ตลาด
ข่าวสาร
การวิเคราะห์
ผู้ใช้
24x7
ปฏิทินเศรษฐกิจ
แหล่งเรียนรู้
ข้อมูล
- ชื่อ
- ค่าล่าสุด
- ครั้งก่อน












สัญญาณ VIP
ทั้งหมด
ทั้งหมด



สหราชอาณาจักร ดัชนีราคาที่อยู่อาศัย Halifax YoY (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส บัญชีเดินสะพัด (Not SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส ดุลการค้า (SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส การผลิตภาคอุตสาหกรรม MoM(SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
อิตาลี ดัชนียอดค้าปลีก MoM (SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงาน YoY (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน GDP Final YoY (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน GDP Final QoQ (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงาน QoQ (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงานสุดท้าย (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
บราซิล PPI MoM (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
เม็กซิโก ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา อัตราการว่างงาน (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา อัตราการมีส่วนร่วมในการจ้างงาน (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงาน (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงานนอกเวลา (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงานเต็มเวลา (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา รายได้ส่วนบุคคล MoM (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคา PCE YoY (SA) (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคา PCE MoM (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา รายจ่ายส่วนบุคคล MoM(SA) (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาPCEหลักMoM (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาPCEหลักYoY (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา เงินเฟ้อเบื้องต้น UMich 5-YearYoY (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ค่าใช้จ่ายการบริโภคส่วนบุคคลที่จริง MoM (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การคาดการณ์เงินเฟ้อ 5-10 ปี (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีสถานภาพเบื้องต้น UMich ปัจจุบัน (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้น UMich (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อล่วงหน้า 1 ปี UMich (เบื้องต้น) (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีความคาดหวังผู้บริโภค UMich (เบื้องต้น) (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ปริมาณเครื่องเจาะทั้งหมดรายสัปดาห์--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ปริมาณเครื่องเจาะน้ำมันทั้งหมดรายสัปดาห์--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา สินเชื่ออุปโภคบริโภค (SA) (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ เงินตราที่ใช้เป็นทุนสำรอง (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ปริมาณการส่งออก YoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การนำเข้า YoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การนำเข้าYoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การนำเข้า (CNH) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ดุลการค้า (CNH) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การส่งออก (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น ค่าจ้าง MoM (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น ดุลการค้า (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น GDP Nominal แก้ไขQoQ (ไตรมาส 3)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น ดุลการค้า (SA)(ข้อมูลศุลกากร) (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น GDP ประจำปี (แก้ไข) QoQ (ไตรมาส 3)--
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ปริมาณการส่งออก YoY (CNH) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ดุลการค้า (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
เยอรมนี การผลิตภาคอุตสาหกรรม MoM(SA) (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน Sentix (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา อินดิเคเตอร์ชั้นนำ MoM (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา ดัชนีความเชื่อมั่นเศรษฐกิจแห่งชาติ--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาธนาคารกลางรัฐดัลลาส สหรัฐอเมริกา PCE YoY (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา อัตราผลตอบแทนการประมูลพันธบัตรรัฐบาล 3-ปี--
ค: --
ค: --
สหราชอาณาจักร ดัชนียอดค้าปลีกรวม BRC YoY (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
สหราชอาณาจักร ดัชนียอดค้าปลีก Like-For-Like BRC YoY (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
ออสเตรเลีย อัตราหลัก(ดอกเบี้ยเงินกู้)O/N--
ค: --
ค: --
คำแถลงอัตราของธนาคารกลางออสเตรเลีย
ประธานธนาคารกลางออสเตรเลีย Bullock จัดงานแถลงข่าวนโยบายการเงิน
เยอรมนี อัตราการส่งออก MoM (SA) (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีความเชื่อมั่นของธุรกิจขนาดเล็ก NFIB (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
เม็กซิโก CPI หลัก YoY (พ.ย.)--
ค: --
ค: --


ไม่มีข้อมูลที่ตรงกัน
ทัศนคติล่าสุด
ทัศนคติล่าสุด
หัวข้อยอดนิยม
คอลัมนิสต์ยอดนิยม
อัปเดตล่าสุด
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
ดูผลการค้นหาทั้งหมด

ไม่มีข้อมูล
กรุงเทพฯ--10 ต.ค.--รอยเตอร์
ยูโร/ดอลลาร์อ่อนค่าลงในวันจันทร์ ในขณะที่การสู้รบกันระหว่างกองทัพอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสของปาเลสไตน์ทำให้นักลงทุนกังวลว่า ปัญหาความขัดแย้งอาจจะลุกลามออกจากเขตกาซา อย่างไรก็ดี ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินสำคัญอื่น ๆ ซึ่งรวมถึงอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเยน, ปอนด์, ดอลลาร์แคนาดา, ดอลลาร์ออสเตรเลีย, ดอลลาร์นิวซีแลนด์, โครนนอร์เวย์ และโครนาสวีเดน ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮูของอิสราเอลประกาศว่า การตอบโต้ของอิสราเอลต่อกลุ่มนักรบฮามาสจากเขตฉนวนกาซาจะ "เปลี่ยนแปลงภูมิภาคตะวันออกกลาง" ในขณะที่อิสราเอลเรียกตัวทหารกองหนุน 300,000 นาย และปิดล้อมเขตฉนวนกาซาทั้งหมด ซึ่งถือเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าอิสราเอลอาจจะเข้าโจมตีทางภาคพื้นดิน เพื่อตอบโต้ต่อการโจมตีของกลุ่มฮามาสในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา Eikon source text
ดัชนีดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินอยู่ที่ 105.96 ในช่วงท้ายตลาดวันจันทร์ โดยปรับลงจาก 106.09 ในช่วงท้ายตลาดวันศุกร์ โดยก่อนหน้านี้ดัชนีดอลลาร์เพิ่งปิดตลาดสัปดาห์ที่แล้วในแดนลบ หลังจากปิดตลาดรายสัปดาห์ในแดนบวกมานานติดต่อกัน 11 สัปดาห์
ดอลลาร์/เยนอยู่ที่ 148.50 เยนในช่วงท้ายตลาดวันจันทร์ โดยร่วงลงจากระดับปิดตลาดวันศุกร์ที่ 149.32 เยน
ยูโร/ดอลลาร์อยู่ที่ 1.0565 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันจันทร์ โดยอ่อนค่าลงจาก 1.0586 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันศุกร์
ตลาดหุ้นสหรัฐบวกขึ้นในวันจันทร์ โดยได้รับแรงหนุนจากดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานของสหรัฐที่พุ่งขึ้น 3.5% ตามการทะยานขึ้นของราคาน้ำมัน ซึ่งส่งผลให้ดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานถือเป็นดัชนีหุ้นกลุ่มใหญ่ที่พุ่งขึ้นมากที่สุดในสหรัฐในวันจันทร์ ในขณะที่นักลงทุนปรับตัวรับข่าวเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสของปาเลสไตน์ ซึ่งรวมถึงข่าวที่ว่าอิสราเอลเรียกตัวทหารกองหนุน 300,000 นาย และปิดล้อมเขตฉนวนกาซาทั้งหมด ซึ่งถือเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าอิสราเอลอาจจะเข้าโจมตีทางภาคพื้นดิน เพื่อตอบโต้ต่อการโจมตีของกลุ่มฮามาสในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี มีข่าวออกมาในช่วงบ่ายว่า เจ้าหน้าที่ระดับสูงคนหนึ่งของกลุ่มฮามาสกล่าวว่า ทางกลุ่มเปิดโอกาสสำหรับการเจรจาเรื่องการพักรบกับอิสราเอล ส่วนประธานาธิบดีโจ ไบเดนของสหรัฐกล่าวว่า เขาได้สั่งให้ทีมงานของเขาประสานงานกับพันธมิตรในภูมิภาคเพื่อเตือนไม่ให้มีผู้ใดฉกฉวยโอกาสทำประโยชน์จากสถานการณ์นี้ ทั้งนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐได้รับแรงหนุนจากการที่เจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณแบบสายพิราบในช่วงนี้ โดยนายฟิลิป เจฟเฟอร์สัน รองประธานเฟด และลอรี โลแกน ประธานเฟดสาขาดัลลัสส่งสัญญาณในวันจันทร์ว่า การพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐระยะยาวอาจจะส่งผลให้เฟดไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกต่อไป ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยิลด์) มีอิทธิพลโดยตรงต่อต้นทุนการกู้ยืมสำหรับภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ Eikon source text
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวกขึ้น 0.59% สู่ 33,604.65
ดัชนี S&P 500 ปิดปรับขึ้น 0.63% สู่ 4,335.66
ดัชนี Nasdaq ปิดบวกขึ้น 0.39% สู่ 13,484.24
ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX พุ่งขึ้นกว่า 4% ในวันจันทร์ ในขณะที่การสู้รบระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสของปาเลสไตน์ทำให้นักลงทุนกังวลว่า ความขัดแย้งอาจจะขยายวงกว้างออกไป และอาจจะส่งผลลบต่ออุปทานน้ำมันจากภูมิภาคตะวันออกกลาง โดยธนาคารโกลด์แมน แซคส์ระบุว่า ความขัดแย้งในครั้งนี้อาจจะส่งผลลบต่อโอกาสที่อิสราเอลกับซาอุดิอาระเบียจะสามารถปรับความสัมพันธ์ให้เข้าสู่ภาวะปกติ และจะส่งผลลบต่อโอกาสที่ซาอุดิอาระเบียจะปรับเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมันโดยถือเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงเรื่องอิสราเอลด้วย อย่างไรก็ดี โกลด์แมน แซคส์คาดว่าความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสในครั้งนี้จะไม่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อปริมาณสต็อกน้ำมันในคลังในระยะใกล้ ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ระบุว่า ถ้าหากรัฐบาลสหรัฐตัดสินว่าอิหร่านมีส่วนเกี่ยวข้องกับการโจมตีโดยกลุ่มฮามาส สหรัฐก็อาจจะบังคับใช้มาตรการคว่ำบาตรการส่งออกน้ำมันของอิหร่านอย่างเข้มงวดยิ่งขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้อิหร่านชะลอการส่งออกน้ำมันลงในอนาคต หลังจากอิหร่านเพิ่งปรับเพิ่มปริมาณการส่งออกน้ำมันขึ้นเป็นอย่างมากในปีนี้ โดยนายโอเล แฮนเสนจากธนาคารแซกโซกล่าวว่า อิหร่านปรับเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมันขึ้นในระดับใกล้ 600,000 บาร์เรลต่อวันในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา Eikon source text
ราคาน้ำมันดิบสหรัฐส่งมอบเดือนพ.ย.ทะยานขึ้น 3.59 ดอลลาร์ หรือ 4.3% มาปิดตลาดที่ 86.38 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนธ.ค.ที่ตลาดกรุงลอนดอนพุ่งขึ้น 3.57 ดอลลาร์ หรือ 4.2% มาปิดตลาดที่ 88.15 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาทองสปอตที่ตลาดสหรัฐพุ่งขึ้น 28.62 ดอลลาร์ หรือ 1.56% สู่ 1,860.88 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงท้ายตลาดวันจันทร์ หลังจากทะยานขึ้นแตะ 1,863.39 ดอลลาร์ในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 29 ก.ย. หรือจุดสูงสุดรอบ 1 สัปดาห์ โดยราคาทองได้รับแรงหนุนในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย หลังจากเกิดการสู้รบกันระหว่างกองทัพอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสของปาเลสไตน์ และปัจจัยดังกล่าวทำให้นักลงทุนกังวลว่าความขัดแย้งทางการเมืองในภูมิภาคตะวันออกกลางอาจจะขายวงกว้างออกไป ทั้งนี้ นายบ็อบ ฮาเบอร์คอร์น นักยุทธศาสตร์การลงทุนตลาดในบริษัทอาร์เจโอ ฟิวเจอร์สกล่าวว่า ถ้าหากสถานการณ์ในภูมิภาคตะวันออกกลางทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ราคาทองก็อาจจะพุ่งขึ้นเข้าใกล้ระดับ 1,900 ดอลลาร์ Eikon source text
--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--14 ก.ค.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดบวกขึ้นในวันพฤหัสบดี โดยดัชนี Nasdaq พุ่งขึ้นกว่า 1% เป็นวันที่ 2 ติดต่อกัน หลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานในวันพฤหัสบดีว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ของสหรัฐขยับขึ้น 0.1% ในเดือนมิ.ย.เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากร่วงลง 0.4% ในเดือนพ.ค. ส่วนดัชนี PPI แบบเทียบรายปีขยับขึ้น 0.1% ในเดือนมิ.ย. ซึ่งถือเป็นการขยับขึ้นที่น้อยที่สุดนับตั้งแต่เดือนส.ค. 2020 เป็นต้นมา หรือน้อยที่สุดในรอบเกือบ 3 ปี หลังจากปรับขึ้น 0.9% ในเดือนพ.ค.เมื่อเทียบรายปี ทั้งนี้ รายงาน PPI ถือเป็นหลักฐานอีกชิ้นหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่า แรงกดดันเงินเฟ้อในสหรัฐกำลังปรับลดลง หลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานในวันพุธว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ทั่วไปแบบเทียบรายปีปรับขึ้น 3.0% ในเดือนมิ.ย. ซึ่งถือเป็นอัตราการปรับขึ้นที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค. 2021 หรือต่ำที่สุดในรอบกว่า 2 ปี ส่วนดัชนี CPI พื้นฐานแบบเทียบรายปีปรับขึ้น 4.8% ในเดือนมิ.ย. ซึ่งถือว่าต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนต.ค. 2021
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวกขึ้น 0.14% สู่ 34,395.14, ดัชนี S&P 500 ปิดปรับขึ้น 0.85% สู่ 4,510.04 และดัชนี Nasdaq ปิดพุ่งขึ้น 1.58% สู่ 14,138.57 ทั้งนี้ ดัชนีฟิลาเดลเฟียสำหรับหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐพุ่งขึ้น 2% ในวันพฤหัสดี ในขณะที่หุ้นเอ็นวิเดียปิดทะยานขึ้น 4.7% สู่ 459.77 ดอลลาร์ หลังจากพุ่งขึ้นแตะสถิติสูงสุดใหม่ที่ 461.55 ดอลลาร์ในระหว่างวัน
รายงานดัชนี PPI ช่วยสนับสนุนการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกเพียงแค่ 1 ครั้งในปีนี้ ในขณะที่นักลงทุนในตลาดสัญญาล่วงหน้าคาดว่า มีโอกาสสูงมากที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ 5.25-5.50% ในการประชุมวันที่ 25-26 ก.ค. แต่นักลงทุนคาดว่าเฟดจะไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปอีกหลังจากนั้น ทั้งนี้ ดัชนี S&P 500 ได้รับแรงหนุนมากที่สุดในวันพฤหัสบดีจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี โดยดัชนีหุ้นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีและหุ้นบริษัทขนาดยักษ์ของสหรัฐพุ่งขึ้น 2.7% มาปิดตลาดที่สถิติระดับปิดสูงสุดใหม่ที่ 8,044.57
นักลงทุนรอดูฤดูการรายงานผลประกอบการไตรมาสสองของบริษัทสหรัฐที่จะเริ่มต้นขึ้นในวันศุกร์นี้ ในขณะที่หุ้นธนาคารเจพีมอร์แกน เชสปรับขึ้น 0.5% ในวันพฤหัสบดี ก่อนที่เจพีมอร์แกน เชสจะรายงานผลประกอบการรายไตรมาสในช่วงเช้าวันศุกร์ ทั้งนี้ หุ้นแอลฟาเบทซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิลพุ่งขึ้น 4.7% หลังจากแอลฟาเบทรายงานว่า ทางบริษัทกำลังจะเปิดให้บริการ Bard ซึ่งเป็นเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์แบบโต้ตอบข้อความในยุโรปและบราซิล และข่าวดังกล่าวช่วยลดความกังวลเรื่องปัญหาด้านกฎระเบียบในต่างประเทศ
นักยุทธศาสตร์การลงทุนกล่าวว่า การอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐในระยะนี้อาจจะส่งผลบวกต่อบริษัทข้ามชาติของสหรัฐในส่วนของผลกำไรในอนาคต ทางด้านดัชนีดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินอยู่ที่ 99.774 ในช่วงท้ายวันพฤหัสบดี โดยร่วงลงจาก 100.50 ในช่วงท้ายวันพุธ หลังจากดิ่งลงแตะ 99.718 ในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. 2022 หรือจุดต่ำสุดรอบ 15 เดือน ทั้งนี้ หุ้นเป๊ปซี่โคพุ่งขึ้น 2.4% ในวันพฤหัสบดี หลังจากเป๊ปซี่ปรับขึ้นคาดการณ์ผลกำไรและรายได้ประจำปีเป็นครั้งที่สอง--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--16 ม.ค.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดปรับขึ้นในวันศุกร์ ในขณะที่หุ้นธนาคารขนาดใหญ่หลายแห่งพุ่งขึ้นหลังจากทางธนาคารรายงานผลประกอบการรายไตรมาส และฤดูการรายงานผลประกอบการไตรมาส 4 ของบริษัทสหรัฐเริ่มต้นขึ้นในวันศุกร์ ทั้งนี้ ธนาคารเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค และธนาคารแบงก์ ออฟ อเมริกาเปิดเผยผลกำไรรายไตรมาสที่ดีเกินคาดในวันศุกร์ แต่ธนาคารเวลส์ ฟาร์โก แอนด์ โคและธนาคารซิตี้กรุ๊ปรายงานผลกำไรรายไตรมาสที่ต่ำเกินคาด อย่างไรก็ดี หุ้นธนาคารทั้ง 4 แห่งต่างก็ปรับขึ้นในวันศุกร์ โดยเฉพาะหุ้นเจพีมอร์แกนที่พุ่งขึ้น 2.5% และปัจจัยนี้มีส่วนช่วยหนุนดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารของสหรัฐให้ทะยานขึ้น 1.6% ในวันศุกร์
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวกขึ้น 0.33% สู่ 34,302.61, ดัชนี S&P 500 ปิดปรับขึ้น 0.40% สู่ 3,999.09 ซึ่งถือเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 13 ธ.ค. และดัชนี Nasdaq ปิดบวกขึ้น 0.71% สู่ 11,079.16 ซึ่งถือเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 14 ธ.ค. ทั้งนี้ ดัชนีดาวโจนส์ปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการทะยานขึ้น 2% จากสัปดาห์ที่แล้ว, ดัชนี S&P 500 ปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการพุ่งขึ้น 2.7% จากสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งส่งผลให้ดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้นมาแล้ว 4.2% จากช่วงต้นปี 2023 ทางด้านดัชนี Nasdaq ปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการทะยานขึ้น 4.8% จากสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งถือเป็นการพุ่งขึ้นรายสัปดาห์ครั้งใหญ่ที่สุดของ Nasdaq นับตั้งแต่วันที่ 11 พ.ย. ส่วนดัชนีความผันผวน Cboe หรือดัชนี VIX ที่ใช้วัดระดับความกังวลในตลาดหุ้นสหรัฐดิ่งลงมาปิดตลาดที่ระดับปิดต่ำสุดรอบ 1 ปีในวันศุกร์
ธนาคารขนาดใหญ่ของสหรัฐกันสำรองเงินเพิ่มขึ้นเพื่อเตรียมรับมือกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย และรายงานผลประกอบการที่อ่อนแอสำหรับภาควาณิชธนกิจ รวมทั้งแสดงความกังวลต่อการคาดการณ์รายได้ด้วย อย่างไรก็ดี ธนาคารเหล่านี้ระบุว่าอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นช่วยเพิ่มผลกำไรให้ทางธนาคาร ทางด้านนักยุทธศาสตร์การลงทุนกล่าวว่า นักลงทุนจะจับตาดูการแสดงความเห็นของผู้บริหารบริษัทสหรัฐในช่วงหลายสัปดาห์ข้างหน้า ทั้งนี้ นักวิเคราะห์คาดว่า ผลกำไรของบริษัทในดัชนี S&P 500 อาจร่วงลง 2.2% ในไตรมาส 4/2022 เมื่อเทียบรายปี
ตลาดหุ้นสหรัฐได้รับแรงหนุนในวันศุกร์ หลังจากมหาวิทยาลัยมิชิแกนรายงานว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐพุ่งขึ้นสู่ 64.6 ในเดือนม.ค. จาก 59.7 ในเดือนธ.ค. และผู้บริโภคคาดการณ์ในเดือนม.ค.ว่า อัตราเงินเฟ้อในอีก 1 ปีข้างหน้าอาจจะอยู่ที่ 4.0% โดยร่วงลงจากระดับ 4.4% ที่เคยคาดไว้ในเดือนธ.ค. โดยระดับ 4.0% นี้ถือเป็นตัวเลขคาดการณ์ที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. 2021 ทั้งนี้ ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐในระยะนี้ทำให้นักลงทุนตั้งความหวังว่า อัตราเงินเฟ้อในสหรัฐอาจจะชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเปิดโอกาสให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สามารถชะลอความเร็วในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยในช่วงนี้นักลงทุนในตลาดเงินคาดว่า มีโอกาส 91.1% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ 4.50-4.75% ในการประชุมวันที่ 31 ม.ค.-1 ก.พ. และมีโอกาสเพียง 8.9% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% สู่ 4.75-5.00% ในการประชุมวันที่ 31 ม.ค.-1 ก.พ.
หุ้นเทสลาร่วงลง 0.9% หลังจากเทสลาปรับลดราคารถยนต์ไฟฟ้าบางรุ่นในสหรัฐและยุโรปลง 20% และจัดส่งรถยนต์ในปี 2022 ในระดับที่ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ ทั้งนี้ หุ้นสายการบินเดลตา แอร์ไลน์ดิ่งลง 3.5% หลังจากเดลตาคาดการณ์ผลกำไรไตรมาสแรกในระดับที่ต่ำเกินคาด--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--20 ธ.ค.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดร่วงลงในวันจันทร์เป็นวันที่ 4 ติดต่อกัน ในขณะที่นักลงทุนหลีกเลี่ยงสินทรัพย์เสี่ยง เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่าการคุมเข้มนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอย ทั้งนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐได้รับแรงกดดันนับตั้งแต่วันพุธที่ 14 ธ.ค. หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% สู่ 4.25-4.50% ในวันพุธ และเฟดคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกอย่างน้อย 0.75% ก่อนสิ้นปี 2023 โดยอัตราดอกเบี้ยจะอยู่ที่ 5.00-5.25% ในช่วงปลายปีหน้า นอกจากนี้ นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟดยังส่งสัญญาณแบบสายเหยี่ยวในวันพุธด้วย โดยเขากล่าวว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปในปีหน้า ถึงแม้เศรษฐกิจสหรัฐเกือบจะเข้าสู่ภาวะถดถอย
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดปรับลง 0.49% สู่ 32,757.54, ดัชนี S&P 500 ปิดร่วงลง 0.90% สู่ 3,817.66 และดัชนี Nasdaq ปิดดิ่งลง 1.49% สู่ 10,546.03 โดยดัชนีเหล่านี้มีแนวโน้มว่าอาจจะปิดตลาดปีนี้ด้วยการดิ่งลงรายปีครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 2008 ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มที่ดิ่งลงมากที่สุดในวันจันทร์รวมถึงหุ้นกลุ่มบริการการสื่อสารที่รูดลง 2.2%, หุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยที่ดิ่งลง 1.7% และหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่รูดลง 1.4% อย่างไรก็ดี หุ้นกลุ่มพลังงานขยับขึ้น 0.13% และถือเป็นหุ้นกลุ่มเดียวในบรรดาหุ้น 11 กลุ่มใหญ่ของสหรัฐที่สามารถปิดตลาดในแดนบวกในวันจันทร์
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีพุ่งขึ้นสู่ 3.583% ในช่วงท้ายวันจันทร์ จาก 3.482% ในช่วงท้ายวันศุกร์ ในขณะที่นายไบรอัน โอเวอร์บี นักยุทธศาสตร์การลงทุนตลาดของบริษัทแอลลีกล่าวว่า การพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐส่งผลให้นักลงทุนเทขายหุ้นเพื่อนำเงินไปลงทุนในพันธบัตร ซึ่งถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ในขณะที่นักลงทุนกังวลว่าอาจจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปี 2023 และเขากล่าวเสริมว่า "นักลงทุนกำลังตั้งคำถามว่า ทำไมพวกเขาจะต้องถือครองสินทรัพย์เสี่ยงในช่วงเข้าสู่ปี 2023 ด้วย ในขณะที่เฟดยังคงใช้จุดยืนแบบแข็งกร้าว และพวกเขาจะได้รับอัตราผลตอบแทนที่ดีจากตลาดตราสารหนี้" ทั้งนี้ นางเมลิสซา บราวน์ จากบริษัทคอนทิโกกล่าวว่า นักลงทุนมุ่งความสนใจไปยังความกังวลทางเศรษฐกิจและอัตราดอกเบี้ยในวันจันทร์ เนื่องจากไม่มีการรายงานผลประกอบการของบริษัทขนาดใหญ่และไม่มีการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจออกมาในวันจันทร์ นอกจากนี้ เธอยังตั้งข้อสังเกตอีกด้วยว่า ตลาดหุ้นอาจเคลื่อนไหวอย่างรุนแรงเกินความเป็นจริง เนื่องจากนักลงทุนหลายรายไม่ได้เข้ามาลงทุนในช่วงวันหยุดปลายปี
ตลาดหุ้นได้รับแรงกดดันจากหุ้นบริษัทขนาดใหญ่ที่ดิ่งลงอย่างรุนแรง โดยหุ้นแอปเปิลรูดลง 1.6%, หุ้นไมโครซอฟท์ดิ่งลง 1.7% และหุ้นอะเมซอนดอทคอมรูดลง 3.3% ทั้งนี้ หุ้นเทสลาซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าปิดปรับลง 0.24% หลังจากดิ่งลง 2.8% ในระหว่างวัน ในขณะที่ผลสำรวจความเห็นในทวิตเตอร์ระบุว่า ผู้ตอบโพลล์ส่วนใหญ่ต้องการให้นายอีลอน มัสก์ ซีอีโอของเทสลา ลงจากตำแหน่งซีอีโอของทวิตเตอร์
หุ้นเมตา แพลตฟอร์มส์ดิ่งลง 4.1% หลังจากคณะกรรมาธิการยุโรป (อีซี) ระบุว่า อีซีอาจจะสั่งปรับเมตา แพลตฟอร์มส์เป็นเงินจำนวนมากถึง 10% ของรายได้ทั่วโลกต่อปีของเมตา ถ้าหากมีหลักฐานแสดงให้เห็นว่า เมตาฝ่าฝืนกฎหมายต่อต้านการผูกขาดของสหภาพยุโรป (อียู) ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มคาสิโนของสหรัฐดิ่งลงอย่างรุนแรง หลังจากมาเก๊าประกาศในวันศุกร์ว่า บริษัทคาสิโน 6 แห่งจะลงทุนราว 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยถือเป็นส่วนหนึ่งของการทำสัญญาใหม่ระยะ 10 ปีเพื่อดำเนินงานในมาเก๊า--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--3 ส.ค.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดร่วงลงในวันอังคาร หลังจากแกว่งตัวผันผวนในระหว่างวัน ในขณะที่ความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น หลังจากนางแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐเดินทางเยือนไต้หวัน โดยนางเพโลซีถือเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงสุดของสหรัฐที่เดินทางเยือนไต้หวันในรอบ 25 ปี ทั้งนี้ นางเพโลซีกล่าวว่า การเดินทางเยือนไต้หวันของเธอสะท้อนให้เห็นถึงความสามัคคีกันระหว่างสหรัฐกับไต้หวัน แต่จีนประณามการเดินทางเยือนไต้หวันครั้งนี้ว่าเป็นภัยคุกคามต่อสันติภาพและเสถียรภาพ
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดดิ่งลง 1.23% สู่ 32,396.30, ดัชนี S&P 500 ปิดร่วงลง 0.67% สู่ 4,091.19 และดัชนี Nasdaq ปิดขยับลง 0.16% สู่ 12,348.76 ทั้งนี้ หุ้นทั้ง 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐร่วงลงในวันอังคาร โดยดัชนีหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ดิ่งลง 1.3% และถือเป็นกลุ่มที่ดิ่งลงมากที่สุด ส่วนดัชนีหุ้นกลุ่มการเงินรูดลง 1.1% ทางด้านหุ้นบริษัทไมโครซอฟท์ร่วงลง 1.1% ส่วนหุ้นบริษัทวีซ่าดิ่งลง 2.4% และส่งผลลบต่อดัชนี S&P 500
หุ้นบริษัทผู้ผลิตชิปที่มีธุรกิจในจีนปรับตัวอย่างไร้ทิศทางในวันอังคาร โดยหุ้นบริษัทแอดวานซ์ ไมโคร ดีไวเซส (AMD) พุ่งขึ้น 2.6% ในวันอังคาร ก่อนที่ AMD จะรายงานผลประกอบการรายไตรมาสหลังจากตลาดปิดทำการ ส่วนหุ้นแคเทอร์พิลลาร์ซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ในภาคอุตสาหกรรมดิ่งลง 5.8% หลังจากแคเทอร์พิลลาร์ประกาศเตือนว่า อุปสงค์ในรถขุดของแคเทอร์พิลลาร์ในจีนอาจจะดิ่งลงอย่างรุนแรง ในขณะที่แคเทอร์พิลลาร์ประสบปัญหาอยู่แล้วจากการขาดตอนในห่วงโซ่อุปทาน อย่างไรก็ดี หุ้นกลุ่มอาวุธของสหรัฐพุ่งขึ้น โดยหุ้นบริษัทเรย์ธีออน เทคโนโลยีส์, ล็อคฮีด มาร์ติน, นอร์ธรอป กรัมแมน และแอลธรีแฮร์ริส เทคโนโลยีส์ปิดบวกขึ้น 0.5-2.3% เนื่องจากสหรัฐเป็นผู้ขายอาวุธรายใหญ่ให้แก่ไต้หวัน
กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานผลสำรวจตำแหน่งงานว่างและการเข้า-ออกงาน (JOLTS) ในวันอังคาร โดยระบุว่ายอดการเปิดรับสมัครงานในสหรัฐดิ่งลงในเดือนมิ.ย.ในระดับที่รุนแรงที่สุดในรอบกว่า 2 ปี ในขณะที่ความต้องการคนงานชะลอตัวลงในภาคค้าปลีกและภาคค้าส่ง แต่ตลาดแรงงานโดยรวมยังคงอยู่ในภาวะตึงตัว ทั้งนี้ ยอดการเปิดรับสมัครงานในสหรัฐดิ่งลง 605,000 ตำแหน่ง สู่ 10.7 ล้านตำแหน่งในวันสุดท้ายของเดือนมิ.ย. ซึ่งถือเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.ย. 2021 และการดิ่งลงในเดือนมิ.ย.นี้ถือเป็นการดิ่งลงครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. 2020 อย่างไรก็ดี มีคนงานอย่างน้อย 4.2 ล้านคนที่สมัครใจลาออกจากงานในเดือนมิ.ย.
ผลประกอบการภาคเอกชนที่สดใสช่วยหนุนตลาดหุ้นในช่วงที่ผ่านมา โดยดัชนี S&P 500 ดีดขึ้นมาแล้วราว 12% จากจุดต่ำสุดของช่วงกลางเดือนมิ.ย. ทั้งนี้ หุ้นอูเบอร์ เทคโนโลยีส์ อิงค์ ซึ่งเป็นผู้ให้บริการเรียกรถพุ่งขึ้น 18.9% หลังจากอูเบอร์รายงานว่า ทางบริษัทมีกระแสเงินสดรายไตรมาสเป็นบวกเป็นครั้งแรก และอูเบอร์คาดการณ์ในทางบวกต่อผลกำไรจากการดำเนินงานในไตรมาสสาม ทางด้านหุ้นเทสลาพุ่งขึ้น 1.1% หลังจากซิตี้กรุ๊ปปรับขึ้นราคาเป้าหมายของหุ้นเทสลา โดยหุ้นเทสลามีมูลค่าการซื้อขาย 2.87 หมื่นล้านดอลลาร์ในวันอังคาร และครองตำแหน่งหุ้นที่มีมูลค่าการซื้อขายมากที่สุดในดัชนี S&P 500 ในวันอังคาร--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--19 ก.ค.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดร่วงลงในวันจันทร์ หลังจากดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารลดช่วงบวกลง และหุ้นบริษัทแอปเปิลดิ่งลง 2.1% มาปิดตลาดที่ 147.1 ดอลลาร์ โดยหุ้นแอปเปิลได้รับแรงกดดันข่าวของสำนักข่าวบลูมเบิร์กที่ระบุว่า แอปเปิลวางแผนจะชะลอการจ้างงานและชะลอการปรับเพิ่มรายจ่ายในบางแผนกในปีหน้า เพื่อรับมือกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดร่วงลง 0.69% สู่ 31,072.61, ดัชนี S&P 500 ปิดปรับลง 0.84% สู่ 3,830.85 และดัชนี Nasdaq ปิดร่วงลง 0.81% สู่ 11,360.05 ทั้งนี้ หุ้น 9 กลุ่มจาก 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐปิดตลาดในแดนลบ โดยหุ้นกลุ่มการแพทย์และหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคถือเป็นหุ้น 2 กลุ่มที่ดิ่งลงมากที่สุด ส่วนหุ้นกลุ่มพลังงานถือเป็นกลุ่มที่พุ่งขึ้นมากที่สุด
ดัชนีหุ้นกลุ่มการเงินของสหรัฐลดช่วงบวกลง หลังจากพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในช่วงแรก โดยได้รับแรงหนุนจากผลประกอบการของธนาคารแบงก์ ออฟ อเมริกา คอร์ป และธนาคารโกลด์แมน แซคส์ กรุ๊ป อิงค์ โดยหุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกาปิดขยับขึ้น 0.03% ส่วนหุ้นโกลด์แมน แซคส์พุ่งขึ้น 2.5% หลังจากโกลด์แมนรายงานว่า ผลกำไรไตรมาสสองปรับลดลง 48% ซึ่งเป็นระดับที่ไม่มากเท่าที่คาด เนื่องจากผลกำไรของโกลด์แมนได้รับแรงหนุนจากความแข็งแกร่งในแผนกการค้าตราสารหนี้
เทรดเดอร์ปรับลดการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 1.00% ในการประชุมวันที่ 26-27 ก.ค. และหันมาคาดการณ์อย่างเชื่อมั่นมากยิ่งขึ้นว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพียง 0.75% ในการประชุมครั้งนั้น ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่เฟดบางคนส่งสัญญาณในวันศุกร์ว่า พวกเขามีแนวโน้มที่จะสนับสนุนให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ในการประชุมปลายเดือนก.ค. ถึงแม้ว่าตัวเลขอัตราเงินเฟ้อที่ระดับสูงในระยะนี้อาจจะสนับสนุนให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากเกินคาดในช่วงต่อไปในปีนี้
หุ้นแอลฟาเบทซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิลดิ่งลง 2.5% ส่วนหุ้น IBM รูดลง 1.3% ในวันจันทร์ ทั้งนี้ นักลงทุนจะรอดูผลประกอบการของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่บางแห่งที่จะออกมาในสัปดาห์หน้า หลังจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีเคยเผชิญกับแรงเทขายอย่างหนักหน่วงในช่วงครึ่งปีแรก--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--14 ก.ค.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดร่วงลงในวันพุธ หลังจากสหรัฐเปิดเผยตัวเลขอัตราเงินเฟ้อที่สูงเกินคาด และตัวเลขดังกล่าวทำให้นักลงทุนกังวลว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 1.00% ในการประชุมวันที่ 26-27 ก.ค. ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐพุ่งขึ้น 1.3% ในเดือนมิ.ย.เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งถือเป็นการพุ่งขึ้นครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.ย. 2005 หลังจากทะยานขึ้น 1.0% ในเดือนพ.ค. โดยดัชนี CPI ทั่วไปได้รับแรงหนุนจากราคาน้ำมันเบนซินที่พุ่งขึ้น 11.2% ในเดือนมิ.ย.เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากดีดขึ้น 4.1% ในเดือนพ.ค. ส่วนดัชนี CPI แบบเทียบรายปีพุ่งขึ้น 9.1% ในเดือนมิ.ย. ซึ่งถือเป็นการพุ่งขึ้นครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย. 1981 หรือครั้งใหญ่ที่สุดในรอบกว่า 40 ปี หลังจากทะยานขึ้น 8.6% ในเดือนพ.ค. ทางด้านดัชนี CPI พื้นฐานที่ไม่รวมราคาอาหารและพลังงานที่มีความผันผวนสูงปรับขึ้น 0.7% ในเดือนมิ.ย.เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากปรับขึ้น 0.6% ในเดือนพ.ค. ส่วนดัชนี CPI พื้นฐานแบบเทียบรายปีพุ่งขึ้น 5.9% ในเดือนมิ.ย. หลังจากทะยานขึ้น 6.0% ในเดือนพ.ค. โดยดัชนี CPI พื้นฐานชะลอตัวลงในเดือนมิ.ย.เป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน แต่ยังคงอยู่ห่างจากระดับเป้าหมายที่เฟดตั้งไว้ที่ 2%
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดร่วงลง 0.67% สู่ 30,772.79, ดัชนี S&P 500 ปิดปรับลง 0.45% สู่ 3,801.78 และดัชนี Nasdaq ปิดขยับลง 0.15% สู่ 11,247.58 ทั้งนี้ หุ้น 9 กลุ่มจาก 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐปิดตลาดในแดนลบ โดยหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมและหุ้นกลุ่มบริการการสื่อสารถือเป็นหุ้น 2 กลุ่มที่ดิ่งลงมากที่สุด ส่วนหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยถือเป็นหุ้นกลุ่มที่พุ่งขึ้นมากที่สุดในวันพุธ
นายรอส เมย์ฟิลด์ นักวิเคราะห์แผนยุทธศาสตร์การลงทุนของบริษัทแบร์ดกล่าวว่า ตลาดหุ้นไม่ได้รับแรงกดดันมากนักจากดัชนี CPI เพราะว่านักลงทุนคาดการณ์ไว้แล้วว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างแข็งกร้าว และเขากล่าวเสริมว่า "ถ้าหากเฟดพิจารณาให้ลึกไปกว่าดัชนี CPI ทั่วไป เฟดก็จะพบว่าราคาสินค้าโภคภัณฑ์เริ่มชะลอตัวลงมาบ้างแล้ว" ทั้งนี้ หลังจากสหรัฐเปิดเผยดัชนี CPI ในวันพุธ เทรดเดอร์ก็ได้ปรับเพิ่มการคาดการณ์ที่ว่า เฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 1.00% ในการประชุมวันที่ 26-27 ก.ค. และนักลงทุนมั่นใจว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างน้อย 0.75% ในการประชุมเดือนนี้
นักลงทุนจับตาดูฤดูการรายงานผลประกอบการไตรมาส 2 ของบริษัทสหรัฐ ในขณะที่ธนาคารมอร์แกน สแตนเลย์ และธนาคารเจพีมอร์แกนจะเปิดเผยผลประกอบการในวันพฤหัสบดีที่ 14 ก.ค. ส่วนซิตี้กรุ๊ป, สเตท สตรีท และเวลส์ ฟาร์โกจะเปิดเผยผลประกอบการในวันศุกร์ที่ 15 ก.ค. ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ประเมินว่า ผลกำไรของบริษัทสหรัฐในดัชนี S&P 500 อาจปรับขึ้น 5.6% ในไตรมาส 2 เมื่อเทียบรายปี โดยปรับลดลงจากระดับ +6.8% ที่เคยคาดการณ์ไว้ในช่วงต้นไตรมาส 2
ดัชนีหุ้นกลุ่มสายการบินของสหรัฐดิ่งลง 1.7% ในวันพุธ ในขณะที่หุ้นสายการบินเดลตา แอร์ ไลน์รูดลง 4.5% หลังจากเดลตารายงานผลกำไรไตรมาสสองที่ต่ำเกินคาด อย่างไรก็ดี นายเอ็ด บาสเตียน ซีอีโอของเดลตากล่าวว่า อุปสงค์ในการเดินทางที่แข็งแกร่งจะช่วยหนุนผลกำไรตลอดทั้งปีของเดลตา ทั้งนี้ หุ้นเทสลาพุ่งขึ้น 1.7% ในวันพุธ ในขณะที่ดัชนีหุ้นกลุ่มผู้ผลิตชิปของสหรัฐปรับขึ้น 0.75% ในวันพุธ--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
เครื่องมือออกแบบโปสเตอร์
โครงการพันธมิตร
ความเสี่ยงของการสูญเสียในการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น หุ้น FX สินค้าโภคภัณฑ์ ฟิวเจอร์ส พันธบัตร ETFs หรือเงินดิจิทัลอาจมีมาก คุณอาจสูญเสียเงินทุนทั้งหมดที่คุณฝากไว้กับโบรกเกอร์ของคุณ ดังนั้น คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบว่าการซื้อขายดังกล่าวเหมาะสมกับคุณหรือไม่ในสถานการณ์และทรัพยากรทางการเงินของคุณ
ไม่ควรตัดสินใจลงทุนโดยไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบสถานะอย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วยตัวเองหรือปรึกษากับที่ปรึกษาทางการเงินของคุณ เนื้อหาเว็บของเราอาจไม่เหมาะกับคุณเนื่องจากเราไม่ทราบเงื่อนไขทางการเงินและความต้องการในการลงทุนของคุณ ข้อมูลทางการเงินของเราอาจมีความล่าช้าหรือมีความไม่ถูกต้อง ดังนั้นคุณควรรับผิดชอบอย่างเต็มที่ต่อการตัดสินใจซื้อขายและการลงทุนของคุณ บริษัทจะไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียเงินทุนของคุณ
หากไม่ได้รับอนุญาตจากเว็บไซต์ คุณจะไม่สามารถคัดลอกกราฟิก ข้อความ หรือเครื่องหมายการค้าของเว็บไซต์ได้ สิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาในเนื้อหาหรือข้อมูลที่รวมอยู่ในเว็บไซต์นี้เป็นของผู้ให้บริการและผู้ค้าแลกเปลี่ยน
ไม่ได้ล็อกอิน
เข้าสู่ระบบเพื่อเข้าถึงฟังก์ชั่นเพิ่มเติม

สมาชิก FastBull
ยังไม่ได้เปิด
สมัคร
เข้าสู่ระบบ
ลงทะเบียน