ตลาด
ข่าวสาร
การวิเคราะห์
ผู้ใช้
24x7
ปฏิทินเศรษฐกิจ
แหล่งเรียนรู้
ข้อมูล
- ชื่อ
- ค่าล่าสุด
- ครั้งก่อน












สัญญาณ VIP
ทั้งหมด
ทั้งหมด



สหรัฐอเมริกา คำสั่งซื้อสินค้าคงทนนอกกระทรวงกลาโหมที่ได้แก้ไข MoM (ไม่รวมเครื่องบิน)(SA) (ก.ย.)ค:--
ค: --
สหรัฐอเมริกา คำสั่งซื้อโรงงาน MoM(ยกเว้นการขนส่ง) (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา คำสั่งซื้อโรงงาน MoM(ยกเว้นภาคกลาโหม) (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การเปลี่ยนแปลงสต็อกก๊าซธรรมชาติประจำสัปดาห์ของ EIAค:--
ค: --
ค: --
ซาอุดิอาระเบีย การผลิตน้ำมันดิบค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การถือครองธนารักษ์สหรัฐฯของธนาคารกลางต่างประเทศรายสัปดาห์ค:--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น เงินตราที่ใช้เป็นทุนสำรอง (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย อัตราขายคืนค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย ดอกเบี้ยอ้างอิงค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย อัตราขายคืนค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย อัตราเงินสดสำรองค:--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น อินดิเคเตอร์ชั้นนำเบื้องต้น (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหราชอาณาจักร ดัชนีราคาที่อยู่อาศัย Halifax YoY (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหราชอาณาจักร ดัชนีราคาที่อยู่อาศัย Halifax MoM (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส บัญชีเดินสะพัด (Not SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส ดุลการค้า (SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส การผลิตภาคอุตสาหกรรม MoM(SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
อิตาลี ดัชนียอดค้าปลีก MoM (SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงาน YoY (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน GDP Final YoY (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน GDP Final QoQ (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงาน QoQ (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงานสุดท้าย (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
บราซิล PPI MoM (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
เม็กซิโก ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา อัตราการว่างงาน (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา อัตราการมีส่วนร่วมในการจ้างงาน (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงาน (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงานนอกเวลา (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงานเต็มเวลา (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา รายได้ส่วนบุคคล MoM (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาธนาคารกลางรัฐดัลลาส สหรัฐอเมริกา PCE YoY (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคา PCE YoY (SA) (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคา PCE MoM (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา รายจ่ายส่วนบุคคล MoM(SA) (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาPCEหลักMoM (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา เงินเฟ้อเบื้องต้น UMich 5-YearYoY (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาPCEหลักYoY (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ค่าใช้จ่ายการบริโภคส่วนบุคคลที่จริง MoM (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การคาดการณ์เงินเฟ้อ 5-10 ปี (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีสถานภาพเบื้องต้น UMich ปัจจุบัน (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้น UMich (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อล่วงหน้า 1 ปี UMich (เบื้องต้น) (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีความคาดหวังผู้บริโภค UMich (เบื้องต้น) (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ปริมาณเครื่องเจาะทั้งหมดรายสัปดาห์--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ปริมาณเครื่องเจาะน้ำมันทั้งหมดรายสัปดาห์--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา สินเชื่ออุปโภคบริโภค (SA) (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ เงินตราที่ใช้เป็นทุนสำรอง (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ปริมาณการส่งออก YoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การนำเข้า YoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การนำเข้าYoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การนำเข้า (CNH) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ดุลการค้า (CNH) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การส่งออก (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น ค่าจ้าง MoM (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น ดุลการค้า (ต.ค.)--
ค: --
ค: --


ไม่มีข้อมูลที่ตรงกัน
ทัศนคติล่าสุด
ทัศนคติล่าสุด
หัวข้อยอดนิยม
คอลัมนิสต์ยอดนิยม
อัปเดตล่าสุด
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
ดูผลการค้นหาทั้งหมด

ไม่มีข้อมูล
นิวยอร์ค--8 ส.ค.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดบวกขึ้นในวันจันทร์ และลดช่วงติดลบที่ทำไว้ในสัปดาห์ที่แล้ว ในขณะที่นักลงทุนปรับเพิ่มการลงทุนก่อนที่กระทรวงแรงงานสหรัฐจะรายงานตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ประจำเดือนก.ค.ออกมาในวันพฤหัสบดีที่ 10 ส.ค. ทั้งนี้ ดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐพุ่งขึ้นมาแล้ว 17.7% จากช่วงต้นปีนี้ โดยได้รับแรงหนุนจากกระแสความนิยมในปัญญาประดิษฐ์ (AI) และจากความคาดหวังที่ว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะชะลอตัวลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป อย่างไรก็ดี หลังจากตลาดหุ้นสหรัฐพุ่งขึ้นมานานหลายเดือน นักลงทุนก็เทขายทำกำไรออกมาในสัปดาห์ที่แล้ว ในขณะที่นักลงทุนกังวลกับตัวเลขเศรษฐกิจ, ผลประกอบการที่ไร้ทิศทาง และการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดพุ่งขึ้น 1.16% สู่ 35,473.13 ซึ่งถือเป็นการพุ่งขึ้นรายวันครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 15 มิ.ย., ดัชนี S&P 500 ปิดบวกขึ้น 0.90% สู่ 4,518.44 และดัชนี Nasdaq ปิดปรับขึ้น 0.61% สู่ 13,994.40 โดยก่อนหน้านี้ทั้งดัชนี S&P 500 และ Nasdaq ต่างก็เพิ่งปิดตลาดในแดนลบมานาน 4 วันติดต่อกัน ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นกลุ่มบริการการสื่อสารพุ่งขึ้น 1.9% ในวันจันทร์ ส่วนดัชนีหุ้นกลุ่มการเงินทะยานขึ้น 1.4% ในวันจันทร์
หุ้นเติบโตพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งนับตั้งแต่ช่วงต้นปีนี้ โดยดัชนีหุ้นกลุ่มบริการการสื่อสารพุ่งขึ้นมาแล้วราว 41.9% จากช่วงต้นปีนี้, ดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีทะยานขึ้นมาแล้วราว 40.0% จากช่วงต้นปีนี้ และดัชนีหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยพุ่งขึ้นมาแล้วราว 34.6% จากช่วงต้นปีนี้ ทั้งนี้ นายแจ็ค จานาซีวิคซ์ จากบริษัทแนติซิส อินเวสท์เมนท์ แมเนเจอร์สกล่าวว่า "ผมคิดว่ามีนักลงทุนหลายรายที่กำลังมองหาช่องทางในการนำเงินมาลงทุน เพราะว่าพวกเขาพลาดการพุ่งขึ้นของตลาดหุ้นในช่วงที่ผ่านมา และปัจจัยนี้จะช่วยจำกัดการร่วงลงของตลาดหุ้นที่เกิดจากคำสั่งเทขายทำกำไร" และเขาคาดว่าตลาดหุ้นสหรัฐอาจจะเคลื่อนตัวไซด์เวย์ในระยะใกล้ ในขณะที่ตลาดหุ้นได้รับแรงกดดันจากคำสั่งเทขายทำกำไร แต่ตลาดหุ้นก็ได้รับแรงหนุนในเวลาเดียวกันจากคำสั่งช้อนซื้อเมื่อใดก็ตามที่ตลาดหุ้นร่วงลง
มิเชลล์ โบว์แมน หนึ่งในผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวในวันจันทร์ว่า เฟดมีแนวโน้มที่จะมีความจำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป เพื่อทำให้อัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลงสู่ระดับเป้าหมายที่ 2% และเธอกล่าวเสริมว่า เธอสนับสนุนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมวันที่ 25-26 ก.ค. เพราะว่าอัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับที่สูงเกินไป และการเพิ่มขึ้นของตำแหน่งงานและสัญญาณทางเศรษฐกิจอื่น ๆ ก็บ่งชี้ว่า เศรษฐกิจสหรัฐยังคงขยายตัวใน "อัตราปานกลาง" อย่างไรก็ดี นายจอห์น วิลเลียมส์ ประธานเฟดสาขานิวยอร์คกล่าวว่า เขาคาดว่าอัตราดอกเบี้ยอาจจะเริ่มต้นปรับลดลงในช่วงต้นปี 2024
บริษัท 422 แห่งในดัชนี S&P 500 เปิดเผยผลประกอบการออกมาแล้ว และบริษัท 79.1% ในกลุ่มนี้เปิดเผยผลกำไรที่ดีเกินคาด ทั้งนี้ หุ้นเทสลาซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าร่วงลง 0.9% หลังจากเทสลาประกาศแต่งตั้งนายไวบาฟ ทาเนจาให้มาดำรงตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายการเงินแทนที่นายแซคคารี เคิร์คฮอร์น ส่วนหุ้นเบิร์คเชียร์ แฮทธาเวย์ ซึ่งเป็นบริษัทของนายวอร์เรน บัฟเฟตต์ มหาเศรษฐีนักลงทุน พุ่งขึ้น 3.4% สู่สถิติระดับปิดสูงสุดใหม่ หลังจากทางบริษัทรายงานว่า ผลกำไรจากการดำเนินงานรายไตรมาสพุ่งขึ้นแตะสถิติสูงสุดที่ระดับสูงกว่า 1.0 หมื่นล้านดอลลาร์--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--30 มิ.ย.--รอยเตอร์
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์และดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐปิดบวกขึ้นในวันพฤหัสบดี ในขณะที่หุ้นกลุ่มธนาคารพุ่งขึ้น หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้เปิดเผยผลการทดสอบภาวะวิกฤติประจำปีนี้ในวันพุธ ซึ่งเป็นการทดสอบธนาคาร 23 แห่งในสหรัฐที่แต่ละแห่งมีสินทรัพย์ไม่ต่ำกว่า 1.00 แสนล้านดอลลาร์ โดยผลการทดสอบพบว่า ธนาคารขนาดใหญ่เหล่านี้สามารถผ่านการทดสอบ ถึงแม้ว่าภาคธนาคารสหรัฐเพิ่งเผชิญกับภาวะปั่นป่วนวุ่นวายในช่วงต้นปี และเผชิญกับแนวโน้มเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนในอนาคต ทั้งนี้ ผลการทดสอบแสดงให้เห็นว่า ธนาคารกลุ่มนี้มีเงินกองทุนมากพอที่จะสามารถรับมือกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำอย่างรุนแรง และปัจจัยนี้ก็ส่งผลให้ดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารของสหรัฐปิดพุ่งขึ้น 2.6% ในวันพฤหัสบดี และส่งผลให้ดัชนี KBW สำหรับหุ้นธนาคารระดับภูมิภาคของสหรัฐปิดทะยานขึ้น 1.8%
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวกขึ้น 0.8% สู่ 34,122.42, ดัชนี S&P 500 ปิดปรับขึ้น 0.45% สู่ 4,396.44 และดัชนี Nasdaq ปิดขยับลง 0.42 จุด หรือ 0% สู่ 13,591.33 ในวันพฤหัสบดี อย่างไรก็ดี ดัชนี Nasdaq มีแนวโน้มว่าอาจจะปิดตลาดช่วงครึ่งปีแรกด้วยการพุ่งขึ้นกว่า 29% จากช่วงสิ้นปีที่แล้ว ซึ่งจะถือเป็นอัตราการพุ่งขึ้นครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 40 ปีสำหรับช่วงครึ่งปีแรก ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นกลุ่มการเงินพุ่งขึ้น 1.7% ในวันพฤหัสบดี และถือเป็นดัชนีหุ้นกลุ่มใหญ่ที่พุ่งขึ้นมากที่สุดในบรรดาหุ้น 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐ ส่วนดัชนีหุ้นกลุ่มวัสดุทะยานขึ้น 1.3% และถือเป็นกลุ่มที่พุ่งขึ้นมากเป็นอันดับสอง โดยหุ้นกลุ่มวัสดุถือเป็นส่วนหนึ่งของหุ้นกลุ่มวัฏจักรเศรษฐกิจ ทางด้านดัชนี Russell 2000 สำหรับหุ้นบริษัทขนาดเล็กของสหรัฐทะยานขึ้น 1.2% ในวันพฤหัสบดี โดยหุ้นบริษัทขนาดเล็กมักจะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจด้วยเช่นกัน
สหรัฐเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งในวันพฤหัสบดี และรายงานตัวเลขดังกล่าวช่วยกระตุ้นการคาดการณ์ที่ว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะไม่เข้าสู่ภาวะถดถอย และปัจจัยนี้ก็ช่วยหนุนหุ้นกลุ่มวัฏจักรเศรษฐกิจและหุ้นคุณค่า อย่างไรก็ดี ตัวเลขเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งช่วยกระตุ้นการคาดการณ์ที่ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป และส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีปรับขึ้นจาก 3.712% ในช่วงท้ายวันพุธ สู่ 3.854% ในช่วงท้ายวันพฤหัสบดี และปัจจัยนี้ก็ส่งผลลบต่อหุ้นเติบโตและหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ซึ่งเป็นกลุ่มที่มักได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ย ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานในวันพฤหัสบดีว่า ยอดผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในสหรัฐดิ่งลง 26,000 ราย สู่ 239,000 รายในช่วงสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 24 มิ.ย. ซึ่งอยู่ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ในโพลล์รอยเตอร์ที่ 265,000 ราย และการดิ่งลงในครั้งนี้ถือเป็นการดิ่งลงครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนต.ค. 2021 หรือครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 20 เดือน ทางด้านกระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานในวันพฤหัสบดีว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของสหรัฐเติบโตขึ้น 2.0% ในไตรมาสแรก โดยปรับทบทวนขึ้นจากอัตราการเติบโตที่ 1.3% ที่เคยรายงานไว้ในเดือนพ.ค.
นักลงทุนคาดการณ์ในตอนนี้ว่า มีโอกาสราว 10.7% ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 5.00-5.25% ในการประชุมวันที่ 25-26 ก.ค. และมีโอกาสราว 89.3% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ 5.25-5.50% ในการประชุมวันที่ 25-26 ก.ค. โดยโอกาสดังกล่าวปรับขึ้นจาก 81.8% ที่เคยคาดไว้เมื่อหนึ่งวันก่อน นอกจากนี้ นักลงทุนยังคาดการณ์อีกด้วยว่า เฟดจะไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในปีนี้ ทั้งนี้ นักลงทุนรอดูดัชนีราคาค่าใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ประจำเดือนพ.ค.ที่รัฐบาลสหรัฐจะรายงานออกมาในวันศุกร์นี้ เพราะเฟดมักใช้ดัชนี PCE เป็นมาตรวัดภาวะเงินเฟ้อ ทางด้านนักเศรษฐศาสตร์ในโพลล์รอยเตอร์คาดว่า อัตราเงินเฟ้อของดัชนี PCE พื้นฐานอาจทรงตัวที่ 4.7% ในเดือนพ.ค.
ดัชนี Nasdaq ได้รับแรงกดดันในวันพฤหัสบดีจากการดิ่งลงของหุ้นบริษัทขนาดยักษ์ ซึ่งรวมถึงหุ้นอะเมซอนที่ปรับลง 0.9%, หุ้นเมตา แพลตฟอร์มส์ที่ดิ่งลง 1.3%, หุ้นเอ็นวิเดียที่ร่วงลง 0.7% และหุ้นไมโครซอฟท์ที่ปรับลง 0.2%--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--17 พ.ค.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดร่วงลงในวันอังคาร โดยได้รับแรงกดดันจากปัจจัยหลายประการ ซึ่งรวมถึงการที่บริษัทโฮม ดีโปท์เปิดเผยตัวเลขคาดการณ์ที่น่าผิดหวัง, ยอดค้าปลีกของสหรัฐประจำเดือนเม.ย.อยู่ในระดับอ่อนแอเกินคาด, นักลงทุนไม่แน่ใจในแนวโน้มอัตราดอกเบี้ย และนักลงทุนกังวลกับการเจรจาต่อรองเรื่องเพดานหนี้ของรัฐบาลสหรัฐ ทั้งนี้ หุ้นโฮม ดีโปท์ ซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกอุปกรณ์ตกแต่งบ้านดิ่งลง 2.15% และถือเป็นหนึ่งในหุ้นที่ถ่วงดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์และดัชนี S&P 500 ลงมากที่สุดในวันอังคาร หลังจากโฮม ดีโปท์ปรับลดตัวเลขคาดการณ์ยอดขายประจำปี และคาดว่าผลกำไรอาจจะดิ่งลงอย่างรุนแรงกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ ทางด้านหุ้นโลว์ส คอมพานีส์ อิงค์ซึ่งเป็นบริษัทคู่แข่งรูดลง 1.16%
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดดิ่งลง 1.01% สู่ 33,012.14, ดัชนี S&P 500 ปิดร่วงลง 0.64% สู่ 4,109.9 และดัชนี Nasdaq ปิดปรับลง 0.18% สู่ 12,343.05
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานในวันอังคารว่า ยอดค้าปลีกสหรัฐปรับขึ้น 0.4% ในเดือนเม.ย. หลังจากร่วงลง 0.7% ในเดือนมี.ค. แต่ยอดค้าปลีกปรับขึ้นต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ในโพลล์ที่ +0.8% สำหรับเดือนเม.ย. ทางด้านยอดค้าปลีกพื้นฐาน หรือยอดค้าปลีกที่ไม่รวมรถยนต์, น้ำมันเบนซิน, วัสดุก่อสร้าง และบริการอาหารพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่ง โดยยอดค้าปลีกพื้นฐานดีดขึ้น 0.7% ในเดือนเม.ย. หลังจากร่วงลง 0.4% ในเดือนมี.ค. และสิ่งนี้บ่งชี้ว่าปริมาณการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคมีแนวโน้มที่จะยังคงอยู่ในระดับแข็งแกร่งในช่วงต้นไตรมาส 2
เทรดเดอร์ในตลาดสัญญาล่วงหน้าคาดว่า มีโอกาส 90.1% ที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 5.00-5.25% ในการประชุมวันที่ 13-14 มิ.ย. และมีโอกาส 9.9% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ 5.25-5.50% ในการประชุมวันที่ 13-14 มิ.ย. และเทรดเดอร์ยังคาดการณ์อีกด้วยว่า อัตราดอกเบี้ยสหรัฐอาจจะปรับลดลงสู่ระดับราว 4.473% ในเดือนธ.ค. อย่างไรก็ดี ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟดในช่วงนี้บ่งชี้ว่า เฟดยังไม่พร้อมที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในเร็ว ๆ นี้ ทั้งนี้ นายโธมัส บาร์คิน ประธานเฟดสาขาริชมอนด์กล่าวในวันอังคารว่า เขาชื่นชอบทางเลือกที่แถลงการณ์นโยบายล่าสุดของเฟดบ่งชี้ไว้ แต่เขายอมรับได้กับการที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป ถ้าหากนั่นเป็นสิ่งที่เฟดจำเป็นต้องทำเพื่อทำให้อัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลง ทางด้านลอเรตตา เมสเตอร์ ประธานเฟดสาขาคลีฟแลนด์กล่าวว่า เธอไม่คิดว่าเฟดจะสามารถคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิมได้ในช่วงนี้ เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อยังคงลดลงได้ยาก
หุ้นฮอไรซัน เธราพิวทิกส์ดิ่งลง 14.17% หลังจากคณะกรรมการการค้าของรัฐบาลกลางสหรัฐ (FTC) ประกาศว่า ทางคณะกรรมการจะยื่นเรื่องฟ้องร้องเพื่อขัดขวางข้อตกลงขนาด 2.78 หมื่นล้านดอลลาร์ของบริษัทแอมเจนในการเข้าซื้อฮอไรซัน เธราพิวทิกส์ ทางด้านหุ้นแอมเจนรูดลง 2.42% ทั้งนี้ การดิ่งลงของหุ้นทั้งสองตัวนี้มีส่วนกดดันดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีชีวภาพของสหรัฐให้ดิ่งลง 2.44% ในวันอังคาร ซึ่งถือเป็นการดิ่งลงครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 3 เดือน และส่งผลให้ดัชนีหุ้นกลุ่มนี้ปิดตลาดที่ระดับปิดต่ำสุดรอบ 3 สัปดาห์ด้วย--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--16 ก.พ.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดบวกขึ้นในวันพุธ หลังจากสหรัฐรายงานตัวเลขยอดค้าปลีกที่แข็งแกร่งเกินคาด และตัวเลขดังกล่าวถือเป็นหลักฐานบ่งชี้ว่า เศรษฐกิจสหรัฐสามารถรักษาระดับความแข็งแกร่งไว้ได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นปรับขึ้นเพียงในวงจำกัด เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะยังคงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปในช่วงหลายเดือนข้างหน้า ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ยอดค้าปลีกสหรัฐพุ่งขึ้น 3.0% ในเดือนม.ค. ซึ่งถือเป็นการพุ่งขึ้นครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค. 2021 หรือครั้งใหญ่ที่สุดในรอบเกือบ 2 ปี หลังจากยอดค้าปลีกเพิ่งดิ่งลง 1.1% ในเดือนธ.ค. ทางด้านนักเศรษฐศาสตร์ในโพลล์รอยเตอร์คาดไว้ก่อนหน้านี้ว่า ยอดค้าปลีกอาจปรับขึ้น 1.8% ในเดือนม.ค.
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดขยับขึ้น 0.11% สู่ 34,128.05, ดัชนี S&P 500 ปิดบวกขึ้น 0.28% สู่ 4,147.60 และดัชนี Nasdaq ปิดปรับขึ้น 0.92% สู่ 12,070.59 โดยดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้นมาแล้วราว 8% จากช่วงต้นปี 2023 ส่วนดัชนี Nasdaq ดีดขึ้นมาแล้วราว 15% จากช่วงต้นปีนี้ ทั้งนี้ หุ้น 9 กลุ่มจาก 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐปิดตลาดในแดนบวก โดยดัชนีหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยพุ่งขึ้น 1.2% และถือเป็นกลุ่มที่พุ่งขึ้นมากที่สุด
ตลาดหุ้นได้รับแรงหนุนจากฤดูการรายงานผลประกอบการรายไตรมาสที่ดีเกินคาด โดยขณะนี้บริษัทกว่าครึ่งหนึ่งในดัชนี S&P 500 ได้รายงานผลประกอบการออกมาแล้ว และบริษัทเกือบ 70% ในกลุ่มนี้รายงานผลกำไรที่สูงเกินคาด และสัดส่วนนี้ก็อยู่สูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 66% ทั้งนี้ หุ้นโรบล็อกซ์ซึ่งเป็นบริษัทเกมออนไลน์สำหรับเด็กพุ่งขึ้น 26% หลังจากโรบล็อกซ์รายงานยอดการจองรายไตรมาสที่อยู่สูงเกินคาด
หุ้นบริษัทแอปเปิล, แอลฟาเบท, อะเมซอน และเทสลาพุ่งขึ้น 1.4-2.4% ในวันพุธ และปัจจัยดังกล่าวช่วยหนุนดัชนี S&P 500 และ Nasdaq ทั้งนี้ หุ้นบริษัทไต้หวัน เซมิคอนดักเตอร์ แมนูแฟคเจอริง (TSMC) ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตชิปดิ่งลง 5.3% ในตลาดสหรัฐ หลังจากบริษัทเบิร์คเชียร์ แฮทธาเวย์ของนายวอร์เรน บัฟเฟตต์ปรับลดการถือครองหุ้น TSMC
หุ้นแอร์บีเอ็นบีพุ่งขึ้น 13.4% หลังจากแอร์บีเอ็นบีเปิดเผยผลประกอบการที่ดีเกินคาด โดยได้รับแรงหนุนจากความต้องการเดินทางท่องเที่ยวที่แข็งแกร่ง ทั้งนี้ หุ้นเดวอน เอ็นเนอร์จี ซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำมันหินเชลดิ่งลง 10.5% หลังจากเดวอนรายงานผลกำไรรายไตรมาสที่ต่ำเกินคาด โดยเป็นผลจากรายจ่ายที่สูงขึ้น และเป็นผลจากภาวะอากาศหนาวจัดในสหรัฐที่ส่งผลกระทบต่อการผลิตน้ำมัน--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลยูโรโซนร่วงลงในวันนี้ ขณะที่ความวิตกเกี่ยวกับสายพันธุ์โอไมครอนกระทบความเชื่อมั่น และนักลงทุนหันไปสนใจการเปิดเผยข้อมูลอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐในวันพรุ่งนี้ และการประชุมนโยบายของธนาคารกลางในสัปดาห์หน้า
ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีของเยอรมนีลดลง 0.025% มาที่ -0.335% หลังจากที่เพิ่มขึ้นมากที่สุดเมื่อเทียบรายวันในรอบสองสัปดาห์เมื่อวานนี้
ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีของอิตาลีลดลง 0.045% มาที่ 0.991%--จบ--
นิวยอร์ค--30 พ.ย.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดบวกขึ้นในวันจันทร์ หลังจากดิ่งลงในวันศุกร์ ในขณะที่นักลงทุนคาดหวังว่าเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์โอมิครอนจะไม่ส่งผลให้สหรัฐประกาศใช้มาตรการล็อกดาวน์ หลังจากประธานาธิบดีโจ ไบเดนของสหรัฐกล่าวในวันจันทร์ว่า ยังไม่มีการพิจารณาเรื่องมาตรการล็อกดาวน์ในตอนนี้ และเขาขอให้ชาวสหรัฐไม่ตื่นตระหนกกับสายพันธุ์โอมิครอน อย่างไรก็ดี เขาแนะนำให้ชาวสหรัฐฉีดวัคซีนและใส่หน้ากากอนามัยขณะอยู่ในตัวอาคาร และเขากล่าวเสริมว่ารัฐบาลสหรัฐกำลังทำงานร่วมกับบริษัทเวชภัณฑ์ในการเตรียมแผนรับสถานการณ์ฉุกเฉิน ถ้าหากมีความจำเป็นต้องฉีดวัคซีนใหม่ ทั้งนี้ ดัชนี Nasdaq พุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งกว่าดัชนี S&P และดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ในวันจันทร์ ในขณะที่ดัชนี Nasdaq ได้รับแรงหนุนจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี โดยดัชนีหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐพุ่งขึ้น 4% ในวันจันทร์ โดยได้รับแรงหนุนสำคัญจากหุ้นบริษัทเอ็นวิเดียที่ทะยานขึ้น 5.9% ทางด้านดัชนีดาวโจนส์ปรับขึ้นไม่มากนัก เนื่องจากดัชนีดาวโจนส์ได้รับแรงกดดันจากหุ้นบริษัทเมอร์ค แอนด์ โคที่ดิ่งลง 5.4% หลังจากผลการศึกษายารักษาโรคโควิด-19 ของเมอร์คแสดงให้เห็นว่า ยาตัวนี้มีประสิทธิภาพในการลดความเสี่ยงในการเข้าโรงพยาบาลและการเสียชีวิตในระดับต่ำกว่าที่เคยระบุไว้
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวกขึ้น 0.68% สู่ 35,135.94, ดัชนี S&P 500 ปิดพุ่งขึ้น 1.32% สู่ 4,655.27 และดัชนี Nasdaq ปิดทะยานขึ้น 1.88% สู่ 15,782.83 ทั้งนี้ ในบรรดาหุ้น 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐนั้น ดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีพุ่งขึ้น 2.6% และถือเป็นกลุ่มที่พุ่งขึ้นมากที่สุด ส่วนดัชนีหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยทะยานขึ้น 1.6% และถือเป็นกลุ่มที่พุ่งขึ้นมากเป็นอันดับสอง โดยได้รับแรงหนุนจากหุ้นอะเมซอนดอทคอมและหุ้นเทสลา นอกจากนี้ ดัชนี S&P ก็ได้รับแรงหนุนสำคัญจากหุ้นบริษัทไมโครซอฟท์ที่พุ่งขึ้น 2.11% และหุ้นบริษัทแอปเปิลที่ทะยานขึ้น 2.19% ด้วย โดยหุ้นแอปเปิลได้รับแรงหนุน หลังจากธนาคาร HSBC ปรับขึ้นราคาเป้าหมายของหุ้นแอปเปิล
นักลงทุนมีความมั่นใจในการลงทุนมากยิ่งขึ้น หลังจากได้ฟังถ้อยแถลงของปธน.ไบเดน และหลังจากบริษัทยาส่งสัญญาณว่า ทางบริษัทให้ความสำคัญเป็นอย่างมากกับสายพันธุ์โอมิครอน โดยบริษัทไฟเซอร์, บิออนเทค, โมเดอร์นา และจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสันระบุในวันจันทร์ว่า ทางบริษัทกำลังพัฒนาวัคซีนที่ตั้งเป้าไปที่สายพันธุ์โอมิครอนอย่างเฉพาะเจาะจง เพื่อใช้ในกรณีที่วัคซีนที่มีอยู่ในปัจจุบันไม่สามารถต้านทานสายพันธุ์โอมิครอนได้ ทั้งนี้ หุ้นโมเดอร์นาพุ่งขึ้น 11.8%, หุ้นจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสันบวกขึ้น 0.34% แต่หุ้นไฟเซอร์ดิ่งลงเกือบ 3% ทางด้านศูนย์การควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐระบุหลังจากตลาดปิดทำการในวันจันทร์ว่า ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไปควรฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นในเวลา 6 เดือนหลังจากฉีดวัคซีนของไฟเซอร์หรือโมเดอร์นา หรือในเวลา 2 เดือนหลังจากฉีดวัคซีนของจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน
นางแคโรล ชลีฟ รองหัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของบริษัทบีเอ็มโอตั้งข้อสังเกตว่า นักลงทุนมีความคุ้นเคยกับการเข้าช้อนซื้อเก็งกำไรเมื่อใดก็ตามที่ตลาดหุ้นดิ่งลงในปีนี้ และเธอตั้งข้อสังเกตว่า "นักลงทุนพยายามประเมินสถานการณ์ใหม่ในช่วงนี้ และจะใช้ความอดทนในช่วงนี้" ทั้งนี้ อังกฤษระบุว่า อังกฤษจะฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นให้แก่ผู้ใหญ่ทุกคน และจะฉีดวัคซีนเข็มที่สองให้แก่เด็กอายุ 12-15 ปี หลังจากมีความกังวลเรื่องสายพันธุ์โอมิครอน โดยอังกฤษต้องการใช้วัคซีนของโมเดอร์นาและไฟเซอร์ในฐานะวัคซีนเข็มกระตุ้น
หุ้นเทสลาพุ่งขึ้น 5% หลังจากมีข่าวว่านายอีลอน มัสก์ ซีอีโอของเทสลาขอให้ลูกจ้างปรับลดต้นทุนในการจัดส่งรถยนต์--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
เบอร์ลิน--11 ส.ค.--รอยเตอร์
นายเซบาสเตียน ดุลเลียน ประธานสถาบันนโยบายเศรษฐกิจมหภาค (IMK) ในเยอรมนีระบุในวันอังคารว่า ความสำเร็จของบริษัทไบโอเอ็นเทค (BioNTech) ในด้านการพัฒนาวัคซีนโรคโควิด-19 และในด้านการผลิตวัคซีนดังกล่าวภายในประเทศ อาจส่งผลบวกราว 0.5% ต่ออัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในเยอรมนีในปีนี้
เศรษฐกิจเยอรมนีมีแนวโน้มเติบโตราว 4% ในปีนี้ หลังจากหดตัวลง 4.6% ในปีที่แล้ว และสิ่งนี้หมายความว่าความสำเร็จของไบโอเอ็นเทคในการพัฒนาวัคซีนโรคโควิด-19 โดยใช้เทคโนโลยี mRNA อาจครองสัดส่วนสูงถึง 1 ใน 8 (หรือ 12.5%) ของอัตราการเติบโตทั้งหมดของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของเยอรมนีในปี 2021
เจ้าหน้าที่รัฐบาลเยอรมนีกล่าวว่า มีความเป็นไปได้ที่ไบโอเอ็นเทคอาจจะส่งผลกระทบได้ถึง 0.5% ต่ออัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยรวมของเยอรมนีในปีนี้ ทั้งนี้ นายดุลเลียนกล่าวต่อรอยเตอร์ว่า "ผมไม่คิดว่ามีบริษัทอื่นอีกที่สามารถส่งผลกระทบต่อจีดีพีเยอรมนีได้มากแบบนี้" และเขากล่าวเสริมว่า โดยปกติแล้วเขามักจะไม่ได้พิจารณาบริษัทใดบริษัทหนึ่งเพียงแห่งเดียว เพราะเขาเป็นนักเศรษฐศาสตร์มหภาค "อย่างไรก็ดี ในบางครั้งก็มีกรณีที่เกิดขึ้นได้ยากที่บริษัทแห่งใดแห่งหนึ่งสามารถส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจมหภาค และไบโอเอ็นเทคก็ถือเป็นหนึ่งในตัวอย่างที่หายากนี้"
การคำนวณของนายดุลเลียนตั้งอยู่บนผลประกอบการของไบโอเอ็นเทคที่เพิ่งประกาศออกมาในวันจันทร์ โดยไบโอเอ็นเทคซึ่งเป็นบริษัทเปิดใหม่คาดว่าจะมีรายได้จากวัคซีนราว 1.59 หมื่นล้านยูโร (1.863 หมื่นล้านดอลลาร์) ในปีนี้ โดยปรับขึ้นจากตัวเลขคาดการณ์เดิมที่ 1.24 หมื่นล้านยูโร ทั้งนี้ นายดุลเลียนกล่าวว่า รายได้ดังกล่าวเทียบได้เป็น 0.5% ของจีดีพีเยอรมนี หลังจากจีดีพีเยอรมนีมีขนาดราว 3.3 ล้านล้านยูโรในปี 2020
นายดุลเลียนกล่าวว่า เนื่องจากไบโอเอ็นเทคใช้วัตถุดิบจากต่างประเทศในระดับที่น้อยมาก ดังนั้นผลประกอบการของไบโอเอ็นเทคจึงส่งผลกระทบโดยตรงต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในเยอรมนี ทั้งนี้ ไบโอเอ็นเทคมีความแตกต่างเป็นอย่างมากจากบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ขนาดใหญ่ในเยอรมนีด้วย เพราะบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ของเยอรมนีผลิตรถยนต์จำนวนมากในต่างประเทศ แต่ไบโอเอ็นเทคผลิตวัคซีนในโรงงานแห่งหนึ่งในเมืองมาร์บวร์กในภาคตะวันตกของเยอรมนี นอกจากนี้ ไบโอเอ็นเทคก็ได้รับค่าตอบแทนการให้ใช้สิทธิ (licensing fees) จากบริษัทไฟเซอร์ของสหรัฐด้วย --จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
เครื่องมือออกแบบโปสเตอร์
โครงการพันธมิตร
ความเสี่ยงของการสูญเสียในการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น หุ้น FX สินค้าโภคภัณฑ์ ฟิวเจอร์ส พันธบัตร ETFs หรือเงินดิจิทัลอาจมีมาก คุณอาจสูญเสียเงินทุนทั้งหมดที่คุณฝากไว้กับโบรกเกอร์ของคุณ ดังนั้น คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบว่าการซื้อขายดังกล่าวเหมาะสมกับคุณหรือไม่ในสถานการณ์และทรัพยากรทางการเงินของคุณ
ไม่ควรตัดสินใจลงทุนโดยไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบสถานะอย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วยตัวเองหรือปรึกษากับที่ปรึกษาทางการเงินของคุณ เนื้อหาเว็บของเราอาจไม่เหมาะกับคุณเนื่องจากเราไม่ทราบเงื่อนไขทางการเงินและความต้องการในการลงทุนของคุณ ข้อมูลทางการเงินของเราอาจมีความล่าช้าหรือมีความไม่ถูกต้อง ดังนั้นคุณควรรับผิดชอบอย่างเต็มที่ต่อการตัดสินใจซื้อขายและการลงทุนของคุณ บริษัทจะไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียเงินทุนของคุณ
หากไม่ได้รับอนุญาตจากเว็บไซต์ คุณจะไม่สามารถคัดลอกกราฟิก ข้อความ หรือเครื่องหมายการค้าของเว็บไซต์ได้ สิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาในเนื้อหาหรือข้อมูลที่รวมอยู่ในเว็บไซต์นี้เป็นของผู้ให้บริการและผู้ค้าแลกเปลี่ยน
ไม่ได้ล็อกอิน
เข้าสู่ระบบเพื่อเข้าถึงฟังก์ชั่นเพิ่มเติม

สมาชิก FastBull
ยังไม่ได้เปิด
สมัคร
เข้าสู่ระบบ
ลงทะเบียน