ตลาด
ข่าวสาร
การวิเคราะห์
ผู้ใช้
24x7
ปฏิทินเศรษฐกิจ
แหล่งเรียนรู้
ข้อมูล
- ชื่อ
- ค่าล่าสุด
- ครั้งก่อน












สัญญาณ VIP
ทั้งหมด
ทั้งหมด



สหรัฐอเมริกา คำสั่งซื้อสินค้าคงทนนอกกระทรวงกลาโหมที่ได้แก้ไข MoM (ไม่รวมเครื่องบิน)(SA) (ก.ย.)ค:--
ค: --
สหรัฐอเมริกา คำสั่งซื้อโรงงาน MoM(ยกเว้นการขนส่ง) (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา คำสั่งซื้อโรงงาน MoM(ยกเว้นภาคกลาโหม) (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การเปลี่ยนแปลงสต็อกก๊าซธรรมชาติประจำสัปดาห์ของ EIAค:--
ค: --
ค: --
ซาอุดิอาระเบีย การผลิตน้ำมันดิบค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การถือครองธนารักษ์สหรัฐฯของธนาคารกลางต่างประเทศรายสัปดาห์ค:--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น เงินตราที่ใช้เป็นทุนสำรอง (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย อัตราขายคืนค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย ดอกเบี้ยอ้างอิงค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย อัตราขายคืนค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย อัตราเงินสดสำรองค:--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น อินดิเคเตอร์ชั้นนำเบื้องต้น (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหราชอาณาจักร ดัชนีราคาที่อยู่อาศัย Halifax YoY (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหราชอาณาจักร ดัชนีราคาที่อยู่อาศัย Halifax MoM (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส บัญชีเดินสะพัด (Not SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส ดุลการค้า (SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส การผลิตภาคอุตสาหกรรม MoM(SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
อิตาลี ดัชนียอดค้าปลีก MoM (SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงาน YoY (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน GDP Final YoY (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน GDP Final QoQ (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงาน QoQ (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงานสุดท้าย (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
บราซิล PPI MoM (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
เม็กซิโก ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา อัตราการว่างงาน (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา อัตราการมีส่วนร่วมในการจ้างงาน (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงาน (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงานนอกเวลา (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงานเต็มเวลา (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา รายได้ส่วนบุคคล MoM (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาธนาคารกลางรัฐดัลลาส สหรัฐอเมริกา PCE YoY (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคา PCE YoY (SA) (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคา PCE MoM (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา รายจ่ายส่วนบุคคล MoM(SA) (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาPCEหลักMoM (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา เงินเฟ้อเบื้องต้น UMich 5-YearYoY (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาPCEหลักYoY (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ค่าใช้จ่ายการบริโภคส่วนบุคคลที่จริง MoM (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การคาดการณ์เงินเฟ้อ 5-10 ปี (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีสถานภาพเบื้องต้น UMich ปัจจุบัน (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้น UMich (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อล่วงหน้า 1 ปี UMich (เบื้องต้น) (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีความคาดหวังผู้บริโภค UMich (เบื้องต้น) (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ปริมาณเครื่องเจาะทั้งหมดรายสัปดาห์--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ปริมาณเครื่องเจาะน้ำมันทั้งหมดรายสัปดาห์--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา สินเชื่ออุปโภคบริโภค (SA) (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ เงินตราที่ใช้เป็นทุนสำรอง (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ปริมาณการส่งออก YoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การนำเข้า YoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การนำเข้าYoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การนำเข้า (CNH) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ดุลการค้า (CNH) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การส่งออก (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น ค่าจ้าง MoM (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น ดุลการค้า (ต.ค.)--
ค: --
ค: --


ไม่มีข้อมูลที่ตรงกัน
ทัศนคติล่าสุด
ทัศนคติล่าสุด
หัวข้อยอดนิยม
คอลัมนิสต์ยอดนิยม
อัปเดตล่าสุด
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
ดูผลการค้นหาทั้งหมด

ไม่มีข้อมูล
บริษัทมูดี้ส์ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของธนาคารขนาดเล็กถึงขนาดกลางหลายแห่งของสหรัฐ และระบุว่าอาจจะปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือธนาคารที่ใหญ่ที่สุดบางแห่งของสหรัฐ โดยเตือนว่า ความแข็งแกร่งด้านความน่าเชื่อถือของภาคธนาคารอาจจะถูกทดสอบจากความเสี่ยงด้านการระดมทุน และความสามารถในการทำกำไรที่ลดลง
มูดี้ส์ลดอันดับความน่าเชื่อถือของธนาคาร 10 แห่งลง 1 ขั้น และประกาศทบทวนโดยมีแนวโน้มปรับลดลงสำหรับธนาคารขนาดใหญ่อีก 6 แห่ง อาทิ แบงก์ ออฟ นิวยอร์ค เมลลอน, ยูเอส แบนคอร์ป, สเตท สตรีท และทรูอิสต์ ไฟแนนเชียล
มูดี้ส์ระบุว่า "ผลประกอบการในไตรมาส 2 ของธนาคารหลายแห่งแสดงถึงแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นด้านความสามารถในการทำกำไร ซึ่งจะลดความสามารถของพวกเขาที่จะสร้างเงินทุนภายใน และสิ่งนี้เกิดขึ้นในขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐจะถดถอยเล็กน้อยในไม่ช้าในช่วงต้นปีหน้า และดูเหมือนว่าคุณภาพสินทรัพย์จะลดลง โดยมีความเสี่ยงเป็นพิเศษในการถือครองอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ของธนาคารบางแห่ง"
ความเสี่ยงด้านอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ที่เพิ่มขึ้นเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญเนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น, ความต้องการสำนักงานที่ลดลงอันเป็นผลจากการทำงานทางไกล และการลดลงของสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์
มูดี้ส์ยังเตือนว่า ธนาคารที่มีผลขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงเป็นจำนวนมากซึ่งไม่ถูกสะท้อนในสัดส่วนเงินทุนตามกฎเกณฑ์นั้น มีความเปราะบางต่อการสูญเสียความเชื่อมั่นท่ามกลางสภาวะอัตราดอกเบี้ยสูงในปัจจุบัน--จบ--
Eikon source text
นิวยอร์ค--20 ก.ค.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดปรับขึ้นในวันพุธ ในขณะที่นักลงทุนปรับตัวรับฤดูการรายงานผลประกอบการไตรมาสสอง โดยดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารของสหรัฐพุ่งขึ้น 1.70% ในวันพุธ ซึ่งถือเป็นการปิดตลาดในแดนบวกเป็นวันที่ 3 ติดต่อกัน และถือเป็นการปิดตลาดในแดนบวกเป็นวันที่ 8 ในช่วง 9 วันทำการที่ผ่านมา ทั้งนี้ หุ้นธนาคารโกลด์แมน แซคส์บวกขึ้น 0.97% ในวันพุธ หลังจากโกลด์แมน แซคส์รายงานว่า ผลกำไรปรับลงแตะจุดต่ำสุดรอบ 3 ปี แต่นายเดวิด โซโลมอน ซีอีโอของโกลด์แมน แซคส์แสดงความเห็นในทางบวกต่อสัญญาณการฟื้นตัวของแผนกวาณิชธนกิจ ซึ่งเป็นความเห็นที่สอดคล้องกับความเห็นของธนาคารขนาดใหญ่แห่งอื่น ๆ ในวันอังคารที่ผ่านมา
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวกขึ้น 0.31% สู่ 35,061.21 ซึ่งถือเป็นการปิดตลาดในแดนบวกเป็นวันที่ 8 ติดต่อกัน และระยะ 8 วันนี้ถือว่ายาวนานที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.ย. 2019 หรือนานที่สุดในรอบเกือบ 4 ปี ทางด้านดัชนี S&P 500 ปิดปรับขึ้น 0.24% สู่ 4,565.72 และดัชนี Nasdaq ปิดขยับขึ้น 0.03% สู่ 14,358.02 ทั้งนี้ ดัชนี Nasdaq ขยับขึ้นได้น้อยมาก เพราะว่าดัชนีได้รับแรงกดดันจากหุ้นไมโครซอฟท์ที่ดิ่งลง 1.23% หลังจากมีข่าวว่าบริษัทแอปเปิลกำลังพัฒนาบริการด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ทางด้านหุ้นเอ็นวิเดียร่วงลง 0.88% และหุ้นแอลฟาเบทดิ่งลง 1.40% ส่วนหุ้นแอปเปิลบวกขึ้น 0.71%
ดัชนี KBW สำหรับหุ้นธนาคารระดับภูมิภาคของสหรัฐพุ่งขึ้น 2.90% มาปิดตลาดที่ 99.04 ในวันพุธ ซึ่งถือเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 10 มี.ค. ซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้นของวิกฤติภาคธนาคาร และถือเป็นการปิดตลาดในแดนบวกเป็นวันที่ 3 ติดต่อกัน ในขณะที่หุ้นธนาคารซิติเซนส์ ไฟแนนเชียลทะยานขึ้น 6.39% และหุ้นเอ็มแอนด์ที แบงก์พุ่งขึ้น 2.48% หลังจากธนาคารทั้งสองแห่งนี้เปิดเผยผลกำไรไตรมาสสองที่ดีเกินคาด นอกจากนี้ หุ้นยูเอส แบงคอร์ปซึ่งเป็นธนาคารที่มีสำนักงานใหญ่ในเมืองมินนิอาโปลิสก็พุ่งขึ้น 6.46% หลังจากยูเอส แบงคอร์ปรายงานว่า รายได้ดอกเบี้ยสุทธิพุ่งขึ้น 28% ในไตรมาสล่าสุด
นักลงทุนคาดการณ์ในช่วงนี้ว่า ผลกำไรของบริษัทสหรัฐอาจดิ่งลง 8.2% ในไตรมาสสอง หลังจากที่เคยคาดการณ์ในช่วงต้นเดือนก.ค.ว่า ผลกำไรอาจปรับลดลงเพียง 5.7% ในไตรมาสสอง ทั้งนี้ หลังจากตลาดหุ้นปิดทำการในวันพุธ เทสลาซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าก็รายงานว่า อัตราผลกำไรขั้นต้นปรับลดลงในไตรมาสสองเมื่อเทียบกับไตรมาสแรก โดยอัตราผลกำไรขั้นต้นปรับลดลงสู่ 18.2% ในไตรมาสสอง ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดในรอบ 16 ไตรมาส
หลังจากตลาดหุ้นปิดทำการในวันพุธ บริษัทเน็ตฟลิกซ์ได้รายงานผลกำไรที่ดีเกินคาด โดยผลกำไรต่อหุ้นปรับลดของเน็ตฟลิกซ์อยู่ที่ 3.29 ดอลลาร์ต่อหุ้นในไตรมาสสอง ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ 2.86 ดอลลาร์ อย่างไรก็ดี เน็ตฟลิกซ์รายงานว่า รายได้ปรับขึ้น 2.7% เมื่อเทียบรายปี สู่ 8.2 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสสอง ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ 8.3 พันล้านดลอลาร์ และเน็ตฟลิกซ์คาดว่า รายได้ในไตรมาสสามจะอยู่ที่ระดับ 8.5 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ 8.7 พันล้านดอลลาร์ ทั้งนี้ หุ้นเอทีแอนด์ทีซึ่งเป็นบริษัทโทรคมนาคมปิดพุ่งขึ้น 8.48% หลังจากเอทีแอนด์ทีประกาศว่า ทางบริษัทไม่ได้วางแผนที่จะถอนสายเคเบิลตะกั่วออกจากทะเลสาบทาโฮในทันที โดยทางบริษัทจะรอผลการวิเคราะห์เพิ่มเติมก่อน ทางด้านหุ้นเวริซอนในกลุ่มโทรคมนาคมทะยานขึ้น 5.27%--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--19 ก.ค.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดปรับขึ้นในวันอังคาร โดยได้รับแรงหนุนส่วนหนึ่งจากผลกำไรที่แข็งแกร่งในภาคธนาคาร โดยหุ้นธนาคารมอร์แกน สแตนเลย์พุ่งขึ้น 6.45% ซึ่งถือเป็นการพุ่งขึ้นครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 9 พ.ย. 2020 หลังจากมอร์แกน สแตนเลย์รายงานผลกำไรที่สูงเกินคาด ในขณะที่การเติบโตของธุรกิจบริหารความมั่งคั่งช่วยชดเชยรายได้ที่ลดลงจากแผนกเทรดดิง ทางด้านหุ้นธนาคารแบงก์ ออฟ อเมริกาทะยานขึ้น 4.42% หลังจากแบงก์ ออฟ อเมริกาเปิดเผยผลกำไรที่สูงเกินคาด โดยทางธนาคารมีผลกำไรเพิ่มขึ้นจากการชำระหนี้ของลูกค้า และแผนกวาณิชธนกิจกับแผนกเทรดดิงก็มีผลประกอบการดีเกินคาดด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ หุ้นธนาคารแห่งอื่น ๆ ก็พุ่งขึ้นในวันอังคารด้วยเช่นกัน โดยหุ้นธนาคารแบงก์ ออฟ นิวยอร์ค เมลลอนทะยานขึ้น 4.11% และหุ้นบริษัทพีเอ็นซี ไฟแนนเชียลพุ่งขึ้น 2.51% หลังจากธนาคารทั้งสองเปิดเผยผลประกอบการรายไตรมาส ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารของสหรัฐพุ่งขึ้น 1.90% มาปิดตลาดที่ 317.02 ซึ่งถือเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 8 มี.ค. ซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้นของวิกฤติภาคธนาคาร ทางด้านดัชนี KBW สำหรับหุ้นธนาคารระดับภูมิภาคของสหรัฐทะยานขึ้น 4.10% มาปิดตลาดที่ 96.25 ซึ่งถือเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 21 มี.ค.
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดพุ่งขึ้น 366.58 จุด หรือ 1.06% สู่ 34,951.93 ซึ่งถือเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. 2022 และถือเป็นการปิดตลาดในแดนบวกเป็นวันที่ 7 ติดต่อกัน โดยระยะ 7 วันนี้ถือเป็นการปิดตลาดในแดนบวกที่ยาวนานที่สุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค. 2021 หรือยาวนานที่สุดในรอบกว่า 2 ปีด้วย ทางด้านดัชนี S&P 500 ปิดบวกขึ้น 0.71% สู่ 4,554.98 และดัชนี Nasdaq ปิดปรับขึ้น 0.76% สู่ 14,353.64 ทั้งนี้ ดัชนีดาวโจนส์ได้รับแรงหนุนจากหุ้นยูไนเต็ดเฮลธ์ซึ่งเป็นบริษัทประกันสุขภาพที่พุ่งขึ้น 3.29% หลังจากบริษัทเบิร์นสไตน์ปรับขึ้นอันดับความน่าลงทุนของหุ้นยูไนเต็ดเฮลธ์สู่ "outperform" โดยการพุ่งขึ้นของหุ้นยูไนเต็ดเฮลธ์ส่งผลบวกราว 105 จุดต่อดัชนีดาวโจนส์ในวันอังคาร
หุ้นชาร์ลส์ ชว็อบ ซึ่งเป็นบริษัทโบรกเกอร์พุ่งขึ้น 12.57% และถือเป็นหุ้นที่พุ่งขึ้นมากที่สุดในดัชนี S&P 500 หลังจากชาร์ลส์ ชว็อบรายงานว่าผลกำไรรายไตรมาสลดลงไม่มากเท่าที่คาด ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีพุ่งขึ้น 1.26% ในวันอังคาร และถือเป็นหุ้นกลุ่มใหญ่ที่พุ่งขึ้นมากที่สุดในวันอังคาร ในขณะที่หุ้นบริษัทไมโครซอฟท์ทะยานขึ้น 3.98% มาปิดตลาดที่สถิติระดับปิดสูงสุดที่ 359.49 ดอลลาร์ หลังจากไมโครซอฟท์ประกาศว่าทางบริษัทจะขึ้นค่าบริการสำหรับการเข้าใช้บริการปัญญาประดิษฐ์ (AI) ใหม่ในชุดโปรแกรม Office
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานในวันอังคารว่า ยอดค้าปลีกทั่วไปปรับขึ้นน้อยเกินคาด โดยปรับขึ้นเพียง 0.2% ในเดือนมิ.ย.เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ในโพลล์รอยเตอร์ที่ +0.5% หลังจากยอดค้าปลีกปรับขึ้น 0.5% ในเดือนพ.ค. โดยยอดค้าปลีกทั่วไปได้รับแรงกดดันในเดือนมิ.ย.จากยอดค้าปลีกวัสดุก่อสร้างที่ดิ่งลง 1.2% และยอดขายตามปั๊มน้ำมันที่รูดลง 1.4% ตามราคาน้ำมันเบนซิน อย่างไรก็ดี ยอดค้าปลีกพื้นฐาน ซึ่งไม่รวมรถยนต์, น้ำมันเบนซิน, วัสดุก่อสร้าง และบริการอาหารปรับขึ้น 0.6% ในเดือนมิ.ย. หลังจากปรับขึ้น 0.3% ในเดือนพ.ค.
ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) รายงานในวันอังคารว่า ผลผลิตโรงงานสหรัฐปรับลดลง 0.3% ในเดือนมิ.ย. หลังจากปรับลดลง 0.2% ในเดือนพ.ค. ในขณะที่โพลล์รอยเตอร์คาดไว้ก่อนหน้านี้ว่า ผลผลิตภาคโรงงานอาจทรงตัวในเดือนมิ.ย. อย่างไรก็ดี ผลผลิตภาคโรงงานดีดขึ้น 1.5% ในไตรมาสสองเมื่อเทียบเป็นตัวเลขเต็มปี (annualized) หลังจากหดตัวลง 0.2% ในไตรมาสแรก ในขณะที่ผลผลิตยานยนต์พุ่งขึ้น 36.7% ในไตรมาสสอง--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--17 ก.ค.--รอยเตอร์
ดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐปิดปรับลงเล็กน้อยในวันศุกร์ ในขณะที่หุ้นกลุ่มธนาคารและหุ้นกลุ่มการเงินส่วนใหญ่ร่วงลง หลังจากธนาคารและบริษัทการเงินบางแห่งเปิดเผยผลประกอบการรายไตรมาสในวันศุกร์ ซึ่งถือเป็นการเริ่มต้นฤดูการรายงานผลประกอบการไตรมาส 2 อย่างไม่เป็นทางการ ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารของสหรัฐร่วงลง 0.9% ในขณะที่หุ้นธนาคารเจพีมอร์แกน เชสปรับขึ้น 0.6% และหุ้นธนาคารเวลส์ ฟาร์โกปรับลง 0.3% หลังจากธนาคารทั้งสองแห่งรายงานว่า ผลกำไรรายไตรมาสปรับสูงขึ้น แต่ธนาคารทั้งสองแห่งได้กันสำรองเงินไว้มากยิ่งขึ้นสำหรับหนี้สงสัยจะสูญในส่วนของสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ ทางด้านดัชนีหุ้นกลุ่มการเงินของสหรัฐร่วงลง 0.7% ในขณะที่หุ้นซิตี้กรุ๊ปดิ่งลง 4% หลังจากซิตี้กรุ๊ปรายงานว่าผลกำไรรายไตรมาสดิ่งลง ส่วนหุ้นบริษัทแบล็คร็อครูดลง 1.5% หลังจากแบล็คร็อครายงานว่ารายได้รายไตรมาสปรับลดลง
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวกขึ้น 0.33% สู่ 34,509.03, ดัชนี S&P 500 ปิดขยับลง 0.10% สู่ 4,505.42 และดัชนี Nasdaq ปิดปรับลง 0.18% สู่ 14,113.70 ทั้งนี้ เมื่อเทียบกับระดับปิดสัปดาห์ที่แล้ว ดัชนีดาวโจนส์ก็ปิดตลาดสัปดาห์นี้พุ่งขึ้น 2.3%, ดัชนี S&P 500 ปิดตลาดสัปดาห์นี้ทะยานขึ้น 2.4% และดัชนี Nasdaq ปิดตลาดสัปดาห์นี้พุ่งขึ้น 3.3% โดยดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้นมาแล้ว 17% จากช่วงต้นปีนี้
ดัชนีดาวโจนส์ได้รับแรงหนุนจากหุ้นบริษัทยูไนเต็ดเฮลธ์ กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทประกันสุขภาพที่พุ่งขึ้น 7.2% หลังจากยูไนเต็ดเฮลธ์เปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่งเกินคาด ทางด้านหุ้นบริษัทประกันสุขภาพแห่งอื่น ๆ ทะยานขึ้นเช่นกัน ซึ่งรวมถึงหุ้นฮูมานาที่พุ่งขึ้น 2.5% และหุ้นซิกนาที่ทะยานขึ้น 4.7% ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานดิ่งลง 2.8% และถือเป็นกลุ่มที่ถ่วงตลาดหุ้นสหรัฐลงมากที่สุดในวันศุกร์ ส่วนดัชนีหุ้นกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำปรับลง 0.33% สู่ 8,017.97 ในวันศุกร์ หลังจากพุ่งขึ้นแตะสถิติสูงสุดใหม่ในระหว่างวันที่ 8,183.38
นักวิเคราะห์คาดว่า ผลกำไรของบริษัทในดัชนี S&P 500 อาจดิ่งลง 8.1% ในไตรมาสสองเมื่อเทียบรายปี แต่บริษัทส่วนใหญ่มักจะรายงานผลประกอบการที่ดีเกินคาด ทั้งนี้ นักยุทธศาสตร์การลงทุนบางรายระบุว่า หุ้นกลุ่มธนาคารอาจเผชิญกับแรงเทขาย หลังจากพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในช่วงที่ผ่านมา โดยทั้งดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารและดัชนี KBW สำหรับหุ้นธนาคารระดับภูมิภาคของสหรัฐต่างก็ปิดตลาดวันศุกร์ในแดนลบ หลังจากปิดตลาดในแดนบวกมานานติดต่อกัน 5 วัน โดยดัชนี KBW รูดลง 1.9% ในวันศุกร์
หุ้นเทสลาพุ่งขึ้น 1.3% ในวันศุกร์ ในขณะที่เทสลาจะรายงานผลประกอบการในวันพุธที่ 19 ก.ค. และถือเป็นบริษัทแห่งแรกในกลุ่มบริษัทเติบโตขนาดยักษ์ที่จะรายงานผลประกอบการออกมา--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นายไมเคิล บาร์ รองประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ฝ่ายกำกับดูแลได้จัดทำแผนปรับเปลี่ยนขนาดใหญ่เพื่อเพิ่มการดำรงเงินกองทุนของธนาคารที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐ หลังจากเกิดการล้มละลายของธนาคารเมื่อไม่นานมานี้
เขากล่าวว่า เขาวางแผนที่จะดำเนินแผนริเริ่มด้านการกำกับดูแลหลายแผน ซึ่งจะกำหนดให้ธนาคารขนาดใหญ่ต้องมีสินทรัพย์ในการถือครองมากกว่า 1.00 แสนล้านดอลลาร์อยู่ในทุนสำรอง โดยระบุว่า การล้มละลายของธนาคารได้ตอกย้ำความจำเป็นที่ผู้ควบคุมกฎต้องหนุนการฟื้นตัวไวในระบบ
แต่เขาไม่ได้วางแผนที่จะปฏิรูปกรอบด้านทุนของธนาคารสหรัฐ แต่จะสร้างกรอบขึ้นในหลายๆทางด้วยกัน ซึ่งรวมถึงการดำเนินตามข้อตกลงเงินทุนธนาคารบาเซลที่ใช้กันทั่วโลก และการขยายการทดสอบสถานะของธนาคารโดยใช้การทดสอบภาวะวิกฤติประจำปี เขาไม่ได้ให้ลำดับเวลาที่เฉพาะเจาะจงสำหรับการเปลี่ยนแปลง แต่ก็คาดว่าจะเริ่มต้นในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า
เขาระบุว่า วิกฤติที่เกิดขึ้นพิสูจน์ให้เห็นว่า ธนาคารขนาดเล็กสามารถมีบทบาทต่อระบบได้ ซึ่งหมายความว่า ธนาคารเหล่านี้ควรจะได้รับการกำกับดูแลที่เข้มงวดขึ้น และเขาจะหาทางบังคับใช้กฎด้านเงินทุนที่เข้มงวดขึ้นกับธนาคารที่มีสินทรัพย์มากกว่า 1.00 แสนล้านดอลลาร์ โดยจะขยายจำนวนบริษัทที่ต้องปฏิบัติตาม
แต่เขาย้ำว่า ข้อกำหนดใหม่ใดๆจะต้องผ่านการเขียนกฎอย่างเป็นทางการ และกระบวนการทำประชาพิจารณ์ก่อน และจะมีระยะเวลาการเปลี่ยนถ่ายที่ยาวนานเพื่อให้ธนาคารต่างๆสามารถเพิ่มทุนที่จำเป็นได้--จบ--
Eikon source text
วอชิงตัน--29 มิ.ย.--รอยเตอร์
ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้เปิดเผยผลการทดสอบภาวะวิกฤติประจำปีนี้ในวันพุธ ซึ่งเป็นการทดสอบธนาคาร 23 แห่งในสหรัฐที่แต่ละแห่งมีสินทรัพย์ไม่ต่ำกว่า 1.00 แสนล้านดอลลาร์ โดยผลการทดสอบพบว่า ธนาคารขนาดใหญ่เหล่านี้สามารถผ่านการทดสอบ ถึงแม้ว่าภาคธนาคารสหรัฐเพิ่งเผชิญกับภาวะปั่นป่วนวุ่นวายในช่วงต้นปี และเผชิญกับแนวโน้มเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนในอนาคต ทั้งนี้ ผลการทดสอบแสดงให้เห็นว่า ธนาคารกลุ่มนี้มีเงินกองทุนมากพอที่จะสามารถรับมือกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำอย่างรุนแรง และสิ่งนี้เปิดโอกาสให้ธนาคารเหล่านี้สามารถจ่ายเงินปันผลและซื้อคืนหุ้นได้ในอนาคต โดยธนาคารเหล่านี้จะสามารถประกาศแผนซื้อคืนหุ้นและง่ายเงินปันผลได้หลังจากตลาดหุ้นปิดทำการในวันศุกร์ที่ 30 มิ.ย. ทางด้านธนาคารที่ผ่านการทดสอบในครั้งนี้รวมถึงเจพีมอร์แกน เชส, แบงก์ ออฟ อเมริกา, ซิตี้กรุ๊ป, เวลส์ ฟาร์โก, มอร์แกน สแตนเลย์ และโกลด์แมน แซคส์
สถานการณ์ที่เฟดใช้ในการทดสอบคือสถานการณ์ที่เศรษฐกิจสหรัฐหดตัวลงเกือบ 8.75% โดยมีสาเหตุบางส่วนมาจากมูลค่าสินทรัพย์อสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ที่รูดลง 40% และอัตราการว่างงานพุ่งขึ้นสู่ 10% โดยการทดสอบนี้ประเมินว่า ธนาคารแต่ละแห่งจะยังคงมีสัดส่วนการดำรงเงินกองทุนอยู่สูงกว่าอัตราขั้นต่ำที่ 4.5% หรือไม่ และผลการทดสอบก็พบว่า สัดส่วนการดำรงเงินกองทุนโดยเฉลี่ยของธนาคารทั้ง 23 แห่งอยู่ที่ 10.1% หรือสูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำกว่า 2 เท่า โดยสัดส่วนดังกล่าวปรับขึ้นจาก 9.7% ในปีที่แล้ว ซึ่งเป็นปีที่เฟดทดสอบธนาคาร 34 แห่งโดยใช้สถานการณ์ที่ง่ายกว่านี้ และผลการทดสอบในปีนี้ยังระบุอีกด้วยว่า ธนาคาร 23 แห่งนี้จะมียอดสูญเสียรวมกัน 5.41 แสนล้านดอลลาร์ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว
ถึงแม้ผลการทดสอบอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง นักวิเคราะห์บางรายก็เตือนว่า ผลการทดสอบนี้ให้ภาพในทางบวกมากเกินไป หลังจากรัฐบาลสหรัฐเพิ่งถูกบีบให้เข้าแทรกแซงสถานการณ์เพื่อปกป้องผู้ฝากเงินในธนาคารเมื่อไม่กี่เดือนก่อน นอกจากนี้ เฟดก็สำรวจงบดุลของธนาคารเหล่านี้ตามที่ระบุไว้ในช่วงสิ้นปี 2022 ซึ่งนั่นหมายความว่าผลการทดสอบในครั้งนี้ไม่ได้สะท้อนให้เห็นถึงผลกระทบจากวิกฤติภาคธนาคารในช่วงต้นปีนี้
ธนาคารที่ให้ผลการทดสอบดีมากในครั้งนี้รวมถึงชาร์ลส์ ชว็อบ คอร์ป และกิจการในสหรัฐของดอยช์ แบงก์ ส่วนธนาคารที่ให้ผลการทดสอบรั้งท้ายรวมถึงซิติเซนส์ ไฟแนนเชียล คอร์ป และยู.เอส. แบงคอร์ป ซึ่งเป็นธนาคารระดับภูมิภาค ทั้งนี้ นายไมเคิล บาร์ รองประธานเฟดฝ่ายการกำกับดูแลกล่าวว่า ผลการทดสอบในครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าระบบธนาคารสหรัฐ "มีความแข็งแกร่งและยืดหยุ่น" แต่เขากล่าวย้ำว่าการทดสอบนี้เป็นเพียงมาตรวัดอันหนึ่งที่ใช้วัดความแข็งแกร่งของภาคธนาคาร หลังจากเกิดเหตุการณ์ธนาคารซิลิคอน แวลลีย์ (SVB) และธนาคารอีก 2 แห่งในสหรัฐถูกสั่งปิดกิจการในช่วงต้นปีนี้
ในกลุ่มของธนาคาร 8 แห่งในสหรัฐ "ที่ถือว่ามีความสำคัญต่อระบบโลก" นั้น สัดส่วนการดำรงเงินกองทุนโดยเฉลี่ยของธนาคารกลุ่มนี้อยู่ที่ 10.9% โดยปรับขึ้นเล็กน้อยจากปีที่แล้ว โดยธนาคารสเตท สตรีทมีสัดส่วนการดำรงเงินกองทุนอยู่ที่ 13.8% ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในกลุ่มธนาคารสำคัญ 8 แห่งนี้ ทั้งนี้ ผลการทดสอบแสดงให้เห็นว่า พอร์ตลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ของธนาคารเหล่านี้อยู่ในระดับที่ดีเกินคาด โดยพอร์ตลงทุนดังกล่าวจะมียอดหนี้สูญ 6.5 หมื่นล้านดอลลาร์ภายใต้สถานการณ์วิกฤติ หรือ 8.8% ของยอดสินเชื่อโดยเฉลี่ย โดยปรับลดลงจากสัดส่วน 9.8% ในปีที่แล้ว ทางด้านโกลด์แมน แซคส์ถือเป็นธนาคารที่มีสัดส่วนหนี้สูญในอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์มากที่สุด โดยมีสัดส่วนหนี้สูญจากอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ 16% ของยอดสินเชื่อโดยเฉลี่ยภายใต้การทดสอบ ในขณะที่มอร์แกน สแตนเลย์ครองอันดับ 2 ที่ 13.7% และซิติเซนส์ ไฟแนนเชียล กรุ๊ปครองอันดับ 3 ที่ 12.4%--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--17 พ.ค.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดร่วงลงในวันอังคาร โดยได้รับแรงกดดันจากปัจจัยหลายประการ ซึ่งรวมถึงการที่บริษัทโฮม ดีโปท์เปิดเผยตัวเลขคาดการณ์ที่น่าผิดหวัง, ยอดค้าปลีกของสหรัฐประจำเดือนเม.ย.อยู่ในระดับอ่อนแอเกินคาด, นักลงทุนไม่แน่ใจในแนวโน้มอัตราดอกเบี้ย และนักลงทุนกังวลกับการเจรจาต่อรองเรื่องเพดานหนี้ของรัฐบาลสหรัฐ ทั้งนี้ หุ้นโฮม ดีโปท์ ซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกอุปกรณ์ตกแต่งบ้านดิ่งลง 2.15% และถือเป็นหนึ่งในหุ้นที่ถ่วงดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์และดัชนี S&P 500 ลงมากที่สุดในวันอังคาร หลังจากโฮม ดีโปท์ปรับลดตัวเลขคาดการณ์ยอดขายประจำปี และคาดว่าผลกำไรอาจจะดิ่งลงอย่างรุนแรงกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ ทางด้านหุ้นโลว์ส คอมพานีส์ อิงค์ซึ่งเป็นบริษัทคู่แข่งรูดลง 1.16%
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดดิ่งลง 1.01% สู่ 33,012.14, ดัชนี S&P 500 ปิดร่วงลง 0.64% สู่ 4,109.9 และดัชนี Nasdaq ปิดปรับลง 0.18% สู่ 12,343.05
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานในวันอังคารว่า ยอดค้าปลีกสหรัฐปรับขึ้น 0.4% ในเดือนเม.ย. หลังจากร่วงลง 0.7% ในเดือนมี.ค. แต่ยอดค้าปลีกปรับขึ้นต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ในโพลล์ที่ +0.8% สำหรับเดือนเม.ย. ทางด้านยอดค้าปลีกพื้นฐาน หรือยอดค้าปลีกที่ไม่รวมรถยนต์, น้ำมันเบนซิน, วัสดุก่อสร้าง และบริการอาหารพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่ง โดยยอดค้าปลีกพื้นฐานดีดขึ้น 0.7% ในเดือนเม.ย. หลังจากร่วงลง 0.4% ในเดือนมี.ค. และสิ่งนี้บ่งชี้ว่าปริมาณการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคมีแนวโน้มที่จะยังคงอยู่ในระดับแข็งแกร่งในช่วงต้นไตรมาส 2
เทรดเดอร์ในตลาดสัญญาล่วงหน้าคาดว่า มีโอกาส 90.1% ที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 5.00-5.25% ในการประชุมวันที่ 13-14 มิ.ย. และมีโอกาส 9.9% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ 5.25-5.50% ในการประชุมวันที่ 13-14 มิ.ย. และเทรดเดอร์ยังคาดการณ์อีกด้วยว่า อัตราดอกเบี้ยสหรัฐอาจจะปรับลดลงสู่ระดับราว 4.473% ในเดือนธ.ค. อย่างไรก็ดี ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟดในช่วงนี้บ่งชี้ว่า เฟดยังไม่พร้อมที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในเร็ว ๆ นี้ ทั้งนี้ นายโธมัส บาร์คิน ประธานเฟดสาขาริชมอนด์กล่าวในวันอังคารว่า เขาชื่นชอบทางเลือกที่แถลงการณ์นโยบายล่าสุดของเฟดบ่งชี้ไว้ แต่เขายอมรับได้กับการที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป ถ้าหากนั่นเป็นสิ่งที่เฟดจำเป็นต้องทำเพื่อทำให้อัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลง ทางด้านลอเรตตา เมสเตอร์ ประธานเฟดสาขาคลีฟแลนด์กล่าวว่า เธอไม่คิดว่าเฟดจะสามารถคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิมได้ในช่วงนี้ เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อยังคงลดลงได้ยาก
หุ้นฮอไรซัน เธราพิวทิกส์ดิ่งลง 14.17% หลังจากคณะกรรมการการค้าของรัฐบาลกลางสหรัฐ (FTC) ประกาศว่า ทางคณะกรรมการจะยื่นเรื่องฟ้องร้องเพื่อขัดขวางข้อตกลงขนาด 2.78 หมื่นล้านดอลลาร์ของบริษัทแอมเจนในการเข้าซื้อฮอไรซัน เธราพิวทิกส์ ทางด้านหุ้นแอมเจนรูดลง 2.42% ทั้งนี้ การดิ่งลงของหุ้นทั้งสองตัวนี้มีส่วนกดดันดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีชีวภาพของสหรัฐให้ดิ่งลง 2.44% ในวันอังคาร ซึ่งถือเป็นการดิ่งลงครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 3 เดือน และส่งผลให้ดัชนีหุ้นกลุ่มนี้ปิดตลาดที่ระดับปิดต่ำสุดรอบ 3 สัปดาห์ด้วย--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
เครื่องมือออกแบบโปสเตอร์
โครงการพันธมิตร
ความเสี่ยงของการสูญเสียในการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น หุ้น FX สินค้าโภคภัณฑ์ ฟิวเจอร์ส พันธบัตร ETFs หรือเงินดิจิทัลอาจมีมาก คุณอาจสูญเสียเงินทุนทั้งหมดที่คุณฝากไว้กับโบรกเกอร์ของคุณ ดังนั้น คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบว่าการซื้อขายดังกล่าวเหมาะสมกับคุณหรือไม่ในสถานการณ์และทรัพยากรทางการเงินของคุณ
ไม่ควรตัดสินใจลงทุนโดยไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบสถานะอย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วยตัวเองหรือปรึกษากับที่ปรึกษาทางการเงินของคุณ เนื้อหาเว็บของเราอาจไม่เหมาะกับคุณเนื่องจากเราไม่ทราบเงื่อนไขทางการเงินและความต้องการในการลงทุนของคุณ ข้อมูลทางการเงินของเราอาจมีความล่าช้าหรือมีความไม่ถูกต้อง ดังนั้นคุณควรรับผิดชอบอย่างเต็มที่ต่อการตัดสินใจซื้อขายและการลงทุนของคุณ บริษัทจะไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียเงินทุนของคุณ
หากไม่ได้รับอนุญาตจากเว็บไซต์ คุณจะไม่สามารถคัดลอกกราฟิก ข้อความ หรือเครื่องหมายการค้าของเว็บไซต์ได้ สิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาในเนื้อหาหรือข้อมูลที่รวมอยู่ในเว็บไซต์นี้เป็นของผู้ให้บริการและผู้ค้าแลกเปลี่ยน
ไม่ได้ล็อกอิน
เข้าสู่ระบบเพื่อเข้าถึงฟังก์ชั่นเพิ่มเติม

สมาชิก FastBull
ยังไม่ได้เปิด
สมัคร
เข้าสู่ระบบ
ลงทะเบียน