ตลาด
ข่าวสาร
การวิเคราะห์
ผู้ใช้
24x7
ปฏิทินเศรษฐกิจ
แหล่งเรียนรู้
ข้อมูล
- ชื่อ
- ค่าล่าสุด
- ครั้งก่อน












สัญญาณ VIP
ทั้งหมด
ทั้งหมด



สหราชอาณาจักร ดัชนีราคาที่อยู่อาศัย Halifax YoY (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส บัญชีเดินสะพัด (Not SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส ดุลการค้า (SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส การผลิตภาคอุตสาหกรรม MoM(SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
อิตาลี ดัชนียอดค้าปลีก MoM (SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงาน YoY (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน GDP Final YoY (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน GDP Final QoQ (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงาน QoQ (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงานสุดท้าย (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
บราซิล PPI MoM (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
เม็กซิโก ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา อัตราการว่างงาน (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา อัตราการมีส่วนร่วมในการจ้างงาน (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงาน (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงานนอกเวลา (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงานเต็มเวลา (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา รายได้ส่วนบุคคล MoM (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคา PCE YoY (SA) (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคา PCE MoM (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา รายจ่ายส่วนบุคคล MoM(SA) (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาPCEหลักMoM (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาPCEหลักYoY (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา เงินเฟ้อเบื้องต้น UMich 5-YearYoY (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ค่าใช้จ่ายการบริโภคส่วนบุคคลที่จริง MoM (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การคาดการณ์เงินเฟ้อ 5-10 ปี (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีสถานภาพเบื้องต้น UMich ปัจจุบัน (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้น UMich (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อล่วงหน้า 1 ปี UMich (เบื้องต้น) (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีความคาดหวังผู้บริโภค UMich (เบื้องต้น) (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ปริมาณเครื่องเจาะทั้งหมดรายสัปดาห์--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ปริมาณเครื่องเจาะน้ำมันทั้งหมดรายสัปดาห์--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา สินเชื่ออุปโภคบริโภค (SA) (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ เงินตราที่ใช้เป็นทุนสำรอง (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ปริมาณการส่งออก YoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การนำเข้า YoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การนำเข้าYoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การนำเข้า (CNH) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ดุลการค้า (CNH) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การส่งออก (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น ค่าจ้าง MoM (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น ดุลการค้า (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น GDP Nominal แก้ไขQoQ (ไตรมาส 3)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น ดุลการค้า (SA)(ข้อมูลศุลกากร) (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น GDP ประจำปี (แก้ไข) QoQ (ไตรมาส 3)--
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ปริมาณการส่งออก YoY (CNH) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ดุลการค้า (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
เยอรมนี การผลิตภาคอุตสาหกรรม MoM(SA) (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน Sentix (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา อินดิเคเตอร์ชั้นนำ MoM (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา ดัชนีความเชื่อมั่นเศรษฐกิจแห่งชาติ--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาธนาคารกลางรัฐดัลลาส สหรัฐอเมริกา PCE YoY (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา อัตราผลตอบแทนการประมูลพันธบัตรรัฐบาล 3-ปี--
ค: --
ค: --
สหราชอาณาจักร ดัชนียอดค้าปลีกรวม BRC YoY (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
สหราชอาณาจักร ดัชนียอดค้าปลีก Like-For-Like BRC YoY (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
ออสเตรเลีย อัตราหลัก(ดอกเบี้ยเงินกู้)O/N--
ค: --
ค: --
คำแถลงอัตราของธนาคารกลางออสเตรเลีย
ประธานธนาคารกลางออสเตรเลีย Bullock จัดงานแถลงข่าวนโยบายการเงิน
เยอรมนี อัตราการส่งออก MoM (SA) (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีความเชื่อมั่นของธุรกิจขนาดเล็ก NFIB (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
เม็กซิโก CPI หลัก YoY (พ.ย.)--
ค: --
ค: --


ไม่มีข้อมูลที่ตรงกัน
ทัศนคติล่าสุด
ทัศนคติล่าสุด
หัวข้อยอดนิยม
คอลัมนิสต์ยอดนิยม
อัปเดตล่าสุด
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
ดูผลการค้นหาทั้งหมด

ไม่มีข้อมูล
หนึ่งปีที่แล้วที่ธนาคารเครดิต สวิสของสวิตเซอรแลนด์เกือบจะล้มละลาย ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้หุ้นกลุ่มธนาคารของยุโรปดิ่งลง และต้นทุนประกันการผิดนัดชำระหนี้พุ่งขึ้น นักลงทุนก็ส่งสัญญาณเตือนเกี่ยวกับเสถียรภาพของธนาคารต่างๆท่ามกลางภาวะปั่นป่วนของธนาคารระดับภูมิภาคของสหรัฐ แต่การที่ยูบีเอสได้เข้าช่วยเหลือเครดิต สวิสด้วยการจัดการของภาครัฐช่วยคลายกังวลได้บ้าง และธนาคารยุโรปก็มีการฟื้นตัวที่น่าสนใจ แม้จะเปราะบางบ้าง โดยทำกำไรได้มากเป็นประวัติการณ์ และราคาหุ้นพุ่งขึ้นแบบเลขสองหลัก
หุ้นกลุ่มธนาคารของยุโรปดิ่งลงในเดือนมี.ค.ปีที่แล้ว โดยหุ้นดอยช์แบงก์ร่วงกว่า 1 ใน 5 ในเดือนมี.ค. และดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารของยุโรปร่วงลงมากที่สุดนับตั้งแต่เกิดโรคระบาด แต่ราคาหุ้นก็ทะยานขึ้นนับตั้งแต่นั้น นำโดยการทะยานขึ้น 60% ของหุ้นยูบีเอส และเกือบ 70% ของยูนิเครดิต แต่หุ้นบีเอ็นพี พาริบาส์ และหุ้นดอยช์แบงก์ปรับขึ้นน้อยกว่า
ปัจจัยที่กระตุ้นการฟื้นตัวคือการดีดตัวขึ้นของความสามารถในการทำกำไรของภาคธนาคาร ซึ่งได้แรงหนุนจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นที่ทำให้รายได้ดอกเบี้ยสุทธิของธนาคารเพิ่มมากขึ้น แต่เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยแตะจุดสูงสุดแล้ว นักวิเคราะห์จึงคาดว่า กำไรจะทรงตัว และหลังจากนั้นจะลดลง
ตราสารหนี้ประเภท Additional Tier 1 กลายเป็นประเด็นที่สนใจ เมื่อตราสารหนี้ของเครดิตสวิสมูลค่า 1.6 หมื่นล้านฟรังก์สวิส (1.8 หมื่นล้านดอลลาร์) ถูกตัดมูลค่าให้เหลือศูนย์ตามแผนการช่วยเหลือยูบีเอส ขณะที่ราคาตราสารหนี้ประเภท Additional Tier 1 ของธนาคารอื่นๆดิ่งลงเช่นกัน และบางธนาคารต่ำกว่า 80 และแม้แต่ 60 เซนต์ในปลายเดือนมี.ค. แต่ตราสารหนี้ของธนาคารขนาดใหญ่ก็ฟื้นตัวขึ้นมากนับตั้งแต่นั้นมา
อสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์เป็นจุดอ่อนสำหรับธนาคาร โดยราคาชะลอตัวรุนแรง ขณะที่อัตราว่างพุ่งขึ้นมาก และต้นทุนการกู้ที่สูงขึ้นกดดันกลุ่มผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีหนี้สิน และธนาคารของยุโรปมีการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์รวมกัน 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ ขณะที่เอสแอนด์พี โกลบอลคาดว่า สินทรัพย์ของธนาคารยุโรปโดยรวม ยกเว้นอังกฤษ มีมูลค่ารวมเกือบ 28 ล้านล้านยูโรในปีที่แล้ว
การซื้อเครดิต สวิสของยูบีเอสนับเป็นการควบธนาคารที่ใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่วิกฤติการเงินปี 2008 ซึ่งธนาคารหลายแห่งในยุโรปและสหรัฐถูกสถานการณ์บังคับให้ต้องควบรวมกันแบบฉุกเฉิน นอกจากวิกฤติต่างๆแล้ว การควบรวมกิจการของธนาคารขนาดใหญ่ในยุโรปก็แทบไม่เกิดขึ้น โดยเฉพาะดีลข้ามประเทศ อุปสรรคที่ขัดขวางการควบรวมจึงทำให้ธนาคารยุโรปอยู่ในสถานะที่เปราะบางกว่าธนาคารสหรัฐ--จบ--
Eikon source text
บรรดาเฮดฮันเตอร์ และนักการธนาคารเปิดเผยว่า คาดว่าวาณิชธนกิจของชาติตะวันตกในเอเชียจะลดตำแหน่งงานมากขึ้นในปีนี้ ขณะที่แรงกดดันด้านรายได้เพิ่มขึ้นเนื่องจากภาวะปั่นป่วนทางเศรษฐกิจและตลาดที่รุนแรงขึ้นในจีนแม้ขณะที่แนวโน้มการบรรลุดีลในญี่ปุ่นและอินเดียสดใสขึ้นก็ตาม โดยการปลดพนักงานรอบใหม่ที่เริ่มขึ้นในปลายปี 2023 ในจีนและฮ่องกงนั้น จะเพิ่มขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
สถาบันการเงินโดยเฉลี่ยได้ลดจำนวนพนักงานลงประมาณ 20% ในเอเชียในปีที่แล้ว โดยการลดบางส่วนแตะระดับสูงสุดตั้งแต่วิกฤติการเงินปี 2008 ขณะที่มีวาณิชธนกรกว่า 400 คนตกงานในฮ่องกงที่เดียว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นวาณิชธนกรที่เน้นการบรรลุดีลในจีน
ข้อมูลจากแอลเอสอีจีพบว่า รายได้ของวาณิชธนกิจทั่วโลกจากธุรกิจหุ้นที่ได้จากลูกค้าในจีนนั้นดิ่งลงสู่ระดับ 4 พันล้านดอลลาร์ในปี 2023 ร่วงลง 30% จากปี 2022 และการควบรวมกิจการ (M&A) ร่วงลง 16% มาที่ 629 ล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว ส่วนค่าธรรมเนียมวาณิชธนกิจโดยรวมที่เรียกเก็บโดยธนาคารทั่วโลกในเอเชียแปซิฟิคนั้น ร่วงลง 25% ในปีที่แล้ว จากระดับสูงสุดที่ 4.06 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2021
เพื่อบรรเทาผลกระทบจากภาวะชะลอตัวของจีน นักการธนาคารกำลังหวังว่า การบรรลุดีลจากอินเดียไปจนถึงญี่ปุ่นจะมีส่วนสนับสนุนรายได้เอเชียมากขึ้น แต่พวกเขาก็เตือนว่า รายได้จากค่าธรรมเนียมจะยังคงท้าทายในระยะใกล้
นายราฮุล ซาราฟ หัวหน้าฝ่ายวาณิชธนกิจอินเดียจากซิติกรุ๊ป คาดว่ารายได้จากอินเดียจะเพิ่มขึ้น 15-25% สำหรับธุรกิจนี้ โดยธุรกรรมมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์จำนวนหนึ่งจะหนุนแนวโน้มให้ดีขึ้น "ธนาคารทั้งหมดจะเพิ่มทรัพยากรมาที่อินเดีย แต่ผมก็ไม่คิดว่าจะมีการโยกจากจีนมาที่อินเดีย หรือเกาหลีมาที่อินเดีย"--จบ--
Eikon source text
หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ และตราสารหนี้พุ่งขึ้น ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ในวงกว้างว่า ภาวะตลาดตกต่ำที่เกิดจากภาระหนี้มูลค่าหลายล้านล้านดอลลาร์จะสิ้นสุดลง ทั้งนี้ ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) ซึ่งเป็นเจ้าของอาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในตลาดหุ้น ดีดตัวขึ้นสู่ระดับล่าสุดก่อนที่ธนาคารซิลิคอน วัลเลย์ แบงก์ล้มละลายในเดือนมี.ค.ปีที่แล้ว ซึ่งทำให้เกิดความวิตกว่าจะเกิดภาวะสินเชื่อตึงตัวครั้งใหญ่กับเจ้าของที่ดิน
การพุ่งขึ้นดังกล่าวเกิดขึ้นจากความหวังที่ว่า ธนาคารกลางชั้นนำจะลดอัตราดอกเบี้ยจากระดับสูงสุดในรอบหลายทศวรรษ ซึ่งช่วยลดแรงกดดันรุนแรงต่อเจ้าของที่ดิน และธนาคารที่ปล่อยกู้ และทำให้มีการคาดการณ์ว่า สิ่งปลูกสร้างต่างๆจะหยุดการสูญเสียมูลค่า
แบล็คร็อค ซึ่งเป็นผู้จัดการสินทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เปิดเผยในเดือนนี้ว่า ปี 2024 จะเป็น "จุดเข้า" สำหรับการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ราคาถูกทั่วโลก ขณะที่ข้อมูลจากลิปเปอร์พบว่า กองทุนอสังหาริมทรัพย์ทั่วโลกดึงดูดเงินทุนไหล 82.2 ล้านดอลลาร์ในรอบสัปดาห์สิ้้นสุดวันที่ 10 ม.ค. ซึ่งเป็นจำนวนสูงสุดตั้งแต่เดือนก.ย.2021
ข้อมูลจาก MSCI พบว่า ปริมาณการทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ในปี 2023 ต่ำกว่าในปี 2022 อยู่กว่า 50% ทั้งในสหรัฐและยุโรป ขณะที่สำนักงานว่างอยู่ที่ 17% ในสหรัฐ และ 14% ในยุโรป อย่างไรก็ดี มีหลักฐานหลายตัวบ่งชี้ว่า ภาวะตกต่ำกำลังดีขึ้น โดยการร่วงลงของมูลค่าอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัวลง หลังจากที่ร่วงลงมากที่สุดในรอบปีจนถึงเดือนต.ค.2022 นับตั้งแต่วิกฤติการเงินโลกปี 2008
แคปิตอล อีโคโนมิคส์คาดการณ์ว่า ราคาอสังหาริมทรัพย์ในยูโรโซนน่าจะเป็นบวกในปี 2025 ขณะที่สหรัฐจะช้ากว่ามาก โดยราคาจะร่วงลง 10% ในปีนี้ และจะไม่ฟื้นตัวจนกว่าจะถึงปี 2026 ซึ่งเป็นผลจากภาวะความต้องการสำนักงานตกต่ำอย่างรุนแรง--จบ--
Eikon source text
11 ม.ค.--รอยเตอร์
ประเทศที่จะจัดการเลือกตั้งในปีนี้ครอบคลุมจำนวนประชากรรวมกันมากกว่าครึ่งหนึ่งของโลก และครองสัดส่วนสูงกว่า 60% ของผลผลิตทางเศรษฐกิจทั่วโลก ดังนั้นนักลงทุนจึงจับตาดูผลกระทบที่ตลาดการเงินอาจได้รับจากการเลือกตั้งในหลายประเทศในปีนี้ โดยบริษัทมอร์นิงสตาร์ ซึ่งเป็นบริษัทผู้ให้บริการทางการเงินระบุว่า ตลาดการเงินเผชิญกับ "แรงระเบิดจากการเลือกตั้ง" และระบุเสริมว่า "ประสบการณ์ในอดีตสอนให้รู้ว่า การเปลี่ยนรัฐบาลครั้งใหญ่อาจจะส่งผลให้มีแรงเทขายเข้ามาในตลาด" ทั้งนี้ การเลือกตั้งในที่แรกที่นักลงทุนจับตามองคือการเลือกตั้งในไต้หวันในวันที่ 13 ม.ค. ซึ่งเป็นการแข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีกันระหว่างพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า (DPP) ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลของไต้หวันในปัจจุบัน กับพรรคก๊กมินตั๋ง (KMT) ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้าน ในขณะที่รัฐบาลจีนกล่าวหาพรรค DPP ว่ามีนโยบายแบ่งแยกดินแดน ดังนั้นถ้าหากพรรค DPP ชนะการเลือกตั้งในครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 ติดต่อกัน รัฐบาลจีนก็อาจจะพยายามหาทางควบคุมไต้หวันมากยิ่งขึ้น ทางด้านเจ้าหน้าที่สหรัฐระบุว่า จีนไม่มีแนวโน้มที่จะรุกรานไต้หวันในปี 2024 แต่ถ้าหากจีนเข้ารุกรานไต้หวันอย่างเต็มที่ เหตุการณ์ดังกล่าวก็จะก่อให้เกิดหายนะต่อตลาดการเงินทั่วโลก โดยอาจจะส่งผลให้มีการระงับการผลิตชิปขั้นสูง และอาจจะส่งผลให้ผลผลิตทางเศรษฐกิจทั่วโลกลดลง 1 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี
หลายประเทศในยุโรปจะจัดการเลือกตั้งในปีนี้ ซึ่งรวมถึงโปรตุเกสที่จะจัดการเลือกตั้งในวันที่ 10 มี.ค., เบลเยียมในวันที่ 9 มิ.ย., รัฐสภายุโรปในวันที่ 6-9 มิ.ย., โครเอเชียในฤดูใบไม้ร่วงหรือฤดูหนาวปีนี้, โรมาเนียในเดือนพ.ย. และออสเตรียที่อาจจะจัดการเลือกตั้งในปีนี้ ในขณะที่นักลงทุนกังวลกันว่า พรรคการเมืองฝ่ายขวาจัดที่มีนโยบายต่อต้านอียูอาจจะชนะการเลือกตั้งหรือครองที่นั่งได้มากยิ่งขึ้นในหลายประเทศ โดยเฉพาะในออสเตรียและโปรตุเกส ถึงแม้ว่าพรรคการเมืองฝ่ายซ้ายยังคงมีแนวโน้มว่าจะชนะการเลือกตั้งในโปรตุเกส ทั้งนี้ ถ้าหากพรรคการเมืองฝ่ายขวาจัดครองที่นั่งได้มากยิ่งขึ้นในยุโรป สถานการณ์ดังกล่าวก็จะสร้างความเสียหายต่อตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตรอิตาลี ในขณะที่ส่วนต่างระหว่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอิตาลีกับเยอรมนีมักจะปรับตัวผกผันกับค่าเงินยูโร นอกจากนี้ ถ้าหากฝ่ายขวาจัดครองที่นั่งได้มากยิ่งขึ้นในรัฐสภาอียู สิ่งนี้ก็จะสร้างความเสียหายต่อนโยบายสนับสนุนยูเครนและนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศด้วย
จุดที่ 3 ที่นักลงทุนจับตามองคือการเลือกตั้งในรัสเซียในวันที่ 17 มี.ค. ในขณะที่นักลงทุนมั่นใจว่าประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินจะชนะการเลือกตั้งและได้ครองตำแหน่งต่ออีก 6 ปี โดยผลสำรวจความเห็นประชาชนระบุว่า ปธน.ปูตินได้รับคะแนนนิยมสูงกว่า 80% ในรัสเซีย ทางด้านนักลงทุนจับตามองว่า รัฐบาลสหรัฐ, ญี่ปุ่น และประเทศอื่น ๆ ในชาติตะวันตกจะออกมาตรการอายัดสินทรัพย์รัสเซีย ซึ่งรวมถึงเงินสดและพันธบัตรรัฐบาลที่ธนาคารกลางรัสเซียถือครองไว้ในต่างประเทศหรือไม่ ในขณะที่รัฐบาลชาติตะวันตกกำลังพิจารณาเรื่องนี้อยู่ในตอนนี้ ทั้งนี้ จุดที่ 4 ที่นักลงทุนจับตามองคืออินเดีย ซึ่งจะจัดการเลือกตั้งในเดือนเม.ย.-พ.ค. โดยมีแนวโน้มว่านายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมที จากพรรคภารตียชนตา (BJP) ซึ่งเป็นพรรคชาตินิยมฮินดู อาจจะชนะการเลือกตั้งเป็นสมัยที่ 3 ติดต่อกัน ทางด้านนักลงทุนจับตามองอินเดียในช่วงนี้ เพราะว่าอินเดียเป็นประเทศผู้ส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์รายใหญ่ และอินเดียได้ออกมาตรการจำกัดการส่งออกข้าว, ข้าวสาลี และน้ำตาลในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลกระทบต่อตลาดสินค้าโภคภัณฑ์เป็นอย่างมาก
จุดที่ 5 ที่นักลงทุนจับตามองคือเม็กซิโก ซึ่งจะจัดการเลือกตั้งในวันที่ 2 มิ.ย. โดยมีแนวโน้มว่า คลอเดีย ไชน์บอม อดีตนายกเทศมนตรีกรุงเม็กซิโก ซิตี้ จากพรรคเนชันแนล รีเจเนอเรชัน มูฟเมนท์ (โมเรนา) ซึ่งเป็นพรรครัฐบาล จะชนะการเลือกตั้ง ทางด้านนักลงทุนจับตามองว่า ถ้าหากรัฐบาลใหม่ของเม็กซิโกดำเนินมาตรการใช้จ่ายเงินจำนวนมาก ปัจจัยดังกล่าวก็จะส่งผลให้ค่าเงินเปโซของเม็กซิโกดิ่งลง และจะสร้างความเสียหายต่อพันธบัตรรัฐบาลเม็กซิโกด้วย ทั้งนี้ จุดที่ 6 ที่นักลงทุนจับตามองคือแอฟริกาใต้ ซึ่งจะจัดการเลือกตั้งในเดือนพ.ค.-ส.ค. โดยมีความเป็นไปได้ที่พรรคแอฟริกัน เนชันนัล คองเกรส (ANC) ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลในปัจจุบัน อาจจะสูญเสียเสียงข้างมากในรัฐสภาเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่นายเนลสัน แมนเดลานำพาพรรคนี้ขึ้นสู่ชัยชนะในปี 1994 เป็นต้นมา ซึ่งถ้าหากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นจริง ANC ก็อาจจะต้องร่วมมือกับพรรคพันธมิตรประชาธิปไตยและพรรคเสรีภาพเศรษฐกิจมาร์กซิสต์ในการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ และการร่วมมือกับพรรคฝ่ายซ้ายแบบนี้อาจจะส่งผลให้งบประมาณรายจ่ายสำหรับนโยบายทางสังคมเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อฐานะการคลังของรัฐและต่อค่าเงินแรนด์ของแอฟริกาใต้
จุดที่ 7 ที่นักลงทุนจับตามองคือการเลือกตั้งในสหรัฐในวันที่ 5 พ.ย. ในขณะที่มีการคาดการณ์กันว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์อาจจะได้รับการเสนอชื่อให้เป็นตัวแทนจากพรรครีพับลิกันในการลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า และสถานการณ์ดังกล่าวอาจจะส่งผลให้นักลงทุนกังวลว่า อาจจะเกิดเหตุการณ์ไม่สงบขึ้นอีกครั้ง หลังจากที่เคยเกิดเหตุการณ์รุนแรงในรัฐสภาสหรัฐหลังการเลือกตั้งเมื่อ 4 ปีก่อน นอกจากนี้ การคาดการณ์เกี่ยวกับผลการเลือกตั้งก็อาจจะส่งผลให้ดอลลาร์สหรัฐแกว่งตัวผันผวนด้วย ทั้งนี้ นักวิเคราะห์กล่าวว่า ถ้าหากพรรคเดโมแครตหรือพรรครีพับลิกันชูนโยบายกีดกันทางการค้า ปัจจัยดังกล่าวก็จะส่งผลให้ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐกับจีนทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น และจะสร้างความเสียหายต่อตลาดหุ้น และนักวิเคราะห์คาดว่าถ้าหากสหรัฐปรับขึ้นภาษีศุลกากร ปัจจัยดังกล่าวก็จะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อปรับสูงขึ้น, ส่งผลให้ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น และสร้างความเสียหายต่อค่าเงินหยวน, ยูโร และเปโซของเม็กซิโก นอกจากนี้ ถ้าหากนายทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง เขาก็อาจจะออกนโยบายสนับสนุนการขุดเจาะบ่อน้ำมันในสหรัฐ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันด้วย
จุดที่ 8 ที่นักลงทุนจับตามองคืออังกฤษ ซึ่งอาจจะจัดการเลือกตั้งก่อนสิ้นปีนี้ โดยมีการคาดการณ์กันว่า นายเคียร์ สตาร์เมอร์ ผู้นำพรรคแรงงานซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้าน อาจจะชนะพรรคอนุรักษ์นิยมได้ในการเลือกตั้งครั้งนี้ ทั้งนี้ ถ้าหากพรรคแรงงานชนะการเลือกตั้ง นโยบายของพรรคแรงงานก็อาจจะสร้างความเสียหายต่อบริษัทในกลุ่มผู้ก่อสร้างบ้านและกลุ่มพลังงาน นอกจากนี้ พรรคแรงงานก็ต้องการจะกระชับความสัมพันธ์กับอียูด้วย และนโยบายดังกล่าวอาจจะส่งผลบวกต่อค่าเงินปอนด์--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นักเศรษฐศาสตร์จากดอยช์แบงก์คาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะลดอัตราดอกเบี้ยแบบเชิงรุกมากกว่าที่ตลาดคาดไว้ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจสหรัฐจะถดถอยเล็กน้อยในช่วงครึ่งแรกของปีหน้า
พวกเขาคาดว่า เฟดจะลดอัตราดอกเบี้ย 1.75% ในปีหน้า เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยของเฟดอยู่ที่ 5.25%-5.5% นั่นจะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยลดลงมาที่ 3.5%-3.75% ภายในปลายปีหน้า อย่างไรก็ดี ข้อมูลของแอลเอสอีจีพบว่า เทรดเดอร์คาดว่าอัตราดอกเบี้ยจะอยู่ที่ 4.48% ภายในเดือนธ.ค.ปีหน้า
นายเบรตต์ ไรอัน นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสของดอยช์แบงก์กล่าวว่า ธนาคารคาดว่า อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐจะติดลบ 2 ไตรมาสในช่วงครึ่งแรกของปีหน้า ซึ่งจะทำให้อัตราว่างงานพุ่งขึ้นค่อนข้างมากสู่ระดับ 4.6% ภายในกลางปีหน้า จาก 3.9% ในขณะนี้ "เราคาดว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัวในช่วงครึ่งแรกของปีหน้า ซึ่งจะส่งผลให้มีการลดอัตราดอกเบี้ยแบบเชิงรุกมากขึ้น โดยจะเริ่มตั้งแต่กลางปีหน้า" และธนาคารยังคาดว่า ภาวะชะลอตัวทางเศรษฐกิจจะลดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ
ธนาคารคาดว่า จะมีการลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% เบื้องต้นในการประชุมในเดือนมิ.ย.ปีหน้า ตามมาด้วยการลดดอกเบี้ยอีก 1.25% ในช่วงที่เหลือของปีหน้า
เศรษฐกิจสหรัฐดูเหมือนจะหลีกเลี่ยงภาวะถดถอยที่คาดไว้ได้ แม้ขณะที่เฟดขึ้นอัตราดอกเบี้ยรวม 5.25% มาตั้งแต่เดือนมี.ค.ปีที่แล้วก็ตาม และนายไรอันกล่าวว่า "ถ้าสิ่งต่างๆดีขึ้นอีกครั้งในอนาคต เฟดก็จะลดดอกเบี้ยน้อยลง"--จบ--
Eikon source text
นักวิเคราะห์ธนาคารยูบีเอสคาดว่า สินทรัพย์ตลาดเกิดใหม่อาจจะปรับตัวย่ำแย่ในช่วงเริ่มต้นปี 2024 ก่อนที่จะปรับตัวดีขึ้น และปิดพุ่งขึ้นมากกว่าประเทศพัฒนาแล้วชั้นนำในช่วงปลายปีหน้า
พวกเขาคาดว่า ตราสารหนี้ตลาดเกิดใหม่จะให้ผลตอบแทน 8-10% ในปีหน้า, หุ้นตลาดเกิดใหม่จะให้ผลตอบแทน 6-8% และสกุลเงินตลาดเกิดใหม่จะให้ผลตอบแทน 1-3%
"เนื่องด้วยค่าประกันความเสี่ยงถูกควบคุมไว้แล้ว เราจึงคิดว่า แม้แต่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยเล็กน้อยของสหรัฐก็สามารถทำให้สินทรัพย์ตลาดเกิดใหม่ปรับตัวลงได้" และนั่นก็จะทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ลดอัตราดอกเบี้ยด้วย ซึ่งก็อาจจะทำให้ต้นทุนการกู้ทั่วโลกลดลง
ยูบีเอสคาดว่า อัตราดอกเบี้ยของสหรัฐ "จะลดลงอย่างมีความหมาย" ในปีหน้า และจะปิดปีหน้าในกรอบ 2.50-2.75% ซึ่งต่ำกว่าระดับที่วาณิชธนกิจชั้นนำหลายแห่งคาดการณ์ไว้อย่างมาก
นักวิเคราะห์ระบุว่า "สินทรัพย์ตลาดเกิดใหม่ส่วนใหญ่อยู่ในสถานะ 'สงบนิ่ง' ในปีนี้ แม้มีแรงกดดันต่อเนื่องจากผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ และตลาดที่อยู่อาศัยของจีนก็ตาม และเราคาดว่าปีหน้าจะเป็นปีที่ดีขึ้นสำหรับตลาดเกิดใหม่ เนื่องจากอุปสรรคจากเฟดหายไป และส่วนต่างการขยายตัวก็ดีขึ้นตามวัฏจักร แต่เราก็ไม่คาดว่า นี่จะผ่านไปได้ง่ายๆ"--จบ--
Eikon source text
ประธานธนาคารชั้นนำของโลกเปิดเผยว่า พวกเขากังวลว่า วิกฤติครั้งต่อไปของภาคการเงินอาจจะมาจากความไม่แน่นอนมากขึ้นเกี่ยวกับสถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งอาจจะทดสอบการฟื้นตัวของตลาดการเงิน ขณะที่ภาคการเงินยังคงเปราะบางต่อการปรับกฎระเบียบให้เข้มงวดขึ้น
นายเจมส์ กอร์แมน ประธานและซีอีโอของมอร์แกน สแตนเลย์กล่าวว่า ปัจจัยที่จะกระตุ้นให้เกิดวิกฤติการเงินโลกครั้งต่อไปอาจจะมาจากสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ หรือทางการเมือง "ความท้าทายต่อประชาธิปไตยในบางประเทศทั่วโลกค่อนข้างเห็นชัดเจน"
ความเห็นดังกล่าวเกิดขึ้นในขณะที่ความขัดแย้งอิสราเอล-ฮามาสเพิ่มความไม่แน่นอนให้กับแนวโน้มเศรษฐกิจโลก ขณะที่สงครามรัสเซีย-ยูเครนยังยืดเยื้อ และสถานการณ์จีน-สหรัฐยังคงตึงเครียดมากขึ้น แม้มีความพยายามดึงให้ผู้นำของสองประเทศใกล้ชิดกันมากขึ้นก็ตาม
นายคริสเตียน ซิววิ่ง ซีอีโอดอยช์แบงก์กล่าวว่า ตลาดฟื้นตัวได้ไว แม้เกิดเหตุการณ์ทั่วโลก แต่ความสงบนิ่งมีความเปราะบางต่อความเสี่ยงที่จะเกิดเหตุการณ์ใหม่
ด้านนายเดวิด โซโลมอน ซีอีโอโกลด์แมน แซคส์กล่าวว่า "ขณะที่เราต้องการให้ระบบการเงินปลอดภัยและแข็งแกร่ง แต่ผมคิดว่า การคุมเข้มกฎระเบียบภาคธนาคารนั้นมากเกินไป และถ้านำมาปฏิบัติ วิธีที่กฎเหล่านี้ถูกจัดทำ นั่นเป็นการสร้างความตึงตัวทางเศรษฐกิจเพิ่มเติมที่มีนัยสำคัญต่อระบบในขณะที่ผมไม่คิดว่า นั่นเป็นผลประโยชน์ที่ดีที่สุดด้านกิจกรรมและการขยายตัวทางเศรษฐกิจ"--จบ--
Eikon source text
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
เครื่องมือออกแบบโปสเตอร์
โครงการพันธมิตร
ความเสี่ยงของการสูญเสียในการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น หุ้น FX สินค้าโภคภัณฑ์ ฟิวเจอร์ส พันธบัตร ETFs หรือเงินดิจิทัลอาจมีมาก คุณอาจสูญเสียเงินทุนทั้งหมดที่คุณฝากไว้กับโบรกเกอร์ของคุณ ดังนั้น คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบว่าการซื้อขายดังกล่าวเหมาะสมกับคุณหรือไม่ในสถานการณ์และทรัพยากรทางการเงินของคุณ
ไม่ควรตัดสินใจลงทุนโดยไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบสถานะอย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วยตัวเองหรือปรึกษากับที่ปรึกษาทางการเงินของคุณ เนื้อหาเว็บของเราอาจไม่เหมาะกับคุณเนื่องจากเราไม่ทราบเงื่อนไขทางการเงินและความต้องการในการลงทุนของคุณ ข้อมูลทางการเงินของเราอาจมีความล่าช้าหรือมีความไม่ถูกต้อง ดังนั้นคุณควรรับผิดชอบอย่างเต็มที่ต่อการตัดสินใจซื้อขายและการลงทุนของคุณ บริษัทจะไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียเงินทุนของคุณ
หากไม่ได้รับอนุญาตจากเว็บไซต์ คุณจะไม่สามารถคัดลอกกราฟิก ข้อความ หรือเครื่องหมายการค้าของเว็บไซต์ได้ สิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาในเนื้อหาหรือข้อมูลที่รวมอยู่ในเว็บไซต์นี้เป็นของผู้ให้บริการและผู้ค้าแลกเปลี่ยน
ไม่ได้ล็อกอิน
เข้าสู่ระบบเพื่อเข้าถึงฟังก์ชั่นเพิ่มเติม

สมาชิก FastBull
ยังไม่ได้เปิด
สมัคร
เข้าสู่ระบบ
ลงทะเบียน