ตลาด
ข่าวสาร
การวิเคราะห์
ผู้ใช้
24x7
ปฏิทินเศรษฐกิจ
แหล่งเรียนรู้
ข้อมูล
- ชื่อ
- ค่าล่าสุด
- ครั้งก่อน












สัญญาณ VIP
ทั้งหมด
ทั้งหมด



ตุรกี ดุลการค้าค:--
ค: --
ค: --
เยอรมนี ดัชนี PMI การก่อสร้าง (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน PMI อุตสาหกรรมการก่อสร้าง IHS Markit (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
อิตาลี PMI อุตสาหกรรมการก่อสร้าง IHS Markit (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหราชอาณาจักร PMI อุตสาหกรรมการก่อสร้าง Markit/CIPS (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยการประมูลหนี้ OAT 10-ปีค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน ดัชนียอดค้าปลีก MoM (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน ดัชนียอดค้าปลีก YoY (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
บราซิล GDP YoY (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา จำนวนการปลดพนักงานบริษัทชาเลนเจอร์ เกรย์ และคริสต์มาส YoY (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การเลิกจ้างพนักงานบริษัทชาเลนเจอร์ เกรย์ และคริสต์มาส MoM (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การเลิกจ้างพนักงานบริษัทชาเลนเจอร์ เกรย์ และคริสต์มาส YoY (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ค่าเฉลี่ยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก4 สัปดาห์ (SA)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์ (SA)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานต่อรายสัปดาห์ (SA)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา Ivey PMI (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา Ivey PMI (Not SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา คำสั่งซื้อสินค้าคงทนนอกกระทรวงกลาโหมที่ได้แก้ไข MoM (ไม่รวมเครื่องบิน)(SA) (ก.ย.)ค:--
ค: --
สหรัฐอเมริกา คำสั่งซื้อโรงงาน MoM(ยกเว้นการขนส่ง) (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา คำสั่งซื้อโรงงาน MoM (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา คำสั่งซื้อโรงงาน MoM(ยกเว้นภาคกลาโหม) (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การเปลี่ยนแปลงสต็อกก๊าซธรรมชาติประจำสัปดาห์ของ EIAค:--
ค: --
ค: --
ซาอุดิอาระเบีย การผลิตน้ำมันดิบค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การถือครองธนารักษ์สหรัฐฯของธนาคารกลางต่างประเทศรายสัปดาห์ค:--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น เงินตราที่ใช้เป็นทุนสำรอง (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย อัตราขายคืนค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย ดอกเบี้ยอ้างอิงค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย อัตราขายคืนค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย อัตราเงินสดสำรองค:--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น อินดิเคเตอร์ชั้นนำเบื้องต้น (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหราชอาณาจักร ดัชนีราคาที่อยู่อาศัย Halifax YoY (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
สหราชอาณาจักร ดัชนีราคาที่อยู่อาศัย Halifax MoM (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส บัญชีเดินสะพัด (Not SA) (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส ดุลการค้า (SA) (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส การผลิตภาคอุตสาหกรรม MoM(SA) (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
อิตาลี ดัชนียอดค้าปลีก MoM (SA) (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงาน YoY (SA) (ไตรมาส 3)--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน GDP Final YoY (ไตรมาส 3)--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน GDP Final QoQ (ไตรมาส 3)--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงาน QoQ (SA) (ไตรมาส 3)--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงานสุดท้าย (SA) (ไตรมาส 3)--
ค: --
บราซิล PPI MoM (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
เม็กซิโก ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา อัตราการว่างงาน (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา อัตราการมีส่วนร่วมในการจ้างงาน (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงาน (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงานนอกเวลา (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงานเต็มเวลา (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาธนาคารกลางรัฐดัลลาส สหรัฐอเมริกา PCE YoY (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคา PCE YoY (SA) (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคา PCE MoM (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา รายจ่ายส่วนบุคคล MoM(SA) (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาPCEหลักMoM (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา เงินเฟ้อเบื้องต้น UMich 5-YearYoY (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาPCEหลักYoY (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การคาดการณ์เงินเฟ้อ 5-10 ปี (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีสถานภาพเบื้องต้น UMich ปัจจุบัน (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้น UMich (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อล่วงหน้า 1 ปี UMich (เบื้องต้น) (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีความคาดหวังผู้บริโภค UMich (เบื้องต้น) (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --


ไม่มีข้อมูลที่ตรงกัน
ทัศนคติล่าสุด
ทัศนคติล่าสุด
หัวข้อยอดนิยม
คอลัมนิสต์ยอดนิยม
อัปเดตล่าสุด
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
ดูผลการค้นหาทั้งหมด

ไม่มีข้อมูล
กรุงเทพฯ--10 ม.ค.--รอยเตอร์
ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเยนและยูโรในวันอังคาร ในขณะที่เทรดเดอร์รอดูตัวเลขอัตราเงินเฟ้อของดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ที่รัฐบาลสหรัฐจะรายงานออกมาในวันพฤหัสบดีนี้ เพื่อใช้ในการประเมินว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเริ่มต้นปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงเมื่อใด โดยนักลงทุนคาดว่า ดัชนี CPI ทั่วไปอาจปรับขึ้น 0.2% ในเดือนธ.ค.เมื่อเทียบรายเดือน และอาจปรับขึ้น 3.2% ในเดือนธ.ค.เมื่อเทียบรายปี ทั้งนี้ ถ้าหากสหรัฐรายงานในวันพฤหัสบดีนี้ว่า อัตราเงินเฟ้อยังคงชะลอตัวลงต่อไป ตัวเลขดังกล่าวก็จะช่วยสนับสนุนการคาดการณ์ที่ว่า เฟดอาจจะเริ่มต้นปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 19-20 มี.ค. แต่ถ้าหากสหรัฐรายงานตัวเลขอัตราเงินเฟ้อที่สูงเกินคาด นักลงทุนก็อาจจะปรับลดการคาดการณ์ดังกล่าว โดยในตอนนี้นักลงทุนในตลาดสัญญาล่วงหน้า Fed funds คาดว่า มีโอกาส 64% ที่เฟดจะเริ่มต้นปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนมี.ค. โดยปรับลดลงจากโอกาส 70% ที่เคยคาดไว้เมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อน Eikon source text
ดัชนีดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินอยู่ที่ 102.50 ในช่วงท้ายตลาดวันอังคาร โดยแข็งค่าขึ้นจาก 102.30 ในช่วงท้ายตลาดวันจันทร์ โดยดัชนีดอลลาร์ยังคงอยู่ห่างจากจุดต่ำสุดรอบ 5 เดือนที่ 100.61 ที่เคยทำไว้ในวันที่ 28 ธ.ค.
ดอลลาร์/เยนอยู่ที่ 144.47 เยนในช่วงท้ายตลาดวันอังคาร โดยปรับขึ้นจากระดับปิดตลาดวันจันทร์ที่ 144.22 เยน
ยูโร/ดอลลาร์อยู่ที่ 1.0931 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันอังคาร โดยอ่อนค่าลงจาก 1.0949 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันจันทร์
ดัชนี Nasdaq ปิดขยับขึ้นเล็กน้อยในวันอังคาร แต่ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์และดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐปิดปรับลงในวันอังคาร โดยได้รับแรงกดดันจากการปรับขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ในขณะที่นักลงทุนพยายามประเมินกำหนดเวลาและขนาดการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในปี 2024 ก่อนที่รัฐบาลสหรัฐจะรายงานตัวเลขอัตราเงินเฟ้อของดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) และดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ในช่วงต่อไปในสัปดาห์นี้ โดยในตอนนี้นักลงทุนคาดว่า มีโอกาสเพียง 65.7% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างน้อย 0.25% ในการประชุมวันที่ 19-20 มี.ค. โดยปรับลดลงจากโอกาส 79% ที่เคยคาดไว้เมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อน และการปรับเปลี่ยนการคาดการณ์ในเรื่องนี้ก็มีส่วนช่วยหนุนให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีปรับขึ้นจากระดับ 4.002% ในช่วงท้ายวันจันทร์ สู่ 4.017% ในช่วงท้ายวันอังคาร หลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยิลด์) พุ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดของวันที่ 4.053% ทั้งนี้ ในบรรดาหุ้น 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐนั้น มีหุ้นเพียง 4 กลุ่มที่ปิดตลาดวันอังคารในแดนบวก โดยดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปิดบวกขึ้น 0.25% และถือเป็นกลุ่มที่ปรับขึ้นมากที่สุดในวันอังคาร ในขณะที่ดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานดิ่งลง 1.63% และถือเป็นกลุ่มที่รูดลงมากที่สุดในวันอังคาร ทางด้านหุ้นบริษัทจูนิเพอร์ เน็ทเวิร์คส์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์เครือข่ายพุ่งขึ้น 21.81% หลังจากแหล่งข่าวกล่าวว่า บริษัทฮิวเลทท์ แพคการ์ด เอ็นเทอร์ไพรส์อยู่ในระหว่างการเจรจาเพื่อเข้าซื้อจูนิเพอร์ในข้อตกลงขนาด 1.3 หมื่นล้านดอลลาร์ แต่หุ้นฮิวเลทท์ แพคการ์ด เอ็นเทอร์ไพรส์ดิ่งลง 8.9% Eikon source text
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดปรับลง 0.42% สู่ 37,525.16
ดัชนี S&P 500 ปิดขยับลง 0.15 % สู่ 4,756.50
ดัชนี Nasdaq ปิดขยับขึ้น 0.09 % สู่ 14,857.71
ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX พุ่งขึ้นในวันอังคาร หลังจากกองทัพอิสราเอลประกาศว่า การสู้รบกับกลุ่มฮามาสจะยังคงดำเนินต่อไปตลอดทั้งปี 2024 และประกาศดังกล่าวทำให้นักลงทุนกังวลว่า ความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลางอาจจะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นจนส่งผลกระทบต่ออุปทานน้ำมันได้ในอนาคต นอกจากนี้ ราคาน้ำมันดิบยังคงได้รับแรงหนุนเพิ่มเติมจากปัญหาในลิเบียด้วย หลังจากมีการปิดการผลิตน้ำมันที่แหล่งน้ำมันชารารา ซึ่งถือเป็นหนึ่งในแหล่งน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในลิเบีย โดยแหล่งน้ำมันแห่งนี้มีกำลังการผลิตราว 300,000 บาร์เรลต่อวัน โดยบริษัทเนชันแนล ออยล์ คอร์ปอเรชัน (NOC) ของลิเบียได้ประกาศภาวะเหตุสุดวิสัยต่อแหล่งน้ำมันชาราราในวันอาทิตย์ที่ 7 ม.ค. โดยเป็นผลจากการประท้วงในพื้นที่ดังกล่าว ทั้งนี้ หลังจากตลาด NYMEX ปิดทำการในวันอังคาร การปิโตรเลียมสหรัฐ (API) ซึ่งเป็นหน่วยงานของเอกชน ได้เปิดเผยตัวเลขสต็อกน้ำมันสหรัฐประจำสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 5 ม.ค. โดยระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบในคลังสหรัฐดิ่งลง 5.2 ล้านบาร์เรล, สต็อกน้ำมันเบนซินในคลังสหรัฐพุ่งขึ้น 4.9 ล้านบาร์เรล และสต็อกน้ำมัน distillate ในคลังสหรัฐทะยานขึ้น 6.9 ล้านบาร์เรล Eikon source text
ราคาน้ำมันดิบสหรัฐส่งมอบเดือนก.พ.พุ่งขึ้น 1.47 ดอลลาร์ หรือ 2.1% มาปิดตลาดที่ 72.24 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนมี.ค.ที่ตลาดกรุงลอนดอนทะยานขึ้น 1.47 ดอลลาร์ หรือ 1.9% มาปิดตลาดที่ 77.59 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาทองสปอตที่ตลาดสหรัฐขยับขึ้น 1.75 ดอลลาร์ สู่ 2,029.59 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงท้ายตลาดวันอังคาร ในขณะที่นักลงทุนยังคงใช้ความระมัดระวังในการลงทุน ก่อนที่รัฐบาลสหรัฐจะรายงานตัวเลขอัตราเงินเฟ้อของดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) และดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ในช่วงต่อไปในสัปดาห์นี้ ทั้งนี้ นายจิม วิคคอฟ นักวิเคราะห์ของบริษัทคิทโค เมทัลส์กล่าวว่า ถ้าหากอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐอยู่ในระดับที่สูงเกินคาด ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ก็จะไม่สามารถปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงได้ในเร็ว ๆ นี้ และปัจจัยดังกล่าวจะส่งผลลบต่อราคาทองและโลหะเงิน Eikon source text
--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
วอชิงตัน--25 ธ.ค.--รอยเตอร์
สำนักงานสำมะโนประชากรในกระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานในวันศุกร์ว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนในสหรัฐพุ่งขึ้นในเดือนพ.ย. โดยได้รับแรงหนุนจากยอดสั่งซื้อเครื่องบิน แต่ยอดลงทุนทางอุปกรณ์ในภาคธุรกิจอยู่ในภาวะเฉื่อยชา โดยได้รับแรงกดดันจากอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูง ทั้งนี้ ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน หรือสินค้าที่สามารถใช้งานได้นานตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป พุ่งขึ้น 5.4% ในเดือนพ.ย.เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากดิ่งลง 5.1% ในเดือนต.ค.เมื่อเทียบรายเดือน และอยู่สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ในโพลล์รอยเตอร์ที่ +2.2% ในเดือนพ.ย.เมื่อเทียบรายเดือน ส่วนยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนแบบเทียบรายปีพุ่งขึ้น 4.5% ในเดือนพ.ย.ปีนี้เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันในปีก่อน
ภาคการผลิตครองสัดส่วนราว 10.3% ของขนาดเศรษฐกิจสหรัฐ และกิจกรรมในภาคการผลิตก็มีแนวโน้มว่าจะยังคงอยู่ในภาวะเฉื่อยชาต่อไป โดยได้รับแรงกดดันจากการที่ภาคธุรกิจชะลอการปรับเพิ่มสต็อกสินค้าคงคลัง เนื่องจากภาคธุรกิจคาดว่าความต้องการซื้อสินค้าจะอ่อนแอลง ถึงแม้มีแนวโน้มว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในปีหน้า
ยอดสั่งซื้ออุปกรณ์การขนส่งดีดขึ้น 15.3% ในเดือนพ.ย.เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากดิ่งลง 13.4% ในเดือนต.ค. โดยยอดสั่งซื้อยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ดีดขึ้น 2.8% ในเดือนพ.ย. ในขณะที่คนงานโรงงานรถยนต์ในสหภาพยูไนเต็ด ออโต เวิร์คเกอร์ส (UAW) ยุติการผละงานประท้วง ทางด้านยอดสั่งซื้อเครื่องบินพลเรือนพุ่งขึ้น 80.1% ในเดือนพ.ย. โดยได้รับแรงหนุนจากรายงานที่ว่า บริษัทโบอิ้งได้รับยอดสั่งซื้อเครื่องบินพลเรือน 114 ลำในเดือนพ.ย. ซึ่งครอบคลุมยอดสั่งซื้อเครื่องบินรุ่น 777X ที่มีราคาแพงเป็นจำนวน 90 ลำ หลังจากที่โบอิ้งเคยได้รับยอดสั่งซื้อเครื่องบินจำนวน 123 ลำในเดือนต.ค. ทั้งนี้ ยอดสั่งซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าพุ่งขึ้น 1.3% ในเดือนพ.ย.เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากดิ่งลง 2.4% ในเดือนต.ค., ยอดสั่งซื้อโลหะปฐมภูมิดีดขึ้น 0.6% ในเดือนพ.ย. หลังจากร่วงลง 0.5% ในเดือนต.ค., ยอดสั่งซื้อเครื่องจักรปรับขึ้น 0.3% ในเดือนพ.ย. หลังจากปรับลง 0.8% ในเดือนต.ค. และยอดสั่งซื้อคอมพิวเตอร์กับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ปรับขึ้น 0.3% ในเดือนพ.ย. หลังจากขยับลง 0.1% ในเดือนต.ค.
ยอดสั่งซื้อสินค้าทุนยกเว้นอาวุธและเครื่องบิน หรือยอดสั่งซื้อสินค้าทุนพื้นฐาน ซึ่งถือเป็นมาตรวัดแผนการลงทุนในภาคธุรกิจ ดีดขึ้น 0.8% ในเดือนพ.ย. หลังจากร่วงลง 0.6% ในเดือนต.ค. ส่วนยอดขนส่งสินค้าทุนพื้นฐานขยับลง 0.1% ในเดือนพ.ย. หลังจากขยับลง 0.1% ในเดือนต.ค. ทางด้านยอดขนส่งสินค้าทุนยกเว้นอาวุธปรับขึ้น 0.5% ในเดือนพ.ย. หลังจากปรับลง 0.3% ในเดือนต.ค.
มหาวิทยาลัยมิชิแกนรายงานในวันศุกร์ว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐพุ่งขึ้นสู่ 69.7 ในเดือนธ.ค. จาก 61.3 ในเดือนพ.ย. และอยู่สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ 69.4 สำหรับเดือนธ.ค. โดยดัชนีสถานการณ์ปัจจุบันทะยานขึ้นจาก 68.3 ในเดือนพ.ย. สู่ 73.3 ในเดือนธ.ค. และดัชนีการคาดการณ์ล่วงหน้าของผู้บริโภคพุ่งขึ้นจาก 56.8 ในเดือนพ.ย. สู่ 67.4 ในเดือนธ.ค. ทังนี้ ดัชนีการคาดการณ์เงินเฟ้อสำหรับช่วง 1 ปีข้างหน้าของผู้บริโภคสหรัฐอยู่ที่ 3.1% ในเดือนธ.ค. โดยชะลอตัวลงเป็นอย่างมากจากระดับ 4.5% ในเดือนพ.ย. ส่วนดัชนีการคาดการณ์เงินเฟ้อสำหรับช่วง 5 ปีข้างหน้าอยู่ที่ 2.9% ในเดือนธ.ค. โดยชะลอตัวลงจาก 3.2% ในเดือนพ.ย.--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
14 ธ.ค.--รอยเตอร์
ข้อมูลจากหน่วยงานควบคุมกฎระเบียบและสมาคมตลาดตราสารหนี้ระบุว่า นักลงทุนต่างชาติเข้าซื้อสุทธิตราสารหนี้ของไทย, เกาหลีใต้, อินเดีย, มาเลเซีย และอินโดนีเซียเป็นมูลค่ารวมกัน 6.36 พันล้านดอลลาร์ในเดือนพ.ย. ซึ่งถือเป็นยอดการเข้าซื้อสุทธิรายเดือนที่สูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค. หรือสูงที่สุดในรอบ 6 เดือน โดยได้รับแรงหนุนจากการดิ่งลงอย่างรุนแรงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ และจากการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในอนาคต ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติเข้าซื้อสุทธิตราสารหนี้ไทยเป็นมูลค่า 202 ล้านดอลลาร์ในเดือนพ.ย., เข้าซื้อสุทธิตราสารหนี้อินโดนีเซียเป็นมูลค่า 1.5 พันล้านดอลลาร์ และเข้าซื้อสุทธิตราสารหนี้มาเลเซียเป็นมูลค่า 1.16 พันล้านดอลลาร์
นักลงทุนเริ่มคาดการณ์กันในเดือนพ.ย.ว่า เฟดอาจจะเริ่มต้นปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนมี.ค. 2024 หลังจากเจ้าหน้าที่เฟดปรับลดการแสดงความเห็นแบบสายเหยี่ยว และอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐชะลอตัวลงอย่างรุนแรงเกินคาดในเดือนต.ค. โดยปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีดิ่งลงจากระดับ 5.021% ที่เคยทำไว้ในวันที่ 23 ต.ค. ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2007 หรือจุดสูงสุดรอบ 16 ปี สู่ระดับ 4.350% ในช่วงสิ้นเดือนพ.ย. ทั้งนี้ นายคูน โก๊ะ หัวหน้าฝ่ายวิจัยเอเชียของธนาคาร ANZ กล่าวว่า "เงินลงทุนที่ไหลเข้าสู่สินทรัพย์ของประเทศตลาดเกิดใหม่ในเอเชียมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวขึ้น โดยได้รับแรงหนุนจากปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้น และจากวัฏจักรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐที่สิ้นสุดลง" และเขากล่าวเสริมว่า "ประเทศที่มีเศรษฐกิจแบบพึ่งพาเทคโนโลยี ซึ่งได้แก่เกาหลีใต้และไต้หวัน จะเป็นประเทศที่ได้รับประโยชน์มากที่สุดจากปัจจัยนี้ในระยะใกล้"
ตราสารหนี้อินเดียดึงดูดเงินลงทุนต่างชาติได้ 1.78 พันล้านดอลลาร์ในเดือนพ.ย. ซึ่งถือว่าสูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนส.ค. 2017 โดยยอดเงินลงทุนไหลเข้านี้ได้รับแรงกระตุ้นจากการคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจอินเดียในทางบวก และจากการที่บริษัทเจพี มอร์แกนจะนำตราสารหนี้อินเดียมาบรรจุรวมไว้ในดัชนีตราสารหนี้ตลาดเกิดใหม่ในปีหน้า ทั้งนี้ หลังจากเศรษฐกิจอินเดียเติบโต 7.6% ในไตรมาสเดือนก.ค.-ก.ย. นักเศรษฐศาสตร์บางรายก็คาดว่า เศรษฐกิจอินเดียอาจจะเติบโต 6.7-7.0% ในปีงบประมาณที่จะสิ้นสุดลงในวันที่ 31 มี.ค. 2024
ตราสารหนี้เกาหลีใต้มียอดเงินลงทุนไหลเข้าสุทธิ 1.72 พันล้านดอลลาร์ในเดือนพ.ย. ซึ่งถือเป็นยอดเงินไหลเข้าสุทธิครั้งแรกในรอบ 4 เดือน โดยยอดเงินลงทุนนี้ได้รับแรงหนุนจากยอดส่งออกที่สูงขึ้น และสิ่งนี้ถือเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจของเกาหลีใต้ ทั้งนี้ ยอดส่งออกของเกาหลีใต้พุ่งขึ้นสู่ 5.580 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนพ.ย. โดยพุ่งขึ้น 7.8% เมื่อเทียบรายปี ซึ่งถือเป็นอัตราการเติบโตที่สูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.ค. 2022 และเร่งตัวขึ้นจากอัตราการเติบโตที่ 5.1% ในเดือนต.ค. โดยอัตราการเติบโตของยอดส่งออกในเดือนพ.ย.อยู่สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ในโพลล์รอยเตอร์ที่ +4.7% ด้วย ทางด้านยอดส่งออกชิปของเกาหลีใต้ทะยานขึ้น 12.9% ในเดือนพ.ย. ซึ่งถือเป็นการปรับขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 16 เดือน โดยได้รับแรงหนุนจากการปรับขึ้นของอุปสงค์ในตลาดโลก และสิ่งนี้บ่งชี้ว่าภาวะอุปสงค์เซมิคอนดักเตอร์ตกต่ำอาจจะผ่านพ้นช่วงเลวร้ายที่สุดไปแล้ว
นักลงทุนคาดหวังว่าเศรษฐกิจเอเชียจะฟื้นตัวขึ้น ในขณะที่ยอดส่งออกของประเทศอื่น ๆ ในเอเชียปรับขึ้นในเดือนพ.ย.ด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ ยอดส่งออกของจีนปรับขึ้น 0.5% ในเดือนพ.ย.เมื่อเทียบรายปี หลังจากดิ่งลง 6.4% ในเดือนต.ค. ส่วนยอดส่งออกของไต้หวันทะยานขึ้น 3.8% ในเดือนพ.ย.เมื่อเทียบรายปี--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
กรุงเทพฯ--24 ต.ค.--รอยเตอร์
ดัชนีดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินอ่อนค่าลงในวันจันทร์ ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีร่วงลงจาก 4.924% ในช่วงท้ายวันศุกร์สู่ 4.838% ในช่วงท้ายวันจันทร์ หลังจากพุ่งขึ้นแตะ 5.021% ในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.ค. 2007 หรือจุดสูงสุดรอบ 16 ปี โดยการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยิลด์) จะส่งผลให้ต้นทุนการกู้ยืมพุ่งสูงขึ้น และจะส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอตัวลง ทั้งนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรได้รับแรงหนุนในช่วงนี้จากการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับสูงต่อไปเป็นเวลานาน, จากการปรับเพิ่มอุปทานพันธบัตร และจากส่วนเพิ่มของอัตราผลตอบแทนตามอายุของสินทรัพย์ทางการเงิน (term premia) ที่ขยายกว้างมากยิ่งขึ้น Eikon source text
ดัชนีดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินอยู่ที่ 105.60 ในช่วงท้ายตลาดวันจันทร์ โดยอ่อนค่าลงจาก 106.15 ในช่วงท้ายตลาดวันศุกร์ หลังจากพุ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดของวันที่ 106.33 โดยดัชนีดอลลาร์พุ่งขึ้นมาแล้วกว่า 6% นับตั้งแต่กลางเดือนก.ค. โดยได้รับแรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ อย่างไรก็ดี ดัชนีดอลลาร์แทบไม่ได้ปรับขึ้นนับตั้งแต่ต้นเดือนต.ค.
ดอลลาร์/เยนอยู่ที่ 149.70 เยนในช่วงท้ายตลาดวันจันทร์ โดยปรับลงจากระดับปิดตลาดวันศุกร์ที่ 149.84 เยน หลังจากพุ่งขึ้นแตะ 150.14 เยนในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 3 ต.ค.
ยูโร/ดอลลาร์อยู่ที่ 1.0668 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันจันทร์ โดยแข็งค่าขึ้นจาก 1.0593 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันศุกร์
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์และดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐปรับลง แต่ดัชนี Nasdaq บวกขึ้นในวันจันทร์ ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีพุ่งขึ้นแตะ 5.021% ในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.ค. 2007 หรือจุดสูงสุดรอบ 16 ปี ก่อนจะร่วงลงสู่ 4.838% ในช่วงท้ายวันจันทร์ โดยการร่วงลงของอัตราผลตอบพันธบัตร (บอนด์ยิลด์) ส่งผลบวกต่อหุ้นกลุ่มที่เคลื่อนไหวตามกระแสการลงทุน (โมเมนตัม) และหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี และปัจจัยดังกล่าวช่วยหนุนดัชนี Nasdaq นอกจากนี้ นักลงทุนก็รอดูตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่จะได้รับการรายงานออกมาในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของสหรัฐที่จะได้รับการรายงานออกมาในวันพฤหัสบดี และดัชนีราคาค่าใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ของสหรัฐที่จะได้รับการรายงานออกมาในวันศุกร์ โดยนักลงทุนคาดการณ์ว่า กระทรวงพาณิชย์สหรัฐอาจจะรายงานในวันพฤหัสบดีว่า จีดีพีสหรัฐเติบโต 4.3% ในไตรมาสสาม และสหรัฐอาจจะรายงานในวันศุกร์ว่า ดัชนี PCE ทั่วไปชะลอตัวลงสู่ +3.4% และดัชนี PCE พื้นฐานชะลอตัวลงสู่ +3.7% ทั้งนี้ นักลงทุนรอดูผลประกอบการของบริษัทเกือบ 1 ใน 3 ของดัชนี S&P 500 ที่จะได้รับการรายงานออกมาในสัปดาห์นี้ด้วย ซึ่งรวมถึงผลประกอบการของบริษัทสำคัญหลายแห่ง อย่างเช่น บริษัทไมโครซอฟท์ที่จะรายงานผลประกอบการในวันอังคารที่ 24 ต.ค., แอลฟาเบท ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิลที่จะรายงานผลในวันที่ 24 ต.ค., เมตา แพลตฟอร์มส์ ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของเฟซบุ๊กที่จะรายงานผลในวันพุธที่ 25 ต.ค. และอะเมซอนที่จะรายงานผลในวันพฤหัสบดีที่ 26 ต.ค. ส่วนบริษัทอื่น ๆ ที่จะรายงานผลประกอบการในสัปดาห์นี้รวมถึงบริษัทโคคา-โคล่า, เจเนอรัล มอเตอร์ส (GM) ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์, เมอร์ค ซึ่งเป็นผู้ผลิตยา และยูไนเต็ด พาร์เซล เซอร์วิส (UPS) ซึ่งเป็นผู้ขนส่งพัสดุ โดยขณะนี้มีบริษัท 86 แห่งในดัชนี S&P 500 ที่เปิดเผยผลประกอบการไตรมาสสามออกมาแล้ว และบริษัท 78% ในกลุ่มนี้เปิดเผยผลกำไรที่ดีเกินคาด ทางด้านนักวิเคราะห์คาดว่า บริษัทในดัชนี S&P 500 อาจมีผลกำไรปรับขึ้น 1.2% ในไตรมาสสามเมื่อเทียบรายปี โดยปรับลดลงจากระดับ +1.6% ที่เคยคาดการณ์ไว้เมื่อต้นเดือนนี้ Eikon source text
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดร่วงลง 0.58% สู่ 32,936.41 โดยดัชนีดาวโจนส์ปิดตลาดในแดนลบเป็นวันที่ 4 ติดต่อกัน
ดัชนี S&P 500 ปิดปรับลง 0.17% สู่ 4,217.04 โดยดัชนีปิดตลาดที่ระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 200 วันเป็นวันที่ 2 ติดต่อกัน
ดัชนี Nasdaq ปิดบวกขึ้น 0.27% สู่ 13,018.33
ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX ดิ่งลงในวันจันทร์ ในขณะที่มีการเร่งดำเนินความพยายามทางการทูตในภูมิภาคตะวันออกกลางเพื่อจำกัดขอบเขตความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาส และปัจจัยนี้ช่วยให้นักลงทุนลดความกังวลที่มีต่อปัญหาการขาดตอนของอุปทานน้ำมัน โดยผู้นำของสหภาพยุโรป (อียู) จะเรียกร้องให้มีการหยุดพักความขัดแย้งเพื่อมนุษยธรรมในสัปดาห์นี้ เพื่อที่จะได้มีการจัดส่งความช่วยเหลือให้แก่ชาวปาเลสไตน์ในเขตกาซา ในขณะที่ผู้นำของฝรั่งเศสและเนเธอร์แลนด์จะเดินทางเยือนอิสราเอลในสัปดาห์นี้ ทางด้านขบวนรถจัดส่งความช่วยเหลือได้เดินทางออกจากอียิปต์เข้าสู่เขตฉนวนกาซาแล้วในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา นอกจากนี้ กลุ่มฮามาสก็ได้ประกาศในวันจันทร์ว่า ทางกลุ่มได้ปล่อยตัวประกันสองคนที่เป็นพลเรือนสตรี เพื่อตอบรับต่อความพยายามไกล่เกลี่ยของอียิปต์-กาตาร์ อย่างไรก็ดี อิสราเอลยังคงทิ้งระเบิดในเขตกาซาในวันจันทร์ และดำเนินการโจมตีทางอากาศต่อภาคใต้ของเลบานอนด้วย ทั้งนี้ ประธานาธิบดีโจ ไบเดนของสหรัฐประกาศในสัปดาห์ที่แล้วว่า สหรัฐจะระงับมาตรการคว่ำบาตรเวเนซูเอลา หลังจากรัฐบาลเวเนซูเอลาบรรลุข้อตกลงกับฝ่ายค้าน ทางด้านนายไมเคิล ทราน นักวิเคราะห์ของธนาคาร RBC กล่าวว่า "ความเคลื่อนไหวนี้จะช่วยให้อุปทานน้ำมันเวเนซูเอลาที่ส่งออกสู่ตลาดโลกเพิ่มขึ้น 200,000-300,000 บาร์เรลต่อวัน ซึ่งไม่ใช่ระดับที่จะส่งผลกระทบต่อตลาดได้โดยตรง และเวเนซูเอลาจะยังไม่สามารถปรับเพิ่มปริมาณการส่งออกน้ำมันดังกล่าวได้ในทันที" Eikon source text
ราคาน้ำมันดิบสหรัฐส่งมอบเดือนธ.ค.ดิ่งลง 2.59 ดอลลาร์ หรือ 2.9% มาปิดตลาดวันจันทร์ที่ 85.49 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนธ.ค.ที่ตลาดกรุงลอนดอนรูดลง 2.33 ดอลลาร์ หรือ 2.5% มาปิดตลาดที่ 89.83 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาทองสปอตที่ตลาดสหรัฐปรับลง 8.45 ดอลลาร์ สู่ 1,972.59 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงท้ายตลาดวันจันทร์ หลังจากพุ่งขึ้นแตะ 1,997.09 ดอลลาร์ในวันศุกร์ ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่กลางเดือนพ.ค. ในขณะที่เทรดเดอร์จับตาดูสถานการณ์ในภูมิภาคตะวันออกกลาง และเทรดเดอร์รอดูตัวเลขจีดีพีสหรัฐและดัชนี PCE ของสหรัฐที่จะได้รับการรายงานออกมาในวันพฤหัสบดีและวันศุกร์นี้ ทั้งนี้ นายเดวิด มีเกอร์ ผู้อำนวยการฝ่ายค้าโลหะของบริษัทไฮ ริดจ์ ฟิวเจอร์สกล่าวว่า "ถ้าหากสหรัฐเปิดเผยตัวเลขอัตราเงินเฟ้อที่สูงเกินคาดในวันศุกร์นี้ ตัวเลขดังกล่าวก็จะกระตุ้นความกังวลเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งอาจจะส่งผลให้ราคาทองแสดงปฏิกิริยาอย่างฉับพลันด้วยการร่วงลง แต่หลังจากนั้นราคาทองน่าจะได้รับแรงหนุนจากคำสั่งซื้อทองในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย" Eikon source text
--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
17 ต.ค.--รอยเตอร์
ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมาแล้ว 5.25% นับตั้งแต่เดือนมี.ค. 2022 เป็นต้นมา และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวก็ส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์ในสหรัฐชะลอการปล่อยสินเชื่อ และปรับเพิ่มระดับการถือครองเงินสด หลังจากเกิดวิกฤติภาคธนาคารในเดือนมี.ค.ปีนี้เมื่อมีการสั่งปิดกิจการธนาคารซิลิคอน แวลลีย์ (SVB) ในสหรัฐ ทั้งนี้ ถึงแม้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งล่าสุดสู่ระดับ 5.25-5.50% ในการประชุมวันที่ 25-26 ก.ค. ระบบการเงินในสหรัฐก็ยังคงได้รับผลกระทบจากวัฏจักรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนับตั้งแต่เดือนมี.ค. 2022 เป็นต้นมา และได้รับผลกระทบจากการคาดการณ์ที่ว่า อัตราดอกเบี้ยจะยังคงอยู่ในระดับสูงต่อไปจนถึงปี 2024
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐระยะยาวพุ่งขึ้นมาแล้วราว 1% นับตั้งแต่เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งสุดท้ายในวันที่ 26 ก.ค. และอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยิลด์) ซึ่งเป็นสิ่งที่ปรับตัวสวนทางกับราคาพันธบัตร ก็มีอิทธิพลต่อการกำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์ และต่อความต้องการกู้เงินของลูกค้าธนาคาร ทั้งนี้ เฟดรายงานว่า สินเชื่อของธนาคารพาณิชย์โดยรวมในสหรัฐหดตัวลงในไตรมาส 3 เมื่อเทียบรายปี ซึ่งถือเป็นการหดตัวเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 10 ปี โดยได้รับแรงกดดันจากการดิ่งลงของมูลค่าพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ เพราะว่าการดิ่งลงของมูลค่าพันธบัตรรัฐบาลสร้างความเสียหายต่อมูลค่าของหลักทรัพย์ที่ได้รับการค้ำประกันจากสัญญาจำนอง (MBS) ที่ธนาคารพาณิชย์ถือครองไว้ในวงกว้าง
สินเชื่อธนาคารโดยรวมในสหรัฐอยู่ที่ 17.26 ล้านล้านดอลลาร์ในวันที่ 27 ก.ย. ซึ่งถือเป็นวันพุธสุดท้ายของเดือนก.ย. โดยร่วงลงจาก 17.30 ล้านล้านดอลลาร์ในวันพุธสุดท้ายของเดือนมิ.ย. และร่วงลงจาก 17.33 ล้านล้านดอลลาร์เมื่อ 1 ปีก่อน ทั้งนี้ สินเชื่อสำหรับอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัยและสินเชื่อสำหรับอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ยังคงพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในไตรมาส 3 แต่ปรับขึ้นในอัตราไม่ถึง 8% จากไตรมาสเดียวกันในปีก่อน หลังจากที่เคยพุ่งขึ้นสูงกว่า 10% ในไตรมาส 2 เมื่อเทียบรายปี ทางด้านสินเชื่อเชิงพาณิชย์และสินเชื่ออุตสาหกรรมร่วงลงในไตรมาส 3/2023 เป็นไตรมาสที่สองติดต่อกัน โดยสินเชื่อกลุ่มนี้เคยพุ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดในวันที่ 15 มี.ค.หลังจากธนาคาร SVB ล้ม และยอดสินเชื่อนี้อยู่ที่ระดับ 2.78 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงสิ้นเดือนมิ.ย. ก่อนจะร่วงลงสู่ 2.75 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงสิ้นเดือนก.ย. ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดรอบ 11 เดือน
ธนาคารพาณิชย์ได้ปรับเพิ่มการถือครองเงินสดในช่วงที่ผ่านมา โดยธนาคารที่ใหญ่ที่สุด 25 แห่งของสหรัฐได้ปรับเพิ่มปริมาณการถือครองเงินสดขึ้นสูงมากในไตรมาส 3 ทางด้านปริมาณเงินฝากในธนาคารพาณิชย์ได้เข้าสู่เสถียรภาพในไตรมาสล่าสุด และอยู่ที่ระดับ 17.29 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงนี้ หลังจากปริมาณเงินฝากเคยดิ่งลงอย่างรุนแรงหลังจากธนาคาร SVB ล้มในวันที่ 10 มี.ค.และเกิดวิกฤติภาคธนาคารในช่วงนั้น
ปริมาณเงินฝากในธนาคารสหรัฐโดยรวมดิ่งลงมาแล้วราว 7% จากจุดสูงสุดของเดือนเม.ย. 2022 โดยปริมาณเงินฝากในธนาคารขนาดใหญ่ที่สุด 25 แห่งของสหรัฐรูดลงมาแล้วกว่า 8% จากจุดสูงสุดของเดือนเม.ย. 2022 แต่ปริมาณเงินฝากในธนาคารขนาดเล็กปรับลดลงเพียงราว 2% จากเดือนเม.ย. 2022 หลังจากปริมาณเงินฝากในธนาคารขนาดเล็กเคยดิ่งลงอย่างรุนแรงเมื่อเกิดวิกฤติภาคธนาคารในเดือนมี.ค.ปีนี้ แต่ฟื้นตัวขึ้นมาได้อย่างรวดเร็วในช่วงหลังจากนั้น ทางด้านปริมาณเงินฝากในธนาคารต่างชาติในสหรัฐฟื้นตัวขึ้นได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
กรุงเทพฯ--16 ต.ค.--รอยเตอร์
ดัชนีดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินแข็งค่าขึ้นแตะจุดสูงสุดรอบ 1 สัปดาห์ในระหว่างช่วงการซื้อขายวันศุกร์ โดยปรับขึ้นต่อเนื่องจากวันพฤหัสบดี หลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานในวันพฤหัสบดีว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ปรับขึ้น 0.4% ในเดือนก.ย.เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากปรับขึ้น 0.6% ในเดือนส.ค. ซึ่งถือเป็นการพุ่งขึ้นครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 14 เดือน ส่วนดัชนี CPI แบบเทียบรายปีปรับขึ้น 3.7% ในเดือนก.ย. หลังจากปรับขึ้น 3.7% ในเดือนส.ค.เมื่อเทียบรายปี โดยก่อนหน้านี้นักเศรษฐศาสตร์ในโพลล์รอยเตอร์คาดว่า ดัชนี CPI อาจปรับขึ้นเพียง 0.3% ในเดือนก.ย.เมื่อเทียบรายเดือน และปรับขึ้น 3.6% เมื่อเทียบรายปี ทั้งนี้ ก่อนหน้านั้นกระทรวงแรงงานสหรัฐได้รายงานในวันพุธว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ทั่วไปปรับขึ้น 0.5% ในเดือนก.ย.เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ +0.3% หลังจากปรับขึ้น 0.7% ในเดือนส.ค. ส่วนดัชนี PPI ทั่วไปแบบเทียบรายปีปรับขึ้น 2.2% ในเดือนก.ย. โดยเร่งตัวขึ้นจาก +2.0% ในเดือนส.ค.เมื่อเทียบรายปี Eikon source text
ดัชนีดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินอยู่ที่ 106.65 ในช่วงท้ายตลาดวันศุกร์ โดยแข็งค่าขึ้นจาก 106.55 ในช่วงท้ายตลาดวันพฤหัสบดี หลังจากปรับขึ้นแตะจุดสูงสุดรอบ 1 สัปดาห์ที่ 106.79 ในระหว่างวัน โดยดัชนีดอลลาร์เพิ่งพุ่งขึ้น 0.8% ในวันพฤหัสบดี ซึ่งถือเป็นการพุ่งขึ้นรายวันครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 15 มี.ค. และดัชนีดอลลาร์ปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการปรับขึ้นราว 0.5% จากสัปดาห์ที่แล้ว
ดอลลาร์/เยนอยู่ที่ 149.55 เยนในช่วงท้ายตลาดวันศุกร์ โดยอ่อนค่าลงจากระดับปิดตลาดวันพฤหัสบดีที่ 149.80 เยน
ยูโร/ดอลลาร์อยู่ที่ 1.0509 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันศุกร์ โดยปรับลงจาก 1.0526 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันพฤหัสบดี
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวกขึ้นเล็กน้อยในวันศุกร์ แต่ดัชนี S&P 500 และ Nasdaq ของตลาดหุ้นสหรัฐปิดปรับลงในวันศุกร์ โดยได้รับแรงกดดันจากรายงานของมหาวิทยาลัยมิชิแกนที่ระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐอยู่ที่ 63.0 ในเดือนต.ค. โดยดิ่งลงจาก 68.1 ในเดือนก.ย. และอยู่ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ในโพลล์รอยเตอร์ที่ 67.2 สำหรับเดือนต.ค. นอกจากนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐก็ได้รับแรงกดดันจากความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลางด้วย ในขณะที่อิสราเอลประกาศว่า อิสราเอลได้บุกเข้าไปในเขตฉนวนกาซา ซึ่งถือเป็นการประกาศเรื่องปฏิบัติการภาคพื้นดินของอิสราเอลเป็นครั้งแรกหลังจากกลุ่มนักรบฮามาสก่อเหตุรุนแรงในอิสราเอลในวันเสาร์ที่ 7 ต.ค. ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานของสหรัฐพุ่งขึ้น 2.3% ในวันศุกร์ โดยได้รับแรงหนุนจากการทะยานขึ้นของราคาน้ำมัน และส่งผลให้ดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานถือเป็นกลุ่มที่พุ่งขึ้นมากที่สุดในบรรดาดัชนีหุ้น 11 กลุ่มใหญ่ของสหรัฐ ทางด้านดัชนีหุ้นกลุ่มปลอดภัยทะยานขึ้นด้วยเช่นกัน โดยดัชนีหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคพุ่งขึ้น 1% และดัชนีหุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นบวกขึ้น 0.8% นอกจากนี้ ดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารของสหรัฐก็ปิดบวกขึ้น 0.6% ในวันศุกร์ หลังจากทะยานขึ้น 3.4% จนแตะจุดสูงสุดรอบ 3 สัปดาห์ได้ในระหว่างวัน ในขณะที่หุ้นธนาคารเจพีมอร์แกน เชสพุ่งขึ้น 1.5% และหุ้นธนาคารเวลส์ ฟาร์โกทะยานขึ้น 3% หลังจากธนาคารทั้งสองแห่งนี้เปิดเผยผลประกอบการรายไตรมาสที่ดีเกินคาด โดยได้รับแรงหนุนจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น อย่างไรก็ดี หุ้นธนาคารซิตี้กรุ๊ปปิดปรับลง 0.2% Eikon source text
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดขยับขึ้น 0.12% สู่ 33,670.29 ในวันศุกร์ และปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการบวกขึ้น 0.79% จากสัปดาห์ที่แล้ว
ดัชนี S&P 500 ปิดปรับลง 0.50% สู่ 4,327.78 ในวันศุกร์ แต่ปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการบวกขึ้น 0.45% จากสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งถือเป็นการปิดตลาดรายสัปดาห์ในแดนบวกเป็นสัปดาห์ที่ 2 ติดต่อกัน
ดัชนี Nasdaq ปิดดิ่งลง 1.23% สู่ 13,407.23 ในวันศุกร์ และปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการขยับลง 0.18% จากสัปดาห์ที่แล้ว
ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX พุ่งขึ้นเกือบ 6% ในวันศุกร์ ในขณะที่นักลงทุนปรับตัวรับการคาดการณ์ที่ว่า ความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลางอาจจะขยายวงกว้างออกไป หลังจากอิสราเอลเริ่มต้นการบุกโจมตีภาคพื้นดินในเขตฉนวนกาซา และประกาศให้ประชาชนกว่า 1 ล้านคนอพยพออกจากตอนเหนือของเขตฉนวนกาซาภายในเวลา 24 ชั่วโมง ทางด้านนายจาวาด โอวจิ รมว.น้ำมันอิหร่านกล่าวในวันศุกร์ว่า ราคาน้ำมันอาจจะพุ่งขึ้นแตะ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล โดยเป็นผลจากสถานการณ์ในภูมิภาคตะวันออกกลาง ส่วนนายฮอสเซน อามิราบดอลลาเฮียน รมว.ต่างประเทศของอิหร่านได้หารือกับผู้นำกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ของเลบานอนในวันศุกร์ โดยเป็นการหารือเรื่องความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาส หลังจากกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ได้โจมตีอิสราเอลด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ ราคาน้ำมันได้รับแรงหนุนเพิ่มเติมจากการที่สหรัฐดำเนินมาตรการคว่ำบาตรครั้งแรกในวันพฤหัสบดีต่อเจ้าของเรือขนส่งน้ำมันที่บรรทุกน้ำมันรัสเซียที่ตั้งราคาสูงกว่าระดับเพดานที่กลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำทั้ง 7 หรือจี-7 กำหนดไว้ที่ 60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ทางด้านบริษัทเบเกอร์ ฮิวจ์รายงานในวันศุกร์ว่า จำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐเพิ่มขึ้น 4 แท่น สู่ 501 แท่นในช่วงสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 13 ต.ค. ซึ่งถือเป็นการพุ่งขึ้นครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค. Eikon source text
ราคาน้ำมันดิบสหรัฐส่งมอบเดือนพ.ย.พุ่งขึ้น 4.78 ดอลลาร์ หรือ 5.8% มาปิดตลาดวันศุกร์ที่ 87.69 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งถือเป็นการพุ่งขึ้นรายวันครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. โดยราคาน้ำมันดิบสหรัฐปิดตลาดสัปดาห์ล่าสุดด้วยการทะยานขึ้น 5.9% จากสัปดาห์ก่อนหน้านั้น
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนธ.ค.ที่ตลาดกรุงลอนดอนทะยานขึ้น 4.89 ดอลลาร์ หรือ 5.7% มาปิดตลาดวันศุกร์ที่ 90.89 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งถือเป็นการพุ่งขึ้นรายวันครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. โดยราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปิดตลาดสัปดาห์ล่าสุดด้วยการทะยานขึ้น 7.5% จากสัปดาห์ก่อนหน้านั้น ซึ่งถือเป็นการพุ่งขึ้นรายสัปดาห์ครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.พ.
ราคาทองสปอตที่ตลาดสหรัฐพุ่งขึ้น 63.05 ดอลลาร์ หรือ 3.37% สู่ 1,931.70 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงท้ายตลาดวันศุกร์ และปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการพุ่งขึ้น 5.43% จากสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งถือเป็นการพุ่งขึ้นรายสัปดาห์ครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 7 เดือน ในขณะที่ความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลางกระตุ้นให้นักลงทุนเข้าซื้อทองในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย นอกจากนี้ ราคาทองก็ได้รับแรงหนุนเพิ่มเติมจากการคาดการณ์ที่ว่า วัฏจักรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจสิ้นสุดลงแล้ว ทั้งนี้ นายเอ็ดเวิร์ด โมยา นักวิเคราะห์ตลาดของบริษัท OANDA กล่าวว่า "ถ้าหากความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ก็มีโอกาสสูงที่ราคาทองจะพุ่งขึ้นสู่ 2,000 ดอลลาร์ในปีนี้" Eikon source text
--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
ลอนดอน--4 ต.ค.--รอยเตอร์
ความขัดแย้งระหว่างจีนกับชาติตะวันตกทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นในช่วงนี้ ซึ่งรวมถึงการดำเนินมาตรการด้านภาษีศุลกากรโต้ตอบกัน, การแข่งขันกันในทางเทคโนโลยี และข้อกล่าวหาเรื่องการสอดแนม ในขณะที่รัฐบาลจีนกับรัฐบาลสหรัฐต่างก็ตั้งใจที่จะลดการพึ่งพาอีกประเทศหนึ่ง ซึ่งจะส่งผลกระทบเป็นอย่างมากต่อห่วงโซ่อุปทาน และจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกเป็นอย่างมากด้วย ทางด้านนักวิเคราะห์ได้ระบุถึงผลกระทบที่ตลาดโลกอาจจะได้รับความขัดแย้งระหว่างจีนกับชาติตะวันตกดังต่อไปนี้
ผลกระทบแรกคือผลกระทบด้านเงินเฟ้อ ในขณะที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดนของสหรัฐตั้งใจที่จะโยกย้ายฐานการผลิตสินค้าที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์กลับเข้ามาในสหรัฐ ซึ่งรวมถึงรถยนต์ไฟฟ้าและเซมิคอนดักเตอร์ ทางด้านบริษัทไต้หวัน เซมิคอนดักเตอร์ แมนูแฟคเจอริง โค (TSMC) ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปรายใหญ่ที่สุดในโลก กำลังจะโยกย้ายการผลิตบางส่วนไปยังประเทศเยอรมนี เพื่อจะได้ตอบรับต่อความต้องการของบริษัทข้ามชาติหลายแห่งที่ต้องการจะกระจายห่วงโซ่อุปทานออ กจากจีน อย่างไรก็ดี ผลการวิจัยของธนาคารโกลด์แมน แซคส์พบว่า การโยกย้ายฐานการผลิตออกจากจีนอาจจะส่งผลกระทบต่อภาวะเงินเฟ้อได้ ในขณะที่นักยุทธศาสตร์การลงทุนของบริษัทนอร์ทเธิร์น ทรัสต์ระบุว่า กระแสโลกาภิวัฒน์ในช่วงที่ผ่านมาเคยช่วยให้การผลิตมีประสิทธิภาพสูงและมีต้นทุนต่ำ ดังนั้นการโยกย้ายฐานการผลิตกลับประเทศจะส่งผลให้ต้นทุนเพิ่มสูงขึ้น
ผลกระทบที่ 2 คือการที่ประเทศที่เป็นมิตรกับสหรัฐจะได้รับประโยชน์จากนโยบาย friendshoring ของรัฐบาลสหรัฐ หรือนโยบายที่จะให้ประเทศเหล่านี้เข้ามาแทนที่จีนในห่วงโซ่อุปทาน โดยผลการวิจัยของวิทยาลัยธุรกิจฮาร์วาร์ดระบุว่า เวียดนามและเม็กซิโกเป็นสองประเทศหลักที่ได้รับประโยชน์จากนโยบายโยกย้ายห่วงโซ่อุปทานของสหรัฐในช่วงที่ผ่านมา นอกจากนี้ ฟิลิปปินส์ก็พยายามดึงดูดการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของสหรัฐ ในขณะที่มองโกเลียพยายามชักจูงให้สหรัฐเข้ามาลงทุนในการทำเหมืองแร่หายาก ซึ่งเป็นวัสดุที่ใช้ในโทรศัพท์สมาร์ตโฟนและอุปกรณ์ไฮเทคอื่น ๆ ทั้งนี้ สัดส่วนของจีนในยอดนำเข้าของสหรัฐได้ปรับลดลงเป็นอย่างมากในช่วงระหว่างปี 2017-2022 ในขณะที่ประเทศอื่น ๆ ครองสัดส่วนเพิ่มมากขึ้นในยอดนำเข้าของสหรัฐในช่วงเวลาเดียวกัน โดยประเทศกลุ่มนี้รวมถึงเวียดนาม, อินเดีย, แคนาดา, เกาหลีใต้, ไทย, เม็กซิโก, ไอร์แลนด์ และมาเลเซีย
ผลกระทบที่ 3 คือเงินลงทุนที่อาจจะหลั่งไหลเข้าสู่อินเดีย ในขณะที่มีการประเมินกันว่า อินเดียถือเป็นประเทศที่มีความสามารถมากที่สุดในการแข่งขันกับจีนในด้านการผลิตขนาดใหญ่โดยใช้ต้นทุนต่ำ โดยอินเดียมีประชากรจำนวนมาก, มีประชากรอายุน้อยจำนวนมาก และมีการเติบโตของชนชั้นกลางด้วย และปัจจัยเหล่านี้จะช่วยดึงดูดบริษัทข้ามชาติด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ บริษัทเจพีมอร์แกนก็วางแผนที่จะบรรจุอินเดียเข้าไว้ในดัชนีพันธบัตรรัฐบาลสำคัญในปีหน้าด้วย และปัจจัยดังกล่าวจะช่วยกระตุ้นให้มีเงินลงทุนหลั่งไหลเข้าสู่ตลาดพันธบัตรอินเดีย ทั้งนี้ ตลาดหุ้นอินเดียพุ่งขึ้นมาแล้ว 8% จากช่วงต้นปีนี้ ในขณะที่ธนาคารกลางอินเดียคาดว่า เศรษฐกิจอินเดียอาจจะขยายตัว 6.5% ในปีงบประมาณปัจจุบัน แต่เศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มเติบโตเพียงราว 5% ในปีนี้ ทางด้านธนาคารบาร์เคลย์สคาดว่า ถ้าหากเศรษฐกิจอินเดียเติบโตราว 8% ต่อปีในช่วง 5 ปีข้างหน้า อินเดียก็อาจจะกลายเป็นประเทศที่ส่งแรงบวกมากที่สุดต่ออัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลก
ผลกระทบที่ 4 คือผลกระทบที่จะมีต่อธุรกิจต่าง ๆ โดยเฉพาะธุรกิจชิปและสินค้าหรูหรา ในขณะที่สหภาพยุโรป (อียู) กำลังสอบสวนว่า อียูควรจะจัดเก็บภาษีศุลกากรเพื่อลงโทษรถยนต์ไฟฟ้าที่นำเข้าจากจีนหรือไม่ เนื่องจากอียูมองว่ารถยนต์ไฟฟ้าที่นำเข้าจากจีนได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลมากเกินไป ทางด้านหุ้นบริษัทแอปเปิลของสหรัฐเพิ่งดิ่งลงกว่า 6% ในเวลาเพียง 2 วันในช่วงต้นเดือนก.ย. หลังจากมีข่าวว่ารัฐบาลจีนห้ามลูกจ้างของรัฐบาลใช้โทรศัพท์ไอโฟน ทั้งนี้ ธุรกิจสินค้าหรูหราได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งด้วยเช่นกัน เนื่องจากจีนครองส่วนแบ่งใหญ่ในตลาดสินค้าหรูหราทั่วโลก โดยหุ้นกลุ่มสินค้าหรูหราของยุโรปดิ่งลง 16% ในไตรมาส 3 โดยได้รับแรงกดดันจากความขัดแย้งระหว่างจีนกับชาติตะวันตก และจากภาวะเศรษฐกิจจีนที่ซบเซา
ผลกระทบที่ 5 คือความเป็นไปได้ที่จะมีการเทขายหุ้นจีน ในขณะที่ตลาดหุ้นจีนได้รับแรงกดดันอยู่แล้วจากความอ่อนแอทางเศรษฐกิจและจากวิกฤติภาคอสังหาริมทรัพย์ และอาจจะได้รับแรงกดดันเพิ่มเติมจากความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศด้วย--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
เครื่องมือออกแบบโปสเตอร์
โครงการพันธมิตร
ความเสี่ยงของการสูญเสียในการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น หุ้น FX สินค้าโภคภัณฑ์ ฟิวเจอร์ส พันธบัตร ETFs หรือเงินดิจิทัลอาจมีมาก คุณอาจสูญเสียเงินทุนทั้งหมดที่คุณฝากไว้กับโบรกเกอร์ของคุณ ดังนั้น คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบว่าการซื้อขายดังกล่าวเหมาะสมกับคุณหรือไม่ในสถานการณ์และทรัพยากรทางการเงินของคุณ
ไม่ควรตัดสินใจลงทุนโดยไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบสถานะอย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วยตัวเองหรือปรึกษากับที่ปรึกษาทางการเงินของคุณ เนื้อหาเว็บของเราอาจไม่เหมาะกับคุณเนื่องจากเราไม่ทราบเงื่อนไขทางการเงินและความต้องการในการลงทุนของคุณ ข้อมูลทางการเงินของเราอาจมีความล่าช้าหรือมีความไม่ถูกต้อง ดังนั้นคุณควรรับผิดชอบอย่างเต็มที่ต่อการตัดสินใจซื้อขายและการลงทุนของคุณ บริษัทจะไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียเงินทุนของคุณ
หากไม่ได้รับอนุญาตจากเว็บไซต์ คุณจะไม่สามารถคัดลอกกราฟิก ข้อความ หรือเครื่องหมายการค้าของเว็บไซต์ได้ สิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาในเนื้อหาหรือข้อมูลที่รวมอยู่ในเว็บไซต์นี้เป็นของผู้ให้บริการและผู้ค้าแลกเปลี่ยน
ไม่ได้ล็อกอิน
เข้าสู่ระบบเพื่อเข้าถึงฟังก์ชั่นเพิ่มเติม

สมาชิก FastBull
ยังไม่ได้เปิด
สมัคร
เข้าสู่ระบบ
ลงทะเบียน