ตลาด
ข่าวสาร
การวิเคราะห์
ผู้ใช้
24x7
ปฏิทินเศรษฐกิจ
แหล่งเรียนรู้
ข้อมูล
- ชื่อ
- ค่าล่าสุด
- ครั้งก่อน












สัญญาณ VIP
ทั้งหมด
ทั้งหมด



ฝรั่งเศส อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยการประมูลหนี้ OAT 10-ปีค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน ดัชนียอดค้าปลีก YoY (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
บราซิล GDP YoY (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา จำนวนการปลดพนักงานบริษัทชาเลนเจอร์ เกรย์ และคริสต์มาส YoY (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การเลิกจ้างพนักงานบริษัทชาเลนเจอร์ เกรย์ และคริสต์มาส MoM (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การเลิกจ้างพนักงานบริษัทชาเลนเจอร์ เกรย์ และคริสต์มาส YoY (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ค่าเฉลี่ยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก4 สัปดาห์ (SA)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์ (SA)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานต่อรายสัปดาห์ (SA)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา Ivey PMI (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา Ivey PMI (Not SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา คำสั่งซื้อสินค้าคงทนนอกกระทรวงกลาโหมที่ได้แก้ไข MoM (ไม่รวมเครื่องบิน)(SA) (ก.ย.)ค:--
ค: --
สหรัฐอเมริกา คำสั่งซื้อโรงงาน MoM(ยกเว้นการขนส่ง) (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา คำสั่งซื้อโรงงาน MoM (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา คำสั่งซื้อโรงงาน MoM(ยกเว้นภาคกลาโหม) (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การเปลี่ยนแปลงสต็อกก๊าซธรรมชาติประจำสัปดาห์ของ EIAค:--
ค: --
ค: --
ซาอุดิอาระเบีย การผลิตน้ำมันดิบค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การถือครองธนารักษ์สหรัฐฯของธนาคารกลางต่างประเทศรายสัปดาห์ค:--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น เงินตราที่ใช้เป็นทุนสำรอง (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย อัตราขายคืนค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย ดอกเบี้ยอ้างอิงค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย อัตราขายคืนค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย อัตราเงินสดสำรองค:--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น อินดิเคเตอร์ชั้นนำเบื้องต้น (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหราชอาณาจักร ดัชนีราคาที่อยู่อาศัย Halifax YoY (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหราชอาณาจักร ดัชนีราคาที่อยู่อาศัย Halifax MoM (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส บัญชีเดินสะพัด (Not SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส ดุลการค้า (SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส การผลิตภาคอุตสาหกรรม MoM(SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
อิตาลี ดัชนียอดค้าปลีก MoM (SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงาน YoY (SA) (ไตรมาส 3)--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน GDP Final YoY (ไตรมาส 3)--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน GDP Final QoQ (ไตรมาส 3)--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงาน QoQ (SA) (ไตรมาส 3)--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงานสุดท้าย (SA) (ไตรมาส 3)--
ค: --
บราซิล PPI MoM (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
เม็กซิโก ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา อัตราการว่างงาน (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา อัตราการมีส่วนร่วมในการจ้างงาน (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงาน (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงานนอกเวลา (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงานเต็มเวลา (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา รายได้ส่วนบุคคล MoM (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาธนาคารกลางรัฐดัลลาส สหรัฐอเมริกา PCE YoY (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคา PCE YoY (SA) (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคา PCE MoM (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา รายจ่ายส่วนบุคคล MoM(SA) (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาPCEหลักMoM (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา เงินเฟ้อเบื้องต้น UMich 5-YearYoY (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาPCEหลักYoY (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ค่าใช้จ่ายการบริโภคส่วนบุคคลที่จริง MoM (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การคาดการณ์เงินเฟ้อ 5-10 ปี (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีสถานภาพเบื้องต้น UMich ปัจจุบัน (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้น UMich (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อล่วงหน้า 1 ปี UMich (เบื้องต้น) (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีความคาดหวังผู้บริโภค UMich (เบื้องต้น) (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ปริมาณเครื่องเจาะทั้งหมดรายสัปดาห์--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ปริมาณเครื่องเจาะน้ำมันทั้งหมดรายสัปดาห์--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา สินเชื่ออุปโภคบริโภค (SA) (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ เงินตราที่ใช้เป็นทุนสำรอง (พ.ย.)--
ค: --
ค: --


ไม่มีข้อมูลที่ตรงกัน
ทัศนคติล่าสุด
ทัศนคติล่าสุด
หัวข้อยอดนิยม
คอลัมนิสต์ยอดนิยม
อัปเดตล่าสุด
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
ดูผลการค้นหาทั้งหมด

ไม่มีข้อมูล
กรุงเทพฯ--23 ส.ค.--รอยเตอร์
ดัชนีดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินแข็งค่าขึ้นในวันอังคาร และเข้าใกล้จุดสูงสุดรอบ 2 เดือนที่ทำไว้ในสัปดาห์ที่แล้ว ในขณะที่เทรดเดอร์รอดูการประชุมประจำปีของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่จะจัดขึ้นที่แจ็คสัน โฮลในรัฐไวโอมิงในวันที่ 26-24 ส.ค. โดยมีการคาดการณ์กันว่าสกุลเงินต่าง ๆ จะเคลื่อนไหวเพียงในวงจำกัด ก่อนที่นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟดจะกล่าวแถลงในงานประชุมที่แจ็คสัน โฮลในวันศุกร์นี้ ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์เพิ่งพุ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดรอบ 2 เดือนในสัปดาห์ที่แล้ว โดยได้รับแรงหนุนจากความกังวลเรื่องเศรษฐกิจจีน และจากการคาดการณ์ที่ว่า เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับสูงต่อไปเป็นเวลานาน Eikon source text
ดัชนีดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินอยู่ที่ 103.59 ในช่วงท้ายตลาดวันอังคาร โดยแข็งค่าขึ้นจาก 103.32 ในช่วงท้ายตลาดวันจันทร์ หลังจากพุ่งขึ้นแตะ 103.68 ในวันศุกร์ที่ 18 ส.ค. ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 12 มิ.ย.
ดอลลาร์/เยนอยู่ที่ 145.88 เยน ในช่วงท้ายตลาดวันอังคาร โดยอ่อนค่าลงจากระดับปิดตลาดวันจันทร์ที่ 146.17 เยน หลังจากเพิ่งพุ่งขึ้นแตะ 146.565 เยนในวันที่ 17 ส.ค. ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 10 พ.ย. 2022 หรือจุดสูงสุดรอบ 9 เดือน
ยูโร/ดอลลาร์อยู่ที่ 1.0844 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันอังคาร โดยปรับลงจาก 1.0891 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันจันทร์
ดัชนีดาวโจนส์และ S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐปิดปรับลงในวันอังคาร ในขณะที่นักลงทุนยังคงกังวลว่า เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับสูงต่อไปเป็นเวลานาน และดัชนีได้รับแรงกดดันจากการดิ่งลงของหุ้นกลุ่มธนาคารด้วย อย่างไรก็ดี ดัชนี Nasdaq ปิดตลาดขยับขึ้นเล็กน้อยในวันอังคาร ทั้งนี้ เอสแอนด์พี โกลบอลปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ และแก้ไขแนวโน้มของธนาคารสหรัฐหลายแห่ง ตามหลังการดำเนินการแบบเดียวกันของมูดี้ส์ พร้อมเตือนว่า ความเสี่ยงในการจัดหาเงินทุน และความสามารถในการทำกำไรที่ลดลงอาจจะทดสอบความแข็งแกร่งด้านความน่าเชื่อถือของภาคธนาคาร โดยข่าวนี้มีส่วนกดดันให้ดัชนี KBW สำหรับหุ้นธนาคารระดับภูมิภาคของสหรัฐดิ่งลง 2.7%, ดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารของสหรัฐรูดลง 2.4% และดัชนีหุ้นกลุ่มการเงินของสหรัฐร่วงลง 0.9% ในวันอังคาร โดยหุ้นกลุ่มการเงินถือเป็นกลุ่มที่ถ่วงดัชนี S&P 500 ลงมากที่สุดในวันอังคาร Eikon source text
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดปรับลง 0.51% สู่ 34,288.83
ดัชนี S&P 500 ปิดปรับลง 0.28% สู่ 4,387.55
ดัชนี Nasdaq ปิดขยับขึ้น 0.06% สู่ 13,505.87
ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX ปรับลงในวันอังคาร ในขณะที่นักลงทุนยังคงมุ่งความสนใจไปยังการคาดการณ์ที่ว่า ปัญหาทางเศรษฐกิจในจีนจะส่งผลลบต่ออุปสงค์น้ำมันในจีน ซึ่งถือเป็นประเทศผู้นำเข้าน้ำมันดิบรายใหญ่ที่สุดในโลก นอกจากนี้ ราคาน้ำมันยังได้รับแรงกดดันจากความกังวลที่ว่า เจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ยังไม่ได้ตัดโอกาสในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปด้วย ทั้งนี้ สำนักข่าวของรัฐบาลอิรักรายงานว่า รัฐมนตรีน้ำมันของอิรักและตุรกีได้หารือกันเรื่องความสำคัญของการกลับมาจัดส่งน้ำมันอีกครั้ง หลังจากการซ่อมแซมท่อส่งน้ำมันเสร็จสิ้นลงแล้ว โดยข่าวนี้บ่งชี้ว่า อิรักอาจจะกลับมาส่งออกน้ำมัน 450,000 บาร์เรลต่อวันผ่านทางท่อส่งจากภาคเหนือของอิรักไปยังตุรกีได้อีกครั้ง หลังจากตุรกีระงับการส่งออกน้ำมันดังกล่าวนับตั้งแต่เดือนมี.ค. Eikon source text
ราคาน้ำมันดิบสหรัฐส่งมอบเดือนก.ย.ปรับลง 37 เซนต์ มาปิดตลาดที่ 80.35 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ในขณะที่สัญญาเดือนก.ย.ครบกำหนดส่งมอบในช่วงปิดตลาดวันอังคาร ส่วนราคาน้ำมันดิบสหรัฐส่งมอบเดือนต.ค.ปรับลง 48 เซนต์ มาปิดตลาดที่ 79.64 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนต.ค.ที่ตลาดกรุงลอนดอนปรับลง 43 เซนต์ หรือ 0.5% มาปิดตลาดที่ 84.03 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาทองสปอตที่ตลาดสหรัฐปรับขึ้น 3.53 ดอลลาร์ สู่ 1,897.47 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงท้ายตลาดวันอังคาร แต่ยังคงเคลื่อนตัวอยู่ใกล้จุดต่ำสุดรอบ 5 เดือนที่ระดับ 1,883.70 ดอลลาร์ที่ทำไว้ในวันศุกร์ที่ 18 ส.ค. โดยราคาทองได้รับแรงกดดันจากการแข็งค่าของดอลลาร์และจากการปรับขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐในวันอังคาร ในขณะที่นักลงทุนรอดูการประชุมประจำปีของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่จะจัดขึ้นที่แจ็คสัน โฮลในรัฐไวโอมิงในวันที่ 26-24 ส.ค. เพื่อประเมินแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ ทั้งนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีปรับลงจาก 4.342% ในช่วงท้ายวันจันทร์ สู่ 4.328% ในช่วงท้ายวันอังคาร หลังจากพุ่งขึ้นแตะ 4.366% ในช่วงเช้าวันอังคาร ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย. 2007 หรือจุดสูงสุดในรอบเกือบ 16 ปี โดยการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยิลด์) ส่งผลลบต่อราคาทอง เพราะทองเป็นสินทรัพย์ที่ไม่ให้ดอกเบี้ย Eikon source text
--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
กรุงเทพฯ--21 ส.ค.--รอยเตอร์
ดัชนีดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินทรงตัวในวันศุกร์ และปิดตลาดสัปดาห์นี้ในแดนบวกเป็นสัปดาห์ที่ 5 ติดต่อกัน ซึ่งถือว่ายาวนานที่สุดในรอบ 15 เดือน โดยดอลลาร์ได้รับแรงหนุนจากคำสั่งซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย ในขณะที่นักลงทุนกังวลกับภาวะเศรษฐกิจจีน และนักลงทุนคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับสูงต่อไป Eikon source text
ดัชนีดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินอยู่ที่ 103.45 ในช่วงท้ายตลาดวันศุกร์ โดยขยับขึ้นจาก 103.40 ในช่วงท้ายตลาดวันพฤหัสบดี หลังจากพุ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดรอบ 2 เดือนที่ 103.68 ในระหว่างวัน และดัชนีดอลลาร์ปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการแข็งค่าขึ้นราว 0.5% จากสัปดาห์ที่แล้ว
ดอลลาร์/เยนอยู่ที่ 145.37 เยน ในช่วงท้ายตลาดวันศุกร์ โดยอ่อนค่าลงจากระดับปิดตลาดวันพฤหัสบดีที่ 145.83 เยน หลังจากพุ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดรอบ 9 เดือนที่ 146.56 เยนในวันพฤหัสบดี
ยูโร/ดอลลาร์อยู่ที่ 1.0873 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันศุกร์ ซึ่งใกล้เคียงกับระดับ 1.0871 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันพฤหัสบดี หลังจากร่วงลงแตะจุดต่ำสุดรอบ 6 สัปดาห์ที่ 1.0856 ดอลลาร์ในวันพฤหัสบดี
ดัชนี S&P 500 และ Nasdaq ของตลาดหุ้นสหรัฐปิดตลาดขยับลงเล็กน้อยในวันศุกร์ โดยดัชนี S&P 500 ได้รับแรงกดดันจากการดิ่งลงของหุ้นบริษัทขนาดยักษ์ในกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มเติบโต แต่ได้รับแรงหนุนจากการปรับขึ้นของหุ้นกลุ่มปลอดภัยและหุ้นกลุ่มพลังงาน ในขณะที่นักลงทุนรอฟังถ้อยแถลงของนายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในการประชุมที่แจ็คสัน โฮลในวันศุกร์ที่ 25 ส.ค. และรอดูผลประกอบการของบริษัทเอ็นวิเดีย ซึ่งเป็นบริษัทผู้ออกแบบชิปที่จะได้รับการรายงานออกมาในวันพุธที่ 23 ส.ค. ทางด้านดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดตลาดขยับขึ้นเล็กน้อยในวันศุกร์ โดยได้รับแรงหนุนจากหุ้นวอลมาร์ทซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกขนาดยักษ์ที่พุ่งขึ้น 1.44% Eikon source text
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวกขึ้น 0.07% สู่ 34,500.66
ดัชนี S&P 500 ปิดขยับลง 0.01% สู่ 4,369.71 ในวันศุกร์ และดิ่งลงมาแล้ว 4.6% ในช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา
ดัชนี Nasdaq ปิดปรับลง 0.2% สู่ 13,290.78 และปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการดิ่งลง 2.6% จากสัปดาห์ที่แล้ว โดยดัชนี Nasdaq รูดลงมาแล้ว 7.2% ในช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นการดิ่งลงครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ปลายเดือนธ.ค. 2022
ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX พุ่งขึ้นในวันศุกร์ โดยได้รับแรงหนุนจากสัญญาณบ่งชี้ว่า การผลิตน้ำมันในสหรัฐชะลอตัวลง อย่างไรก็ดี ทั้งราคาน้ำมันดิบสหรัฐและเบรนท์ต่างก็ปิดตลาดสัปดาห์นี้ในแดนลบ โดยได้รับแรงกดดันจากความกังวลที่มีต่อแนวโน้มอุปสงค์น้ำมันในตลาดโลกท่ามกลางวิกฤติภาคอสังหาริมทรัพย์ในจีน ทั้งนี้ ราคาน้ำมันได้รับแรงหนุน หลังจากบริษัทเบเกอร์ ฮิวจ์สรายงานในวันศุกร์ว่า จำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันและก๊าซที่ใช้งานในสหรัฐดิ่งลง 12 แท่น สู 642 แท่นในช่วงสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 18 ส.ค. ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ. 2022 และถือเป็นการปรับลดลงเป็นสัปดาห์ที่ 6 ติดต่อกัน โดยการดิ่งลงของปริมาณการผลิตน้ำมันในสหรัฐอาจจะส่งผลให้อุปทานน้ำมันตึงตัวมากยิ่งขึ้นในช่วงต่อไปในปีนี้ Eikon source text
ราคาน้ำมันดิบสหรัฐส่งมอบเดือนก.ย.พุ่งขึ้น 86 เซนต์ หรือ 1.1% มาปิดตลาดที่ 81.25 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนต.ค.ที่ตลาดกรุงลอนดอนปรับขึ้น 68 เซนต์ หรือ 0.8% มาปิดตลาดที่ 84.80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล แต่เบรนท์ปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการดิ่งลงราว 2% จากสัปดาห์ที่แล้ว
ราคาทองสปอตที่ตลาดสหรัฐขยับลง 0.70 ดอลลาร์ สู่ 1,888.19 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงท้ายตลาดวันศุกร์ และปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการดิ่งลง 1.31% จากสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งถือเป็นการปิดตลาดรายสัปดาห์ในแดนลบเป็นสัปดาห์ที่ 3 ติดต่อกัน ในขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่แข็งแกร่งกระตุ้นให้นักลงทุนคาดการณ์กันว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับสูงต่อไปเป็นเวลานาน ทั้งนี้ เทรดเดอร์คาดว่า เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 5.25-5.50% ต่อไปจนถึงปี 2024 และนักลงทุนรอดูสัญญาณบ่งชี้ถึงทิศทางนโยบายการเงินจากการประชุมธนาคารกลางที่แจ็คสัน โฮลในวันที่ 24-26 ส.ค. Eikon source text
--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--25 ก.ค.--รอยเตอร์
นักลงทุนบางรายหันไปซื้อหุ้นบริษัทที่จ่ายเงินปันผลสูงในสหรัฐ ในขณะที่นักลงทุนคาดการณ์ว่า วัฏจักรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว หลังจากเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปแล้วรวมกัน 5.00% นับตั้งแต่เดือนมี.ค. 2022 เป็นต้นมา ซึ่งถือเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างแข็งกร้าวที่สุดในรอบหลายสิบปี และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวก็มีส่วนช่วยหนุนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 2 ปีให้พุ่งขึ้นแตะ 5.120% ในวันที่ 6 ก.ค. ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2007 หรือจุดสูงสุดในรอบ 16 ปี โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 2 ปีอยู่ที่ 4.856% ในปัจจุบัน ทั้งนี้ การพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยิลด์) ในช่วงที่ผ่านมาเคยส่งผลลบต่อหุ้นบริษัทหลายแห่งที่จ่ายเงินปันผลสูง ในขณะที่นักลงทุนมักจะซื้อหุ้นบริษัทที่จ่ายเงินปันผลสูงในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ต่ำกว่าระดับปัจจุบันเป็นอย่างมาก
นักลงทุนหลายรายคาดว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ 5.25-5.50% ในการประชุมวันที่ 25-26 ก.ค. แต่เฟดอาจจะไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปอีกในช่วงหลังจากนั้น และการคาดการณ์ดังกล่าวก็ส่งผลให้หุ้นบริษัทที่จ่ายเงินปันผลสูงมีความน่าดึงดูดอีกครั้ง ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอาจจะร่วงลงในอนาคต ทั้งนี้ นายเจอร์เรียน ทิมเมอร์ จากบริษัทฟิเดลิที อินเวสท์เมนท์กล่าวว่า "อัตราผลตอบแทนที่ 5% ที่คุณได้จากพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐดูเหมือนจะเป็นเพียงเหตุการณ์ชั่วคราว และการร่วงลงของบอนด์ยิลด์ก็จะช่วยลดแรงกดดันที่มีต่อหุ้นบริษัทที่แข่งขันกับบอนด์ยิลด์" โดยในตอนนี้นายทิมเมอร์มุ่งความสนใจไปยังหุ้นกลุ่มการเงินและหุ้นกลุ่มพลังงาน เนื่องจากเขาคาดว่าหุ้นสองกลุ่มนี้จะได้รับประโยชน์จากการที่เศรษฐกิจสหรัฐจะชะลอตัวลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยไม่เข้าสู่ภาวะถดถอย
กระแสความสนใจที่เริ่มเพิ่มสูงขึ้นในหุ้นที่จ่ายเงินปันผลสูงปรากฏให้เห็นในยอดเงินลงทุนที่ไหลเข้าสู่กองทุน ProShares S&P 500 Dividend Aristocrats ETF ซึ่งเป็นกองทุนขนาด 1.17 หมื่นล้านดอลลาร์ที่ลงทุนในบริษัทที่ปรับเพิ่มเงินปันผลทุกปีในช่วง 25 ปีที่ผ่านมา โดยกองทุนแห่งนี้มียอดเงินลงทุนไหลเข้าสุทธิ 33 ล้านดอลลาร์ในช่วง 2 สัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 19 ก.ค. ซึ่งถือเป็นยอดเงินลงทุนไหลเข้าสุทธิที่สูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนม.ค. โดยกองทุนแห่งนี้พุ่งขึ้นมาแล้วราว 7.5% จากช่วงต้นปีนี้ ในขณะที่ดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐทะยานขึ้นมาแล้วเกือบ 19% จากช่วงต้นปีนี้
ผลสำรวจของแบงก์ ออฟ อเมริกา โกลบัล รีเสิร์ชระบุว่า ผู้จัดการกองทุนทั่วโลกราว 44% คาดการณ์ในตอนนี้ว่า หุ้นที่จ่ายเงินปันผลสูงจะพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งกว่าหุ้นที่จ่ายเงินปันผลต่ำ โดยสัดส่วน 44% นี้ปรับขึ้น 9% จากเดือนก่อน
ข้อมูลจากบริษัทเอสแอนด์พี ดาวโจนส์ อินดิเซสระบุว่า บริษัทสหรัฐปรับเพิ่มการจ่ายเงินปันผลเฉลี่ย 9.1% นับตั้งแต่ต้นปี 2023 หลังจากปรับเพิ่มเงินปันผลเฉลี่ย 11.8% ในช่วงเวลาเดียวกันในปีที่แล้ว โดยมีบริษัทสหรัฐ 14 แห่งที่ได้ระงับการจ่ายเงินปันผลหรือปรับลดเงินปันผลลงนับตั้งแต่ต้นปีนี้ โดยเพิ่มขึ้นจากบริษัทเพียง 4 แห่งที่ทำแบบเดียวกันในปีก่อน ทั้งนี้ นายโฮเวิร์ด ซิลเวอร์แบลท นักวิเคราะห์ดัชนีของบริษัทเอสแอนด์พี ดาวโจนส์ อินดิเซสระบุว่า นักลงทุนต้องการซื้อหุ้นที่จ่ายเงินปันผลสูงในช่วงนี้ เนื่องจากนักลงทุนคาดว่าบอนด์ยิลด์อาจจะร่วงลง แต่ตลาดหุ้นอาจจะยังคงปรับขึ้นต่อไป--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--16 มิ.ย.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในวันพฤหัสบดี ในขณะที่สหรัฐรายงานตัวเลขเศรษฐกิจหลายตัวในวันพฤหัสบดี และตัวเลขดังกล่าวช่วยกระตุ้นการคาดการณ์ที่ว่า วัฏจักรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานในวันพฤหัสบดีว่า ยอดค้าปลีกในสหรัฐปรับขึ้น 0.3% ในเดือนพ.ค. หลังจากปรับขึ้น 0.4% ในเดือนเม.ย. และสวนทางกับโพลล์รอยเตอร์ที่คาดว่า ยอดค้าปลีกอาจปรับลดลง 0.1% ในเดือนพ.ค. ส่วนกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานในวันพฤหัสบดีว่า ยอดผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกทรงตัวที่ 262,0000 รายในช่วงสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 10 มิ.ย. ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ในโพลล์รอยเตอร์ที่ 249,000 ราย นอกจากนี้ กระทรวงแรงงานยังรายงานอีกด้วยว่า ราคานำเข้าในสหรัฐดิ่งลง 5.9% ในเดือนพ.ค.เมื่อเทียบรายปี ซึ่งถือเป็นการดิ่งลงครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค. 2020 หรือครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 3 ปี หลังจากรูดลง 4.9% ในเดือนเม.ย.เมื่อเทียบรายปี โดยราคานำเข้าดิ่งลงมาแล้ว 4 เดือนติดต่อกัน และรายงานตัวเลขนี้ช่วยลดความกังวลเรื่องภาวะเงินเฟ้อ
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดทะยานขึ้น 1.26% สู่ 34,408.06, ดัชนี S&P 500 ปิดพุ่งขึ้น 1.22% สู่ 4,425.84 ซึ่งถือเป็นระดับปิดสูงสุดในรอบ 14 เดือน และดัชนีพุ่งขึ้นมาแล้ว 15% จากช่วงต้นปี 2023 ส่วนดัชนี Nasdaq ปิดทะยานขึ้น 1.15% สู่ 13,782.82 ในวันพฤหัสบดี ซึ่งถือเป็นระดับปิดสูงสุดในรอบ 14 เดือน และดัชนี Nasdaq ทะยานขึ้นมาแล้วราว 32% จากช่วงต้นปี 2023 โดยดัชนี Nasdaq พุ่งขึ้นมาแล้วเกือบ 4% จากช่วงต้นสัปดาห์นี้ด้วย ในขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐได้รับแรงหนุนในปีนี้จากสัญญาณบ่งชี้ถึงความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ, จากผลประกอบการภาคเอกชนที่ดีเกินคาด และจากการคาดการณ์ที่ว่า อัตราดอกเบี้ยสหรัฐใกล้จะแตะจุดสูงสุดของวัฏจักรแล้ว ทั้งนี้ หุ้นทั้ง 11 กลุ่มในตลาดหุ้นสหรัฐปิดตลาดในแดนบวกในวันพฤหัสบดี โดยดัชนีหุ้นกลุ่มการแพทย์พุ่งขึ้น 1.55% และถือเป็นกลุ่มที่พุ่งขึ้นมากที่สุด ส่วนดัชนีหุ้นกลุ่มบริการการสื่อสารทะยานขึ้น 1.54% และถือเป็นกลุ่มที่พุ่งขึ้นมากเป็นอันดับสอง
ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่ออกมาในช่วงนี้บ่งชี้ว่าอัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลง และช่วยลดความกังวลเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอนาคต โดยปัจจัยดังกล่าวมีส่วนกดดันอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐให้ร่วงลงด้วย โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีปรับลงจาก 3.798% ในช่วงท้ายวันพุธ สู่ 3.728% ในช่วงท้ายวันพฤหัสบดี และการร่วงลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยิลด์) ก็ส่งผลบวกต่อหุ้นเติบโต ซึ่งเป็นกลุ่มที่มักจะได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ย ทั้งนี้ หุ้นแอปเปิลพุ่งขึ้น 1.1% ในวันพฤหัสบดี ส่วนหุ้นไมโครซอฟท์ทะยานขึ้น 3.2% สู่สถิติระดับปิดสูงสุดใหม่ โดยทำลายสถิติระดับปิดสูงสุดเดิมที่เคยทำไว้ในเดือนพ.ย. 2021
เทรดเดอร์คาดการณ์ในตอนนี้ว่า มีโอกาสราว 33.2% ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 5.00-5.25% ในการประชุมวันที่ 25-26 ก.ค. และมีโอกาสราว 66.8% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ 5.25-5.50% ในการประชุมวันที่ 25-26 ก.ค. นอกจากนี้ เทรดเดอร์ยังคาดการณ์อีกด้วยว่า เฟดอาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงก่อนสิ้นเดือนธ.ค.ปีนี้
หุ้นโครเกอร์ซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกดิ่งลง 2.7% หลังจากโครเกอร์เปิดเผยรายได้ไตรมาสแรกที่ต่ำเกินคาด ทั้งนี้ หุ้นบริษัทจีนที่จดทะเบียนในสหรัฐพุ่งขึ้นในวันพฤหัสบดี ซึ่งรวมถึงหุ้นอาลีบาบา กรุ๊ปที่ทะยานขึ้น 3.2% และหุ้นเจดีดอทคอมที่พุ่งขึ้น 3.4% หลังจากธนาคารกลางจีนประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้นโยบายระยะกลางเป็นครั้งแรกในรอบ 10 เดือนในวันพฤหัสบดี โดยธนาคารกลางจีนลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะกลางอายุ 1 ปี (MLF) วงเงิน 2.37 แสนล้านหยวน(3.309 หมื่นล้านดอลลาร์) ให้แก่สถาบันการเงินบางแห่งลง 0.10% สู่ระดับ 2.65% ซึ่งสอดคล้องกับที่คาดไว้--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--3 มี.ค.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดปรับขึ้นในวันพฤหัสบดี ในขณะที่ถ้อยแถลงของนายราฟาเอล บอสติก ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาแอตแลนตาช่วยกดดันอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐให้ลดช่วงบวกลงจากจุดสูงสุดของวัน โดยนายบอสติกกล่าวสนับสนุนให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งละ 0.25% และเขามองว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย "อย่างเชื่องช้าและสม่ำเสมอ" ถือเป็นหนทางที่เหมาะสมสำหรับเฟด ในขณะที่การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงที่ผ่านมาอาจจะเริ่มส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐในฤดูใบไม้ผลิปีนี้ อย่างไรก็ดี เขากล่าวว่า เฟดพร้อมที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป ถ้าหากอัตราเงินเฟ้อไม่ชะลอตัวลง และเขายังคงอยู่ในระหว่างการพิจารณาว่า ตัวเลขอัตราเงินเฟ้อที่แข็งแกร่งเกินคาดในช่วงนี้จะส่งผลกระทบต่อนโยบายของเฟดอย่างไรบ้าง ทั้งนี้ นายคริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ หนึ่งในผู้ว่าการเฟดกล่าวในวันพฤหัสบดีว่า ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่ "ร้อนแรง" ในช่วงนี้ อาจจะส่งผลให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสู่ระดับที่สูงกว่า 5.1-5.4% ซึ่งเป็นระดับที่ผู้กำหนดนโยบายส่วนใหญ่ของเฟดเคยคาดการณ์ไว้ในเดือนธ.ค.ปีที่แล้ว
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดพุ่งขึ้น 1.05% สู่ 33,003.57, ดัชนี S&P 500 ปิดบวกขึ้น 0.76% สู่ 3,981.35 และดัชนี Nasdaq ปิดปรับขึ้น 0.73% สู่ 11,462.98 ทั้งนี้ ดัชนี S&P 500 ดิ่งลงผ่านค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 200 วันในระหว่างช่วงการซื้อขายวันพฤหัสบดี ซึ่งถือเป็นการดิ่งลงผ่านแนวรับสำคัญดังกล่าวเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่วันที่ 25 ม.ค. ก่อนจะดีดกลับขึ้นมาได้ในเวลาต่อมา โดยค่าเฉลี่ยดังกล่าวอยู่ที่ระดับราว 3,940 ในวันพฤหัสบดี
กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานในวันพฤหัสบดีว่า ยอดผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกปรับลดลง 2,000 ราย สู่ 190,000 รายในช่วงสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 25 ก.พ. ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ในโพลล์รอยเตอร์ที่ 195,000 ราย และถือเป็นสัปดาห์ที่ 7 ติดต่อกันที่ยอดผู้ขอรับสวัสดิการอยู่ต่ำกว่า 200,000 ราย นอกจากนี้ ทางกระทรวงแรงงานยังรายงานอีกด้วยว่า ต้นทุนแรงงานต่อหนึ่งหน่วยผลผลิตในสหรัฐ ปรับขึ้น 3.2% ในไตรมาส 4/2022 เมื่อเทียบเป็นตัวเลขเต็มปี (annualized) สำหรับตัวเลขที่ผ่านการทบทวนแล้ว โดยปรับขึ้นจาก +1.1% ในตัวเลขขั้นต้นที่เคยรายงานไว้ในเดือนก.พ. หลังจากต้นทุนแรงงานทะยานขึ้น 6.9% ในไตรมาส 3/2022
หลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานตัวเลขดังกล่าว อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีก็พุ่งขึ้นแตะ 4.091% ในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดรอบ 4 เดือน ก่อนจะลดช่วงบวกลงสู่ 4.073% ในช่วงท้ายวันพฤหัสบดี โดยปรับขึ้นจาก 3.996% ในช่วงท้ายวันพุธ ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 2 ปี ซึ่งมักจะปรับตัวตามการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ย ทะยานขึ้นแตะ 4.944% ในระหว่างช่วงการซื้อขายวันพฤหัสบดี ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.ค. 2007 หรือจุดสูงสุดรอบ 15 ปี ก่อนจะลดช่วงบวกลงสู่ 4.904% ในช่วงท้ายวันพฤหัสบดี ทั้งนี้ นักลงทุนในตลาดสัญญาล่วงหน้า fed funds คาดการณ์ว่า มีโอกาสราว 50% ที่เฟดจะปรับขึ้นกรอบเป้าหมายอัตราดอกเบี้ยนโยบายสู่ 5.50-5.75% ก่อนสิ้นเดือนก.ย. จากระดับ 4.50-4.75% ในปัจจุบัน
หุ้นเซลส์ฟอร์ซ ซึ่งเป็นบริษัทคอมพิวเตอร์ซอฟต์แวร์พุ่งขึ้น 11.50% ในวันพฤหัสบดี ซึ่งถือเป็นการพุ่งขึ้นครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนส.ค. 2020 หลังจากเซลส์ฟอร์ซคาดการณ์รายได้ไตรมาสแรกที่สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ และปรับเพิ่มขนาดการซื้อคืนหุ้นขึ้นเป็นสองเท่า สู่ 2.0 หมื่นล้านดอลลาร์--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--28 พ.ย.--รอยเตอร์
ดัชนี Nasdaq ของตลาดหุ้นสหรัฐปิดร่วงลงในวันศุกร์ โดยได้รับแรงกดดันจากหุ้นบริษัทแอปเปิล อิงค์ที่ดิ่งลง 2.0% ในขณะที่นักลงทุนจับตาดูข่าวเกี่ยวกับการระบาดของโรคโควิด-19 ในจีน และนักลงทุนรอดูยอดค้าปลีกของสหรัฐในวัน Black Friday ซึ่งตรงกับวันศุกร์ที่ 25 พ.ย.ในปีนี้ โดยบริษัทค้าปลีกหลายแห่งของสหรัฐมักจะเริ่มการปรับลดราคาสินค้าครั้งใหญ่ในวัน Black Friday ทั้งนี้ หุ้นแอปเปิลดิ่งลงในวันศุกร์ โดยได้รับแรงกดดันจากข่าวที่ว่า โรงงานของบริษัทฟ็อกซ์คอนน์ในจีนจะปรับลดการจัดส่งโทรศัพท์ไอโฟน เนื่องจากการผลิตที่โรงงานดังกล่าวได้รับผลกระทบจากการประท้วงของคนงานท่ามกลางการระบาดของโรคโควิด-19 โดยคนงานหลายพันคนได้ลาออกจากโรงงานไปแล้ว
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดปรับขึ้น 0.45% สู่ 34,347.03, ดัชนี S&P 500 ปิดขยับลง 0.03% สู่ 4,026.12; และดัชนี Nasdaq ปิดร่วงลง 0.52% สู่ 11,226.36 ทั้งนี้ ดัชนีตลาดหุ้นสำคัญทั้ง 3 ดัชนีต่างก็ปิดตลาดสัปดาห์นี้ในแดนบวก โดยเฉพาะดัชนีดาวโจนส์ที่ปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการพุ่งขึ้น 1.78% จากสัปดาห์ที่แล้ว ทางด้านดัชนี S&P 500 ทะยานขึ้นมาแล้วกว่า 15% จากจุดต่ำสุดของช่วงต้นเดือนต.ค. โดยได้รับแรงหนุนจากฤดูการรายงานผลประกอบการที่สดใส และจากความคาดหวังที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะชะลอความเร็วในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
นักลงทุนรอดูยอดค้าปลีกในวัน Black Friday ในขณะที่อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูงและเศรษฐกิจสหรัฐชะลอการเติบโต อย่างไรก็ดี มีประชาชนจำนวนไม่มากนักออกมารอซื้อสินค้าในวันศุกร์ท่ามกลางสภาพอากาศที่ไม่ดี ถึงแม้ว่าโดยปกติแล้ววัน Black Friday มักจะเป็นวันที่มีการจับจ่ายซื้อสินค้ามากที่สุดในแต่ละปี โดยหุ้นกลุ่มค้าปลีกของสหรัฐปรับตัวอย่างไร้ทิศทางในวันศุกร์ ซึ่งรวมถึงหุ้นบริษัททาร์เก็ต, เมซีส์ และเบสท์ บาย ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มค้าปลีกของสหรัฐถือเป็นมาตรวัดความเชื่อมั่นของผู้บริโภคท่ามกลางภาวะเงินเฟ้อในช่วงนี้ โดยดัชนีหุ้นกลุ่มค้าปลีกของสหรัฐรูดลงมาแล้วกว่า 30% จากช่วงต้นปีนี้ ในขณะที่ดัชนี S&P 500 ดิ่งลงราว 15% จากช่วงต้นปีนี้ ทางด้านดัชนีหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยของสหรัฐขยับขึ้นเล็กน้อยในวันศุกร์
ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนพ.ย. นักลงทุนจะรอดูยอดค้าปลีกของสหรัฐ, จะจับตาดูการระบาดของโรคโควิด-19 ในจีน และจะจับตาดูสัญญาณบ่งชี้ถึงแนวโน้มในการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ทั้งนี้ นักวิเคราะห์คาดว่า มีโอกาส 71.1% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% สู่ 4.25-4.50% ในการประชุมกำหนดนโยบายในวันที่ 13-14 ธ.ค. และนักวิเคราะห์คาดว่าอัตราดอกเบี้ยอาจจะขึ้นไปแตะจุดสูงสุดในเดือนมิ.ย. 2023
หุ้นแอคทิวิชัน บลิซซาร์ด ซึ่งเป็นผู้เผยแพร่วิดีโอเกมดิ่งลง 4.07% ในวันศุกร์ หลังจากมีข่าวว่า คณะกรรมการการค้าของรัฐบาลกลางสหรัฐ (FTC) มีแนวโน้มที่จะยื่นดำเนินคดีต่อต้านการผูกขาด เพื่อขัดขวางบริษัทไมโครซอฟท์จากการเข้าเทคโอเวอร์แอคทิวิชันในข้อตกลงขนาด 6.9 หมื่นล้านดอลลาร์--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--24 พ.ย.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดปรับขึ้นในวันพุธ หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยรายงานการประชุมกำหนดนโยบายประจำวันที่ 1-2 พ.ย. และรายงานดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ผู้กำหนดนโยบายส่วนใหญ่ในเฟดมีความเห็นตรงกันว่า จะเป็นการเหมาะสมที่จะชะลอความเร็วในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเร็ว ๆ นี้ ทั้งนี้ เฟดได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% สู่ 3.75-4.00% ในการประชุมวันที่ 1-2 พ.ย. ซึ่งถือเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งละ 0.75% เป็นครั้งที่ 4 ติดต่อกัน และรายงานการประชุมก็แสดงให้เห็นว่า เจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ของเฟดมีความพึงพอใจที่พวกเขาสามารถยุติการเร่งความเร็วในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงแรก และเฟดอาจจะเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในขนาดที่เล็กลง นอกจากนี้ รายงานการประชุมยังแสดงให้เห็นอีกด้วยว่า เจ้าหน้าที่เฟดเริ่มหารือกันเรื่องความเสี่ยงที่เสถียรภาพทางการเงินและเศรษฐกิจอาจได้รับจากการคุมเข้มนโยบายการเงินอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ผู้กำหนดนโยบายยอมรับว่า แทบไม่มีความคืบหน้าอย่างเห็นได้ชัดในการแก้ไขปัญหาภาวะเงินเฟ้อ และยอมรับว่าเฟดจำเป็นจะต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดปรับขึ้น 0.28% สู่ 34,194.06 ซึ่งถือเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย., ดัชนี S&P 500 ปิดบวกขึ้น 0.59% สู่ 4,027.26 และดัชนี Nasdaq ปิดพุ่งขึ้น 0.99% สู่ 11,285.32 ทั้งนี้ วอลุ่มการซื้อขายอยู่ในระดับเบาบาง ก่อนที่ตลาดหุ้นสหรัฐจะปิดทำการในวันพฤหัสบดีเนื่องในวันขอบคุณพระเจ้าของสหรัฐ และตลาดหุ้นสหรัฐจะเปิดทำการเพียงครึ่งวันในวันศุกร์ที่ 25 พ.ย.
ตัวเลขเศรษฐกิจที่ไร้ทิศทางในสหรัฐส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีดิ่งลงจาก 3.758% ในช่วงท้ายวันอังคาร สู่ 3.709% ในช่วงท้ายวันพุธ และปัจจัยนี้มีส่วนช่วยหนุนตลาดหุ้นให้ปรับขึ้นด้วย ทั้งนี้ บริษัทเอสแอนด์พี โกลบอลรายงานในวันพุธว่า กิจกรรมทางธุรกิจของสหรัฐหดตัวลงในเดือนพ.ย.เป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกัน โดยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) สำหรับผลผลิตโดยรวมของสหรัฐดิ่งลงจาก 48.2 ในเดือนต.ค. สู่ 46.3 ในเดือนพ.ย. ส่วนกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานในวันพุธว่า ยอดผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในสหรัฐพุ่งขึ้น 17,000 ราย สู่ 240,000 รายในช่วงสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 19 พ.ย. ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ในโพลล์รอยเตอร์ที่ 225,000 ราย ทางด้านมหาวิทยาลัยมิชิแกนรายงานว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐอยู่ที่ 56.8 ในช่วงปลายเดือนพ.ย. โดยปรับขึ้นจากระดับ 54.7 ในช่วงต้นเดือนพ.ย. แต่ดิ่งลงจาก 59.9 ในเดือนต.ค. นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐยังรายงานอีกด้วยว่า ยอดขายบ้านใหม่ในสหรัฐดีดขึ้น 7.5% สู่ 632,000 ยูนิตต่อปีในเดือนต.ค.
หุ้นบริษัทขนาดใหญ่ในสหรัฐปรับขึ้นในวันพุธ โดยหุ้นอะเมซอนดอทคอมพุ่งขึ้น 1.00% และหุ้นเมตา แพลตฟอร์มส์บวกขึ้น 0.72% ทางด้านหุ้นเทสลาซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าทะยานขึ้น 7.82% หลังจากซิตี้กรุ๊ปปรับขึ้นอันดับความน่าลงทุนของหุ้นเทสลาสู่ "neutral" จาก "sell"
หุ้นเดียร์ แอนด์ โค ซึ่งเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์ทางการเกษตรพุ่งขึ้น 5.03% หลังจากทางบริษัทเปิดเผยผลกำไรรายไตรมาสที่สูงเกินคาด ทั้งนี้ หุ้นนอร์ดสตรอมซึ่งเป็นผู้ค้าปลีกสินค้าแฟชั่นดิ่งลง 4.24% หลังจากนอร์ดสตรอมปรับลดตัวเลขคาดการณ์ผลกำไร โดยเป็นผลจากการปรับลดราคาสินค้าครั้งใหญ่เพื่อพยายามดึงดูดลูกค้า--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
เครื่องมือออกแบบโปสเตอร์
โครงการพันธมิตร
ความเสี่ยงของการสูญเสียในการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น หุ้น FX สินค้าโภคภัณฑ์ ฟิวเจอร์ส พันธบัตร ETFs หรือเงินดิจิทัลอาจมีมาก คุณอาจสูญเสียเงินทุนทั้งหมดที่คุณฝากไว้กับโบรกเกอร์ของคุณ ดังนั้น คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบว่าการซื้อขายดังกล่าวเหมาะสมกับคุณหรือไม่ในสถานการณ์และทรัพยากรทางการเงินของคุณ
ไม่ควรตัดสินใจลงทุนโดยไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบสถานะอย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วยตัวเองหรือปรึกษากับที่ปรึกษาทางการเงินของคุณ เนื้อหาเว็บของเราอาจไม่เหมาะกับคุณเนื่องจากเราไม่ทราบเงื่อนไขทางการเงินและความต้องการในการลงทุนของคุณ ข้อมูลทางการเงินของเราอาจมีความล่าช้าหรือมีความไม่ถูกต้อง ดังนั้นคุณควรรับผิดชอบอย่างเต็มที่ต่อการตัดสินใจซื้อขายและการลงทุนของคุณ บริษัทจะไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียเงินทุนของคุณ
หากไม่ได้รับอนุญาตจากเว็บไซต์ คุณจะไม่สามารถคัดลอกกราฟิก ข้อความ หรือเครื่องหมายการค้าของเว็บไซต์ได้ สิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาในเนื้อหาหรือข้อมูลที่รวมอยู่ในเว็บไซต์นี้เป็นของผู้ให้บริการและผู้ค้าแลกเปลี่ยน
ไม่ได้ล็อกอิน
เข้าสู่ระบบเพื่อเข้าถึงฟังก์ชั่นเพิ่มเติม

สมาชิก FastBull
ยังไม่ได้เปิด
สมัคร
เข้าสู่ระบบ
ลงทะเบียน