.8% มาปิดตลาดที่ 78.01 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งถือเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย.
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนมี.ค.ที่ตลาดกรุงลอนดอนพุ่งขึ้น 1.12 ดอลลาร์ หรือ 1.4% มาปิดตลาดที่ 83.55 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งถือเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 30 พ.ย. โดยทั้งราคาน้ำมันดิบสหรัฐและเบรนท์ต่างก็ปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการพุ่งขึ้นกว่า 6% จากสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งถือเป็นการพุ่งขึ้นรายสัปดาห์ครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ช่วงสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 13 ต.ค. หรือนับตั้งแต่เกิดสงครามระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาส
ราคาทองสปอตที่ตลาดสหรัฐขยับลง 1.41 ดอลลาร์ สู่ 2,018.34 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงท้ายตลาดวันศุกร์ และปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการปรับลง 0.54% จากสัปดาห์ที่แล้ว ในขณะที่นักลงทุนรอดูการประชุมกำหนดนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 30-31 ม.ค. เพื่อใช้ในการประเมินแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในสหรัฐ ทั้งนี้ ค่าพรีเมียมทองในจีนปรับขึ้นในสัปดาห์นี้ ในขณะที่จีนดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม และมาตรการดังกล่าวช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นของนักลงทุนในช่วงก่อนถึงเทศกาลตรุษจีน Eikon source text
--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
กรุงเทพฯ--26 ม.ค.--รอยเตอร์
ดัชนีดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินแข็งค่าขึ้นในวันพฤหัสบดี หลังจากสำนักงานวิเคราะห์เศรษฐกิจในกระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของสหรัฐเติบโต 3.3% ในไตรมาสสี่เมื่อเทียบเป็นตัวเลขเต็มปี (annualized) หลังจากเติบโต 4.9% ในไตรมาสสาม โดยอัตราการเติบโตนี้อยู่สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ 2% สำหรับไตรมาสสี่ ในขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐได้รับแรงหนุนจากปริมาณการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภค, จากยอดส่งออก, จากรายจ่ายของรัฐบาล และจากการลงทุนทางธุรกิจในไตรมาสสี่ โดยรายงานตัวเลขนี้บ่งชี้ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะยังไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในเร็ว ๆ นี้ ทั้งนี้ เทรดเดอร์ในตลาดสัญญาล่วงหน้าคาดการณ์ในวันพฤหัสบดีว่า มีโอกาสราว 51% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในการประชุมวันที่ 19-20 มี.ค. โดยโอกาสดังกล่าวปรับลดลงจากระดับ 80% ที่เคยคาดไว้เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน นอกจากนี้ เทรดเดอร์ยังคาดการณ์อีกด้วยว่า มีโอกาส 94% ที่เฟดจะเริ่มต้นปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงภายในต้นเดือนพ.ค. Eikon source text
ดัชนีดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินอยู่ที่ 103.50 ในช่วงท้ายตลาดวันพฤหัสบดี โดยแข็งค่าขึ้นจาก 103.29 ในช่วงท้ายตลาดวันพุธ โดยดัชนีดอลลาร์พุ่งขึ้นมาแล้วราว 2% จากช่วงต้นปีนี้
ดอลลาร์/เยนอยู่ที่ 147.65 เยนในช่วงท้ายตลาดวันพฤหัสบดี โดยปรับขึ้นจากระดับปิดตลาดวันพุธที่ 147.50 เยน
ยูโร/ดอลลาร์อยู่ที่ 1.0846 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันพฤหัสบดี โดยอ่อนค่าลงจาก 1.0883 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันพุธ หลังจากปรับลงแตะ 1.0820 ดอลลาร์ในระหว่างวัน ซึ่งเท่ากับจุดต่ำสุดรอบ 6 สัปดาห์ที่ทำไว้ในวันอังคารที่ผ่านมา
ตลาดหุ้นสหรัฐปรับขึ้นในวันพฤหัสบดี หลังจากสำนักงานวิเคราะห์เศรษฐกิจในกระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของสหรัฐเติบโต 3.3% ในไตรมาสสี่เมื่อเทียบเป็นตัวเลขเต็มปี (annualized) หลังจากเติบโต 4.9% ในไตรมาสสาม โดยอัตราการเติบโตนี้อยู่สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ 2% สำหรับไตรมาสสี่ โดยอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งเกินคาดนี้ช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นของนักลงทุน อย่างไรก็ดี หุ้นเทสลาซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าดิ่งลง 12% และลงไปแตะจุดต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค. 2023 หลังจากนายอีลอน มัสก์ ซีอีโอของเทสลาประกาศเตือนว่า ยอดขายของเทสลาจะชะลอการเติบโตลงในปีนี้ ถึงแม้เทสลาปรับลดราคารถยนต์ลงจนสร้างความเสียหายต่ออัตราผลกำไรของบริษัท โดยการดิ่งลงของหุ้นเทสลาในวันนี้ส่งผลให้มูลค่าของบริษัทเทสลาในตลาดหุ้นดิ่งลง 7.0 หมื่นล้านดอลลาร์ สู่ระดับราว 5.80 แสนล้านดอลลาร์ และส่งผลให้เทสลามีมูลค่าต่ำกว่าบริษัทอีไล ลิลลี ซึ่งมีมูลค่า 5.9 แสนล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ การดิ่งลงของหุ้นเทสลาก็ส่งผลให้หุ้นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแห่งอื่น ๆ รูดลงตามไปด้วย ซึ่งรวมถึงหุ้นบริษัทริเวียน ออโตโมทีฟที่ดิ่งลง 2.2% และหุ้นบริษัทลูซิด กรุ๊ปที่รูดลง 6.7% ทั้งนี้ ในบรรดาบริษัทในดัชนี S&P 500 ที่เปิดเผยผลประกอบการออกมาแล้วนั้น บริษัท 82% เปิดเผยผลกำไรที่ดีเกินคาด ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 67% โดยบริษัทที่เปิดเผยผลประกอบการออกมาในช่วงนี้รวมถึงบริษัท IBM ที่มีราคาหุ้นพุ่งขึ้น 9.5% ในวันพฤหัสบดี หลังจาก IBM คาดการณ์ว่ารายได้ตลอดทั้งปีจะเติบโตสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ในตลาด, บริษัทคอมแคสท์ ซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านสื่อที่มีราคาหุ้นทะยานขึ้น 3.4% หลังจากคอมแคสท์เปิดเผยรายได้รายไตรมาสที่สูงเกินคาด และสายการบินอเมริกัน แอร์ไลน์ที่มีราคาหุ้นพุ่งขึ้น 10.3% หลังจากทางสายการบินคาดการณ์แนวโน้มผลกำไรที่สดใส Eikon source text
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดปรับขึ้น 0.64% สู่ 38,049.13
ดัชนี S&P 500 ปิดบวกขึ้น 0.53% สู่ 4,894.16 ซึ่งถือเป็นการทำสถิติระดับปิดสูงสุดใหม่ได้เป็นวันที่ 5 ติดต่อกัน
ดัชนี Nasdaq ปิดปรับขึ้น 0.18% สู่ 15,510.50
ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX พุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในวันพฤหัสบดี หลังจากสหรัฐรายงานว่าเศรษฐกิจเติบโตอย่างแข็งแกร่งเกินคาดในไตรมาสสี่ และราคาน้ำมันได้รับแรงหนุนจากความขัดแย้งในทะเลแดงด้วย โดยบริษัทเมอส์กของเดนมาร์กประกาศว่า เหตุระเบิดส่งผลให้เรือสองลำที่ดำเนินการโดยบริษัทในเครือของเมอส์กที่กำลังขนส่งยุทธภัณฑ์ของสหรัฐต้องเปลี่ยนทิศทางการเดินเรือ ในขณะที่เรือสองลำนี้กำลังแล่นผ่านช่องแคบบาบุลมันดับนอกชายฝั่งเยเมน ทางด้านผู้นำของกลุ่มฮูตีในเยเมนประกาศในวันพฤหัสบดีว่า ทางกลุ่มจะยังคงโจมตีเรือที่มีความเกี่ยวข้องกับอิสราเอลต่อไป จนกว่าจะมีการส่งความช่วยเหลือไปถึงชาวปาเลสไตน์ในเขตฉนวนกาซา ทั้งนี้ นักลงทุนกังวลกับอุปทานน้ำมันในช่วงนี้ด้วย หลังจากมีข่าวว่ายูเครนใช้โดรนโจมตีโรงกลั่นน้ำมันแแห่งหนึ่งในภาคใต้ของรัสเซีย Eikon source text
ราคาน้ำมันดิบสหรัฐส่งมอบเดือนมี.ค.ทะยานขึ้น 2.27 ดอลลาร์ หรือ 3.02% มาปิดตลาดที่ 77.36 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจากพุ่งขึ้นแตะ 77.51 ดอลลาร์ในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 30 พ.ย.
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนมี.ค.ที่ตลาดกรุงลอนดอนพุ่งขึ้น 2.39 ดอลลาร์ หรือ 2.99% มาปิดตลาดที่ 82.43 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจากพุ่งขึ้นแตะ 82.57 ดอลลาร์ในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 30 พ.ย.
ราคาทองสปอตที่ตลาดสหรัฐปรับขึ้น 7.16 ดอลลาร์ สู่ 2,019.75 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงท้ายตลาดวันพฤหัสบดี ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีปรับลงจาก 4.178% ในช่วงท้ายวันพุธ สู่ 4.132% ในช่วงท้ายวันพฤหัสบดี และการปรับลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยิลด์) ก็ส่งผลบวกต่อราคาทอง เพราะทองเป็นสินทรัพย์ที่ไม่ให้ดอกเบี้ย ทั้งนี้ บอนด์ยิลด์ได้รับแรงกดดันในวันพฤหัสบดี หลังจากสหรัฐเปิดเผยตัวเลขจีดีพีไตรมาสสี่ และรายงานดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า อัตราเงินเฟ้อในเศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัวลงสู่ 1.9% ในไตรมาสสี่ จาก 2.9% ในไตรมาสสาม Eikon source text
--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
กรุงเทพฯ--11 ม.ค.--รอยเตอร์
ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเยนและยูโรในวันพฤหัสบดี ถึงแม้สหรัฐรายงานตัวเลขอัตราเงินเฟ้อที่สูงเกินคาด และตัวเลขดังกล่าวทำให้นักลงทุนบางรายไม่แน่ใจว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเริ่มต้นปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 19-20 มี.ค.เหมือนอย่างที่เทรดเดอร์เคยคาดการณ์กันไว้หรือไม่ ทั้งนี้ สำนักงานสถิติแรงงาน (BLS) ในกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานในวันพฤหัสบดีว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ปรับขึ้น 0.3% ในเดือนพ.ย.เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากขยับขึ้น 0.1% ในเดือนพ.ย. โดยค่าที่พัก ซึ่งครอบคลุมค่าเช่าและค่าเข้าพักในโรงแรม ครองสัดส่วนสูงกว่าครึ่งหนึ่งของการปรับขึ้นของดัชนี CPI ในครั้งนี้ ส่วนดัชนี CPI ทั่วไปแบบเทียบรายปีปรับขึ้น 3.4% ในเดือนธ.ค. โดยเร่งตัวขึ้นจาก 3.1% ในเดือนพ.ย. ทางด้านนักเศรษฐศาสตร์ในโพลล์รอยเตอร์คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่า ดัชนี CPI ทั่วไปอาจปรับขึ้นเพียง 0.2% ในเดือนธ.ค.เมื่อเทียบรายเดือน และอาจปรับขึ้นเพียง 3.2% เมื่อเทียบรายปี นอกจากนี้ BLS ยังรายงานอีกด้วยว่า ดัชนี CPI พื้นฐานที่ไม่รวมราคาอาหารและพลังงานปรับขึ้น 0.3% ในเดือนธ.ค.เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากปรับขึ้น 0.3% ในเดือนพ.ย. ส่วนดัชนี CPI พื้นฐานแบบเทียบรายปีปรับขึ้น 3.9% ในเดือนธ.ค. ซึ่งถือเป็นอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค. 2021 หลังจากปรับขึ้น 4.0% ในเดือนพ.ย.เมื่อเทียบรายปี Eikon source text
ดัชนีดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินอยู่ที่ 102.21 ในช่วงท้ายตลาดวันพฤหัสบดี โดยอ่อนค่าลงจาก 102.34 ในช่วงท้ายตลาดวันพุธ แต่ดัชนีดอลลาร์ยังคงอยู่ห่างจากจุดต่ำสุดรอบ 5 เดือนที่ 100.61 ที่เคยทำไว้ในวันที่ 28 ธ.ค.
ดอลลาร์/เยนอยู่ที่ 145.28 เยนในช่วงท้ายตลาดวันพฤหัสบดี โดยร่วงลงจากระดับปิดตลาดวันพุธที่ 145.73 เยน หลังจากพุ่งขึ้นแตะ 146.41 เยนในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 11 ธ.ค.
ยูโร/ดอลลาร์อยู่ที่ 1.0970 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันพฤหัสบดี ซึ่งใกล้เคียงกับระดับ 1.0971 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันพุธ
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ของตลาดหุ้นสหรัฐขยับขึ้น แต่ดัชนี S&P 500 ขยับลง และดัชนี Nasdaq ทรงตัวในวันพฤหัสบดี ในขณะที่กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานตัวเลขอัตราเงินเฟ้อที่สูงเกินคาด และรายงานว่ายอดผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกของสหรัฐร่วงลง 1,000 ราย สู่ 202,000 รายในช่วงสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 6 ม.ค. ซึ่งถือเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า ตลาดแรงงานสหรัฐอยู่ในภาวะแข็งแกร่ง โดยรายงานตัวเลขเหล่านี้ทำให้นักลงทุนคาดการณ์กันว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะยังไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในเร็ว ๆ นี้ อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นสหรัฐได้รับแรงหนุนเข้ามาบ้างจากการร่วงลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีปรับลงจาก 4.030% ในช่วงท้ายวันพุธ สู่ 3.975% ในช่วงท้ายวันพฤหัสบดี หลังจากมีการเปิดประมูลพันธบัตรรัฐบาลประเภทอายุ 30 ปีขนาด 2.1 หมื่นล้านดอลลาร์ และการเปิดประมูลดังกล่าวได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากนักลงทุน ทั้งนี้ ในบรรดาหุ้น 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐนั้น มีหุ้นเพียง 2 กลุ่มที่ปิดตลาดวันพฤหัสบดีในแดนบวก ซึ่งได้แก่หุ้นกลุ่มพลังงานที่ปิดบวกขึ้น 0.16% และหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ปิดปรับขึ้น 0.44% ทางด้านหุ้นธนาคารหลายแห่งร่วงลงก่อนที่ภาคธนาคารจะเริ่มต้นรายงานผลประกอบการรายไตรมาสในวันศุกร์นี้ โดยหุ้นซิตี้กรุ๊ปดิ่งลง 1.77%, หุ้นเจพีมอร์แกน เชสปรับลง 0.42%, หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริการูดลง 1.33% และหุ้นเวลส์ ฟาร์โกขยับลง 0.08% Eikon source text
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดขยับขึ้น 0.04% สู่ 37,711.02
ดัชนี S&P 500 ปิดขยับลง 0.07% สู่ 4,780.24 ในวันพฤหัสบดี โดยดัชนีบวกขึ้นเพียง 0.21% จากช่วงต้นปีนี้ แต่ยังคงอยู่ใกล้สถิติระดับปิดสูงสุดที่ 4,796.56 ที่เคยทำไว้ในเดือนม.ค. 2022
ดัชนี Nasdaq ปิดขยับขึ้น 0.54 จุด หรือ 0% สู่ 14,970.19
ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX พุ่งขึ้นในวันพฤหัสบดี หลังจากอิหร่านเข้ายึดเรือเซนต์ นิโคลัส ซึ่งเป็นเรือขนส่งน้ำมันที่ติดธงของหมู่เกาะมาร์แชล และเป็นเรือที่ใช้ในการขนส่งน้ำมันดิบอิรักไปยังตุรกี โดยการเข้ายึดเรือนี้เกิดขึ้นนอกชายฝั่งประเทศโอมาน และถือเป็นการตอบโต้ต่อการที่สหรัฐเคยยึดเรือขนส่งและน้ำมันอิหร่านในปีที่แล้ว โดยเหตุการณ์ล่าสุดนี้ทำให้นักลงทุนกังวลกันว่า ความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลางอาจจะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ รัฐบาลสหรัฐและรัฐบาลอังกฤษยังส่งสัญญาณอีกด้วยว่า ทั้งสองประเทศนี้อาจจะดำเนินมาตรการเพิ่มเติม ถ้าหากกลุ่มฮูตีในเยเมน ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่าน ยังคงดำเนินการโจมตีเรือขนส่งสินค้าในทะเลแดงต่อไป ในขณะที่คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ได้ผ่านมติในวันพุธที่เรียกร้องให้กลุ่มฮูตียุติการโจมตีเรือในทะเลแดงในทันที ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดีเซลในสหรัฐพุ่งขึ้นราว 3% สู่ระดับปิดสูงสุดรอบ 3 สัปดาห์ โดยได้รับแรงหนุนจากพยากรณ์อากาศที่ระบุว่า พื้นที่หลายแห่งในสหรัฐจะเผชิญกับภาวะอากาศหนาวจัดในสัปดาห์หน้า Eikon source text
ราคาน้ำมันดิบสหรัฐส่งมอบเดือนก.พ.ปรับขึ้น 65 เซนต์ หรือ 0.9% มาปิดตลาดที่ 72.02 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนมี.ค.ที่ตลาดกรุงลอนดอนปรับขึ้น 61 เซนต์ หรือ 0.8% มาปิดตลาดที่ 77.41 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาทองสปอตที่ตลาดสหรัฐปรับขึ้น 4.69 ดอลลาร์ สู่ 2,028.09 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงท้ายตลาดวันพฤหัสบดี หลังจากดิ่งลงแตะ 2,013.14 ดอลลาร์ในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดรอบ 1 เดือน โดยราคาทองได้รับแรงกดดันในช่วงแรกจากตัวเลขอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐที่อยู่สูงเกินคาด และจากถ้อยแถลงแบบสายเหยี่ยวของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เพราะปัจจัยเหล่านี้ทำให้นักลงทุนคาดการณ์กันว่า เฟดอาจจะยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับสูงต่อไปตามเดิมในการประชุมวันที่ 19-20 มี.ค. อย่างไรก็ดี ดอลลาร์อ่อนค่าลงในวันพฤหัสบดี และการอ่อนค่าของดอลลาร์ก็ช่วยให้ทองมีราคาถูกลงสำหรับผู้ถือครองสกุลเงินอื่น ๆ ทั้งนี้ ลอเรตตา เมสเตอร์ ประธานเฟดสาขาคลีฟแลนด์กล่าวในวันพฤหัสบดีว่า ตัวเลข CPI ล่าสุดบ่งชี้ว่า อาจจะเป็นการเร็วเกินไปที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในเดือนมี.ค. ทางด้านนายโธมัส บาร์คิน ประธานเฟดสาขาริชมอนด์กล่าวว่า ตัวเลขอัตราเงินเฟ้อที่ออกมาในครั้งนี้แทบไม่ได้บ่งชี้ถึงแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อที่มีความชัดเจน Eikon source text
--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--4 ธ.ค.--รอยเตอร์
นักวิเคราะห์ตลาดหุ้นสหรัฐระบุว่า นักลงทุนกำลังจับตาดูปัจจัยต่าง ๆ ที่อาจจะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นสหรัฐในเดือนธ.ค. ซึ่งรวมถึงการขายหุ้นเพื่อสิทธิประโยชน์ทางภาษี และแนวโน้มที่ตลาดหุ้นมักจะพุ่งขึ้นในช่วงคริสต์มาส หรือที่เรียกกันว่า Santa Claus rally ทั้งนี้ ดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐพุ่งขึ้นมาแล้ว 19.6% จากช่วงต้นปีนี้ และเพิ่งปิดตลาดวันศุกร์ที่ผ่านมาที่ 4,594.63 ซึ่งถือเป็นระดับปิดสูงสุดใหม่ของปี 2023 โดยตลาดหุ้นได้รับแรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะเริ่มต้นปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในช่วงครึ่งแรกของปี 2024 ในขณะที่มีหลักฐานบ่งชี้ว่า เศรษฐกิจสหรัฐชะลอการเติบโตลงในช่วงนี้
ตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวตามปัจจัยด้านฤดูกาลอย่างแข็งแกร่งในปีนี้ โดยดัชนี S&P 500 เพิ่งดิ่งลงเกือบ 5% ในเดือนก.ย. ในขณะที่เดือนก.ย.ถือเป็นเดือนที่ตลาดหุ้นมักจะดิ่งลงมากที่สุดในแต่ละปี และหลังจากนั้นตลาดหุ้นสหรัฐก็แกว่งตัวผันผวนมากในเดือนต.ค.ปีนี้ ซึ่งเป็นเดือนที่ตลาดมักจะแกว่งตัวผันผวนมากอยู่แล้วในแต่ละปี และหลังจากนั้นดัชนี S&P 500 ก็พุ่งขึ้นเกือบ 9% ในเดือนพ.ย.ปีนี้ด้วย ซึ่งถือเป็นเดือนที่ตลาดหุ้นมักจะพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งเช่นกัน ทั้งนี้ สถิติข้อมูลจากในอดีตบ่งชี้ว่า เดือนธ.ค.ถือเป็นเดือนที่ตลาดหุ้นสหรัฐมักจะพุ่งขึ้นมากเป็นอันดับสองของปี โดยดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้นเฉลี่ย 1.54% ในเดือนธ.ค.ของแต่ละปีนับตั้งแต่ปี 1945 เป็นต้นมา นอกจากนี้ ดัชนีก็มักจะปิดตลาดเดือนธ.ค.ในแดนบวกด้วย โดยดัชนีเคยปิดตลาดเดือนธ.ค.ในแดนบวกราว 77% ของเดือนธ.ค.ทั้งหมดนับตั้งแต่ปี 1945 เป็นต้นมา และสัดส่วน 77% นี้ถือว่าสูงที่สุดเมื่อเทียบกับเดือนอื่น ๆ ของปี
ข้อมูลจากบริษัทแอลพีแอล ไฟแนนเชียลแสดงให้เห็นว่า ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐมักจะพุ่งขึ้นในช่วงครึ่งหลังของเดือนธ.ค.ในอัตราที่แข็งแกร่งกว่าช่วงครึ่งแรก โดยดัชนี S&P 500 ปรับขึ้นเฉลี่ย 0.1% ในช่วงครึ่งแรกของเดือนธ.ค.หากวัดจากสถิติข้อมูลนับตั้งแต่ปี 1950 เป็นต้นมา และดัชนีพุ่งขึ้นเฉลี่ย 1.4% ในช่วงครึ่งหลังของเดือนธ.ค.
นักวิเคราะห์ระบุว่า หุ้นที่มีราคาดิ่งลงอย่างรุนแรงในปีนี้ อาจจะเผชิญกับแรงกดดันเพิ่มเติมในเดือนธ.ค.จากการขายหุ้นเพื่อสิทธิประโยชน์ทางภาษี เพราะว่านักลงทุนมักจะเทขายหุ้นดังกล่าวออกไปเพื่อตัดบัญชีก่อนสิ้นปี และสถิติข้อมูลจากในอดีตก็บ่งชี้ว่า หุ้นบางตัวในกลุ่มนี้อาจจะดีดขึ้นในช่วงปลายเดือนธ.ค.และในเดือนม.ค. เพราะว่านักลงทุนจะกลับเข้าซื้อหุ้นที่มีมูลค่าต่ำเกินไป ทั้งนี้ นับตั้งแต่ปี 1986 เป็นต้นมา หุ้นที่เคยดิ่งลง 10% หรือมากกว่านั้นในเดือนม.ค.-ต.ค.ของแต่ละปี มักจะพุ่งขึ้นในเดือนพ.ย.-ม.ค.ในอัตราที่แข็งแกร่งกว่าดัชนี S&P 500 ราว 1.9% โดยแบงก์ ออฟ อเมริกา โกลบัล รีเสิร์ชระบุในรายงานที่ออกมาในช่วงปลายเดือนต.ค.ว่า ทางธนาคารแนะนำให้เข้าซื้อหุ้นบริษัทเพย์แพล โฮลดิงส์, ซีวีเอส เฮลธ์ และคราฟท์ ไฮนซ์ เพราะหุ้นเหล่านี้อาจจะดีดขึ้นตามปัจจัยด้านภาษี
ถึงแม้ตลาดหุ้นสหรัฐพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งมากในปีนี้ การพุ่งขึ้นเกือบ 72% ของดัชนี S&P 500 ในปีนี้ก็ได้รับแรงหนุนมาจากหุ้นบริษัทขนาดยักษ์เพียงไม่กี่แห่ง โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มเติบโต ซึ่งรวมถึงหุ้นบริษัทแอปเปิล, เทสลา และเอ็นวิเดีย แต่หุ้นบริษัทอีกหลายแห่งไม่ได้ทะยานขึ้นมากนัก โดยดัชนี S&P 500 ในแบบที่ให้หุ้นแต่ละตัวในดัชนีมีน้ำหนักเท่ากัน ปรับขึ้นเพียงราว 6% จากช่วงต้นปี 2023--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
เครื่องมือออกแบบโปสเตอร์
โครงการพันธมิตร
ความเสี่ยงของการสูญเสียในการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น หุ้น FX สินค้าโภคภัณฑ์ ฟิวเจอร์ส พันธบัตร ETFs หรือเงินดิจิทัลอาจมีมาก คุณอาจสูญเสียเงินทุนทั้งหมดที่คุณฝากไว้กับโบรกเกอร์ของคุณ ดังนั้น คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบว่าการซื้อขายดังกล่าวเหมาะสมกับคุณหรือไม่ในสถานการณ์และทรัพยากรทางการเงินของคุณ
ไม่ควรตัดสินใจลงทุนโดยไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบสถานะอย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วยตัวเองหรือปรึกษากับที่ปรึกษาทางการเงินของคุณ เนื้อหาเว็บของเราอาจไม่เหมาะกับคุณเนื่องจากเราไม่ทราบเงื่อนไขทางการเงินและความต้องการในการลงทุนของคุณ ข้อมูลทางการเงินของเราอาจมีความล่าช้าหรือมีความไม่ถูกต้อง ดังนั้นคุณควรรับผิดชอบอย่างเต็มที่ต่อการตัดสินใจซื้อขายและการลงทุนของคุณ บริษัทจะไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียเงินทุนของคุณ
หากไม่ได้รับอนุญาตจากเว็บไซต์ คุณจะไม่สามารถคัดลอกกราฟิก ข้อความ หรือเครื่องหมายการค้าของเว็บไซต์ได้ สิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาในเนื้อหาหรือข้อมูลที่รวมอยู่ในเว็บไซต์นี้เป็นของผู้ให้บริการและผู้ค้าแลกเปลี่ยน
ไม่ได้ล็อกอิน
เข้าสู่ระบบเพื่อเข้าถึงฟังก์ชั่นเพิ่มเติม

สมาชิก FastBull
ยังไม่ได้เปิด
สมัคร
เข้าสู่ระบบ
ลงทะเบียน