ตลาด
ข่าวสาร
การวิเคราะห์
ผู้ใช้
24x7
ปฏิทินเศรษฐกิจ
แหล่งเรียนรู้
ข้อมูล
- ชื่อ
- ค่าล่าสุด
- ครั้งก่อน












สัญญาณ VIP
ทั้งหมด
ทั้งหมด



สหราชอาณาจักร ดัชนีราคาที่อยู่อาศัย Halifax YoY (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส บัญชีเดินสะพัด (Not SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส ดุลการค้า (SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส การผลิตภาคอุตสาหกรรม MoM(SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
อิตาลี ดัชนียอดค้าปลีก MoM (SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงาน YoY (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน GDP Final YoY (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน GDP Final QoQ (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงาน QoQ (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงานสุดท้าย (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
บราซิล PPI MoM (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
เม็กซิโก ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา อัตราการว่างงาน (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา อัตราการมีส่วนร่วมในการจ้างงาน (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงาน (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงานนอกเวลา (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงานเต็มเวลา (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา รายได้ส่วนบุคคล MoM (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคา PCE YoY (SA) (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคา PCE MoM (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา รายจ่ายส่วนบุคคล MoM(SA) (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาPCEหลักMoM (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาPCEหลักYoY (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา เงินเฟ้อเบื้องต้น UMich 5-YearYoY (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ค่าใช้จ่ายการบริโภคส่วนบุคคลที่จริง MoM (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การคาดการณ์เงินเฟ้อ 5-10 ปี (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีสถานภาพเบื้องต้น UMich ปัจจุบัน (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้น UMich (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อล่วงหน้า 1 ปี UMich (เบื้องต้น) (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีความคาดหวังผู้บริโภค UMich (เบื้องต้น) (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ปริมาณเครื่องเจาะทั้งหมดรายสัปดาห์--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ปริมาณเครื่องเจาะน้ำมันทั้งหมดรายสัปดาห์--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา สินเชื่ออุปโภคบริโภค (SA) (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ เงินตราที่ใช้เป็นทุนสำรอง (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ปริมาณการส่งออก YoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การนำเข้า YoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การนำเข้าYoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การนำเข้า (CNH) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ดุลการค้า (CNH) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การส่งออก (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น ค่าจ้าง MoM (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น ดุลการค้า (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น GDP Nominal แก้ไขQoQ (ไตรมาส 3)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น ดุลการค้า (SA)(ข้อมูลศุลกากร) (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น GDP ประจำปี (แก้ไข) QoQ (ไตรมาส 3)--
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ปริมาณการส่งออก YoY (CNH) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ดุลการค้า (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
เยอรมนี การผลิตภาคอุตสาหกรรม MoM(SA) (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน Sentix (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา อินดิเคเตอร์ชั้นนำ MoM (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา ดัชนีความเชื่อมั่นเศรษฐกิจแห่งชาติ--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาธนาคารกลางรัฐดัลลาส สหรัฐอเมริกา PCE YoY (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา อัตราผลตอบแทนการประมูลพันธบัตรรัฐบาล 3-ปี--
ค: --
ค: --
สหราชอาณาจักร ดัชนียอดค้าปลีกรวม BRC YoY (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
สหราชอาณาจักร ดัชนียอดค้าปลีก Like-For-Like BRC YoY (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
ออสเตรเลีย อัตราหลัก(ดอกเบี้ยเงินกู้)O/N--
ค: --
ค: --
คำแถลงอัตราของธนาคารกลางออสเตรเลีย
ประธานธนาคารกลางออสเตรเลีย Bullock จัดงานแถลงข่าวนโยบายการเงิน
เยอรมนี อัตราการส่งออก MoM (SA) (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีความเชื่อมั่นของธุรกิจขนาดเล็ก NFIB (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
เม็กซิโก CPI หลัก YoY (พ.ย.)--
ค: --
ค: --


ไม่มีข้อมูลที่ตรงกัน
ทัศนคติล่าสุด
ทัศนคติล่าสุด
หัวข้อยอดนิยม
คอลัมนิสต์ยอดนิยม
อัปเดตล่าสุด
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
ดูผลการค้นหาทั้งหมด

ไม่มีข้อมูล
นิวยอร์ค--20 ก.ค.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดปรับขึ้นในวันพุธ ในขณะที่นักลงทุนปรับตัวรับฤดูการรายงานผลประกอบการไตรมาสสอง โดยดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารของสหรัฐพุ่งขึ้น 1.70% ในวันพุธ ซึ่งถือเป็นการปิดตลาดในแดนบวกเป็นวันที่ 3 ติดต่อกัน และถือเป็นการปิดตลาดในแดนบวกเป็นวันที่ 8 ในช่วง 9 วันทำการที่ผ่านมา ทั้งนี้ หุ้นธนาคารโกลด์แมน แซคส์บวกขึ้น 0.97% ในวันพุธ หลังจากโกลด์แมน แซคส์รายงานว่า ผลกำไรปรับลงแตะจุดต่ำสุดรอบ 3 ปี แต่นายเดวิด โซโลมอน ซีอีโอของโกลด์แมน แซคส์แสดงความเห็นในทางบวกต่อสัญญาณการฟื้นตัวของแผนกวาณิชธนกิจ ซึ่งเป็นความเห็นที่สอดคล้องกับความเห็นของธนาคารขนาดใหญ่แห่งอื่น ๆ ในวันอังคารที่ผ่านมา
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวกขึ้น 0.31% สู่ 35,061.21 ซึ่งถือเป็นการปิดตลาดในแดนบวกเป็นวันที่ 8 ติดต่อกัน และระยะ 8 วันนี้ถือว่ายาวนานที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.ย. 2019 หรือนานที่สุดในรอบเกือบ 4 ปี ทางด้านดัชนี S&P 500 ปิดปรับขึ้น 0.24% สู่ 4,565.72 และดัชนี Nasdaq ปิดขยับขึ้น 0.03% สู่ 14,358.02 ทั้งนี้ ดัชนี Nasdaq ขยับขึ้นได้น้อยมาก เพราะว่าดัชนีได้รับแรงกดดันจากหุ้นไมโครซอฟท์ที่ดิ่งลง 1.23% หลังจากมีข่าวว่าบริษัทแอปเปิลกำลังพัฒนาบริการด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ทางด้านหุ้นเอ็นวิเดียร่วงลง 0.88% และหุ้นแอลฟาเบทดิ่งลง 1.40% ส่วนหุ้นแอปเปิลบวกขึ้น 0.71%
ดัชนี KBW สำหรับหุ้นธนาคารระดับภูมิภาคของสหรัฐพุ่งขึ้น 2.90% มาปิดตลาดที่ 99.04 ในวันพุธ ซึ่งถือเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 10 มี.ค. ซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้นของวิกฤติภาคธนาคาร และถือเป็นการปิดตลาดในแดนบวกเป็นวันที่ 3 ติดต่อกัน ในขณะที่หุ้นธนาคารซิติเซนส์ ไฟแนนเชียลทะยานขึ้น 6.39% และหุ้นเอ็มแอนด์ที แบงก์พุ่งขึ้น 2.48% หลังจากธนาคารทั้งสองแห่งนี้เปิดเผยผลกำไรไตรมาสสองที่ดีเกินคาด นอกจากนี้ หุ้นยูเอส แบงคอร์ปซึ่งเป็นธนาคารที่มีสำนักงานใหญ่ในเมืองมินนิอาโปลิสก็พุ่งขึ้น 6.46% หลังจากยูเอส แบงคอร์ปรายงานว่า รายได้ดอกเบี้ยสุทธิพุ่งขึ้น 28% ในไตรมาสล่าสุด
นักลงทุนคาดการณ์ในช่วงนี้ว่า ผลกำไรของบริษัทสหรัฐอาจดิ่งลง 8.2% ในไตรมาสสอง หลังจากที่เคยคาดการณ์ในช่วงต้นเดือนก.ค.ว่า ผลกำไรอาจปรับลดลงเพียง 5.7% ในไตรมาสสอง ทั้งนี้ หลังจากตลาดหุ้นปิดทำการในวันพุธ เทสลาซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าก็รายงานว่า อัตราผลกำไรขั้นต้นปรับลดลงในไตรมาสสองเมื่อเทียบกับไตรมาสแรก โดยอัตราผลกำไรขั้นต้นปรับลดลงสู่ 18.2% ในไตรมาสสอง ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดในรอบ 16 ไตรมาส
หลังจากตลาดหุ้นปิดทำการในวันพุธ บริษัทเน็ตฟลิกซ์ได้รายงานผลกำไรที่ดีเกินคาด โดยผลกำไรต่อหุ้นปรับลดของเน็ตฟลิกซ์อยู่ที่ 3.29 ดอลลาร์ต่อหุ้นในไตรมาสสอง ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ 2.86 ดอลลาร์ อย่างไรก็ดี เน็ตฟลิกซ์รายงานว่า รายได้ปรับขึ้น 2.7% เมื่อเทียบรายปี สู่ 8.2 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสสอง ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ 8.3 พันล้านดลอลาร์ และเน็ตฟลิกซ์คาดว่า รายได้ในไตรมาสสามจะอยู่ที่ระดับ 8.5 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ 8.7 พันล้านดอลลาร์ ทั้งนี้ หุ้นเอทีแอนด์ทีซึ่งเป็นบริษัทโทรคมนาคมปิดพุ่งขึ้น 8.48% หลังจากเอทีแอนด์ทีประกาศว่า ทางบริษัทไม่ได้วางแผนที่จะถอนสายเคเบิลตะกั่วออกจากทะเลสาบทาโฮในทันที โดยทางบริษัทจะรอผลการวิเคราะห์เพิ่มเติมก่อน ทางด้านหุ้นเวริซอนในกลุ่มโทรคมนาคมทะยานขึ้น 5.27%--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นายแจน ฮัตซิอุซ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของโกลด์แมน แซคส์กล่าวว่า ธนาคารลดความเป็นไปได้ที่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐจะเริ่มขึ้นในช่วง 12 เดือนข้างหน้าลงสู่ระดับ 20% จาก 25% ที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้า
เขาระบุในรายงานวิจัยว่า "เหตุผลหลักที่เราลดความเป็นไปได้ลงมาก็คือข้อมูลล่าสุดตอกย้ำความเชื่อมั่นของเราที่ว่า การทำให้เงินเฟ้อลดลงสู่ระดับที่ยอมรับได้นั้นจะไม่ต้องการภาวะถดถอย" ขณะเดียวกัน กิจกรรมทางเศรษฐกิจยังคงฟื้นตัวไว แม้ต้นทุนการกู้สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญนับตั้งแต่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เริ่มมาตรการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงต้นปี 2022 ก็ตาม
"เราคาดว่าจะมีการชะลอตัวลงอีกในช่วง 2 ไตรมาสข้างหน้า ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเพราะรายได้ส่วนบุคคลสุทธิแท้จริงที่ชะลอตัวลงตามลำดับ และผลกระทบจากการให้สินเชื่อภาคธนาคารที่ลดลง" แต่เขาก็คาดว่า เศรษฐกิจจะขยายตัวต่อไป แต่ในอัตราที่ต่ำกว่าแนวโน้ม
ในส่วนของการพลิกกลับด้านของเส้นโค้งอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐในขณะนี้ ซึ่งถูกมองว่าเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงภาวะถดถอยที่ใกล้จะเกิดขึ้น เขากล่าวว่า นั่นสะท้อน และยืนยันการคาดการณ์เศรษฐกิจ "ที่เป็นการคาดการณ์ในแง่ลบมากเกินไป"
เส้นโค้งอัตราผลตอบแทนที่พลิกกลับด้านบ่งชี้ถึงการคาดการณ์ว่า เฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ อย่างไรก็ดี มีแนวทางที่เป็นไปได้ที่เฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยเพราะอัตราเงินเฟ้อลดลง และมีความเป็นไปได้สูงที่เฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% ในการประชุมนโยบายในสัปดาห์หน้า ซึ่งเขาคาดว่า จะเป็นการขึ้นดอกเบี้ยครั้งสุดท้ายของวงจรการคุมเข้มนโยบายการเงินในขณะนี้--จบ--
Eikon source text
นิวยอร์ค--12 ก.ค.--รอยเตอร์
ธนาคารขนาดใหญ่ของสหรัฐจะเริ่มต้นรายงานผลกำไรไตรมาสสองในเร็ว ๆ นี้ โดยธนาคารเจพีมอร์แกน เชส, ซิตี้กรุ๊ป และเวลส์ ฟาร์โกมีกำหนดจะรายงานผลกำไรไตรมาส 2 ในวันที่ 14 ก.ค., แบงก์ ออฟ อเมริกาและมอร์แกน สแตนเลย์มีกำหนดจะประกาศผลประกอบการในวันที่ 18 ก.ค. ส่วนโกลด์แมน แซคส์จะประกาศผลประกอบการในวันที่ 19 ก.ค. ทางด้านนักลงทุนคาดว่าธนาคารขนาดใหญ่ของสหรัฐจะรายงานตัวเลขผลกำไรไตรมาสสองที่สูงขึ้น โดยได้รับแรงหนุนจากดอกเบี้ยรับที่สูงขึ้น และปัจจัยบวกดังกล่าวจะช่วยชดเชยยอดการทำข้อตกลงทางธุรกิจที่ปรับลดลง ทั้งนี้ นักวิเคราะห์คาดว่า ในส่วนของธนาคารที่ให้บริการแบบครบวงจรนั้น ธนาคารเจพีมอร์แกนและธนาคารเวลส์ ฟาร์โก ซึ่งให้บริการแก่ทั้งภาคเอกชนและผู้บริโภครายย่อย มีแนวโน้มที่จะมีผลกำไรต่อหุ้น (EPS) พุ่งขึ้นกว่า 40% ส่วนแบงก์ ออฟ อเมริกามีแนวโน้มที่จะมี EPS ทะยานขึ้นกว่า 7% แต่ซิตี้กรุ๊ปมีแนวโน้มที่จะมี EPS ดิ่งลง 43%
ในส่วนของวาณิชธนกิจขนาดใหญ่นั้น นักวิเคราะห์คาดว่า โกลด์แมน แซคส์มีแนวโน้มที่จะมี EPS ดิ่งลงเกือบ 59% ส่วนมอร์แกน สแตนเลย์มีแนวโน้มที่จะมี EPS รูดลง 9% อย่างไรก็ดี รายได้จากแผนกบริหารความมั่งคั่งมีแนวโน้มที่จะช่วยชดเชยความอ่อนแอของรายได้จากการทำข้อตกลงทางธุรกิจ ทั้งนี้ นายเดวิด คอนราด นักวิเคราะห์ของบริษัทคีฟ, บรูย์เอทท์ แอนด์ วูดส์กล่าวว่า ธนาคารที่ให้บริการแบบครบวงจรได้รับแรงหนุนจากผู้บริโภคสหรัฐที่ยังคงใช้จ่ายเงินจำนวนมาก และยังคงมีฐานะการเงินที่ดี โดยปัจจัยบวกดังกล่าวช่วยชดเชยความอ่อนแอในแผนกวาณิชธนกิจ ในขณะที่รายได้ด้านวาณิชธนกิจได้รับแรงกดดันจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ
นายสตีเฟน บิกการ์ นักวิเคราะห์ของบริษัทอาร์กัส รีเสิร์ชกล่าวว่า "โกลด์แมน แซคส์จะมีผลประกอบการย่ำแย่อีกครั้งในส่วนของวาณิชธนกิจในไตรมาสสอง ในขณะที่ธุรกิจการซื้อขายหลักทรัพย์อยู่ในภาวะเฉื่อยชา เนื่องจากความผันผวนปรับลดลง" โดยโกลด์แมน แซคส์อาจจะปรับลดมูลค่าทางบัญชีสำหรับธุรกิจด้านผู้บริโภคลงด้วย ทั้งนี้ ข้อมูลจากบริษัทดีลโลจิกระบุว่า กิจกรรมด้านวาณิชธนกิจทั่วโลกดิ่งลงสู่ 1.57 หมื่นล้านดอลลาร์ในไตรมาสสอง ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2012
ผู้บริหารภาคธนาคารปรับลดการคาดการณ์สำหรับไตรมาสสองลง หลังจากกิจกรรมการควบรวมกิจการและการออกจำหน่ายหุ้นกู้ดิ่งลงในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี ผู้บริหารบางรายระบุว่ากิจกรรมการเสนอขายหุ้นต่อสาธารณชนครั้งแรก (IPO) เริ่มฟื้นตัวขึ้น และสิ่งนี้บ่งชี้ว่าตลาดตราสารทุนอาจจะฟื้นตัวขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ทั้งนี้ เมื่ออัตราดอกเบี้ยปรับสูงขึ้น ธนาคารก็มักจะมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่เรียกเก็บจากลูกค้าที่มากู้เงิน อย่างไรก็ดี ความต้องการกู้เงินชะลอตัวลงในช่วงนี้ และธนาคารก็จ่ายดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นให้แก่ผู้บริโภคที่นำเงินมาฝากไว้กับธนาคาร
นักวิเคราะห์ของ KBW ระบุว่า ปริมาณเงินฝากในธนาคารขนาดใหญ่ของสหรัฐดิ่งลง 1.41 แสนล้านดอลลาร์ในไตรมาสสอง หลังจากที่เคยมีเงินฝากจำนวนมากไหลเข้าสู่ธนาคารขนาดใหญ่ในไตรมาสแรก เนื่องจากลูกค้าต้องการฝากเงินในสถานที่ปลอดภัยในช่วงนั้น หลังจากธนาคารระดับภูมิภาคบางแห่งในสหรัฐถูกสั่งปิดกิจการ ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารของสหรัฐดิ่งลงมาแล้ว 9.3% จากช่วงต้นปีนี้ ซึ่งสวนทางกับดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐที่พุ่งขึ้น 14.6% จากช่วงต้นปีนี้--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นายไมเคิล บาร์ รองประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ฝ่ายกำกับดูแลได้จัดทำแผนปรับเปลี่ยนขนาดใหญ่เพื่อเพิ่มการดำรงเงินกองทุนของธนาคารที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐ หลังจากเกิดการล้มละลายของธนาคารเมื่อไม่นานมานี้
เขากล่าวว่า เขาวางแผนที่จะดำเนินแผนริเริ่มด้านการกำกับดูแลหลายแผน ซึ่งจะกำหนดให้ธนาคารขนาดใหญ่ต้องมีสินทรัพย์ในการถือครองมากกว่า 1.00 แสนล้านดอลลาร์อยู่ในทุนสำรอง โดยระบุว่า การล้มละลายของธนาคารได้ตอกย้ำความจำเป็นที่ผู้ควบคุมกฎต้องหนุนการฟื้นตัวไวในระบบ
แต่เขาไม่ได้วางแผนที่จะปฏิรูปกรอบด้านทุนของธนาคารสหรัฐ แต่จะสร้างกรอบขึ้นในหลายๆทางด้วยกัน ซึ่งรวมถึงการดำเนินตามข้อตกลงเงินทุนธนาคารบาเซลที่ใช้กันทั่วโลก และการขยายการทดสอบสถานะของธนาคารโดยใช้การทดสอบภาวะวิกฤติประจำปี เขาไม่ได้ให้ลำดับเวลาที่เฉพาะเจาะจงสำหรับการเปลี่ยนแปลง แต่ก็คาดว่าจะเริ่มต้นในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า
เขาระบุว่า วิกฤติที่เกิดขึ้นพิสูจน์ให้เห็นว่า ธนาคารขนาดเล็กสามารถมีบทบาทต่อระบบได้ ซึ่งหมายความว่า ธนาคารเหล่านี้ควรจะได้รับการกำกับดูแลที่เข้มงวดขึ้น และเขาจะหาทางบังคับใช้กฎด้านเงินทุนที่เข้มงวดขึ้นกับธนาคารที่มีสินทรัพย์มากกว่า 1.00 แสนล้านดอลลาร์ โดยจะขยายจำนวนบริษัทที่ต้องปฏิบัติตาม
แต่เขาย้ำว่า ข้อกำหนดใหม่ใดๆจะต้องผ่านการเขียนกฎอย่างเป็นทางการ และกระบวนการทำประชาพิจารณ์ก่อน และจะมีระยะเวลาการเปลี่ยนถ่ายที่ยาวนานเพื่อให้ธนาคารต่างๆสามารถเพิ่มทุนที่จำเป็นได้--จบ--
Eikon source text
วอชิงตัน--29 มิ.ย.--รอยเตอร์
ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้เปิดเผยผลการทดสอบภาวะวิกฤติประจำปีนี้ในวันพุธ ซึ่งเป็นการทดสอบธนาคาร 23 แห่งในสหรัฐที่แต่ละแห่งมีสินทรัพย์ไม่ต่ำกว่า 1.00 แสนล้านดอลลาร์ โดยผลการทดสอบพบว่า ธนาคารขนาดใหญ่เหล่านี้สามารถผ่านการทดสอบ ถึงแม้ว่าภาคธนาคารสหรัฐเพิ่งเผชิญกับภาวะปั่นป่วนวุ่นวายในช่วงต้นปี และเผชิญกับแนวโน้มเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนในอนาคต ทั้งนี้ ผลการทดสอบแสดงให้เห็นว่า ธนาคารกลุ่มนี้มีเงินกองทุนมากพอที่จะสามารถรับมือกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำอย่างรุนแรง และสิ่งนี้เปิดโอกาสให้ธนาคารเหล่านี้สามารถจ่ายเงินปันผลและซื้อคืนหุ้นได้ในอนาคต โดยธนาคารเหล่านี้จะสามารถประกาศแผนซื้อคืนหุ้นและง่ายเงินปันผลได้หลังจากตลาดหุ้นปิดทำการในวันศุกร์ที่ 30 มิ.ย. ทางด้านธนาคารที่ผ่านการทดสอบในครั้งนี้รวมถึงเจพีมอร์แกน เชส, แบงก์ ออฟ อเมริกา, ซิตี้กรุ๊ป, เวลส์ ฟาร์โก, มอร์แกน สแตนเลย์ และโกลด์แมน แซคส์
สถานการณ์ที่เฟดใช้ในการทดสอบคือสถานการณ์ที่เศรษฐกิจสหรัฐหดตัวลงเกือบ 8.75% โดยมีสาเหตุบางส่วนมาจากมูลค่าสินทรัพย์อสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ที่รูดลง 40% และอัตราการว่างงานพุ่งขึ้นสู่ 10% โดยการทดสอบนี้ประเมินว่า ธนาคารแต่ละแห่งจะยังคงมีสัดส่วนการดำรงเงินกองทุนอยู่สูงกว่าอัตราขั้นต่ำที่ 4.5% หรือไม่ และผลการทดสอบก็พบว่า สัดส่วนการดำรงเงินกองทุนโดยเฉลี่ยของธนาคารทั้ง 23 แห่งอยู่ที่ 10.1% หรือสูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำกว่า 2 เท่า โดยสัดส่วนดังกล่าวปรับขึ้นจาก 9.7% ในปีที่แล้ว ซึ่งเป็นปีที่เฟดทดสอบธนาคาร 34 แห่งโดยใช้สถานการณ์ที่ง่ายกว่านี้ และผลการทดสอบในปีนี้ยังระบุอีกด้วยว่า ธนาคาร 23 แห่งนี้จะมียอดสูญเสียรวมกัน 5.41 แสนล้านดอลลาร์ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว
ถึงแม้ผลการทดสอบอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง นักวิเคราะห์บางรายก็เตือนว่า ผลการทดสอบนี้ให้ภาพในทางบวกมากเกินไป หลังจากรัฐบาลสหรัฐเพิ่งถูกบีบให้เข้าแทรกแซงสถานการณ์เพื่อปกป้องผู้ฝากเงินในธนาคารเมื่อไม่กี่เดือนก่อน นอกจากนี้ เฟดก็สำรวจงบดุลของธนาคารเหล่านี้ตามที่ระบุไว้ในช่วงสิ้นปี 2022 ซึ่งนั่นหมายความว่าผลการทดสอบในครั้งนี้ไม่ได้สะท้อนให้เห็นถึงผลกระทบจากวิกฤติภาคธนาคารในช่วงต้นปีนี้
ธนาคารที่ให้ผลการทดสอบดีมากในครั้งนี้รวมถึงชาร์ลส์ ชว็อบ คอร์ป และกิจการในสหรัฐของดอยช์ แบงก์ ส่วนธนาคารที่ให้ผลการทดสอบรั้งท้ายรวมถึงซิติเซนส์ ไฟแนนเชียล คอร์ป และยู.เอส. แบงคอร์ป ซึ่งเป็นธนาคารระดับภูมิภาค ทั้งนี้ นายไมเคิล บาร์ รองประธานเฟดฝ่ายการกำกับดูแลกล่าวว่า ผลการทดสอบในครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าระบบธนาคารสหรัฐ "มีความแข็งแกร่งและยืดหยุ่น" แต่เขากล่าวย้ำว่าการทดสอบนี้เป็นเพียงมาตรวัดอันหนึ่งที่ใช้วัดความแข็งแกร่งของภาคธนาคาร หลังจากเกิดเหตุการณ์ธนาคารซิลิคอน แวลลีย์ (SVB) และธนาคารอีก 2 แห่งในสหรัฐถูกสั่งปิดกิจการในช่วงต้นปีนี้
ในกลุ่มของธนาคาร 8 แห่งในสหรัฐ "ที่ถือว่ามีความสำคัญต่อระบบโลก" นั้น สัดส่วนการดำรงเงินกองทุนโดยเฉลี่ยของธนาคารกลุ่มนี้อยู่ที่ 10.9% โดยปรับขึ้นเล็กน้อยจากปีที่แล้ว โดยธนาคารสเตท สตรีทมีสัดส่วนการดำรงเงินกองทุนอยู่ที่ 13.8% ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในกลุ่มธนาคารสำคัญ 8 แห่งนี้ ทั้งนี้ ผลการทดสอบแสดงให้เห็นว่า พอร์ตลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ของธนาคารเหล่านี้อยู่ในระดับที่ดีเกินคาด โดยพอร์ตลงทุนดังกล่าวจะมียอดหนี้สูญ 6.5 หมื่นล้านดอลลาร์ภายใต้สถานการณ์วิกฤติ หรือ 8.8% ของยอดสินเชื่อโดยเฉลี่ย โดยปรับลดลงจากสัดส่วน 9.8% ในปีที่แล้ว ทางด้านโกลด์แมน แซคส์ถือเป็นธนาคารที่มีสัดส่วนหนี้สูญในอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์มากที่สุด โดยมีสัดส่วนหนี้สูญจากอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ 16% ของยอดสินเชื่อโดยเฉลี่ยภายใต้การทดสอบ ในขณะที่มอร์แกน สแตนเลย์ครองอันดับ 2 ที่ 13.7% และซิติเซนส์ ไฟแนนเชียล กรุ๊ปครองอันดับ 3 ที่ 12.4%--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
ลอนดอน--23 มิ.ย.--รอยเตอร์
ปอนด์พุ่งขึ้นแตะ 1.2845 ดอลลาร์ในระหว่างช่วงการซื้อขายวันพฤหัสบดี ซึ่งใกล้กับจุดสูงสุดรอบ 14 เดือนที่ 1.2849 ดอลลาร์ที่ทำไว้ในวันที่ 16 มิ.ย. หลังจากคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (MPC) ของธนาคารกลางอังกฤษ (บีโออี) โหวตด้วยคะแนนเสียง 7-2 เพื่อให้บีโออีปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% สู่ 5% ในวันพฤหัสบดี ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2008 และถือเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งที่ 13 ติดต่อกัน โดยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในครั้งนี้ถือเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.พ.ด้วย อย่างไรก็ดี ปอนด์ร่วงลง 0.42% สู่ 1.2695 ดอลลาร์สหรัฐในวันนี้ท่ามกลางความกังวลที่ว่า เศรษฐกิจอังกฤษอาจจะเข้าสู่ภาวะถดถอย และปอนด์มีแนวโน้มว่าอาจจะปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการดิ่งลงราว 1% จากสัปดาห์ที่แล้ว หลังจากปอนด์เพิ่งปิดตลาดรายสัปดาห์ในแดนบวกมาได้นาน 3 สัปดาห์ติดต่อกัน ทั้งนี้ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างแข็งแกร่งเกินคาดของบีโออีในวันพฤหัสบดีส่งผลให้นักลงทุนกังวลกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยในอังกฤษ และความกังวลดังกล่าวก็ส่งผลให้นักลงทุนหลีกเลี่ยงปอนด์ และกลับเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลอังกฤษ หลังจากราคาพันธบัตรรัฐบาลอังกฤษดิ่งลงในช่วงที่ผ่านมา
บีโออีปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งใหญ่ หลังจากสำนักงานสถิติแห่งชาติของอังกฤษ (ONS) รายงานในวันพุธว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในราคาผู้บริโภคของอังกฤษอยู่ที่ 8.7% ในเดือนพ.ค. ซึ่งเท่ากับระดับในเดือนเม.ย. แต่อยู่สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ในโพลล์รอยเตอร์ที่ 8.4% สำหรับเดือนพ.ค. ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน ซึ่งไม่รวมราคาอาหาร, พลังงาน, เหล้า และบุหรี่ พุ่งขึ้นจาก 6.8% ในเดือนเม.ย. สู่ 7.1% ในเดือนพ.ค. ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่ปี 1992 ทางด้านนักลงทุนปรับเพิ่มการคาดการณ์ที่ว่า อัตราดอกเบี้ยอังกฤษอาจจะขึ้นไปแตะจุดสูงสุดของวัฏจักรที่ระดับใกล้ 6% ในช่วงต้นปี 2024 ทั้งนี้ การคาดการณ์เรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอังกฤษเคยช่วยหนุนปอนด์ให้แข็งค่าขึ้นในเดือนนี้ โดยปอนด์/ยูโรปรับขึ้น 0.3% สู่ 1.1668 ยูโรในวันนี้ หลังจากเพิ่งพุ่งขึ้นแตะ 1.1736 ยูโรในวันที่ 19 มิ.ย. ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดรอบ 10 เดือน
ธนาคารโกลด์แมน แซคส์, ยูบีเอส, แบงก์ ออฟ อเมริกา และบาร์เคลย์สคาดการณ์ว่า การแข็งค่าของปอนด์ในช่วงนี้อาจจะยังคงดำเนินต่อไป โดยนายไมเคิล คาฮิลล์ นักยุทธศาสตร์การลงทุนสกุลเงินจี-10 ในโกลด์แมน แซคส์ระบุว่า "แนวโน้มด้านการบริโภคในอังกฤษอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งกว่าเดิมเป็นอย่างมาก" โดยเป็นผลจากการดิ่งลงของราคาก๊าซธรรมชาติในระยะนี้ นอกจากนี้ ดัชนีปอนด์ที่มีการถ่วงน้ำหนักทางการค้าของโกลด์แมน แซคส์ยังแสดงให้เห็นอีกด้วยว่า ปอนด์กำลังอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่ปี 2016 หากเทียบกับสกุลเงินของประเทศคู่ค้าสำคัญ อย่างไรก็ดี นักลงทุนบางรายกังวลว่า ปอนด์อาจจะได้รับแรงกดดันจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยด้วยเช่นกัน โดยนายเอียน ทิว จากธนาคารบาร์เคลย์สระบุว่า "ถ้าหากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอังกฤษเริ่มส่งผลลบต่ออัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ ปอนด์ก็อาจจะอ่อนค่าลง"
นายฮูว เดวีส์ ผู้จัดการตราสารหนี้ในบริษัทจูปิเตอร์ แอสเซท แมเนจเมนท์ ไม่ได้เชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจอังกฤษจะเข้าสู่ภาวะถดถอย โดยเขากล่าวว่า การที่เศรษฐกิจอังกฤษยังคงเติบโตอยู่ในปัจจุบัน ถือเป็นเหตุผลสนับสนุนให้นักลงทุน "ถือครองสถานะขายเล็กน้อยในพันธบัตรรัฐบาลอังกฤษ แต่ถือครองสถานะซื้อในปอนด์"
การคาดการณ์เรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปในอังกฤษส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอังกฤษประเภทอายุ 2 ปีพุ่งขึ้นแตะ 5.124% เมื่อวานนี้ ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดรอบ 15 ปี และอยู่ที่ 5.059% ในวันนี้ ซึ่งสูงกว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอังกฤษประเภทอายุ 10 ปี ซึ่งอยู่ที่ 4.355% ในวันนี้ โดยการที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นอยู่สูงกว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวนี้ถือเป็นเหตุการณ์ที่ผิดปกติ และสะท้อนให้เห็นถึงการคาดการณ์ในตลาดที่ว่า บีโออีอาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในอนาคตเมื่อเศรษฐกิจชะลอตัวลง ทั้งนี้ นักลงทุนทั่วโลกมองว่าการลงทุนในอังกฤษมีความเสี่ยงสูงในช่วงนี้ โดยเป็นผลจากปัจจัยหลายประการ ซึ่งรวมถึงภาวะปั่นป่วนวุ่นวายในตลาดการเงินอังกฤษในปีที่แล้วเพราะวิกฤติงบประมาณ, การที่อังกฤษเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีไปแล้ว 3 คนนับตั้งแต่ปี 2019 เป็นต้นมา และการที่อังกฤษจะจัดการเลือกตั้งทั่วไปในปีหน้า--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
13 มิ.ย.--รอยเตอร์
ถึงแม้นักลงทุนในตลาดโลกพึงพอใจที่วิกฤติภาคธนาคารในเดือนมี.ค.ไม่ได้ส่งผลให้เกิดภาวะสินเชื่อหดตัวอย่างฉับพลัน และพึงพอใจที่สหรัฐสามารถคลี่คลายวิกฤติเพดานหนี้ได้ทันก่อนเส้นตาย เศรษฐกิจโลกก็ยังคงเผชิญกับสัญญาณเตือนต่าง ๆ ในช่วงนี้ ซึ่งรวมถึงการที่เศรษฐกิจยูโรโซนได้เข้าสู่ภาวะถดถอยไปแล้ว และตัวเลขเศรษฐกิจจีนที่น่าผิดหวัง ทางด้านนักวิเคราะห์ได้ระบุถึงสัญญาณบางประการที่บ่งชี้ถึงความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอยดังต่อไปนี้
สัญญาณแรกคือการคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจในปีหน้าในทางลบมากยิ่งขึ้น ถึงแม้มีการปรับขึ้นตัวเลขคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจในปีนี้ โดยธนาคารโลกได้ปรับขึ้นตัวเลขคาดการณ์อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลกประจำปี 2023 เนื่องจากเศรษฐกิจจีน, สหรัฐ และประเทศสำคัญอื่น ๆ รักษาระดับความแข็งแกร่งไว้ได้ดีเกินคาด โดยธนาคารโลกคาดว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ที่แท้จริงทั่วโลกอาจเพิ่มขึ้น 2.1% ในปีนี้ โดยปรับขึ้นจากตัวเลขคาดการณ์เดิมที่ 1.7% ที่เคยคาดไว้ในเดือนม.ค. อย่างไรก็ดี ธนาคารโลกคาดว่า เศรษฐกิจโลกอาจจะเติบโตเพียง 2.4% ในปี 2024 โดยปรับลดลงจากตัวเลขคาดการณ์เดิมที่ 2.7% โดยธนาคารโลกให้เหตุผลว่า การปรับลดนี้เป็นเพราะการคุมเข้มนโยบายการเงินของธนาคารกลางส่งผลกระทบอย่างล่าช้า และสินเชื่อที่ตึงตัวมากยิ่งขึ้นจะส่งผลลบต่อการลงทุนทางธุรกิจและการลงทุนในที่อยู่อาศัย ทั้งนี้ ดัชนีตัวเลขเศรษฐกิจที่น่าประหลาดใจทั่วโลกที่จัดทำโดยซิตี้กรุ๊ปอยู่ที่ระดับราว -5 ในช่วงนี้ และสิ่งนี้บ่งชี้ว่ามีการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจทั่วโลกที่แย่เกินคาดออกมาในช่วงนี้ในอัตราที่รวดเร็วที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.ย. 2022 เป็นต้นมา
สัญญาณที่ 2 คือภาวะตึงตัวด้านสินเชื่อ โดยสัญญาณดังกล่าวรวมถึงผลสำรวจที่ระบุว่า สัดส่วนสุทธิของธนาคารพาณิชย์ในยูโรโซนที่รายงานว่า ภาคเอกชนลดความต้องการกู้เงินลงในไตรมาสแรก อยู่ที่ระดับ 38% ซึ่งถือเป็นสัดส่วนสุทธิที่สูงที่สุดนับตั้งแต่เกิดวิกฤติการเงินโลกในปี 2008 เป็นต้นมา และผลสำรวจยังระบุอีกด้วยว่า สัดส่วนสุทธิของธนาคารพาณิชย์ในยูโรโซนที่คุมเข้มมาตรฐานการปล่อยกู้ในไตรมาสแรก อยู่ที่ระดับ 27% ซึ่งเท่ากับในไตรมาส 4/2022 และถือเป็นสัดส่วนสุทธิที่สูงที่สุดนับตั้งแต่เกิดวิกฤติหนี้ยูโรโซนในปี 2011 เป็นต้นมา ทางด้านปริมาณการปล่อยกู้แก่ภาคธุรกิจในยูโรโซนปรับขึ้นเพียง 4.6% ในเดือนเม.ย.เมื่อเทียบรายปี โดยชะลอตัวลงจาก +5.2% ในเดือนมี.ค. ทั้งนี้ ธนาคารดอยช์ แบงก์ตั้งข้อสังเกตว่า โดยปกติแล้วธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มักจะผ่อนคลายนโยบายการเงินลง เมื่อผลสำรวจความเห็นเจ้าหน้าที่สินเชื่อระดับสูง (SLOOS) ในสหรัฐแสดงให้เห็นว่า ดัชนีความเต็มใจในการปล่อยกู้อยู่ใกล้ระดับ 0 อย่างไรก็ดี ดัชนีดังกล่าวอยู่ที่ระดับติดลบเป็นอย่างมากในปัจจุบัน
สัญญาณที่ 3 คือการปลดพนักงานออกเป็นจำนวนมาก โดยสัญญาณดังกล่าวรวมถึงรายงานของบริษัทแชลเลนเจอร์, เกรย์ แอนด์ คริสต์มาสที่ระบุว่า ยอดการประกาศปรับลดตำแหน่งงานในบริษัทสหรัฐพุ่งขึ้น 20% สู่ 80,089 ตำแหน่งในเดือนพ.ค., ประกาศของบริษัทบีที กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทผู้ให้บริการสื่อสารไร้สายและสื่อสารความเร็วสูงรายใหญ่ที่สุดในอังกฤษที่ระบุว่า บีทีจะปรับลดตำแหน่งงานลง 55,000 ตำแหน่งก่อนสิ้นปี 2030 หรือกว่า 40% ของจำนวนพนักงานทั้งหมดของบีที และประกาศของบริษัทโวดาโฟน ซึ่งเป็นบริษัทโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่ของอังกฤษที่ระบุว่า โวดาโฟนวางแผนจะปรับลดตำแหน่งงานทั่วโลกลง 11,000 ตำแหน่งในช่วง 3 ปีข้างหน้า ทั้งนี้ มีการตั้งข้อสังเกตว่า บริษัทสหรัฐหลายแห่งระบุถึงการปลดพนักงานออกในการรายงานผลกำไรไตรมาสแรกด้วย
สัญญาณที่ 4 คือการคาดการณ์ที่ว่า ยอดผิดนัดชำระหนี้จะพุ่งสูงขึ้น โดยเป็นผลจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยและการคุมเข้มเงื่อนไขการปล่อยกู้ โดยธนาคารดอยช์ แบงก์คาดว่าจะเกิดกระแสการผิดนัดชำระหนี้ในเร็ว ๆ นี้ และกระแสดังกล่าวจะแตะจุดสูงสุดในไตรมาส 4/2024 โดยอัตราการผิดนัดชำระหนี้ในสหรัฐจะขึ้นไปแตะจุดสูงสุดของวัฏจักรที่ 11.3% ซึ่งใกล้กับสถิติสูงสุด ทั้งนี้ สัญญาณที่ 5 คือการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยและความเคลื่อนไหวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ โดยในช่วงนี้เทรดเดอร์คาดว่า เฟดจะไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในปีนี้ แต่อัตราดอกเบี้ยสหรัฐจะร่วงลงสู่ระดับราว 3.9% ภายในเดือนก.ย. 2024 จากระดับ 5.00-5.25% ในปัจจุบัน ทางด้านเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐยังคงอยู่ในภาวะพลิกกลับหรือลาดลง (inverted) เป็นอย่างมากในช่วงนี้ หรือภาวะที่ต้นทุนการกู้ยืมระยะสั้นอยู่สูงกว่าต้นทุนการกู้ยืมระยะยาว และภาวะ inverted นี้มักจะเป็นสัญญาณเตือนล่วงหน้าว่าเศรษฐกิจกำลังจะเข้าสู่ภาวะถดถอย--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
เครื่องมือออกแบบโปสเตอร์
โครงการพันธมิตร
ความเสี่ยงของการสูญเสียในการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น หุ้น FX สินค้าโภคภัณฑ์ ฟิวเจอร์ส พันธบัตร ETFs หรือเงินดิจิทัลอาจมีมาก คุณอาจสูญเสียเงินทุนทั้งหมดที่คุณฝากไว้กับโบรกเกอร์ของคุณ ดังนั้น คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบว่าการซื้อขายดังกล่าวเหมาะสมกับคุณหรือไม่ในสถานการณ์และทรัพยากรทางการเงินของคุณ
ไม่ควรตัดสินใจลงทุนโดยไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบสถานะอย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วยตัวเองหรือปรึกษากับที่ปรึกษาทางการเงินของคุณ เนื้อหาเว็บของเราอาจไม่เหมาะกับคุณเนื่องจากเราไม่ทราบเงื่อนไขทางการเงินและความต้องการในการลงทุนของคุณ ข้อมูลทางการเงินของเราอาจมีความล่าช้าหรือมีความไม่ถูกต้อง ดังนั้นคุณควรรับผิดชอบอย่างเต็มที่ต่อการตัดสินใจซื้อขายและการลงทุนของคุณ บริษัทจะไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียเงินทุนของคุณ
หากไม่ได้รับอนุญาตจากเว็บไซต์ คุณจะไม่สามารถคัดลอกกราฟิก ข้อความ หรือเครื่องหมายการค้าของเว็บไซต์ได้ สิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาในเนื้อหาหรือข้อมูลที่รวมอยู่ในเว็บไซต์นี้เป็นของผู้ให้บริการและผู้ค้าแลกเปลี่ยน
ไม่ได้ล็อกอิน
เข้าสู่ระบบเพื่อเข้าถึงฟังก์ชั่นเพิ่มเติม

สมาชิก FastBull
ยังไม่ได้เปิด
สมัคร
เข้าสู่ระบบ
ลงทะเบียน