ตลาด
ข่าวสาร
การวิเคราะห์
ผู้ใช้
24x7
ปฏิทินเศรษฐกิจ
แหล่งเรียนรู้
ข้อมูล
- ชื่อ
- ค่าล่าสุด
- ครั้งก่อน












สัญญาณ VIP
ทั้งหมด
ทั้งหมด



สหราชอาณาจักร ดัชนีราคาที่อยู่อาศัย Halifax YoY (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส บัญชีเดินสะพัด (Not SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส ดุลการค้า (SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส การผลิตภาคอุตสาหกรรม MoM(SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
อิตาลี ดัชนียอดค้าปลีก MoM (SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงาน YoY (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน GDP Final YoY (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน GDP Final QoQ (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงาน QoQ (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงานสุดท้าย (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
บราซิล PPI MoM (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
เม็กซิโก ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา อัตราการว่างงาน (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา อัตราการมีส่วนร่วมในการจ้างงาน (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงาน (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงานนอกเวลา (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงานเต็มเวลา (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา รายได้ส่วนบุคคล MoM (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคา PCE YoY (SA) (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคา PCE MoM (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา รายจ่ายส่วนบุคคล MoM(SA) (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาPCEหลักMoM (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาPCEหลักYoY (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา เงินเฟ้อเบื้องต้น UMich 5-YearYoY (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ค่าใช้จ่ายการบริโภคส่วนบุคคลที่จริง MoM (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การคาดการณ์เงินเฟ้อ 5-10 ปี (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีสถานภาพเบื้องต้น UMich ปัจจุบัน (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้น UMich (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อล่วงหน้า 1 ปี UMich (เบื้องต้น) (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีความคาดหวังผู้บริโภค UMich (เบื้องต้น) (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ปริมาณเครื่องเจาะทั้งหมดรายสัปดาห์--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ปริมาณเครื่องเจาะน้ำมันทั้งหมดรายสัปดาห์--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา สินเชื่ออุปโภคบริโภค (SA) (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ เงินตราที่ใช้เป็นทุนสำรอง (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ปริมาณการส่งออก YoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การนำเข้า YoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การนำเข้าYoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การนำเข้า (CNH) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ดุลการค้า (CNH) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การส่งออก (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น ค่าจ้าง MoM (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น ดุลการค้า (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น GDPที่แท้จริง QoQ (ไตรมาส 3)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น GDP Nominal แก้ไขQoQ (ไตรมาส 3)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น ดุลการค้า (SA)(ข้อมูลศุลกากร) (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น GDP ประจำปี (แก้ไข) QoQ (ไตรมาส 3)--
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ปริมาณการส่งออก YoY (CNH) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ดุลการค้า (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --


ไม่มีข้อมูลที่ตรงกัน
ทัศนคติล่าสุด
ทัศนคติล่าสุด
หัวข้อยอดนิยม
คอลัมนิสต์ยอดนิยม
อัปเดตล่าสุด
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
ดูผลการค้นหาทั้งหมด

ไม่มีข้อมูล
นิวยอร์ค--2 ส.ค.--รอยเตอร์
ดัชนี S&P 500 และ Nasdaq ของตลาดหุ้นสหรัฐปิดปรับลงในวันอังคาร ในขณะที่นักลงทุนรอดูตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรที่กระทรวงแรงงานสหรัฐจะรายงานออกมาในวันศุกร์ และรอดูผลประกอบการที่บริษัทสำคัญจะรายงานออกมาในช่วงต่อไปในสัปดาห์นี้ โดยก่อนหน้านี้ตลาดหุ้นเพิ่งพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในเดือนก.ค. โดยได้รับแรงหนุนจากผลประกอบการภาคเอกชนที่ดีเกินคาด และจากความคาดหวังที่ว่า เศรษฐกิจสหรัฐอาจจะชะลอตัวลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลงมาด้วย ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวกขึ้นในวันอังคาร โดยได้รับแรงหนุนจากหุ้นแคเทอร์พิลลาร์ ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์ก่อสร้างที่พุ่งขึ้น 8.9% หลังจากแคเทอร์พิลลาร์รายงานว่า ผลกำไรปรับขึ้นในไตรมาสสอง แต่แคเทอร์พิลลาร์เตือนว่าอัตราผลกำไรและยอดขายอาจปรับลดลงในไตรมาสปัจจุบัน
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวกขึ้น 0.2% สู่ 35,630.68, ดัชนี S&P 500 ปิดปรับลง 0.27% สู่ 4,576.73 ในวันอังคาร หลังจากเพิ่งพุ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดรอบ 16 เดือนในวันจันทร์ และอยู่ห่างจากสถิติระดับปิดสูงสุดที่ 4,796.56 ที่เคยทำไว้ในวันที่ 3 ม.ค. 2022 ในระดับไม่ถึง 5% ทางด้านดัชนี Nasdaq ปิดปรับลง 0.43% สู่ 14,283.91 ในวันอังคาร ทั้งนี้ นักวิเคราะห์คาดการณ์ในตอนนี้ว่า ผลกำไรของบริษัทสหรัฐอาจปรับลดลงเพียง 5.9% ในไตรมาสสองเมื่อเทียบรายปี หลังจากที่เคยคาดการณ์เมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อนว่า ผลกำไรอาจดิ่งลง 7.9% ในไตรมาสสอง
หุ้นบริษัทขนาดยักษ์ในกลุ่มเติบโตดิ่งลงในวันอังคาร ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีปรับขึ้นจาก 3.957% ในวันจันทร์ สู่ 4.047% ในช่วงท้ายวันอังคาร โดยหุ้นบริษัทขนาดยักษ์เหล่านี้มักจะมีมูลค่าลดลงเมื่ออัตราดอกเบี้ยปรับสูงขึ้น โดยหุ้นเทสลาซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าดิ่งลง 2.38% ในวันอังคาร ส่วนหุ้นอะเมซอนดอทคอมรูดลง 1.49%
หุ้นอูเบอร์ซึ่งเป็นบริษัทที่ให้บริการเรียกรถดิ่งลง 5.7% หลังจากอูเบอร์เปิดเผยรายได้ไตรมาสสองที่ต่ำเกินคาด ส่วนหุ้นไฟเซอร์ดิ่งลง 1.25% หลังจากไฟเซอร์รายงานว่ารายได้รายไตรมาสอยู่ต่ำเกินคาด โดยเป็นผลจากการดิ่งลงของยอดขายสินค้าเกี่ยวกับโรคโควิด-19
สถาบันจัดการอุปทานของสหรัฐ (ISM) รายงานในวันอังคารว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของสหรัฐปรับขึ้นสู่ 46.4 ในเดือนก.ค. จาก 46.0 ในเดือนมิ.ย. ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค. 2020 โดยรายงานนี้บ่งชี้ว่า ภาคโรงงานของสหรัฐอาจเข้าสู่เสถียรภาพที่ระดับต่ำ ในขณะที่ยอดสั่งซื้อใหม่ปรับตัวดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยดัชนียอดสั่งซื้อใหม่ในภาคการผลิตสหรัฐพุ่งขึ้นจาก 45.6 ในเดือนมิ.ย. สู่ 47.3 ในเดือนก.ค. ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนต.ค. 2022 อย่างไรก็ดี ดัชนีการจ้างงานในภาคโรงงานสหรัฐดิ่งลงจาก 48.1 ในเดือนมิ.ย. สู่ 44.4 ในเดือนก.ค. ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.ค. 2020 หรือจุดต่ำสุดรอบ 3 ปี และสิ่งนี้บ่งชี้ว่าการปลดคนงานออกกำลังทวีความเร็วขึ้น--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--27 มิ.ย.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดร่วงลงในวันจันทร์ ในขณะที่นักลงทุนหลีกเลี่ยงสินทรัพย์เสี่ยง หลังจากเกิดเหตุการณ์กลุ่มทหารรับจ้างแวกเนอร์ที่ติดอาวุธหนักและนำโดยนายเยฟเกนี พรีโกซิน พยายามจะก่อกบฏในรัสเซียในช่วงสุดสัปดาห์ ก่อนจะยกเลิกปฏิบัติการดังกล่าวภายใต้ข้อตกลง โดยเหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้นักลงทุนตั้งคำถามต่ออนาคตของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินของรัสเซีย และนักลงทุนต้องการจะรอดูผลลัพธ์จากเหตุการณ์ดังกล่าวในช่วงนี้ ทางด้านปธน.ปูตินได้กล่าวในวันจันทร์ว่า เขาขอบคุณผู้บัญชาการทหารรับจ้างและกลุ่มทหารรับจ้างที่ล้มเลิกการก่อกบฏเพื่อจะได้หลีกเลี่ยงการนองเลือด ในขณะที่กระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐระบุว่า สถานการณ์ในรัสเซียยังคงไม่หยุดนิ่ง ทั้งนี้ นายพรีโกซินกล่าวในวันจันทร์ว่า เขาไม่เคยตั้งใจที่จะโค่นล้มรัฐบาลรัสเซีย แต่เขาไม่ได้เปิดเผยสถานที่อยู่ของเขาในปัจจุบัน และไม่ได้เปิดเผยข้อตกลงในการยกเลิกการก่อกบฏ
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดขยับลง 0.04% สู่ 33,714.71, ดัชนี S&P 500 ปิดปรับลง 0.45% สู่ 4,328.82 และดัชนี Nasdaq ปิดดิ่งลง 1.16% สู่ 13,335.78 ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้น 2.2% และถือเป็นกลุ่มที่พุ่งขึ้นมากที่สุดในวันจันทร์ ในขณะที่ราคาน้ำมันปรับขึ้น โดยได้รับแรงหนุนจากความกังวลที่ว่า ภาวะไร้เสถียรภาพทางการเมืองในรัสเซียอาจจะส่งผลให้เกิดการขาดตอนของอุปทานน้ำมัน ทางด้านหุ้นเติบโตดิ่งลงในวันจันทร์ โดยหุ้นเมตา แพลตฟอร์มส์ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของเฟซบุ๊กดิ่งลง 3.6%, หุ้นแอลฟาเบทรูดลง 3.3% หลังจากธนาคารยูบีเอสปรับลดอันดับความน่าลงทุนของหุ้นแอลฟาเบทลงสู่ "neutral" และหุ้นเทสลาดิ่งลง 6.1% หลังจากโกลด์แมน แซคส์ปรับลดอันดับความน่าลงทุนของหุ้นเทสลาลงสู่ "neutral"
ตลาดหุ้นได้รับผลกระทบจากการเทขายทำกำไรหุ้นเติบโตในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของไตรมาสสอง หลังจากหุ้นเติบโตพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในช่วงต้นปีนี้ โดยนายคริส แซคคาเรลลี หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของบริษัทอินดิเพนเดนท์ แอดไวเซอร์ อัลไลอันซ์กล่าวว่า นักลงทุนหันมาสำรวจหุ้นที่เคยปรับตัวอ่อนแอในช่วงต้นปีนี้ ซึ่งรวมถึงหุ้นคุณค่าและหุ้นบริษัทขนาดเล็ก ทั้งนี้ นักลงทุนรอดูตัวเลขเศรษฐกิจหลายตัวในสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน, ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของมหาวิทยาลัยมิชิแกน และดัชนีราคาค่าใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ซึ่งถือเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) นิยมใช้ และนักลงทุนรอฟังถ้อยแถลงของนายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟดในสัปดาห์นี้ด้วย หลังจากเขาส่งสัญญาณในสัปดาห์ที่แล้วว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป และถ้อยแถลงของเขามีส่วนกดดันตลาดหุ้นสหรัฐให้ร่วงลงในสัปดาห์ที่แล้ว
เทรดเดอร์คาดการณ์ในตอนนี้ว่า มีโอกาส 26.1% ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 5.00-5.25% ในการประชุมวันที่ 25-26 ก.ค. และมีโอกาส 73.9% ที่เฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ 5.25-5.50% ในการประชุมวันที่ 25-26 ก.ค. โดยเทรดเดอร์คาดการณ์อีกด้วยว่า เฟดจะไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปอีกในช่วงหลังจากนั้น ถึงแม้ผู้กำหนดนโยบายส่วนใหญ่ของเฟดคาดว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสู่ระดับอย่างน้อย 5.50-5.75% ก่อนสิ้นปีนี้
หุ้นไฟเซอร์ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตยาดิ่งลง 3.7% หลังจากไฟเซอร์ประกาศยุติการพัฒนายารักษาโรคเบาหวานและโรคอ้วนตัวหนึ่ง ทั้งนี้ หุ้นลูซิด กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าทะยานขึ้น 1.5% หลังจากลูซิดทำข้อตกลงกับบริษัทแอสตัน มาร์ตินของอังกฤษ ซึ่งจะส่งผลให้ลูซิดได้ถือหุ้น 3.7% ในแอสตัน มาร์ติน--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--14 มี.ค.--รอยเตอร์
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์และดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐปิดปรับลงในวันจันทร์ตามหุ้นกลุ่มธนาคาร ในขณะที่นักลงทุนกังวลกับการปิดกิจการธนาคารซิลิคอน แวลลีย์ (SVB) ในวันศุกร์ที่ผ่านมา หลังจาก SVB ประสบความล้มเหลวในการเพิ่มทุน โดยนักลงทุนกังวลว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างแข็งกร้าวของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมาอาจจะส่งผลกระทบต่อธนาคารแห่งอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ดี บรรยากาศการซื้อขายมีความผันผวน และดัชนี Nasdaq ปิดบวกขึ้นในวันจันทร์ เนื่องจากหุ้นบางกลุ่มได้รับแรงหนุนจากความคาดหวังที่ว่า เฟดอาจจะชะลอความเร็วในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย นอกจากนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 2 ปีก็ดิ่งลงจาก 4.588% ในช่วงท้ายวันศุกร์ สู่ 4.030% ในช่วงท้ายวันจันทร์ ซึ่งถือเป็นการดิ่งลงรายวันครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ตลาดหุ้นสหรัฐทรุดตัวครั้งใหญ่ในวัน Black Monday ในปี 1987
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดปรับลง 0.28% สู่ 31,819.14, ดัชนี S&P 500 ปิดขยับลง 0.15% สู่ 3,855.76 และดัชนี Nasdaq ปิดบวกขึ้น 0.45% สู่ 11,188.84 ทางด้านดัชนีความผันผวน CBOE หรือดัชนี VIX ที่ใช้วัดระดับความกังวลของตลาดหุ้นสหรัฐพุ่งขึ้น 1.72 จุด สู่ 26.52 หลังจากทะยานขึ้นแตะ 30.81 ในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่ปลายเดือนต.ค. ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภค ซึ่งถือเป็นหุ้นกลุ่มปลอดภัยพุ่งขึ้น 1.54% ในขณะที่หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับขึ้นเช่นกัน โดยหุ้นสองกลุ่มหลังนี้มักจะได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ย
ประธานาธิบดีโจ ไบเดนของสหรัฐกล่าวว่า มาตรการของรัฐบาลสหรัฐในการรับประกันว่า ผู้ฝากเงินจะสามารถเข้าถึงเงินฝากของตนเองใน SVB และในธนาคารซิกเนเจอร์ น่าจะช่วยให้ชาวสหรัฐมีความเชื่อมั่นว่า ระบบธนาคารสหรัฐมีความปลอดภัย และเขาให้สัญญาว่าจะทำทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อรับมือกับภัยคุกคามต่อระบบธนาคาร อย่างไรก็ดี ดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารของสหรัฐดิ่งลง 7% ในวันจันทร์ ซึ่งถือเป็นการดิ่งลงครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 11 มิ.ย. 2020 ในขณะที่หุ้นธนาคารเฟิร์สท์ รีพับลิกรูดลง 61.83%, หุ้นธนาคารเวสเทิร์น อัลไลอันซ์ แบงคอร์ปดิ่งลง 47.06% และหุ้นธนาคารแพคเวสท์ แบงคอร์ปรูดลง 21.05% นอกจากนี้ หุ้นชาร์ลส์ ชวอบ ซึ่งเป็นบริษัทผู้ให้บริการทางการเงินก็ดิ่งลง 11.56% หลังจากทางบริษัทรายงานว่า จำนวนเงินที่ลูกค้ากู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์โดยเฉลี่ยดิ่งลง 28% และสินทรัพย์ของลูกค้าโดยรวมลดลง 4% ในเดือนก.พ. ทั้งนี้ หุ้นธนาคารขนาดใหญ่ของสหรัฐดิ่งลงด้วยเช่นกัน ซึ่งรวมถึงหุ้นเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค, ซิตี้กรุ๊ป และเวลส์ ฟาร์โก
นักลงทุนรอดูดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ประจำเดือนก.พ.ที่รัฐบาลสหรัฐจะรายงานออกมาในวันอังคารนี้ และรอดูดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ที่รัฐบาลสหรัฐจะรายงานออกมาในวันพุธ ทั้งนี้ นักลงทุนในตลาดสัญญาล่วงหน้าคาดการณ์ในตอนนี้ว่า มีโอกาส 31.4% ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 4.50-4.75% ในการประชุมวันที่ 21-22 มี.ค. และมีโอกาส 68.6% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ 4.75-5.00% ในการประชุมวันที่ 21-22 มี.ค.
หุ้นไฟเซอร์ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตยาพุ่งขึ้น 1.19% หลังจากไฟเซอร์ประกาศว่า ไฟเซอร์จะเข้าซื้อบริษัทซีเกนในวงเงินเกือบ 4.3 หมื่นล้านดอลลาร์--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--28 ก.พ.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดบวกขึ้นเล็กน้อยในวันจันทร์ ในขณะที่นักลงทุนเข้าช้อนซื้อเก็งกำไรหุ้นสหรัฐ หลังจากตลาดหุ้นดิ่งลงอย่างรุนแรงในสัปดาห์ที่แล้ว แต่ตลาดหุ้นยังคงได้รับแรงกดดันจากความกังวลที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปเพื่อควบคุมภาวะเงินเฟ้อ ทั้งนี้ ดัชนีสำคัญทั้ง 3 ดัชนีของตลาดหุ้นสหรัฐพุ่งขึ้นกว่า 1% ในเวลาไม่นานหลังจากเปิดตลาดในวันจันทร์ ในขณะที่ตลาดหุ้นได้รับแรงหนุนจากการร่วงลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ แต่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรลดช่วงติดลบกลับขึ้นมาได้บ้างในเวลาต่อมา และส่งผลให้ตลาดหุ้นลดช่วงบวกลง โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีอยู่ที่ 3.922% ในช่วงท้ายวันจันทร์ โดยปรับลงจาก 3.949% ในช่วงท้ายวันศุกร์
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวกขึ้น 0.22% สู่ 32,889.09, ดัชนี S&P 500 ปิดปรับขึ้น 0.31% สู่ 3,982.24 และดัชนี Nasdaq ปิดบวกขึ้น 0.63% สู่ 11,466.98 ทั้งนี้ ดัชนีดาวโจนส์เพิ่งปิดตลาดสัปดาห์ที่แล้วด้วยการรูดลง 2.99% จากสัปดาห์ก่อนหน้านั้น ซึ่งถือเป็นการดิ่งลงรายสัปดาห์ครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.ย. หรือครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 5 เดือน ทางด้านดัชนี S&P ปิดตลาดสัปดาห์ที่แล้วด้วยการรูดลง 2.66% จากสัปดาห์ก่อนหน้านั้น และดัชนี Nasdaq ปิดดิ่งลง 3.33% ในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งถือเป็นการดิ่งลงรายสัปดาห์ครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.ทั้งสำหรับดัชนี S&P และ Nasdaq โดยตลาดหุ้นได้รับแรงกดดันในสัปดาห์ที่แล้วจากตัวเลขเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง และจากถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟดที่บ่งชี้ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป
นักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารบาร์เคลย์สและธนาคารแนทเวสต์ของอังกฤษคาดว่า เฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% สู่ 5.00-5.25% ในการประชุมวันที่ 21-22 มี.ค. ส่วนธนาคารมอร์แกน สแตนเลย์คาดว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในเดือนมี.ค. 2024 โดยปรับเปลี่ยนจากเดิมที่เคยคาดว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในเดือนธ.ค. 2023 นอกจากนี้ มอร์แกน สแตนเลย์ยังคาดการณ์อีกด้วยว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างเชื่องช้า โดยปรับลดลงเพียง 0.25% ต่อไตรมาส และอัตราดอกเบี้ยจะอยู่ที่ 4.25% ในช่วงสิ้นปี 2024 ทั้งนี้ เทรดเดอร์ในตลาดสัญญาล่วงหน้าคาดการณ์ในตอนนี้ว่า อัตราดอกเบี้ยของสหรัฐอาจจะขึ้นไปแตะจุดสูงสุดของวัฏจักรที่ระดับราว 5.408% ในเดือนก.ย.
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานในวันจันทร์ว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าทุนที่ไม่รวมอาวุธและเครื่องบิน หรือยอดสั่งซื้อสินค้าทุนพื้นฐานของสหรัฐ พุ่งขึ้น 0.8% ในเดือนม.ค.เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ในโพลล์รอยเตอร์ที่ +0.1% หลังจากร่วงลง 0.3% ในเดือนธ.ค. ทางด้านยอดขนส่งสินค้าทุนพื้นฐานดีดขึ้น 1.1% ในเดือนม.ค. หลังจากร่วงลง 0.6% ในเดือนธ.ค. และสิ่งนี้บ่งชี้ว่ารายจ่ายด้านอุปกรณ์ในภาคธุรกิจปรับสูงขึ้น
การร่วงลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยิลด์) มีส่วนช่วยหนุนดัชนีหุ้นเติบโตของสหรัฐให้ดีดขึ้น 0.63% ในวันจันทร์ ในขณะที่หุ้นบริษัทเทสลาซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าพุ่งขึ้น 5.46% หลังจากเทสลารายงานว่า โรงงานของเทสลาในเมืองแบรนเดนเบิร์กของเยอรมนีผลิตรถยนต์ได้ 4,000 คันต่อสัปดาห์ ซึ่งถือว่าเร็วกกว่ากำหนดถึง 3 สัปดาห์--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--13 ก.พ.--รอยเตอร์
ดัชนี Nasdaq ของตลาดหุ้นสหรัฐปิดร่วงลงในวันศุกร์ตามหุ้นบริษัทขนาดใหญ่ในกลุ่มเติบโต ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีพุ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดในรอบกว่า 1 เดือนที่ 3.751% ในวันศุกร์ หลังจากสหรัฐเปิดประมูลพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปีในวันพฤหัสบดี และพบว่าอุปสงค์อยู่ในระดับต่ำ นอกจากนี้ ดัชนี Nasdaq ยังได้รับแรงกดดันจากหุ้นบริษัทลิฟท์ อิงค์ซึ่งเป็นบริษัทผู้ให้บริการเรียกรถที่ดิ่งลง 36.44% ในวันศุกร์ หลังจากลิฟท์ปรับลดค่าบริการลง ในขณะที่หุ้นอูเบอร์ เทคโนโลยีส์ ซึ่งเป็นคู่แข่งของลิฟท์รูดลง 4.43%
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวกขึ้น 0.5% สู่ 33,869.27, ดัชนี S&P 500 ปิดปรับขึ้น 0.22% สู่ 4,090.46 และดัชนี Nasdaq ปิดร่วงลง 0.61% สู่ 11,718.12 โดยดัชนีดาวโจนส์และ S&P 500 ได้รับแรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน ในขณะที่แผนการของรัสเซียในการปรับลดปริมาณการผลิตน้ำมันดิบช่วยหนุนราคาน้ำมันดิบให้พุ่งสูงขึ้น ทั้งนี้ ดัชนีดาวโจนส์ปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการปรับลง 0.17% จากสัปดาห์ที่แล้ว, ดัชนี S&P 500 ดิ่งลง 1.11% ในสัปดาห์นี้ และดัชนี Nasdaq รูดลง 2.41% ในสัปดาห์นี้ ซึ่งถือเป็นการปิดตลาดรายสัปดาห์ในแดนลบเป็นครั้งแรกของปีนี้สำหรับ Nasdaq โดยตลาดหุ้นสหรัฐได้รับแรงกดดันในสัปดาห์นี้จากการที่เจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) หลายคนแสดงความเห็นแบบสายเหยี่ยว และจากการรายงานผลประกอบการของบริษัทจำนวนมากในสหรัฐ
ดัชนี Russell 1000 สำหรับหุ้นเติบโตของสหรัฐ ซึ่งครอบคลุมหุ้นบริษัทขนาดใหญ่หลายแห่ง ร่วงลง 0.38% ในวันศุกร์ ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานของสหรัฐพุ่งขึ้น 3.92% ในวันศุกร์ แต่ดัชนีหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยดิ่งลง 1.22%
บริษัทกว่าครึ่งหนึ่งในดัชนี S&P 500 เปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 4/2022 ออกมาแล้ว โดยบริษัท 69% ในกลุ่มนี้เปิดเผยผลกำไรที่ดีเกินคาด
มหาวิทยาลัยมิชิแกนรายงานในวันศุกร์ว่า ดัชนีการคาดการณ์เงินเฟ้อของสหรัฐสำหรับช่วง 1 ปีข้างหน้า ปรับขึ้นสู่ 4.2% ในเดือนก.พ. จาก 3.9% ในเดือนม.ค. และรายงานว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐปรับขึ้นสู่ 66.4 ในเดือนก.พ. จาก 64.9 ในเดือนม.ค. ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ในโพลล์รอยเตอร์ที่ 65.0 สำหรับเดือนม.ค. ทั้งนี้ โพลล์รอยเตอร์คาดว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ทั่วไปของสหรัฐอาจปรับขึ้น 0.4% ในเดือนม.ค.เมื่อเทียบรายเดือน และดัชนี CPI พื้นฐานของสหรัฐอาจปรับขึ้น 0.4% ในเดือนม.ค.เช่นกัน โดยรัฐบาลสหรัฐจะรายงานดัชนี CPI เดือนม.ค.ออกมาในวันที่ 14 ก.พ.--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--9 ม.ค.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในวันศุกร์ หลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า การจ้างงานนอกภาคเกษตรในสหรัฐปรับเพิ่มขึ้นสูงเกินคาด แต่ค่าแรงชะลอการปรับขึ้น และมีรายงานระบุว่าภาคบริการของสหรัฐหดตัวลง โดยรายงานตัวเลขเหล่านี้ช่วยลดความกังวลของนักลงทุนที่มีต่อแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า การจ้างงานในสหรัฐเพิ่มขึ้น 223,000 ตำแหน่งในเดือนธ.ค. ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ที่ 200,000 ตำแหน่ง แต่ค่าแรงเพิ่มขึ้นเพียง 0.3% ในเดือนธ.ค.เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนพ.ย. และต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ 0.4% สำหรับเดือนธ.ค. ส่วนค่าแรงแบบเทียบรายปีปรับขึ้นเพียง 4.6% ในเดือนธ.ค. ซึ่งถือเป็นการเพิ่มขึ้นที่น้อยที่สุดนับตั้งแต่เดือนส.ค. 2021 หลังจากเพิ่มขึ้น 4.8% ในเดือนพ.ย.เมื่อเทียบรายปี ทางด้านอัตราการว่างงานร่วงลงสู่ 3.5% ในเดือนธ.ค. จาก 3.6% ในเดือนพ.ย. ในขณะที่อัตราการมีส่วนร่วมในกำลังแรงงานสหรัฐปรับขึ้นสู่ 62.3% ในดือนธ.ค. จาก 62.2 ในเดือนพ.ย.
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดพุ่งขึ้น 2.13% สู่ 33,630.61, ดัชนี S&P 500 ปิดทะยานขึ้น 2.28% สู่ 3,895.08 และดัชนี Nasdaq ปิดพุ่งขึ้น 2.56% สู่ 10,569.29 โดยดัชนีดาวโจนส์ปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการทะยานขึ้น 1.46% จากสัปดาห์ที่แล้ว, ดัชนี S&P ปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการพุ่งขึ้น 1.45% จากสัปดาห์ที่แล้ว หลังจากปิดตลาดรายสัปดาห์ในแดนลบมานาน 4 สัปดาห์ติดต่อกัน และดัชนี Nasdaq ปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการบวกขึ้น 0.98% จากสัปดาห์ที่แล้ว หลังจากปิดตลาดรายสัปดาห์ในแดนลบมานาน 4 สัปดาห์ติดต่อกัน ทั้งนี้ หุ้นทั้ง 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐปิดตลาดในแดนบวกในวันศุกร์ โดยหุ้นกลุ่มที่พุ่งขึ้นมากที่สุดคือหุ้นกลุ่มวัสดุที่ทะยานขึ้น 3.44% ส่วนหุ้นกลุ่มที่พุ่งขึ้นมากเป็นอันดับสองคือหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ทะยานขึ้น 2.99% ทางด้านหุ้นกลุ่มที่ปรับขึ้นน้อยที่สุดคือหุ้นกลุ่มการแพทย์ที่ปรับขึ้นเพียง 0.89% และหุ้นกลุ่มพลังงานที่ปรับขึ้น 1.68%
สถาบันจัดการอุปทานของสหรัฐ (ISM) รายงานในวันศุกร์ว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการของสหรัฐดิ่งลงจาก 56.5 ในเดือนพ.ย. สู่ 49.6 ในเดือนธ.ค. ซึ่งถือเป็นการรูดผ่านระดับ 50 ลงมาเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนพ.ค. 2020 และดัชนีที่ระดับต่ำกว่า 50 บ่งชี้ว่าภาคบริการหดตัวลง โดยดัชนีนี้แสดงให้เห็นว่าภาคบริการซึ่งครองสัดส่วนสูงกว่า 2 ใน 3 ของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในสหรัฐหดตัวลงในเดือนธ.ค.เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 2 ปีครึ่ง นอกจากนี้ ISM ยังรายงานอีกด้วยว่า ดัชนีราคาจ่ายในภาคบริการปรับลงจาก 70.0 ในเดือนพ.ย. สู่ 67.6 ในเดือนธ.ค. ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนม.ค. 2021 และถือเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าอัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลง ทั้งนี้ นางเมแกน ฮอร์นแมน หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของบริษัทเวอร์เดนซ์ แคปิตัล แมเนจเมนท์กล่าวว่า รายงานตัวเลขการจ้างงานและตัวเลขภาคบริการที่ออกมาในวันศุกร์ "ทำให้นักลงทุนคาดว่า วัฏจักรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างแข็งกร้าวของเฟดใกล้จะถึงจุดสิ้นสุดแล้ว และปัจจัยนี้ก็หนุนตลาดหุ้นให้พุ่งขึ้น" ทางด้านนายจอห์น ออกุสติน หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของธนาคารฮันทิงทัน เนชันแนล แบงก์ระบุว่า นักลงทุนปรับลดความกังวลที่ว่า เฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจนถึงระดับที่ส่งผลให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย และเขากล่าวเสริมว่า "รายงานตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาในวันศุกร์อาจจะช่วยลดแรงกดดันสำหรับเฟดในการทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย โดยเฟดอาจจะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัวลงมามากพอแล้ว และเฟดอาจจะต้องรอเพียงแค่การยืนยันเรื่องนี้จากรายงานตัวเลขเงินเฟ้อ" โดยรัฐบาลสหรัฐจะรายงานตัวเลขอัตราเงินเฟ้อประจำเดือนธ.ค.ออกมาในวันพฤหัสบดีที่ 12 ม.ค. และถ้าหากอัตราเงินเฟ้อในเดือนธ.ค.ยังคงชะลอตัวลงต่อไป เฟดก็จะสามารถตัดสินใจได้ว่า เฟดจะชะลอความเร็วในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหรือไม่
นายราฟาเอล บอสติก ประธานเฟดสาขาแอตแลนตากล่าวในวันศุกร์ว่า รายงานการจ้างงานครั้งล่าสุดของสหรัฐถือเป็นอีกสัญญาณหนึ่งที่บ่งชี้ว่า เศรษฐกิจสหรัฐกำลังชะลอตัวลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป และถ้าหากเศรษฐกิจยังคงชะลอตัวลงแบบนี้ต่อไป เฟดก็จะสามารถปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพียง 0.25% ในการประชุมกำหนดนโยบายครั้งถัดไปในวันที่ 31 ม.ค.-1 ก.พ. ทั้งนี้ นักลงทุนรอดูฤดูการรายงานผลประกอบการไตรมาส 4 ที่จะเริ่มต้นขึ้นในวันศุกร์ที่ 13 ม.ค.เมื่อธนาคารเจพีมอร์แกนและธนาคารแบงก์ ออฟ อเมริกาเปิดเผยผลประกอบการออกมา
ดัชนีหุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นพุ่งขึ้นในวันศุกร์ โดยได้รับแรงหนุนจากหุ้นคอสต์โค โฮลเซล คอร์ป ซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกที่พุ่งขึ้น 7% หลังจากทางบริษัทรายงานว่ายอดขายในเดือนธ.ค.พุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ทั้งนี้ หุ้นไฟเซอร์ทะยานขึ้น 2.5% หลังจากมีรายงานข่าวระบุว่า ไฟเซอร์เจรจากับจีนในเรื่องการออกใบอนุญาตให้บริษัทผู้ผลิตยาในจีนสามารถผลิตและจัดจำหน่ายยาชื่อสามัญของยา Paxlovid ของไฟเซอร์เพื่อใช้ในการรักษาโรคโควิด-19 ในจีน--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
วอชิงตัน--6 ม.ค.--รอยเตอร์
นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เคยให้สัญญาครั้งสำคัญในปี 2020 ว่า เขาจะทำให้เป้าหมายของเฟดในการทำให้การจ้างงานเพิ่มขึ้น "ในวงกว้างและอย่างครอบคลุม" ถือเป็นเป้าหมายที่มีความสำคัญในระดับเท่ากับหรือมากกว่าคำสัญญาของเฟดที่จะควบคุมอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับต่ำ โดยการให้สัญญาของเขาในครั้งนั้นมีจุดประสงค์เพื่อสานต่อความก้าวหน้าในตลาดแรงงานสหรัฐในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงที่การจ้างงานเพิ่มขึ้นในวงกว้างและครอบคลุมชนกลุ่มน้อยในสหรัฐ ทั้งนี้ ภาระผูกพันดังกล่าวของเฟดเผชิญกับอุปสรรคในช่วงที่ผ่านมา ในขณะที่เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปแล้ว 4.25% ในปี 2022 สู่ 4.25-4.50% ในปัจจุบัน เพื่อรับมือกับอัตราเงินเฟ้อที่ทะยานขึ้นแตะจุดสูงสุดในรอบราว 40 ปี โดยเจ้าหน้าที่เฟดระบุในการประชุมกำหนดนโยบายประจำวันที่ 13-14 ธ.ค.ว่า เศรษฐกิจสหรัฐจำเป็นจะต้องชะลอตัวลงเพื่อที่เฟดจะได้ควบคุมภาวะเงินเฟ้อ และสิ่งนี้หมายความว่า "อัตราการว่างงานในประชากรบางกลุ่ม โดยเฉพาะประชากรเชื้อสายแอฟริกัน-อเมริกันและเชื้อสายฮิสปานิก มีแนวโน้มที่จะพุ่งขึ้นสูงกว่าค่าเฉลี่ยของประชากรทั้งประเทศ"
การที่เจ้าหน้าที่เฟดยอมรับในเรื่องนี้ตอกย้ำให้เห็นถึงทางเลือกที่ยากลำบากที่เฟดต้องเผชิญ ในขณะที่เฟดพยายามรับมือกับอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดนับตั้งแต่ทศวรรษ 1980 และพยายามจะบรรลุเป้าหมายในการทำให้เกิดภาวะการจ้างงานเต็มที่ทั่วทั้งสังคมสหรัฐในเวลาเดียวกัน ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐจะรายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนธ.ค.ในช่วงต่อไปในวันนี้ และนักเศรษฐศาสตร์ก็คาดว่า การจ้างงานนอกภาคเกษตรในสหรัฐอาจพุ่งขึ้น 200,000 ตำแหน่งในเดือนธ.ค. ซึ่งสูงราว 2 เท่าของระดับที่เฟดมองว่ายั่งยืน ในขณะที่ค่าแรงพุ่งสูงขึ้น และอัตราการว่างงานของประชากรผิวดำกับประชากรเชื้อสายฮิสปานิกเคลื่อนตัวอยู่ใกล้สถิติต่ำสุุด ซึ่งถ้าหากตลาดการจ้างงานยังคงอยู่ในภาวะแข็งแกร่งแบบนี้ต่อไป ก็มีแนวโน้มมากยิ่งขึ้นที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปเพื่อพยายามทำลายภาวะดังกล่าว
นายทิม ดุย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์สหรัฐของบริษัทเอสจีเอช แมคโคร แอดไวเซอร์สระบุว่า "ทั้งเจ้าหน้าที่สายเหยี่ยวและสายพิราบในเฟดต่างก็มีความเห็นตรงกันว่า ตลาดแรงงานสหรัฐยังคงอยู่ในภาวะตึงตัวมากเกินไป" และเขามองว่า รายงานการประชุมกำหนดนโยบายประจำวันที่ 13-14 ธ.ค.ที่เฟดเปิดเผยออกมาในวันพุธ แสดงให้เห็นว่าเฟด "เต็มใจที่จะแบกรับความเสียหาย" ที่เกิดจากการบีบให้อัตราการว่างงานพุ่งสูงขึ้น นอกจากนี้ เขายังระบุอีกด้วยว่า "ถ้าหากตลาดแรงงานยังไม่ชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด เฟดก็จะมีความจำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย" สู่ระดับสูงกว่า 5.00-5.25% ถึงแม้เจ้าหน้าที่เฟดส่วนใหญ่คาดว่าระดับดังกล่าวจะถือเป็นจุดสูงสุดของวัฏจักรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้ ทั้งนี้ รายงานการประชุมเฟดประจำวันที่ 13-14 ธ.ค.แสดงให้เห็นว่า เจ้าหน้าที่เฟดบางคนมองว่า อุปทานแรงงาน "ดูเหมือนจะเผชิญกับขีดจำกัด" ในขณะที่อัตราการมีส่วนร่วมในตลาดแรงงานเคลื่อนตัวอยู่ในระดับต่ำกว่าช่วงก่อนเกิดวิกฤติโรคระบาด นอกจากนี้ ความต้องการจ้างงานก็ยังคงอยู่ในระดับแข็งแกร่ง โดยสัดส่วนตำแหน่งงานว่างต่อคนว่างงานในสหรัฐอยู่ที่ 1.74 ตำแหน่งต่อคนว่างงานหนึ่งคนในเดือนพ.ย.
เฟดมองว่าการปรับขึ้นค่าแรงอาจจะเป็นปัจจัยกระตุ้นภาวะเงินเฟ้อในอนาคต แต่นักเศรษฐศาสตร์และผู้กำหนดนโยบายบางคนโต้แย้งว่า ต้นเหตุของเงินเฟ้อเกิดจากปัจจัยอื่น ๆ และเฟดไม่ควรแก้ไขภาวะเงินเฟ้อด้วยการทำให้อัตราการว่างงานพุ่งขึ้นมากนัก โดยนางลาเอล เบรนาร์ด รองประธานกรรมการเฟดระบุว่า ต้นเหตุของเงินเฟ้อเกิดจากอัตราผลกำไรในภาคเอกชนที่ยังคงอยู่ในระดับสูงมาก ส่วนนายนีล แคชคารี ประธานเฟดสาขามินนิอาโปลิสระบุว่า สถานการณ์ในช่วงนี้มีความคล้ายคลึงกับการกำหนดราคาตามความต้องการของตลาด โดยราคาจะพุ่งสูงขึ้นเมื่อใดก็ตามที่อุปสงค์อยู่ในระดับสูงแต่อุปทานทรงตัวเท่าเดิม โดยบริษัทอย่างเช่นอูเบอร์ เทคโนโลยีส์มักใช้กลไกกำหนดราคาแบบนี้ ทั้งนี้ นักวิเคราะห์บางรายระบุว่า การจะทำให้อัตราเงินเฟ้อกลับคืนสู่ระดับ 2% อาจจะเป็นสิ่งที่ทำได้ยากมากเกินคาด และจะสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจและการจ้างงานเป็นอย่างมาก
เฟดคาดว่าอัตราการว่างงานจะพุ่งขึ้นจาก 3.7% ในช่วงสิ้นปี 2022 สู่ 4.6% ในช่วงสิ้นปี 2023 ซึ่งเท่ากับว่าอัตราการว่างงานจะพุ่งขึ้นราว 0.9% ซึ่งสูงกว่าขนาดการพุ่งขึ้นที่มักจะเกิดขึ้นในช่วงที่เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย ทั้งนี้ ปัจจัยหนุนเงินเฟ้อที่แก้ไขได้ยากมากที่สุดในช่วงนี้อยู่ในภาคบริการซึ่งใช้แรงงานสูง โดยเฟดระบุในรายงานการประชุมว่า เนื่องจากค่าบริการมักจะปรับตัวตามรายได้ของคนงาน "ดังนั้นค่าบริการจึงมีแนวโน้มที่จะยังคงอยู่ในระดับสูงต่อไป ถ้าหากตลาดแรงงานยังคงอยู่ในภาวะตึงตัวเป็นอย่างมาก" และระบุเสริมว่า "ถึงแม้แทบไม่มีสัญญาณบ่งชี้ว่า ค่าจ้างและราคาชะลอตัวลงตามกันในตอนนี้ ผู้กำหนดนโยบายก็ประเมินว่า ในการที่จะทำให้องค์ประกอบนี้ของภาวะเงินเฟ้อชะลอตัวลงสู่ระดับที่สอดคล้องกับเป้าหมายได้นั้น อุปสงค์ในแรงงานก็จะต้องชะลอการเติบโตลงในระดับหนึ่งด้วย"--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
เครื่องมือออกแบบโปสเตอร์
โครงการพันธมิตร
ความเสี่ยงของการสูญเสียในการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น หุ้น FX สินค้าโภคภัณฑ์ ฟิวเจอร์ส พันธบัตร ETFs หรือเงินดิจิทัลอาจมีมาก คุณอาจสูญเสียเงินทุนทั้งหมดที่คุณฝากไว้กับโบรกเกอร์ของคุณ ดังนั้น คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบว่าการซื้อขายดังกล่าวเหมาะสมกับคุณหรือไม่ในสถานการณ์และทรัพยากรทางการเงินของคุณ
ไม่ควรตัดสินใจลงทุนโดยไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบสถานะอย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วยตัวเองหรือปรึกษากับที่ปรึกษาทางการเงินของคุณ เนื้อหาเว็บของเราอาจไม่เหมาะกับคุณเนื่องจากเราไม่ทราบเงื่อนไขทางการเงินและความต้องการในการลงทุนของคุณ ข้อมูลทางการเงินของเราอาจมีความล่าช้าหรือมีความไม่ถูกต้อง ดังนั้นคุณควรรับผิดชอบอย่างเต็มที่ต่อการตัดสินใจซื้อขายและการลงทุนของคุณ บริษัทจะไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียเงินทุนของคุณ
หากไม่ได้รับอนุญาตจากเว็บไซต์ คุณจะไม่สามารถคัดลอกกราฟิก ข้อความ หรือเครื่องหมายการค้าของเว็บไซต์ได้ สิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาในเนื้อหาหรือข้อมูลที่รวมอยู่ในเว็บไซต์นี้เป็นของผู้ให้บริการและผู้ค้าแลกเปลี่ยน
ไม่ได้ล็อกอิน
เข้าสู่ระบบเพื่อเข้าถึงฟังก์ชั่นเพิ่มเติม

สมาชิก FastBull
ยังไม่ได้เปิด
สมัคร
เข้าสู่ระบบ
ลงทะเบียน