ตลาด
ข่าวสาร
การวิเคราะห์
ผู้ใช้
24x7
ปฏิทินเศรษฐกิจ
แหล่งเรียนรู้
ข้อมูล
- ชื่อ
- ค่าล่าสุด
- ครั้งก่อน












สัญญาณ VIP
ทั้งหมด
ทั้งหมด



สหรัฐอเมริกา การเลิกจ้างพนักงานบริษัทชาเลนเจอร์ เกรย์ และคริสต์มาส MoM (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ค่าเฉลี่ยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก4 สัปดาห์ (SA)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์ (SA)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานต่อรายสัปดาห์ (SA)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา Ivey PMI (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา Ivey PMI (Not SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา คำสั่งซื้อสินค้าคงทนนอกกระทรวงกลาโหมที่ได้แก้ไข MoM (ไม่รวมเครื่องบิน)(SA) (ก.ย.)ค:--
ค: --
สหรัฐอเมริกา คำสั่งซื้อโรงงาน MoM(ยกเว้นการขนส่ง) (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา คำสั่งซื้อโรงงาน MoM (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา คำสั่งซื้อโรงงาน MoM(ยกเว้นภาคกลาโหม) (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การเปลี่ยนแปลงสต็อกก๊าซธรรมชาติประจำสัปดาห์ของ EIAค:--
ค: --
ค: --
ซาอุดิอาระเบีย การผลิตน้ำมันดิบค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การถือครองธนารักษ์สหรัฐฯของธนาคารกลางต่างประเทศรายสัปดาห์ค:--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น เงินตราที่ใช้เป็นทุนสำรอง (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย อัตราขายคืนค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย ดอกเบี้ยอ้างอิงค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย อัตราขายคืนค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย อัตราเงินสดสำรองค:--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น อินดิเคเตอร์ชั้นนำเบื้องต้น (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหราชอาณาจักร ดัชนีราคาที่อยู่อาศัย Halifax YoY (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหราชอาณาจักร ดัชนีราคาที่อยู่อาศัย Halifax MoM (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส บัญชีเดินสะพัด (Not SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส ดุลการค้า (SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส การผลิตภาคอุตสาหกรรม MoM(SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
อิตาลี ดัชนียอดค้าปลีก MoM (SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงาน YoY (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน GDP Final YoY (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน GDP Final QoQ (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงาน QoQ (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงานสุดท้าย (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
บราซิล PPI MoM (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
เม็กซิโก ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา อัตราการว่างงาน (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา อัตราการมีส่วนร่วมในการจ้างงาน (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงาน (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงานนอกเวลา (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงานเต็มเวลา (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา รายได้ส่วนบุคคล MoM (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาธนาคารกลางรัฐดัลลาส สหรัฐอเมริกา PCE YoY (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคา PCE YoY (SA) (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคา PCE MoM (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา รายจ่ายส่วนบุคคล MoM(SA) (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาPCEหลักMoM (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา เงินเฟ้อเบื้องต้น UMich 5-YearYoY (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาPCEหลักYoY (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ค่าใช้จ่ายการบริโภคส่วนบุคคลที่จริง MoM (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การคาดการณ์เงินเฟ้อ 5-10 ปี (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีสถานภาพเบื้องต้น UMich ปัจจุบัน (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้น UMich (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อล่วงหน้า 1 ปี UMich (เบื้องต้น) (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีความคาดหวังผู้บริโภค UMich (เบื้องต้น) (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ปริมาณเครื่องเจาะทั้งหมดรายสัปดาห์--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ปริมาณเครื่องเจาะน้ำมันทั้งหมดรายสัปดาห์--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา สินเชื่ออุปโภคบริโภค (SA) (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ เงินตราที่ใช้เป็นทุนสำรอง (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ปริมาณการส่งออก YoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การนำเข้า YoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การนำเข้าYoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ดุลการค้า (CNH) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การส่งออก (พ.ย.)--
ค: --
ค: --


ไม่มีข้อมูลที่ตรงกัน
ทัศนคติล่าสุด
ทัศนคติล่าสุด
หัวข้อยอดนิยม
คอลัมนิสต์ยอดนิยม
อัปเดตล่าสุด
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
ดูผลการค้นหาทั้งหมด

ไม่มีข้อมูล
นิวยอร์ค--3 ก.ค.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในวันศุกร์ ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อในสหรัฐส่งสัญญาณชะลอตัวลง และหุ้นบริษัทแอปเปิล อิงค์ทะยานขึ้นแตะสถิติสูงสุดใหม่ที่ 194.48 ดอลลาร์ได้ในระหว่างวัน และปิดพุ่งขึ้น 2.3% สู่ 193.97 ดอลลาร์ ซึ่งส่งผลให้มูลค่าของบริษัทแอปเปิลทะยานขึ้นเหนือระดับ 3 ล้านล้านดอลลาร์ได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนม.ค. 2022 โดยหุ้นแอปเปิลได้รับแรงหนุนจากความต้องการซื้อหุ้นเติบโต และจากการคาดการณ์ที่ว่า แอปเปิลจะประสบความสำเร็จในตลาดใหม่ ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานในวันศุกร์ว่า ปริมาณการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคสหรัฐขยับขึ้น 0.1% ในเดือนพ.ค. หลังจากปรับขึ้น 0.6% ในเดือนเม.ย. ในขณะที่ดัชนีราคาค่าใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ซึ่งเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) นิยมใช้ ขยับขึ้น 0.1% ในเดือนพ.ค.เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากปรับขึ้น 0.4% ในเดือนเม.ย. และปรับขึ้น 3.8% ในเดือนพ.ค.เมื่อเทียบรายปี ซึ่งถือเป็นอัตราเงินเฟ้อที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. 2021 โดยชะลอตัวลงจาก 4.3% ในเดือนเม.ย.เมื่อเทียบรายปี ทางด้านดัชนี PCE พื้นฐานที่ไม่รวมราคาอาหารและพลังงานปรับขึ้น 0.3% ในเดือนพ.ค.เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากปรับขึ้น 0.4% ในเดือนเม.ย. ส่วนดัชนี PCE พื้นฐานแบบเทียบรายปีปรับขึ้น 4.6% ในเดือนพ.ค. หลังจากปรับขึ้น 4.7% ในเดือนเม.ย.เมื่อเทียบรายปี
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวกขึ้น 0.84% สู่ 34,407.6, ดัชนี S&P 500 ปิดพุ่งขึ้น 1.23% สู่ 4,450.38 และดัชนี Nasdaq ปิดทะยานขึ้น 1.45% สู่ 13,787.92 โดยดัชนี Nasdaq ปิดตลาดช่วงครึ่งแรกของปีนี้ด้วยการพุ่งขึ้นกว่า 31% จากช่วงสิ้นปีที่แล้ว ซึ่งถือเป็นการพุ่งขึ้นครั้งใหญ่สุดในรอบ 40 ปีสำหรับช่วงครึ่งปีแรก ในขณะที่ดัชนี Nasdaq 100 สำหรับหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีชั้นนำทะยานขึ้นราว 39% ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ซึ่งถือเป็นการพุ่งขึ้นครั้งใหญ่เป็นประวัติการณ์สำหรับช่วงครึ่งปีแรก ทั้งนี้ ดัชนีดาวโจนส์ปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการพุ่งขึ้น 2.02% จากสัปดาห์ที่แล้ว, ดัชนี S&P 500 ทะยานขึ้น 2.35% ในสัปดาห์นี้ และดัชนี Nasdaq พุ่งขึ้น 2.20% ในสัปดาห์นี้ นอกจากนี้ ดัชนีดาวโจนส์ก็ปิดตลาดไตรมาสสองด้วยการทะยานขึ้น 3.4% จากไตรมาสแรก, ดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้น 8.3% ในไตรมาสสอง และดัชนี Nasdaq ทะยานขึ้น 12.8% ในไตรมาสสอง
รายงานตัวเลขของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐช่วยกระตุ้นการคาดการณ์ที่ว่า วัฏจักรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีปรับลงจาก 3.854% ในช่วงท้ายวันพฤหัสบดี สู่ 3.819% ในช่วงท้ายวันศุกร์ ทั้งนี้ นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า มีโอกาส 15.9% ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 5.00-5.25% ในการประชุมวันที่ 25-26 ก.ค. และมีโอกาส 84.1% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ 5.25-5.50% ในการประชุมวันที่ 25-26 ก.ค. โดยโอกาสดังกล่าวปรับลดลงจาก 89.3% ที่เคยคาดไว้ในวันพฤหัสบดี
หุ้นทั้ง 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐปิดตลาดวันศุกร์ในแดนบวก โดยดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีพุ่งขึ้น 1.8% และถือเป็นกลุ่มที่พุ่งขึ้นมากที่สุด ส่วนดัชนีหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ปรับขึ้น 0.5% และถือเป็นกลุ่มที่ปรับขึ้นน้อยที่สุด ทางด้านดัชนีหุ้นเติบโตของสหรัฐทะยานขึ้น 1.4% ในวันศุกร์ ในขณะที่หุ้นบริษัทไมโครซอฟท์, อะเมซอน, เอ็นวิเดีย และเมตา แพลตฟอร์มส์พุ่งขึ้น 1.6-3.6% โดยหุ้นเหล่านี้ได้รับแรงหนุนในช่วงที่ผ่านมาจากผลประกอบการที่แข็งแกร่ง และจากกระแสความนิยมในปัญญาประดิษฐ์ (AI)
ดัชนี Russell 2000 สำหรับหุ้นบริษัทขนาดเล็กของสหรัฐปรับขึ้น 0.4% ในวันศุกร์ ซึ่งถือเป็นการปิดตลาดในแดนบวกได้เป็นวันที่ 5 ติดต่อกัน ทั้งนี้ หุ้นไนกี้ซึ่งเป็นผู้ผลิตชุดกีฬาดิ่งลง 2.6% หลังจากไนกี้คาดการณ์รายได้ไตรมาสแรกที่ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ในย่านวอลล์สตรีท--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--30 มิ.ย.--รอยเตอร์
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์และดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐปิดบวกขึ้นในวันพฤหัสบดี ในขณะที่หุ้นกลุ่มธนาคารพุ่งขึ้น หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้เปิดเผยผลการทดสอบภาวะวิกฤติประจำปีนี้ในวันพุธ ซึ่งเป็นการทดสอบธนาคาร 23 แห่งในสหรัฐที่แต่ละแห่งมีสินทรัพย์ไม่ต่ำกว่า 1.00 แสนล้านดอลลาร์ โดยผลการทดสอบพบว่า ธนาคารขนาดใหญ่เหล่านี้สามารถผ่านการทดสอบ ถึงแม้ว่าภาคธนาคารสหรัฐเพิ่งเผชิญกับภาวะปั่นป่วนวุ่นวายในช่วงต้นปี และเผชิญกับแนวโน้มเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนในอนาคต ทั้งนี้ ผลการทดสอบแสดงให้เห็นว่า ธนาคารกลุ่มนี้มีเงินกองทุนมากพอที่จะสามารถรับมือกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำอย่างรุนแรง และปัจจัยนี้ก็ส่งผลให้ดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารของสหรัฐปิดพุ่งขึ้น 2.6% ในวันพฤหัสบดี และส่งผลให้ดัชนี KBW สำหรับหุ้นธนาคารระดับภูมิภาคของสหรัฐปิดทะยานขึ้น 1.8%
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวกขึ้น 0.8% สู่ 34,122.42, ดัชนี S&P 500 ปิดปรับขึ้น 0.45% สู่ 4,396.44 และดัชนี Nasdaq ปิดขยับลง 0.42 จุด หรือ 0% สู่ 13,591.33 ในวันพฤหัสบดี อย่างไรก็ดี ดัชนี Nasdaq มีแนวโน้มว่าอาจจะปิดตลาดช่วงครึ่งปีแรกด้วยการพุ่งขึ้นกว่า 29% จากช่วงสิ้นปีที่แล้ว ซึ่งจะถือเป็นอัตราการพุ่งขึ้นครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 40 ปีสำหรับช่วงครึ่งปีแรก ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นกลุ่มการเงินพุ่งขึ้น 1.7% ในวันพฤหัสบดี และถือเป็นดัชนีหุ้นกลุ่มใหญ่ที่พุ่งขึ้นมากที่สุดในบรรดาหุ้น 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐ ส่วนดัชนีหุ้นกลุ่มวัสดุทะยานขึ้น 1.3% และถือเป็นกลุ่มที่พุ่งขึ้นมากเป็นอันดับสอง โดยหุ้นกลุ่มวัสดุถือเป็นส่วนหนึ่งของหุ้นกลุ่มวัฏจักรเศรษฐกิจ ทางด้านดัชนี Russell 2000 สำหรับหุ้นบริษัทขนาดเล็กของสหรัฐทะยานขึ้น 1.2% ในวันพฤหัสบดี โดยหุ้นบริษัทขนาดเล็กมักจะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจด้วยเช่นกัน
สหรัฐเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งในวันพฤหัสบดี และรายงานตัวเลขดังกล่าวช่วยกระตุ้นการคาดการณ์ที่ว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะไม่เข้าสู่ภาวะถดถอย และปัจจัยนี้ก็ช่วยหนุนหุ้นกลุ่มวัฏจักรเศรษฐกิจและหุ้นคุณค่า อย่างไรก็ดี ตัวเลขเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งช่วยกระตุ้นการคาดการณ์ที่ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป และส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีปรับขึ้นจาก 3.712% ในช่วงท้ายวันพุธ สู่ 3.854% ในช่วงท้ายวันพฤหัสบดี และปัจจัยนี้ก็ส่งผลลบต่อหุ้นเติบโตและหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ซึ่งเป็นกลุ่มที่มักได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ย ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานในวันพฤหัสบดีว่า ยอดผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในสหรัฐดิ่งลง 26,000 ราย สู่ 239,000 รายในช่วงสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 24 มิ.ย. ซึ่งอยู่ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ในโพลล์รอยเตอร์ที่ 265,000 ราย และการดิ่งลงในครั้งนี้ถือเป็นการดิ่งลงครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนต.ค. 2021 หรือครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 20 เดือน ทางด้านกระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานในวันพฤหัสบดีว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของสหรัฐเติบโตขึ้น 2.0% ในไตรมาสแรก โดยปรับทบทวนขึ้นจากอัตราการเติบโตที่ 1.3% ที่เคยรายงานไว้ในเดือนพ.ค.
นักลงทุนคาดการณ์ในตอนนี้ว่า มีโอกาสราว 10.7% ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 5.00-5.25% ในการประชุมวันที่ 25-26 ก.ค. และมีโอกาสราว 89.3% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ 5.25-5.50% ในการประชุมวันที่ 25-26 ก.ค. โดยโอกาสดังกล่าวปรับขึ้นจาก 81.8% ที่เคยคาดไว้เมื่อหนึ่งวันก่อน นอกจากนี้ นักลงทุนยังคาดการณ์อีกด้วยว่า เฟดจะไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในปีนี้ ทั้งนี้ นักลงทุนรอดูดัชนีราคาค่าใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ประจำเดือนพ.ค.ที่รัฐบาลสหรัฐจะรายงานออกมาในวันศุกร์นี้ เพราะเฟดมักใช้ดัชนี PCE เป็นมาตรวัดภาวะเงินเฟ้อ ทางด้านนักเศรษฐศาสตร์ในโพลล์รอยเตอร์คาดว่า อัตราเงินเฟ้อของดัชนี PCE พื้นฐานอาจทรงตัวที่ 4.7% ในเดือนพ.ค.
ดัชนี Nasdaq ได้รับแรงกดดันในวันพฤหัสบดีจากการดิ่งลงของหุ้นบริษัทขนาดยักษ์ ซึ่งรวมถึงหุ้นอะเมซอนที่ปรับลง 0.9%, หุ้นเมตา แพลตฟอร์มส์ที่ดิ่งลง 1.3%, หุ้นเอ็นวิเดียที่ร่วงลง 0.7% และหุ้นไมโครซอฟท์ที่ปรับลง 0.2%--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--22 พ.ค.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดปรับลงในวันศุกร์ หลังจากการเจรจาต่อรองเรื่องการปรับขึ้นเพดานหนี้ของรัฐบาลกลางสหรัฐจากระดับ 31.4 ล้านล้านดอลลาร์หยุดชะงักลงชั่วคราว และปัจจัยดังกล่าวทำให้นักลงทุนปรับลดการคาดการณ์ในทางบวกที่ว่า อาจจะมีการบรรลุข้อตกลงเรื่องเพดานหนี้ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ทั้งนี้ นายแกร์เรท เกรฟส์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐจากพรรครีพับลิกัน ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำการเจรจาต่อรองได้เดินออกจากการเจรจาในวันศุกร์ และเขากล่าวต่อผู้สื่อข่าวว่า "จนกว่าพวกเขาจะเต็มใจที่จะหารือกันอย่างยากลำบากเรื่องวิธีการเดินหน้าและทำในสิ่งที่ถูกต้อง เราก็จะไม่มานั่งเจรจากัน" อย่างไรก็ดี ทำเนียบขาวระบุว่า ยังคงมีความเป็นไปได้ที่จะมีการบรรลุข้อตกลงกัน
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดปรับลง 0.33% สู่ 33,426.63, ดัชนี S&P 500 ปิดขยับลง 0.14% สู่ 4,191.98 หลังจากดัชนีเพิ่งพุ่งขึ้นกว่า 2% ในวันพุธและวันพฤหัสบดี และดัชนี Nasdaq ปิดปรับลง 0.24% สู่ 12,657.90 ทั้งนี้ เมื่อเทียบกับระดับปิดสัปดาห์ที่แล้ว ดัชนีดาวโจนส์ก็ปิดตลาดสัปดาห์นี้บวกขึ้น 0.38%, ดัชนี S&P 500 ปิดตลาดสัปดาห์นี้ทะยานขึ้น 1.65% และดัชนี Nasdaq ปิดตลาดสัปดาห์นี้พุ่งขึ้น 3.04% โดยทั้งดัชนี S&P 500 และ Nasdaq ต่างก็พุ่งขึ้นในสัปดาห์นี้ในอัตราที่แข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่สัปดาห์สุดท้ายของเดือนมี.ค.
นักลงทุนยังคงไม่แน่ใจในแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐ ในขณะที่นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) แสดงจุดยืนแบบสายพิราบปานกลาง โดยเขากล่าวในวันศุกร์ว่า ภาวะสินเชื่อที่ตึงตัวมากยิ่งขึ้นส่งผลให้ "เฟดอาจจะไม่มีความจำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับที่มากเท่ากับในกรณีที่ไม่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว เพื่อจะได้บรรลุเป้าหมายของเรา" และเขากล่าวย้ำว่า ในตอนนี้เฟดจะตัดสินใจกำหนดนโยบายในการประชุมแต่ละครั้งไป และเขากล่าวเสริมว่า หลังจากเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างแข็งกร้าวในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่เฟดก็สามารถประเมินอย่างระมัดระวังได้ว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยส่งผลกระทบอย่างไรบ้างต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ
ตลาดหุ้นได้รับแรงกดดันเพิ่มเติมจากข่าวของ CNN ที่ระบุว่า เจเน็ต เยลเลน รมว.คลังสหรัฐได้กล่าวต่อซีอีโอของธนาคารต่าง ๆ ในวันพฤหัสบดีว่า อาจจะมีความจำเป็นที่ธนาคารจะต้องควบรวมกิจการกันมากยิ่งขึ้น หลังจากธนาคารหลายแห่งล้มลงในช่วงที่ผ่านมา ทั้งนี้ ดัชนี KBW สำหรับหุ้นธนาคารระดับภูมิภาคของสหรัฐดิ่งลง 2.17% ในวันศุกร์ แต่ปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการพุ่งขึ้น 6.2% จากสัปดาห์ที่แล้ว หลังจากปิดตลาดรายสัปดาห์ในแดนลบมานาน 3 สัปดาห์ติดต่อกัน โดยดัชนี KBW ได้รับแรงหนุนในสัปดาห์นี้จากการที่นักลงทุนมองว่า ปัญหาในภาคธนาคารระดับภูมิภาคอยู่ภายใต้การควบคุมเป็นส่วนใหญ่ ทางด้านหุ้นธนาคารมอร์แกน สแตนเลย์ดิ่งลง 2.66% ในวันศุกร์ หลังจากนายเจมส์ กอร์แมน ซีอีโอของมอร์แกน สแตนเลย์ประกาศว่า เขาจะลงจากตำแหน่งในเวลา 12 เดือนข้างหน้า
หุ้นฟูต ล็อกเกอร์ ซึ่งเป็นผู้ค้าปลีกรองเท้าดิ่งลง 27.24% ซึ่งถือเป็นการดิ่งลงรายวันครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 25 ก.พ. 2022 หลังจากฟูต ล็อกเกอร์ปรับลดคาดการณ์ผลกำไรและยอดขายประจำปี โดยประกาศเตือนของฟูต ล็อกเกอร์มีส่วนกดดันหุ้นอันเดอร์ อาร์เมอร์ให้รูดลง 4.20% และกดดันหุ้นไนกี้ให้ดิ่งลง 3.46% ด้วย โดยไนกี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของดัชนีดาวโจนส์--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
ดัชนีหุ้นหลักทั้งสามตัวในตลาดหุ้นวอลล์สตรีทปิดพุ่งขึ้นในวันพุธ ซึ่งเป็นการพุ่งขึ้นมากที่สุดในวันเดียวในเดือนนี้โดยได้แรงหนุนจากผลประกอบการรายไตรมาสที่สดใสจากไนกี้และเฟดเอกซ์ รวมทั้งข้อมูลความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ดีขึ้น และการคาดการณ์เงินเฟ้อที่ลดลงจากนักลงทุน
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดพุ่งขึ้น 526.74 จุด หรือ 1.6% ที่ 33,376.48, ดัชนี S&P 500 ปิดพุ่งขึ้น 56.82 จุด หรือ 1.49% สู่ระดับ 3,878.44 และดัชนี Nasdaq ปิดพุ่งขึ้น 162.66 จุด หรือ 1.54% สู่ 10,709.37
หุ้นไนกี้ทะยานขึ้น 12% หลังจากบริษัทได้แถลงผลกำไรสำหรับไตรมาส 2 ที่ดีเกินคาดจากอุปสงค์ที่แข็งแกร่งในช่วงวันหยุดจากผู้บริโภคในอเมริกาเหนือ ส่วนหุ้นเฟดเอกซ์พุ่งขึ้น 3.4% หลังจากแถลงการคาดการณ์ทางการเงิน และแผนการลดต้นทุน 1 พันล้านดอลลาร์ และหุ้นคาร์นิวัล คอร์ปพุ่งขึ้น 4.7% หลังจากแถลงผลขาดทุนที่ต่ำกว่าคาด
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคพุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 8 เดือนในเดือนธ.ค. ขณะที่อัตราเงินเฟ้อลดลง และตลาดแรงงานยังคงแข็งแกร่ง ส่วนตัวเลขคาดการณ์เงินเฟ้อระยะ 12 เดือนลดลงสู่ระดับ 6.7% ซึ่งเป็นจุดต่ำสุดตั้งแต่เดือนก.ย.2021 แต่ยอดขายบ้านมือสองร่วงลง 7.7% สู่ระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปีครึ่งในเดือนพ.ย. ขณะที่ตลาดบ้านได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อจำนองที่สูงขึ้น แต่ข้อมูลนี้ก็อาจจะทำให้นักลงทุนมีความหวังว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะผ่อนคลายนโยบายคุมเข้มทางการเงิน
นายไบรอัน ไพรซ์ ผู้อำนวยการฝ่ายจัดการการลงทุนจากคอมมอนเวลธ์ ไฟแนนเชียล เน็ตเวิร์คกล่าวว่า "ในระดับมหภาค คุณยังมีภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว แต่ในระดับจุลภาค คุณมีบริษัทที่ปรับตัวรับ และให้การคาดการณ์เชิงบวกจากมุมมองผลกำไร ส่วนผสมนี้กำลังจะเป็นปัจจัยบวก" ขณะที่นายเอ็ดเวิร์ด โจนส์ คูร์คาฟาส กล่าวว่า "ยังมีความไม่แน่นอนอยู่มากมาย และเราอาจจะเห็นความผันผวนมากในช่วงต้นปี ขณะที่เราอาจจะอยู่ในภาวะถดถอยเล็กน้อย" แต่เขาก็เชื่อว่า ตลาดได้ปรับตัวรับภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอลงแล้ว--จบ--
(รอยเตอร์ โดย เสาวณีย์ เอกปัญญาชัย แปลและเรียบเรียง)
นิวยอร์ค--3 ต.ค.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดดิ่งลงในวันศุกร์ และดัชนี S&P 500 ปิดตลาดเดือนก.ย.ด้วยการดิ่งลงอย่างรุนแรงจากเดือนส.ค. โดยอัตราการดิ่งลงในเดือนก.ย.ปีนี้ถือเป็นการดิ่งลงครั้งใหญ่ที่สุด เมื่อเทียบกับเดือนก.ย.ในปีก่อน ๆ ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา โดยตลาดหุ้นได้รับแรงกดดันในไตรมาสสามจากอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูงมาก, จากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างแข็งกร้าว และจากความกังวลเรื่องภาวะเศรษฐกิจถดถอย ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานในวันศุกร์ว่า ดัชนีราคาค่าใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ซึ่งเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) นิยมใช้ ปรับขึ้น 6.2% ในเดือนส.ค.เมื่อเทียบรายปี หลังจากปรับขึ้น 6.4% ในเดือนก.ค.เมื่อเทียบรายปี ส่วนดัชนี PCE พื้นฐาน ซึ่งไม่รวมราคาอาหารและพลังงาน ปรับขึ้น 4.9% ในเดือนส.ค.เมื่อเทียบรายปี หลังจากปรับขึ้น 4.7% ในเดือนก.ค. โดยรายงานตัวเลขนี้บ่งชี้ว่า เฟดอาจจะไม่ชะลอความเร็วในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงนี้ และเฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างแข็งกร้าวต่อไปเป็นเวลานานเกินคาด ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ห่างจากระดับเป้าหมายที่เฟดตั้งไว้ที่ 2%
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดดิ่งลง 1.71% สู่ 28,725.51, ดัชนี S&P 500 ปิดรูดลง 1.51% สู่ 3,585.62; และดัชนี Nasdaq ปิดดิ่งลง 1.51% สู่ 10,575.62 ในวันศุกร์ หลังจากดัชนีทั้งสามเพิ่งพุ่งขึ้นเป็นเวลาสั้น ๆ ในช่วงเช้าวันศุกร์ ทั้งนี้ ดัชนีดาวโจนส์และ S&P ปิดตลาดสัปดาห์นี้ในแดนลบเป็นสัปดาห์ที่ 3 ติดต่อกัน และทั้งสามดัชนีต่างก็ปิดตลาดเดือนก.ย.ในแดนลบเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน นอกจากนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐก็ปิดตลาดไตรมาสสามในแดนลบเป็นไตรมาสที่ 3 ติดต่อกันด้วย ซึ่งถือเป็นการปิดตลาดรายไตรมาสในแดนลบติดต่อกันยาวนานที่สุดนับตั้งแต่ปี 2008 สำหรับดัชนี S&P และ Nasdaq และถือการปิดตลาดรายไตรมาสในแดนลบติดต่อกันยาวนานที่สุดในรอบ 7 ปีสำหรับดัชนีดาวโจนส์
นักลงทุนกังวลกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย หลังจากบริษัทไนกี้ซึ่งเป็นผู้ผลิตชุดกีฬาและบริษัทคาร์นิวาล ซึ่งเป็นผู้ประกอบการเรือสำราญออกประกาศเตือนว่า อัตราผลกำไรได้รับแรงกดดันจากภาวะเงินเฟ้อ โดยหุ้นไนกี้ดิ่งลง 12.8% ในวันศุกร์ ส่วนหุ้นคาร์นิวาลรูดลง 23.3% ทั้งนี้ หุ้นแอปเปิล, ไมโครซอฟท์, อะเมซอนดอทคอม และไนกี้ถือเป็นหุ้นที่ถ่วงดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐลงมากที่สุดในวันศุกร์
ในบรรดาหุ้น 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐนั้น หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ถือเป็นหุ้นกลุ่มเดียวที่ปิดตลาดในแดนบวกในวันศุกร์ ในขณะที่หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคและหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีถือเป็นหุ้น 2 กลุ่มที่รูดลงมากที่สุดในวันศุกร์
นักลงทุนรอดูผลประกอบการภาคเอกชนประจำไตรมาส 3 ที่จะได้รับการรายงานออกมาในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า โดยขณะนี้นักวิเคราะห์คาดว่า ผลกำไรของบริษัทในดัชนี S&P 500 อาจปรับขึ้น 4.5% ในไตรมาสสามเมื่อเทียบรายปี โดยปรับลดลงจากตัวเลขคาดการณ์เดิมที่ +11.1% ที่เคยคาดไว้ในช่วงต้นไตรมาสสาม--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--9 พ.ค.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดร่วงลงในวันศุกร์ ในขณะที่นักลงทุนกังวลว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะจำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างแข็งกร้าวเกินคาดเพื่อรับมือกับภาวะเงินเฟ้อ โดยเทรดเดอร์ส่วนใหญ่คาดการณ์กันว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ในการประชุมวันที่ 14-15 มิ.ย. ถึงแม้นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟดส่งสัญญาณว่าเฟดจะไม่ทำเช่นนั้น ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานในวันศุกร์ว่า การจ้างงานนอกภาคเกษตรในสหรัฐพุ่งขึ้น 428,000 ตำแหน่งในเดือนเม.ย. ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ 391,000 ตำแหน่ง และรายงานตัวเลขนี้ตอกย้ำให้เห็นว่า เศรษฐกิจสหรัฐมีพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ถึงแม้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของสหรัฐหดตัวลงในไตรมาสแรก ทางด้านอัตราการว่างงานในสหรัฐทรงตัวที่ 3.6% ในเดือนเม.ย. ส่วนรายได้เฉลี่ยต่อชั่วโมงของคนงานสหรัฐปรับขึ้น 0.3% ในเดือนเม.ย.เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ +0.4%
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดร่วงลง 0.3% สู่ 32,899.37, ดัชนี S&P 500 ปิดปรับลง 0.57% สู่ 4,123.34 และดัชนี Nasdaq ปิดดิ่งลง 1.4% สู่ 12,144.66 ซึ่งถือเป็นระดับปิดต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2020 โดยดัชนี Nasdaq ปิดตลาดสัปดาห์นี้ในแดนลบเป็นสัปดาห์ที่ 5 ติดต่อกัน ซึ่งถือเป็นการปิดตลาดรายสัปดาห์ในแดนลบติดต่อกันยาวนานที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาส 4/2012 ทางด้านดัชนี S&P 500 ปิดตลาดสัปดาห์นี้ในแดนลบเป็นสัปดาห์ที่ 5 ติดต่อกันเช่นกัน ซึ่งถือเป็นการปิดตลาดรายสัปดาห์ในแดนลบติดต่อกันยาวนานที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาส 2/2011 ทั้งนี้ หุ้น 9 กลุ่มจาก 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐปิดตลาดวันศุกร์ในแดนลบ แต่ดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้น 2.9% เนื่องจากราคาน้ำมันทะยานขึ้น โดยได้รับแรงหนุนจากความกังวลเรื่องอุปทานน้ำมัน
หุ้นบริษัทขนาดใหญ่ในกลุ่มเติบโตดิ่งลงเป็นส่วนใหญ่ในวันศุกร์ แต่หุ้นแอปเปิลปิดบวกขึ้น 0.5% ทางด้านหุ้นกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ร่วงลงด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะหุ้นเวลส์ ฟาร์โก แอนด์ โคที่ปรับลง 0.5%
นักลงทุนรอดูดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐที่จะได้รับการรายงานออกมาในวันพุธที่ 11 พ.ค. ในขณะที่นักลงทุนรอดูว่าอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐใกล้จะแตะจุดสูงสุดแล้วหรือไม่
หุ้นอันเดอร์ อาร์เมอร์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตชุดกีฬาดิ่งลง 23.8% หลังจากทางบริษัทคาดการณ์ผลกำไรที่อ่อนแอสำหรับปีงบดุลบัญชี 2023 ส่วนหุ้นไนกี้ซึ่งเป็นบริษัทคู่แข่งปิดรูดลง 3.49% ทั้งนี้ หุ้นคอยน์เบส โกลบัล ซึ่งเป็นบริษัทตลาดสกุลเงินคริปโตดิ่งลง 9% ในวันศุกร์ จนมาปิดตลาดที่ระดับปิดต่ำสุดนับตั้งแต่หุ้นตัวนี้เริ่มเปิดซื้อขายในตลาดในปี 2021 เป็นต้นมา--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--22 มี.ค.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดร่วงลงในวันจันทร์ หลังจากนายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณว่าเฟดอาจจะคุมเข้มนโยบายการเงินอย่างแข็งกร้าวเกินคาด และตลาดหุ้นได้รับแรงกดดันจากความไม่แน่นอนในสงครามยูเครนด้วย ทั้งนี้ นายพาวเวลล์กล่าวในงานประชุมของสมาคมเศรษฐศาสตร์ธุรกิจแห่งชาติว่า เฟดจำเป็นต้องปรับนโยบาย "อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ" เพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูงเกินไป และเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระดับที่มากกว่าปกติถ้าหากมีความจำเป็น โดยถ้อยแถลงของเขาส่งผลให้นักลงทุนในตลาดสัญญาล่วงหน้า Fed funds คาดการณ์ในตอนนี้ว่า มีโอกาส 60.7% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมครั้งถัดไปในวันที่ 3-4 พ.ค. โดยปรับขึ้นจากโอกาส 52% ที่เคยคาดการณ์ไว้ก่อนนายพาวเวลล์จะแสดงความเห็นดังกล่าว
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดร่วงลง 0.58% สู่ 34,552.99, ดัชนี S&P 500 ปิดขยับลง 0.04% สู่ 4,461.18 และดัชนี Nasdaq ปิดร่วงลง 0.4% สู่ 13,838.46 โดยก่อนหน้านี้ตลาดหุ้นสหรัฐเพิ่งปิดตลาดในแดนบวกนานติดต่อกัน 4 วัน และดัชนี S&P 500 เพิ่งทะยานขึ้น 6.2% ในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งถือเป็นการพุ่งขึ้นรายสัปดาห์ครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ต้นเดือนพ.ย. 2020 ทั้งนี้ หุ้น 6 กลุ่มจาก 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐปิดตลาดวันจันทร์ในแดนลบ โดยหุ้นกลุ่มบริการการสื่อสารถือเป็นกลุ่มที่ดิ่งลงมากที่สุด แต่หุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้น 3.8% และถือเป็นกลุ่มที่พุ่งขึ้นมากที่สุด
การสู้รบในยูเครนยังคงดำเนินต่อไป ในขณะที่ความพยายามในการเจรจาต่อรองเพื่อยุติสงครามยูเครนยังแทบไม่มีความคืบหน้า ทางด้านราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปิดตลาดพุ่งขึ้น 7.69 ดอลลาร์ หรือ 7.12% สู่ 115.62 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในวันจันทร์ เนื่องจากสหภาพยุโรป (อียู) กำลังพิจารณาเรื่องการร่วมมือกับสหรัฐในการห้ามนำเข้าน้ำมันรัสเซีย โดยปัจจัยนี้ช่วยหนุนหุ้นกลุ่มพลังงานให้พุ่งขึ้น ทั้งนี้ สงครามยูเครนส่งผลบวกต่อหุ้นกลุ่มอาวุธ โดยดัชนีหุ้นกลุ่มการบินและอาวุธของสหรัฐปิดตลาดพุ่งขึ้น 1.5% ในขณะที่หุ้นบริษัทล็อกฮีด มาร์ติน, เรย์ธีออน, นอร์ทธรอป กรุมแมน และเจเนอรัล ไดนามิกส์ปิดทะยานขึ้น 2.5-4.6%
หุ้นบริษัทโบอิ้งซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องบินดิ่งลง 3.6% หลังจากเครื่องบินรุ่น 737-800 ของโบอิ้งเครื่องหนึ่งในสายการบินไชน่า อีสเทิร์น แอร์ไลน์ตกลงในภาคใต้ของจีน และยังไม่มีการพบผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์นี้ โดยเครื่องบินลำนี้บรรทุกผู้โดยสารและลูกเรือเป็นจำนวนรวมกัน 132 คน
หุ้นเมตา แพลตฟอร์มส์ ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของเฟซบุ๊กดิ่งลง 2.3% หลังจากศาลแห่งหนึ่งในกรุงมอสโคว์ตัดสินว่าเมตาเป็น "องค์การหัวรุนแรง" และยืนยันคำตัดสินที่ให้แบนเฟซบุ๊กในรัสเซีย--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
เครื่องมือออกแบบโปสเตอร์
โครงการพันธมิตร
ความเสี่ยงของการสูญเสียในการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น หุ้น FX สินค้าโภคภัณฑ์ ฟิวเจอร์ส พันธบัตร ETFs หรือเงินดิจิทัลอาจมีมาก คุณอาจสูญเสียเงินทุนทั้งหมดที่คุณฝากไว้กับโบรกเกอร์ของคุณ ดังนั้น คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบว่าการซื้อขายดังกล่าวเหมาะสมกับคุณหรือไม่ในสถานการณ์และทรัพยากรทางการเงินของคุณ
ไม่ควรตัดสินใจลงทุนโดยไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบสถานะอย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วยตัวเองหรือปรึกษากับที่ปรึกษาทางการเงินของคุณ เนื้อหาเว็บของเราอาจไม่เหมาะกับคุณเนื่องจากเราไม่ทราบเงื่อนไขทางการเงินและความต้องการในการลงทุนของคุณ ข้อมูลทางการเงินของเราอาจมีความล่าช้าหรือมีความไม่ถูกต้อง ดังนั้นคุณควรรับผิดชอบอย่างเต็มที่ต่อการตัดสินใจซื้อขายและการลงทุนของคุณ บริษัทจะไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียเงินทุนของคุณ
หากไม่ได้รับอนุญาตจากเว็บไซต์ คุณจะไม่สามารถคัดลอกกราฟิก ข้อความ หรือเครื่องหมายการค้าของเว็บไซต์ได้ สิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาในเนื้อหาหรือข้อมูลที่รวมอยู่ในเว็บไซต์นี้เป็นของผู้ให้บริการและผู้ค้าแลกเปลี่ยน
ไม่ได้ล็อกอิน
เข้าสู่ระบบเพื่อเข้าถึงฟังก์ชั่นเพิ่มเติม

สมาชิก FastBull
ยังไม่ได้เปิด
สมัคร
เข้าสู่ระบบ
ลงทะเบียน