ตลาด
ข่าวสาร
การวิเคราะห์
ผู้ใช้
24x7
ปฏิทินเศรษฐกิจ
แหล่งเรียนรู้
ข้อมูล
- ชื่อ
- ค่าล่าสุด
- ครั้งก่อน












สัญญาณ VIP
ทั้งหมด
ทั้งหมด



สหรัฐอเมริกา คำสั่งซื้อสินค้าคงทนนอกกระทรวงกลาโหมที่ได้แก้ไข MoM (ไม่รวมเครื่องบิน)(SA) (ก.ย.)ค:--
ค: --
สหรัฐอเมริกา คำสั่งซื้อโรงงาน MoM(ยกเว้นการขนส่ง) (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา คำสั่งซื้อโรงงาน MoM(ยกเว้นภาคกลาโหม) (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การเปลี่ยนแปลงสต็อกก๊าซธรรมชาติประจำสัปดาห์ของ EIAค:--
ค: --
ค: --
ซาอุดิอาระเบีย การผลิตน้ำมันดิบค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การถือครองธนารักษ์สหรัฐฯของธนาคารกลางต่างประเทศรายสัปดาห์ค:--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น เงินตราที่ใช้เป็นทุนสำรอง (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย อัตราขายคืนค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย ดอกเบี้ยอ้างอิงค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย อัตราขายคืนค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย อัตราเงินสดสำรองค:--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น อินดิเคเตอร์ชั้นนำเบื้องต้น (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหราชอาณาจักร ดัชนีราคาที่อยู่อาศัย Halifax YoY (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหราชอาณาจักร ดัชนีราคาที่อยู่อาศัย Halifax MoM (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส บัญชีเดินสะพัด (Not SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส ดุลการค้า (SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส การผลิตภาคอุตสาหกรรม MoM(SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
อิตาลี ดัชนียอดค้าปลีก MoM (SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงาน YoY (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน GDP Final YoY (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน GDP Final QoQ (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงาน QoQ (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงานสุดท้าย (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
บราซิล PPI MoM (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
เม็กซิโก ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา อัตราการว่างงาน (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา อัตราการมีส่วนร่วมในการจ้างงาน (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงาน (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงานนอกเวลา (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงานเต็มเวลา (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา รายได้ส่วนบุคคล MoM (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาธนาคารกลางรัฐดัลลาส สหรัฐอเมริกา PCE YoY (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคา PCE YoY (SA) (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคา PCE MoM (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา รายจ่ายส่วนบุคคล MoM(SA) (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาPCEหลักMoM (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา เงินเฟ้อเบื้องต้น UMich 5-YearYoY (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาPCEหลักYoY (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ค่าใช้จ่ายการบริโภคส่วนบุคคลที่จริง MoM (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การคาดการณ์เงินเฟ้อ 5-10 ปี (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีสถานภาพเบื้องต้น UMich ปัจจุบัน (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้น UMich (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อล่วงหน้า 1 ปี UMich (เบื้องต้น) (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีความคาดหวังผู้บริโภค UMich (เบื้องต้น) (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ปริมาณเครื่องเจาะทั้งหมดรายสัปดาห์--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ปริมาณเครื่องเจาะน้ำมันทั้งหมดรายสัปดาห์--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา สินเชื่ออุปโภคบริโภค (SA) (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ เงินตราที่ใช้เป็นทุนสำรอง (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ปริมาณการส่งออก YoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การนำเข้า YoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การนำเข้าYoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การนำเข้า (CNH) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ดุลการค้า (CNH) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การส่งออก (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น ค่าจ้าง MoM (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น ดุลการค้า (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น GDPที่แท้จริง QoQ (ไตรมาส 3)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น GDP Nominal แก้ไขQoQ (ไตรมาส 3)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น ดุลการค้า (SA)(ข้อมูลศุลกากร) (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น GDP ประจำปี (แก้ไข) QoQ (ไตรมาส 3)--
ค: --


ไม่มีข้อมูลที่ตรงกัน
ทัศนคติล่าสุด
ทัศนคติล่าสุด
หัวข้อยอดนิยม
คอลัมนิสต์ยอดนิยม
อัปเดตล่าสุด
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
ดูผลการค้นหาทั้งหมด

ไม่มีข้อมูล
กรุงเทพฯ--25 ธ.ค.--รอยเตอร์
ดัชนีดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินร่วงลงแตะจุดต่ำสุดในรอบเกือบ 5 เดือนในระหว่างช่วงการซื้อขายวันศุกร์ หลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานในวันศุกร์ว่า อัตราเงินเฟ้อในดัชนีราคาค่าใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ซึ่งถือเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) นิยมใช้ ชะลอตัวลงจาก 2.9% ในเดือนต.ค. สู่ 2.6% ในเดือนพ.ย. ส่วนอัตราเงินเฟ้อในดัชนี PCE พื้นฐาน ซึ่งไม่รวมราคาอาหารและพลังงาน ชะลอตัวลงจาก 3.4% ในเดือนต.ค. สู่ 3.2% ในเดือนพ.ย. ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. 2021 ทั้งนี้ รายงานตัวเลขนี้ช่วยสนับสนุนการคาดการณ์ของนักลงทุนที่ว่า เฟดอาจจะเริ่มต้นปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนมี.ค.ปีหน้า Eikon source text
ดัชนีดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินอยู่ที่ 101.71 ในช่วงท้ายตลาดวันศุกร์ โดยขยับลงจาก 101.78 ในช่วงท้ายตลาดวันพฤหัสบดี หลังจากร่วงลงแตะ 101.42 ในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดนับตั้งแต่ปลายเดือนก.ค. หรือจุดต่ำสุดในรอบเกือบ 5 เดือน โดยดัชนีดอลลาร์มีแนวโน้มว่าอาจจะปิดตลาดปีนี้ด้วยการปรับลงราว 2% จากปีที่แล้ว
ดอลลาร์/เยนอยู่ที่ 142.41 เยนในช่วงท้ายตลาดวันศุกร์ โดยแข็งค่าขึ้นจากระดับปิดตลาดวันพฤหัสบดีที่ 142.10 เยน
ยูโร/ดอลลาร์อยู่ที่ 1.1010 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันศุกร์ โดยขยับขึ้นจาก 1.1008 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันพฤหัสบดี หลังจากพุ่งขึ้นแตะ 1.1040 ดอลลาร์ในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 10 ส.ค. หรือจุดสูงสุดรอบ 4 เดือน
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ของตลาดหุ้นสหรัฐปิดขยับลงในวันศุกร์ แต่ดัชนี S&P 500 และดัชนี Nasdaq ปิดบวกขึ้นในวันศุกร์ ในขณะที่นักลงทุนปรับตัวรับตัวเลขอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐที่ชะลอตัวลงอย่างรุนแรงเกินคาดในเดือนพ.ย. และตัวเลขดังกล่าวช่วยกระตุ้นการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในปีหน้า โดยรายงานตัวเลขนี้ช่วยหนุนตลาดหุ้นสหรัฐในช่วงแรกของวันศุกร์ แต่ตลาดหุ้นปรับตัวอย่างไร้ทิศทางในช่วงบ่ายวันศุกร์ และเทรดเดอร์บางรายขายหุ้นออกมาก่อนช่วงวันหยุดยาวท่ามกลางความกังวลเรื่องความเสี่ยงจากความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศ ทั้งนี้ ในบรรดาหุ้น 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐนั้น ดัชนีหุ้น 10 กลุ่มใหญ่ปิดตลาดในแดนบวก โดยดัชนีหุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นถือเป็นกลุ่มที่พุ่งขึ้นมากที่สุด แต่ดัชนีหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยถือเป็นหุ้นกลุ่มใหญ่เพียงกลุ่มเดียวที่ปิดตลาดในแดนลบ ในขณะที่หุ้นบริษัทไนกี้ซึ่งเป็นผู้ผลิตชุดกีฬาดิ่งลง 11.8% หลังจากไนกี้ปรับลดตัวเลขคาดการณ์ยอดขายรายปี เนื่องจากผู้บริโภคใช้จ่ายเงินอย่างระมัดระวัง ทางด้านหุ้นบริษัทฟูท ล็อกเกอร์และหุ้นบริษัทดิคส์ สปอร์ตติง กูดส์ ซึ่งทำธุรกิจค้าปลีกชุดกีฬารูดลง 2.7% และ 3.9% ตามลำดับ อย่างไรก็ดี ดัชนี Russell 2000 สำหรับหุ้นบริษัทขนาดเล็กของสหรัฐปิดบวกขึ้น 0.8% ในวันศุกร์ และทะยานขึ้นมาแล้วราว 15.6% จากช่วงต้นปีนี้ Eikon source text
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดขยับลง 0.05% สู่ 37,385.97 ในวันศุกร์ แต่ปิดตลาดสัปดาห์นี้ในแดนบวกเป็นสัปดาห์ที่ 8 ติดต่อกัน ซึ่งถือว่ายาวนานที่สุดนับตั้งแต่ต้นปี 2019
ดัชนี S&P 500 ปิดบวกขึ้น 0.17% สู่ 4,754.63 ในวันศุกร์ และเข้าใกล้สถิติระดับปิดสูงสุดที่เคยทำไว้ในเดือนม.ค. 2022 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 4,796.56 ซึ่งถ้าหากดัชนี S&P 500 สามารถทำสถิติระดับปิดสูงสุดใหม่ได้ในเร็ว ๆ นี้ สิ่งนี้ก็จะเท่ากับเป็นการยืนยันว่าดัชนีอยู่ในภาวะตลาดกระทิงในช่วงที่ผ่านมา นับตั้งแต่ดัชนีดิ่งลงแตะระดับปิดต่ำสุดของเดือนต.ค. 2022 โดยดัชนี S&P 500 ปิดตลาดสัปดาห์นี้ในแดนบวกเป็นสัปดาห์ที่ 8 ติดต่อกัน ซึ่งถือว่ายาวนานที่สุดนับตั้งแต่ปลายปี 2017
ดัชนี Nasdaq ปิดปรับขึ้น 0.19% สู่ 14,992.97 ในวันศุกร์ และปิดตลาดสัปดาห์นี้ในแดนบวกเป็นสัปดาห์ที่ 8 ติดต่อกัน ซึ่งถือว่ายาวนานที่สุดนับตั้งแต่ต้นปี 2019
ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX ปรับลงในวันศุกร์ก่อนช่วงวันหยุดยาว โดยราคาน้ำมันได้รับแรงกดดันจากการคาดการณ์ที่ว่า แองโกลาอาจจะปรับเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมัน หลังจากแองโกลาถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิกกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) โดยแองโกลาผลิตน้ำมันราว 1.1 ล้านบาร์เรลต่อวันในปัจจุบัน และการที่แองโกลาถอนตัวออกจากโอเปกอาจจะเปิดโอกาสให้รัฐบาลจีนสามารถเข้ามาปรับเพิ่มการลงทุนในภาคน้ำมันและภาคธุรกิจอื่น ๆ ของแองโกลา ทั้งนี้ ราคาน้ำมันปิดตลาดสัปดาห์นี้ในแดนบวก โดยราคาน้ำมันได้รับแรงหนุนในระหว่างสัปดาห์จากตัวเลขเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐ และจากความกังวลที่ว่าต้นทุนน้ำมันจะพุ่งสูงยิ่งขึ้น หลังจากกลุ่มฮูตีในเยเมน ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่าน โจมตีเรือขนส่งสินค้าในทะเลแดงเพื่อเป็นการสนับสนุนกลุ่มฮามาสในเขตฉนวนกาซา โดยการโจมตีดังกล่าวเป็นอุปสรรคขัดขวางการขนส่งสินค้าในคลองสุเอซ ซึ่งครอบคลุมปริมาณการค้าราว 12% ของปริมาณการค้าโลก ทางด้านบริษัทเมอส์ก และบริษัท CMA CGM ซึ่งเป็นบริษัทขนส่งสินค้ารายใหญ่ประกาศว่า ทางบริษัทจะปรับเพิ่มค่าบริการเนื่องจากมีการปรับเปลี่ยนเส้นทางขนส่งสินค้า Eikon source text
ราคาน้ำมันดิบสหรัฐส่งมอบเดือนก.พ.ปรับลง 33 เซนต์ หรือ 0.5% มาปิดตลาดที่ 73.56 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในวันศุกร์ แต่ปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการพุ่งขึ้นราว 3% จากสัปดาห์ที่แล้ว
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนก.พ.ที่ตลาดกรุงลอนดอนปรับลง 32 เซนต์ หรือ 0.4% มาปิดตลาดที่ 79.07 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในวันศุกร์ แต่ปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการพุ่งขึ้นราว 3% จากสัปดาห์ที่แล้ว
ราคาทองสปอตที่ตลาดสหรัฐปรับขึ้น 7.49 ดอลลาร์ สู่ 2,052.98 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงท้ายตลาดวันศุกร์ หลังจากทะยานขึ้นแตะ 2,070.39 ดอลลาร์ในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 4 ธ.ค. หรือจุดสูงสุดในรอบกว่า 2 สัปดาห์ โดยราคาทองปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการพุ่งขึ้น 1.7% จากสัปดาห์ที่แล้ว และสามารถปิดตลาดรายสัปดาห์ในแดนบวกได้เป็นสัปดาห์ที่ 2 ติดต่อกัน ในขณะที่ราคาทองได้รับแรงหนุนจากการอ่อนค่าของดอลลาร์ และจากการร่วงลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐในสัปดาห์นี้ เนื่องจากนักลงทุนคาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในช่วงต้นปีหน้า ทั้งนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีปรับลงจาก 3.928% ในช่วงท้ายสัปดาห์ที่แล้ว สู่ 3.908% ในช่วงท้ายสัปดาห์นี้ หลังจากดิ่งลงแตะ 3.829% ในวันพฤหัสบดี ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 24 ก.ค. หรือจุดต่ำสุดรอบ 5 เดือน โดยการร่วงลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยิลด์) ส่งผลบวกต่อราคาทอง เพราะทองเป็นสินทรัพย์ที่ไม่ให้ดอกเบี้ย Eikon source text
--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
กรุงเทพฯ--12 ธ.ค.--รอยเตอร์
เยนดิ่งลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐในวันจันทร์เป็นวันที่ 2 ติดต่อกัน หลังจากที่เคยพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในสัปดาห์ที่แล้ว โดยเยนได้รับแรงหนุนในวันพฤหัสบดีที่ 7 ธ.ค.จากการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) จะปรับลดการใช้นโยบายการเงินแบบสายพิราบ หลังจากนายคาสุโอะ อุเอดะ ผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น กล่าวในวันพฤหัสบดีว่า บีโอเจมีทางเลือกว่าจะตั้งเป้าหมายไปที่อัตราดอกเบี้ยตัวใด เมื่อใดก็ตามที่บีโอเจปรับอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นให้ออกจากระดับติดลบแล้ว อย่างไรก็ดี เยนดิ่งลงในวันจันทร์ หลังจากสำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า เจ้าหน้าที่บีโอเจยังไม่มีหลักฐานมากพอที่จะแสดงให้เห็นว่า ค่าแรงในญี่ปุ่นปรับขึ้นในระดับที่แข็งแกร่งพอที่จะสนับสนุนให้บีโอเจยุตินโยบายการเงินแบบผ่อนคลายมากเป็นพิเศษในการประชุมวันที่ 18-19 ธ.ค. Eikon source text
ดัชนีดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินอยู่ที่ 104.06 ในช่วงท้ายตลาดวันจันทร์ โดยแข็งค่าขึ้นจาก 103.98 ในช่วงท้ายตลาดวันศุกร์
ดอลลาร์/เยนอยู่ที่ 146.16 เยนในช่วงท้ายตลาดวันจันทร์ โดยพุ่งขึ้นราว 0.85% จากระดับปิดตลาดวันศุกร์ที่ 144.93 เยน หลังจากทะยานขึ้นแตะจุดสูงสุดของวันจันทร์ที่ 146.58 เยน และออกห่างจากระดับ 141.70 เยนที่ทำไว้ในระหว่างช่วงการซื้อขายวันพฤหัสบดี ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 7 ส.ค. หรือจุดต่ำสุดรอบ 4 เดือน
ยูโร/ดอลลาร์ทรงตัวอยู่ที่ 1.0761 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันจันทร์ ซึ่งเท่ากับระดับในช่วงท้ายวันศุกร์ และเทียบกับจุดต่ำสุดรอบ 24 วันที่ทำไว้ในวันศุกร์ที่ 1.0724 ดอลลาร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปรับขึ้นเล็กน้อยในวันจันทร์ และดัชนีตลาดหุ้นสำคัญทั้ง 3 ดัชนีสามารถปิดตลาดที่ระดับปิดสูงสุดใหม่สำหรับปีนี้ ในขณะที่นักลงทุนรอดูตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐที่จะได้รับการรายงานออกมาในวันอังคาร, รอดูดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ของสหรัฐที่จะได้รับการรายงานออกมาในวันพุธ และรอดูผลการประชุมกำหนดนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันพุธ เพราะปัจจัยเหลานี้จะส่งผลกระทบเป็นอย่างมากต่อการคาดการณ์แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ โดยนักลงทุนคาดการณ์ในตอนนี้ว่า มีโอกาสเกือบ 100% เต็มที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 5.25-5.50% ในการประชุมวันที่ 12-13 ธ.ค., คาดว่ามีโอกาสราว 43% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างน้อย 0.25% ในการประชุมวันที่ 19-20 มี.ค. 2024 และคาดว่ามีโอกาสเกือบ 75% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงภายในเดือนพ.ค. 2024 ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐพุ่งขึ้น 3.4% ในวันจันทร์ และสามารถปิดตลาดที่ระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 5 ม.ค. 2022 โดยได้รับแรงหนุนจากหุ้นบริษัทบรอดคอมซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปที่พุ่งขึ้น 8.99% หลังจากซิตี้กรุ๊ปกลับมาจัดอันดับความน่าลงทุนของหุ้นบรอดคอม โดยจัดไว้ที่ "buy" ทางด้านหุ้นซิกนาซึ่งเป็นบริษัทประกันสุขภาพทะยานขึ้น 16.68% ในวันจันทร์ หลังจากแหล่งข่าวกล่าวว่า ซิกนายุติความพยายามที่จะเจรจาต่อรองเรื่องการเข้าซื้อบริษัทฮูมานาที่เป็นคู่แข่ง และซิกนาประกาศแผนซื้อคืนหุ้นขนาด 1.0 หมื่นล้านดอลลาร์ Eikon source text
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวกขึ้น 0.43% สู่ 36,404.93 โดยได้รับแรงหนุนจากหุ้นบริษัทไนกี้ที่พุ่งขึ้น 2.33% หลังจากซิตี้กรุ๊ปปรับขึ้นอันดับความน่าลงทุนของหุ้นไนกี้สู่ "buy" จาก "neutral"
ดัชนี S&P 500 ปิดปรับขึ้น 0.39 % สู่ 4,622.44
ดัชนี Nasdaq ปิดปรับขึ้น 0.20 % สู่ 14,432.49
ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX ปรับขึ้นเพียงเล็กน้อยในวันจันทร์ ในขณะที่มาตรการปรับลดปริมาณการผลิตน้ำมันของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันและชาติพันธมิตร (โอเปกพลัส) ไม่สามารถชดเชยความกังวลของนักลงทุนที่มีต่อภาวะน้ำมันดิบล้นตลาด และความกังวลที่ว่าอุปสงค์เชื้อเพลิงจะชะลอการเติบโตลงในปีหน้า อย่างไรก็ดี ราคาน้ำมันได้รับแรงหนุนจากปัจจัยทางเทคนิค และจากข่าวที่ว่า กระทรวงพลังงานของสหรัฐประกาศในวันศุกร์ว่า ทางกระทรวงต้องการจะซื้อน้ำมันดิบ 3 ล้านบาร์เรลเพื่อนำมาเติมในคลังสำรองปิโตรเลียมทางยุทธศาสตร์ (SPR) โดยเป็นน้ำมันที่จะจัดส่งในเดือนมี.ค. 2024 เพื่อเป็นการฉวยโอกาสเติมน้ำมันเข้า SPR ในช่วงที่ราคาน้ำมันอยู่ในระดับต่ำในตอนนี้ ทั้งนี้ ถึงแม้กลุ่มโอเปกพลัสประกาศว่าจะปรับลดปริมาณอุปทานน้ำมันลง 2.2 ล้านบาร์เรลต่อวันในไตรมาสแรกของปีหน้า นักลงทุนก็ยังคงไม่มั่นใจว่ากลุ่มโอเปกพลัสจะปฏิบัติตามมาตรการดังกล่าวมากน้อยเพียงใด ในขณะที่มีการคาดการณ์กันว่า ประเทศนอกโอเปกจะปรับเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมัน ซึ่งจะส่งผลให้เกิดภาวะอุปทานน้ำมันล้นตลาดในปีหน้า Eikon source text
ราคาน้ำมันดิบสหรัฐส่งมอบเดือนม.ค.ขยับขึ้น 9 เซนต์ หรือ 0.1% มาปิดตลาดที่ 71.32 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนก.พ.ที่ตลาดกรุงลอนดอนปรับขึ้น 19 เซนต์ หรือ 0.3% มาปิดตลาดที่ 76.03 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล โดยทั้งราคาน้ำมันดิบสหรัฐและเบรนท์ต่างก็เพิ่งพุ่งขึ้นกว่า 2% ในวันศุกร์ แต่ปิดตลาดสัปดาห์ที่แล้วในแดนลบเป็นสัปดาห์ที่ 7 ติดต่อกัน ซึ่งถือเป็นการปิดตลาดรายสัปดาห์ในแดนลบที่ยาวนานที่สุดนับตั้งแต่ปี 2018 โดยได้รับแรงกดดันจากความกังวลเรื่องอุปทานน้ำมันล้นตลาด
ราคาทองสปอตที่ตลาดสหรัฐดิ่งลง 22.09 ดอลลาร์ หรือ 1.10% สู่ 1,981.30 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงท้ายตลาดวันจันทร์ หลังจากรูดลงแตะ 1,975.70 ดอลลาร์ในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 20 พ.ย. หรือจุดต่ำสุดรอบ 3 สัปดาห์ โดยราคาทองได้รับแรงกดดันจากการแข็งค่าของดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้ทองมีราคาแพงขึ้นสำหรับผู้ถือครองสกุลเงินอื่น ๆ นอกจากนี้ นักลงทุนก็รอดูตัวเลขอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐที่จะออกมาในวันอังคาร และรอดูผลการประชุมกำหนดนโยบายของธนาคารกลางหลายแห่งในสัปดาห์นี้ด้วย ทั้งนี้ นายจิม วิคคอฟ นักวิเคราะห์ของบริษัทคิทโค เมทัลส์กล่าวว่า "ปัจจัยทางเทคนิคในระยะใกล้ของราคาทองตกต่ำลงในช่วงนี้ และถ้าหากสหรัฐรายงานดัชนี CPI ที่สูงเกินคาดในวันอังคาร ปัจจัยดังกล่าวก็อาจจะกระตุ้นให้มีแรงเทขายทองออกมา" Eikon source text
--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--3 ก.ค.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในวันศุกร์ ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อในสหรัฐส่งสัญญาณชะลอตัวลง และหุ้นบริษัทแอปเปิล อิงค์ทะยานขึ้นแตะสถิติสูงสุดใหม่ที่ 194.48 ดอลลาร์ได้ในระหว่างวัน และปิดพุ่งขึ้น 2.3% สู่ 193.97 ดอลลาร์ ซึ่งส่งผลให้มูลค่าของบริษัทแอปเปิลทะยานขึ้นเหนือระดับ 3 ล้านล้านดอลลาร์ได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนม.ค. 2022 โดยหุ้นแอปเปิลได้รับแรงหนุนจากความต้องการซื้อหุ้นเติบโต และจากการคาดการณ์ที่ว่า แอปเปิลจะประสบความสำเร็จในตลาดใหม่ ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานในวันศุกร์ว่า ปริมาณการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคสหรัฐขยับขึ้น 0.1% ในเดือนพ.ค. หลังจากปรับขึ้น 0.6% ในเดือนเม.ย. ในขณะที่ดัชนีราคาค่าใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ซึ่งเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) นิยมใช้ ขยับขึ้น 0.1% ในเดือนพ.ค.เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากปรับขึ้น 0.4% ในเดือนเม.ย. และปรับขึ้น 3.8% ในเดือนพ.ค.เมื่อเทียบรายปี ซึ่งถือเป็นอัตราเงินเฟ้อที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. 2021 โดยชะลอตัวลงจาก 4.3% ในเดือนเม.ย.เมื่อเทียบรายปี ทางด้านดัชนี PCE พื้นฐานที่ไม่รวมราคาอาหารและพลังงานปรับขึ้น 0.3% ในเดือนพ.ค.เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากปรับขึ้น 0.4% ในเดือนเม.ย. ส่วนดัชนี PCE พื้นฐานแบบเทียบรายปีปรับขึ้น 4.6% ในเดือนพ.ค. หลังจากปรับขึ้น 4.7% ในเดือนเม.ย.เมื่อเทียบรายปี
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวกขึ้น 0.84% สู่ 34,407.6, ดัชนี S&P 500 ปิดพุ่งขึ้น 1.23% สู่ 4,450.38 และดัชนี Nasdaq ปิดทะยานขึ้น 1.45% สู่ 13,787.92 โดยดัชนี Nasdaq ปิดตลาดช่วงครึ่งแรกของปีนี้ด้วยการพุ่งขึ้นกว่า 31% จากช่วงสิ้นปีที่แล้ว ซึ่งถือเป็นการพุ่งขึ้นครั้งใหญ่สุดในรอบ 40 ปีสำหรับช่วงครึ่งปีแรก ในขณะที่ดัชนี Nasdaq 100 สำหรับหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีชั้นนำทะยานขึ้นราว 39% ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ซึ่งถือเป็นการพุ่งขึ้นครั้งใหญ่เป็นประวัติการณ์สำหรับช่วงครึ่งปีแรก ทั้งนี้ ดัชนีดาวโจนส์ปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการพุ่งขึ้น 2.02% จากสัปดาห์ที่แล้ว, ดัชนี S&P 500 ทะยานขึ้น 2.35% ในสัปดาห์นี้ และดัชนี Nasdaq พุ่งขึ้น 2.20% ในสัปดาห์นี้ นอกจากนี้ ดัชนีดาวโจนส์ก็ปิดตลาดไตรมาสสองด้วยการทะยานขึ้น 3.4% จากไตรมาสแรก, ดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้น 8.3% ในไตรมาสสอง และดัชนี Nasdaq ทะยานขึ้น 12.8% ในไตรมาสสอง
รายงานตัวเลขของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐช่วยกระตุ้นการคาดการณ์ที่ว่า วัฏจักรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีปรับลงจาก 3.854% ในช่วงท้ายวันพฤหัสบดี สู่ 3.819% ในช่วงท้ายวันศุกร์ ทั้งนี้ นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า มีโอกาส 15.9% ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 5.00-5.25% ในการประชุมวันที่ 25-26 ก.ค. และมีโอกาส 84.1% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ 5.25-5.50% ในการประชุมวันที่ 25-26 ก.ค. โดยโอกาสดังกล่าวปรับลดลงจาก 89.3% ที่เคยคาดไว้ในวันพฤหัสบดี
หุ้นทั้ง 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐปิดตลาดวันศุกร์ในแดนบวก โดยดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีพุ่งขึ้น 1.8% และถือเป็นกลุ่มที่พุ่งขึ้นมากที่สุด ส่วนดัชนีหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ปรับขึ้น 0.5% และถือเป็นกลุ่มที่ปรับขึ้นน้อยที่สุด ทางด้านดัชนีหุ้นเติบโตของสหรัฐทะยานขึ้น 1.4% ในวันศุกร์ ในขณะที่หุ้นบริษัทไมโครซอฟท์, อะเมซอน, เอ็นวิเดีย และเมตา แพลตฟอร์มส์พุ่งขึ้น 1.6-3.6% โดยหุ้นเหล่านี้ได้รับแรงหนุนในช่วงที่ผ่านมาจากผลประกอบการที่แข็งแกร่ง และจากกระแสความนิยมในปัญญาประดิษฐ์ (AI)
ดัชนี Russell 2000 สำหรับหุ้นบริษัทขนาดเล็กของสหรัฐปรับขึ้น 0.4% ในวันศุกร์ ซึ่งถือเป็นการปิดตลาดในแดนบวกได้เป็นวันที่ 5 ติดต่อกัน ทั้งนี้ หุ้นไนกี้ซึ่งเป็นผู้ผลิตชุดกีฬาดิ่งลง 2.6% หลังจากไนกี้คาดการณ์รายได้ไตรมาสแรกที่ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ในย่านวอลล์สตรีท--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--30 มิ.ย.--รอยเตอร์
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์และดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐปิดบวกขึ้นในวันพฤหัสบดี ในขณะที่หุ้นกลุ่มธนาคารพุ่งขึ้น หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้เปิดเผยผลการทดสอบภาวะวิกฤติประจำปีนี้ในวันพุธ ซึ่งเป็นการทดสอบธนาคาร 23 แห่งในสหรัฐที่แต่ละแห่งมีสินทรัพย์ไม่ต่ำกว่า 1.00 แสนล้านดอลลาร์ โดยผลการทดสอบพบว่า ธนาคารขนาดใหญ่เหล่านี้สามารถผ่านการทดสอบ ถึงแม้ว่าภาคธนาคารสหรัฐเพิ่งเผชิญกับภาวะปั่นป่วนวุ่นวายในช่วงต้นปี และเผชิญกับแนวโน้มเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนในอนาคต ทั้งนี้ ผลการทดสอบแสดงให้เห็นว่า ธนาคารกลุ่มนี้มีเงินกองทุนมากพอที่จะสามารถรับมือกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำอย่างรุนแรง และปัจจัยนี้ก็ส่งผลให้ดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารของสหรัฐปิดพุ่งขึ้น 2.6% ในวันพฤหัสบดี และส่งผลให้ดัชนี KBW สำหรับหุ้นธนาคารระดับภูมิภาคของสหรัฐปิดทะยานขึ้น 1.8%
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวกขึ้น 0.8% สู่ 34,122.42, ดัชนี S&P 500 ปิดปรับขึ้น 0.45% สู่ 4,396.44 และดัชนี Nasdaq ปิดขยับลง 0.42 จุด หรือ 0% สู่ 13,591.33 ในวันพฤหัสบดี อย่างไรก็ดี ดัชนี Nasdaq มีแนวโน้มว่าอาจจะปิดตลาดช่วงครึ่งปีแรกด้วยการพุ่งขึ้นกว่า 29% จากช่วงสิ้นปีที่แล้ว ซึ่งจะถือเป็นอัตราการพุ่งขึ้นครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 40 ปีสำหรับช่วงครึ่งปีแรก ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นกลุ่มการเงินพุ่งขึ้น 1.7% ในวันพฤหัสบดี และถือเป็นดัชนีหุ้นกลุ่มใหญ่ที่พุ่งขึ้นมากที่สุดในบรรดาหุ้น 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐ ส่วนดัชนีหุ้นกลุ่มวัสดุทะยานขึ้น 1.3% และถือเป็นกลุ่มที่พุ่งขึ้นมากเป็นอันดับสอง โดยหุ้นกลุ่มวัสดุถือเป็นส่วนหนึ่งของหุ้นกลุ่มวัฏจักรเศรษฐกิจ ทางด้านดัชนี Russell 2000 สำหรับหุ้นบริษัทขนาดเล็กของสหรัฐทะยานขึ้น 1.2% ในวันพฤหัสบดี โดยหุ้นบริษัทขนาดเล็กมักจะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจด้วยเช่นกัน
สหรัฐเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งในวันพฤหัสบดี และรายงานตัวเลขดังกล่าวช่วยกระตุ้นการคาดการณ์ที่ว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะไม่เข้าสู่ภาวะถดถอย และปัจจัยนี้ก็ช่วยหนุนหุ้นกลุ่มวัฏจักรเศรษฐกิจและหุ้นคุณค่า อย่างไรก็ดี ตัวเลขเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งช่วยกระตุ้นการคาดการณ์ที่ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป และส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีปรับขึ้นจาก 3.712% ในช่วงท้ายวันพุธ สู่ 3.854% ในช่วงท้ายวันพฤหัสบดี และปัจจัยนี้ก็ส่งผลลบต่อหุ้นเติบโตและหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ซึ่งเป็นกลุ่มที่มักได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ย ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานในวันพฤหัสบดีว่า ยอดผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในสหรัฐดิ่งลง 26,000 ราย สู่ 239,000 รายในช่วงสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 24 มิ.ย. ซึ่งอยู่ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ในโพลล์รอยเตอร์ที่ 265,000 ราย และการดิ่งลงในครั้งนี้ถือเป็นการดิ่งลงครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนต.ค. 2021 หรือครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 20 เดือน ทางด้านกระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานในวันพฤหัสบดีว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของสหรัฐเติบโตขึ้น 2.0% ในไตรมาสแรก โดยปรับทบทวนขึ้นจากอัตราการเติบโตที่ 1.3% ที่เคยรายงานไว้ในเดือนพ.ค.
นักลงทุนคาดการณ์ในตอนนี้ว่า มีโอกาสราว 10.7% ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 5.00-5.25% ในการประชุมวันที่ 25-26 ก.ค. และมีโอกาสราว 89.3% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ 5.25-5.50% ในการประชุมวันที่ 25-26 ก.ค. โดยโอกาสดังกล่าวปรับขึ้นจาก 81.8% ที่เคยคาดไว้เมื่อหนึ่งวันก่อน นอกจากนี้ นักลงทุนยังคาดการณ์อีกด้วยว่า เฟดจะไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในปีนี้ ทั้งนี้ นักลงทุนรอดูดัชนีราคาค่าใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ประจำเดือนพ.ค.ที่รัฐบาลสหรัฐจะรายงานออกมาในวันศุกร์นี้ เพราะเฟดมักใช้ดัชนี PCE เป็นมาตรวัดภาวะเงินเฟ้อ ทางด้านนักเศรษฐศาสตร์ในโพลล์รอยเตอร์คาดว่า อัตราเงินเฟ้อของดัชนี PCE พื้นฐานอาจทรงตัวที่ 4.7% ในเดือนพ.ค.
ดัชนี Nasdaq ได้รับแรงกดดันในวันพฤหัสบดีจากการดิ่งลงของหุ้นบริษัทขนาดยักษ์ ซึ่งรวมถึงหุ้นอะเมซอนที่ปรับลง 0.9%, หุ้นเมตา แพลตฟอร์มส์ที่ดิ่งลง 1.3%, หุ้นเอ็นวิเดียที่ร่วงลง 0.7% และหุ้นไมโครซอฟท์ที่ปรับลง 0.2%--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--22 พ.ค.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดปรับลงในวันศุกร์ หลังจากการเจรจาต่อรองเรื่องการปรับขึ้นเพดานหนี้ของรัฐบาลกลางสหรัฐจากระดับ 31.4 ล้านล้านดอลลาร์หยุดชะงักลงชั่วคราว และปัจจัยดังกล่าวทำให้นักลงทุนปรับลดการคาดการณ์ในทางบวกที่ว่า อาจจะมีการบรรลุข้อตกลงเรื่องเพดานหนี้ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ทั้งนี้ นายแกร์เรท เกรฟส์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐจากพรรครีพับลิกัน ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำการเจรจาต่อรองได้เดินออกจากการเจรจาในวันศุกร์ และเขากล่าวต่อผู้สื่อข่าวว่า "จนกว่าพวกเขาจะเต็มใจที่จะหารือกันอย่างยากลำบากเรื่องวิธีการเดินหน้าและทำในสิ่งที่ถูกต้อง เราก็จะไม่มานั่งเจรจากัน" อย่างไรก็ดี ทำเนียบขาวระบุว่า ยังคงมีความเป็นไปได้ที่จะมีการบรรลุข้อตกลงกัน
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดปรับลง 0.33% สู่ 33,426.63, ดัชนี S&P 500 ปิดขยับลง 0.14% สู่ 4,191.98 หลังจากดัชนีเพิ่งพุ่งขึ้นกว่า 2% ในวันพุธและวันพฤหัสบดี และดัชนี Nasdaq ปิดปรับลง 0.24% สู่ 12,657.90 ทั้งนี้ เมื่อเทียบกับระดับปิดสัปดาห์ที่แล้ว ดัชนีดาวโจนส์ก็ปิดตลาดสัปดาห์นี้บวกขึ้น 0.38%, ดัชนี S&P 500 ปิดตลาดสัปดาห์นี้ทะยานขึ้น 1.65% และดัชนี Nasdaq ปิดตลาดสัปดาห์นี้พุ่งขึ้น 3.04% โดยทั้งดัชนี S&P 500 และ Nasdaq ต่างก็พุ่งขึ้นในสัปดาห์นี้ในอัตราที่แข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่สัปดาห์สุดท้ายของเดือนมี.ค.
นักลงทุนยังคงไม่แน่ใจในแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐ ในขณะที่นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) แสดงจุดยืนแบบสายพิราบปานกลาง โดยเขากล่าวในวันศุกร์ว่า ภาวะสินเชื่อที่ตึงตัวมากยิ่งขึ้นส่งผลให้ "เฟดอาจจะไม่มีความจำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับที่มากเท่ากับในกรณีที่ไม่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว เพื่อจะได้บรรลุเป้าหมายของเรา" และเขากล่าวย้ำว่า ในตอนนี้เฟดจะตัดสินใจกำหนดนโยบายในการประชุมแต่ละครั้งไป และเขากล่าวเสริมว่า หลังจากเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างแข็งกร้าวในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่เฟดก็สามารถประเมินอย่างระมัดระวังได้ว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยส่งผลกระทบอย่างไรบ้างต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ
ตลาดหุ้นได้รับแรงกดดันเพิ่มเติมจากข่าวของ CNN ที่ระบุว่า เจเน็ต เยลเลน รมว.คลังสหรัฐได้กล่าวต่อซีอีโอของธนาคารต่าง ๆ ในวันพฤหัสบดีว่า อาจจะมีความจำเป็นที่ธนาคารจะต้องควบรวมกิจการกันมากยิ่งขึ้น หลังจากธนาคารหลายแห่งล้มลงในช่วงที่ผ่านมา ทั้งนี้ ดัชนี KBW สำหรับหุ้นธนาคารระดับภูมิภาคของสหรัฐดิ่งลง 2.17% ในวันศุกร์ แต่ปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการพุ่งขึ้น 6.2% จากสัปดาห์ที่แล้ว หลังจากปิดตลาดรายสัปดาห์ในแดนลบมานาน 3 สัปดาห์ติดต่อกัน โดยดัชนี KBW ได้รับแรงหนุนในสัปดาห์นี้จากการที่นักลงทุนมองว่า ปัญหาในภาคธนาคารระดับภูมิภาคอยู่ภายใต้การควบคุมเป็นส่วนใหญ่ ทางด้านหุ้นธนาคารมอร์แกน สแตนเลย์ดิ่งลง 2.66% ในวันศุกร์ หลังจากนายเจมส์ กอร์แมน ซีอีโอของมอร์แกน สแตนเลย์ประกาศว่า เขาจะลงจากตำแหน่งในเวลา 12 เดือนข้างหน้า
หุ้นฟูต ล็อกเกอร์ ซึ่งเป็นผู้ค้าปลีกรองเท้าดิ่งลง 27.24% ซึ่งถือเป็นการดิ่งลงรายวันครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 25 ก.พ. 2022 หลังจากฟูต ล็อกเกอร์ปรับลดคาดการณ์ผลกำไรและยอดขายประจำปี โดยประกาศเตือนของฟูต ล็อกเกอร์มีส่วนกดดันหุ้นอันเดอร์ อาร์เมอร์ให้รูดลง 4.20% และกดดันหุ้นไนกี้ให้ดิ่งลง 3.46% ด้วย โดยไนกี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของดัชนีดาวโจนส์--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--8 มี.ค.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดดิ่งลงอย่างรุนแรงในวันอังคาร หลังจากนายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวต่อสมาชิกสภาคองเกรสในวันอังคารว่า เฟดมีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสู่ระดับที่สูงเกินกว่าที่เคยคาดการณ์กันไว้ และเขากล่าวเตือนว่า เฟดยังคงมีงานที่ต้องทำอีกมากในการทำให้อัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลงสู่ 2% นอกจากนี้ เขายังกล่าวอีกด้วยว่า เฟดพร้อมที่จะเร่งความเร็วในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ถ้าหาก "ภาพรวม" ของข้อมูลที่กำลังจะออกมาในอนาคตบ่งชี้ว่า เฟดจำเป็นต้องใช้มาตรการที่เข้มงวดยิ่งขึ้นในการควบคุมภาวะเงินเฟ้อ ทั้งนี้ เขากล่าวเสริมว่า เฟดจะไม่ปรับเปลี่ยนเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อที่ 2% และตลาดแรงงานไม่ได้ส่งสัญญาณบ่งชี้ว่า เศรษฐกิจกำลังจะตกต่ำลง โดยเขามีกำหนดที่จะให้การอีกครั้งต่อคณะกรรมาธิการบริการทางการเงินประจำสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐในวันพุธ
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดดิ่งลง 1.72% สู่ 32,856.46, ดัชนี S&P 500 ปิดรูดลง 1.53% สู่ 3,986.37; และดัชนี Nasdaq ปิดดิ่งลง 1.25% สู่ 11,530.33 ทั้งนี้ หุ้นทั้ง 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐปิดตลาดในแดนลบ โดยดัชนีหุ้นกลุ่มการเงินซึ่งเป็นกลุ่มที่มักจะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจดิ่งลง 2.5% และถือเป็นกลุ่มที่รูดลงมากที่สุด ส่วนดัชนีหุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นปรับลดลง 0.97% และถือเป็นกลุ่มที่ปรับลงน้อยที่สุด
เทรดเดอร์ในตลาดสัญญาล่วงหน้า fed funds คาดการณ์ในช่วงนี้ว่า มีโอกาสราว 62.1% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% สู่ 5.00-5.25% ในการประชุมวันที่ 21-22 มี.ค. โดยปรับขึ้นจากโอกาสราว 22% ที่เคยคาดไว้ในช่วงเช้าวันอังคาร ทั้งนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 2 ปี ซึ่งมักจะปรับตัวตามการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยระยะสั้น พุ่งขึ้นแตะ 5.021% ในวันอังคาร ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.ค. 2007
นักลงทุนรอดูตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรที่กระทรวงแรงงานสหรัฐจะรายงานออกมาในวันศุกร์นี้ หลังจากการจ้างงานนอกภาคเกษตรพุ่งขึ้น 517,000 ตำแหน่งในเดือนม.ค. ซึ่งเป็นระดับที่สูงเกินคาดเป็นอย่างมาก โดยนักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ในตอนนี้ว่า การจ้างงานในสหรัฐอาจทะยานขึ้น 203,000 ตำแหน่งในเดือนก.พ. และคาดการณ์ว่าค่าแรงอาจปรับขึ้น 0.3% ในเดือนก.พ.เมื่อเทียบรายเดือน และปรับขึ้น 4.8% ในเดือนก.พ.เมื่อเทียบรายปี
หุ้นริเวียน ออโตโมทีฟ ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าดิ่งลง 14.5% หลังจากริเวียนเปิดเผยแผนการขายหุ้นกู้ขนาด 1.3 พันล้านดอลลาร์ ส่วนหุ้นเทสลา ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารูดลง 3% ถึงแม้นายอีลอน มัสก์ ซีอีโอของเทสลากล่าวในงานประชุมนักลงทุนว่า เขามองเห็นแนวทางที่ชัดเจนในการผลิตรถยนต์ที่มีขนาดเล็กลงโดยใช้ต้นทุนการผลิตเพียงครึ่งเดียวของรถรุ่นโมเดล 3--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
ดัชนีหุ้นหลักทั้งสามตัวในตลาดหุ้นวอลล์สตรีทปิดพุ่งขึ้นในวันพุธ ซึ่งเป็นการพุ่งขึ้นมากที่สุดในวันเดียวในเดือนนี้โดยได้แรงหนุนจากผลประกอบการรายไตรมาสที่สดใสจากไนกี้และเฟดเอกซ์ รวมทั้งข้อมูลความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ดีขึ้น และการคาดการณ์เงินเฟ้อที่ลดลงจากนักลงทุน
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดพุ่งขึ้น 526.74 จุด หรือ 1.6% ที่ 33,376.48, ดัชนี S&P 500 ปิดพุ่งขึ้น 56.82 จุด หรือ 1.49% สู่ระดับ 3,878.44 และดัชนี Nasdaq ปิดพุ่งขึ้น 162.66 จุด หรือ 1.54% สู่ 10,709.37
หุ้นไนกี้ทะยานขึ้น 12% หลังจากบริษัทได้แถลงผลกำไรสำหรับไตรมาส 2 ที่ดีเกินคาดจากอุปสงค์ที่แข็งแกร่งในช่วงวันหยุดจากผู้บริโภคในอเมริกาเหนือ ส่วนหุ้นเฟดเอกซ์พุ่งขึ้น 3.4% หลังจากแถลงการคาดการณ์ทางการเงิน และแผนการลดต้นทุน 1 พันล้านดอลลาร์ และหุ้นคาร์นิวัล คอร์ปพุ่งขึ้น 4.7% หลังจากแถลงผลขาดทุนที่ต่ำกว่าคาด
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคพุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 8 เดือนในเดือนธ.ค. ขณะที่อัตราเงินเฟ้อลดลง และตลาดแรงงานยังคงแข็งแกร่ง ส่วนตัวเลขคาดการณ์เงินเฟ้อระยะ 12 เดือนลดลงสู่ระดับ 6.7% ซึ่งเป็นจุดต่ำสุดตั้งแต่เดือนก.ย.2021 แต่ยอดขายบ้านมือสองร่วงลง 7.7% สู่ระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปีครึ่งในเดือนพ.ย. ขณะที่ตลาดบ้านได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อจำนองที่สูงขึ้น แต่ข้อมูลนี้ก็อาจจะทำให้นักลงทุนมีความหวังว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะผ่อนคลายนโยบายคุมเข้มทางการเงิน
นายไบรอัน ไพรซ์ ผู้อำนวยการฝ่ายจัดการการลงทุนจากคอมมอนเวลธ์ ไฟแนนเชียล เน็ตเวิร์คกล่าวว่า "ในระดับมหภาค คุณยังมีภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว แต่ในระดับจุลภาค คุณมีบริษัทที่ปรับตัวรับ และให้การคาดการณ์เชิงบวกจากมุมมองผลกำไร ส่วนผสมนี้กำลังจะเป็นปัจจัยบวก" ขณะที่นายเอ็ดเวิร์ด โจนส์ คูร์คาฟาส กล่าวว่า "ยังมีความไม่แน่นอนอยู่มากมาย และเราอาจจะเห็นความผันผวนมากในช่วงต้นปี ขณะที่เราอาจจะอยู่ในภาวะถดถอยเล็กน้อย" แต่เขาก็เชื่อว่า ตลาดได้ปรับตัวรับภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอลงแล้ว--จบ--
(รอยเตอร์ โดย เสาวณีย์ เอกปัญญาชัย แปลและเรียบเรียง)
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
เครื่องมือออกแบบโปสเตอร์
โครงการพันธมิตร
ความเสี่ยงของการสูญเสียในการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น หุ้น FX สินค้าโภคภัณฑ์ ฟิวเจอร์ส พันธบัตร ETFs หรือเงินดิจิทัลอาจมีมาก คุณอาจสูญเสียเงินทุนทั้งหมดที่คุณฝากไว้กับโบรกเกอร์ของคุณ ดังนั้น คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบว่าการซื้อขายดังกล่าวเหมาะสมกับคุณหรือไม่ในสถานการณ์และทรัพยากรทางการเงินของคุณ
ไม่ควรตัดสินใจลงทุนโดยไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบสถานะอย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วยตัวเองหรือปรึกษากับที่ปรึกษาทางการเงินของคุณ เนื้อหาเว็บของเราอาจไม่เหมาะกับคุณเนื่องจากเราไม่ทราบเงื่อนไขทางการเงินและความต้องการในการลงทุนของคุณ ข้อมูลทางการเงินของเราอาจมีความล่าช้าหรือมีความไม่ถูกต้อง ดังนั้นคุณควรรับผิดชอบอย่างเต็มที่ต่อการตัดสินใจซื้อขายและการลงทุนของคุณ บริษัทจะไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียเงินทุนของคุณ
หากไม่ได้รับอนุญาตจากเว็บไซต์ คุณจะไม่สามารถคัดลอกกราฟิก ข้อความ หรือเครื่องหมายการค้าของเว็บไซต์ได้ สิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาในเนื้อหาหรือข้อมูลที่รวมอยู่ในเว็บไซต์นี้เป็นของผู้ให้บริการและผู้ค้าแลกเปลี่ยน
ไม่ได้ล็อกอิน
เข้าสู่ระบบเพื่อเข้าถึงฟังก์ชั่นเพิ่มเติม

สมาชิก FastBull
ยังไม่ได้เปิด
สมัคร
เข้าสู่ระบบ
ลงทะเบียน