ตลาด
ข่าวสาร
การวิเคราะห์
ผู้ใช้
24x7
ปฏิทินเศรษฐกิจ
แหล่งเรียนรู้
ข้อมูล
- ชื่อ
- ค่าล่าสุด
- ครั้งก่อน












สัญญาณ VIP
ทั้งหมด
ทั้งหมด



สหรัฐอเมริกา การเลิกจ้างพนักงานบริษัทชาเลนเจอร์ เกรย์ และคริสต์มาส MoM (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ค่าเฉลี่ยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก4 สัปดาห์ (SA)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์ (SA)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานต่อรายสัปดาห์ (SA)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา Ivey PMI (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา Ivey PMI (Not SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา คำสั่งซื้อสินค้าคงทนนอกกระทรวงกลาโหมที่ได้แก้ไข MoM (ไม่รวมเครื่องบิน)(SA) (ก.ย.)ค:--
ค: --
สหรัฐอเมริกา คำสั่งซื้อโรงงาน MoM(ยกเว้นการขนส่ง) (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา คำสั่งซื้อโรงงาน MoM (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา คำสั่งซื้อโรงงาน MoM(ยกเว้นภาคกลาโหม) (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การเปลี่ยนแปลงสต็อกก๊าซธรรมชาติประจำสัปดาห์ของ EIAค:--
ค: --
ค: --
ซาอุดิอาระเบีย การผลิตน้ำมันดิบค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การถือครองธนารักษ์สหรัฐฯของธนาคารกลางต่างประเทศรายสัปดาห์ค:--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น เงินตราที่ใช้เป็นทุนสำรอง (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย อัตราขายคืนค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย ดอกเบี้ยอ้างอิงค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย อัตราขายคืนค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย อัตราเงินสดสำรองค:--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น อินดิเคเตอร์ชั้นนำเบื้องต้น (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหราชอาณาจักร ดัชนีราคาที่อยู่อาศัย Halifax YoY (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหราชอาณาจักร ดัชนีราคาที่อยู่อาศัย Halifax MoM (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส บัญชีเดินสะพัด (Not SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส ดุลการค้า (SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส การผลิตภาคอุตสาหกรรม MoM(SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
อิตาลี ดัชนียอดค้าปลีก MoM (SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงาน YoY (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน GDP Final YoY (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน GDP Final QoQ (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงาน QoQ (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงานสุดท้าย (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
บราซิล PPI MoM (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
เม็กซิโก ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา อัตราการว่างงาน (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา อัตราการมีส่วนร่วมในการจ้างงาน (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงาน (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงานนอกเวลา (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงานเต็มเวลา (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา รายได้ส่วนบุคคล MoM (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาธนาคารกลางรัฐดัลลาส สหรัฐอเมริกา PCE YoY (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคา PCE YoY (SA) (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคา PCE MoM (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา รายจ่ายส่วนบุคคล MoM(SA) (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาPCEหลักMoM (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา เงินเฟ้อเบื้องต้น UMich 5-YearYoY (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาPCEหลักYoY (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ค่าใช้จ่ายการบริโภคส่วนบุคคลที่จริง MoM (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การคาดการณ์เงินเฟ้อ 5-10 ปี (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีสถานภาพเบื้องต้น UMich ปัจจุบัน (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้น UMich (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อล่วงหน้า 1 ปี UMich (เบื้องต้น) (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีความคาดหวังผู้บริโภค UMich (เบื้องต้น) (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ปริมาณเครื่องเจาะทั้งหมดรายสัปดาห์--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ปริมาณเครื่องเจาะน้ำมันทั้งหมดรายสัปดาห์--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา สินเชื่ออุปโภคบริโภค (SA) (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ เงินตราที่ใช้เป็นทุนสำรอง (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ปริมาณการส่งออก YoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --


ไม่มีข้อมูลที่ตรงกัน
ทัศนคติล่าสุด
ทัศนคติล่าสุด
หัวข้อยอดนิยม
คอลัมนิสต์ยอดนิยม
อัปเดตล่าสุด
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
ดูผลการค้นหาทั้งหมด

ไม่มีข้อมูล
กรุงเทพฯ--15 ส.ค.--รอยเตอร์
ดัชนีดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินทรงตัวในวันอังคาร หลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ยอดค้าปลีกในสหรัฐพุ่งขึ้น 0.7% ในเดือนก.ค. ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ในโพลล์รอยเตอร์ที่ +0.4% ทางด้านหยวนในตลาดต่างประเทศดิ่งลงแตะจุดต่ำสุดรอบ 9 เดือนที่ 7.3307 หยวนต่อดอลลาร์สหรัฐในระหว่างช่วงการซื้อขายวันอังคาร ในขณะที่ธนาคารกลางจีน (PBOC) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงเพื่อพยายามกระตุ้นการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในจีน Eikon source text
ดัชนีดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินอยู่ที่ 103.21 ในช่วงท้ายตลาดวันอังคาร โดยแข็งค่าขึ้นจาก 103.14 ในช่วงท้ายวันจันทร์ หลังจากพุ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดรอบ 1 เดือนครึ่งที่ 103.46 ในวันจันทร์
ดอลลาร์/เยนอยู่ที่ 145.57 เยนในช่วงท้ายตลาดวันอังคาร ซึ่งใกล้เคียงกับระดับปิดตลาดวันจันทร์ที่ 145.54 เยน หลังจากพุ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดรอบ 9 เดือนที่ 145.865 เยนในระหว่างช่วงการซื้อขายวันอังคาร
ยูโร/ดอลลาร์อยู่ที่ 1.0904 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันอังคาร ซึ่งเท่ากับระดับช่วงท้ายวันจันทร์
ตลาดหุ้นสหรัฐดิ่งลงอย่างรุนแรงในวันอังคาร หลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ยอดค้าปลีกในสหรัฐพุ่งขึ้น 0.7% ในเดือนก.ค. ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ในโพลล์รอยเตอร์ที่ +0.4% และรายงานตัวเลขดังกล่าวทำให้นักลงทุนกังวลว่า อัตราดอกเบี้ยจะอยู่ในระดับสูงต่อไปเป็นเวลานาน ทางด้านหุ้นธนาคารขนาดใหญ่ของสหรัฐรูดลงในวันอังคาร โดยได้รับแรงกดดันจากข่าวที่ว่า บริษัทฟิทช์อาจจะปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของธนาคารสหรัฐบางแห่ง Eikon source text
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดดิ่งลง 1.02% สู่ 34,946.39
ดัชนี S&P 500 ปิดรูดลง 1.16% สู่ 4,437.86
ดัชนี Nasdaq ปิดดิ่งลง 1.14% สู่ 13,631.05
ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX ดิ่งลงในวันอังคาร โดยได้รับแรงกดดันจากตัวเลขเศรษฐกิจที่อ่อนแอในจีน และจากความกังวลที่ว่า การที่ธนาคารกลางจีน (PBOC) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอาจจะไม่ใช่มาตรการที่มากพอที่จะสามารถกระตุ้นการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในจีนได้ Eikon source text
ราคาน้ำมันดิบสหรัฐส่งมอบเดือนก.ย.ดิ่งลง 1.52 ดอลลาร์ หรือ 1.8% มาปิดตลาดที่ 80.99 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนต.ค.ที่ตลาดกรุงลอนดอนรูดลง 1.32 ดอลลาร์ หรือ 1.5% มาปิดตลาดที่ 84.89 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาทองสปอตที่ตลาดสหรัฐปรับลง 6.34 ดอลลาร์ สู่ 1,901.56
ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงท้ายตลาดวันอังคาร หลังจากดิ่งลงแตะ 1,895.50 ดอลลาร์ในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 29 มิ.ย. โดยราคาทองได้รับแรงกดดันจากการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีแนวโน้มที่จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับสูงต่อไปเป็นเวลานาน หลังจากสหรัฐเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ทางด้านดัชนีดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยในวันอังคาร Eikon source text
--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--22 พ.ค.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดปรับลงในวันศุกร์ หลังจากการเจรจาต่อรองเรื่องการปรับขึ้นเพดานหนี้ของรัฐบาลกลางสหรัฐจากระดับ 31.4 ล้านล้านดอลลาร์หยุดชะงักลงชั่วคราว และปัจจัยดังกล่าวทำให้นักลงทุนปรับลดการคาดการณ์ในทางบวกที่ว่า อาจจะมีการบรรลุข้อตกลงเรื่องเพดานหนี้ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ทั้งนี้ นายแกร์เรท เกรฟส์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐจากพรรครีพับลิกัน ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำการเจรจาต่อรองได้เดินออกจากการเจรจาในวันศุกร์ และเขากล่าวต่อผู้สื่อข่าวว่า "จนกว่าพวกเขาจะเต็มใจที่จะหารือกันอย่างยากลำบากเรื่องวิธีการเดินหน้าและทำในสิ่งที่ถูกต้อง เราก็จะไม่มานั่งเจรจากัน" อย่างไรก็ดี ทำเนียบขาวระบุว่า ยังคงมีความเป็นไปได้ที่จะมีการบรรลุข้อตกลงกัน
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดปรับลง 0.33% สู่ 33,426.63, ดัชนี S&P 500 ปิดขยับลง 0.14% สู่ 4,191.98 หลังจากดัชนีเพิ่งพุ่งขึ้นกว่า 2% ในวันพุธและวันพฤหัสบดี และดัชนี Nasdaq ปิดปรับลง 0.24% สู่ 12,657.90 ทั้งนี้ เมื่อเทียบกับระดับปิดสัปดาห์ที่แล้ว ดัชนีดาวโจนส์ก็ปิดตลาดสัปดาห์นี้บวกขึ้น 0.38%, ดัชนี S&P 500 ปิดตลาดสัปดาห์นี้ทะยานขึ้น 1.65% และดัชนี Nasdaq ปิดตลาดสัปดาห์นี้พุ่งขึ้น 3.04% โดยทั้งดัชนี S&P 500 และ Nasdaq ต่างก็พุ่งขึ้นในสัปดาห์นี้ในอัตราที่แข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่สัปดาห์สุดท้ายของเดือนมี.ค.
นักลงทุนยังคงไม่แน่ใจในแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐ ในขณะที่นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) แสดงจุดยืนแบบสายพิราบปานกลาง โดยเขากล่าวในวันศุกร์ว่า ภาวะสินเชื่อที่ตึงตัวมากยิ่งขึ้นส่งผลให้ "เฟดอาจจะไม่มีความจำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับที่มากเท่ากับในกรณีที่ไม่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว เพื่อจะได้บรรลุเป้าหมายของเรา" และเขากล่าวย้ำว่า ในตอนนี้เฟดจะตัดสินใจกำหนดนโยบายในการประชุมแต่ละครั้งไป และเขากล่าวเสริมว่า หลังจากเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างแข็งกร้าวในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่เฟดก็สามารถประเมินอย่างระมัดระวังได้ว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยส่งผลกระทบอย่างไรบ้างต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ
ตลาดหุ้นได้รับแรงกดดันเพิ่มเติมจากข่าวของ CNN ที่ระบุว่า เจเน็ต เยลเลน รมว.คลังสหรัฐได้กล่าวต่อซีอีโอของธนาคารต่าง ๆ ในวันพฤหัสบดีว่า อาจจะมีความจำเป็นที่ธนาคารจะต้องควบรวมกิจการกันมากยิ่งขึ้น หลังจากธนาคารหลายแห่งล้มลงในช่วงที่ผ่านมา ทั้งนี้ ดัชนี KBW สำหรับหุ้นธนาคารระดับภูมิภาคของสหรัฐดิ่งลง 2.17% ในวันศุกร์ แต่ปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการพุ่งขึ้น 6.2% จากสัปดาห์ที่แล้ว หลังจากปิดตลาดรายสัปดาห์ในแดนลบมานาน 3 สัปดาห์ติดต่อกัน โดยดัชนี KBW ได้รับแรงหนุนในสัปดาห์นี้จากการที่นักลงทุนมองว่า ปัญหาในภาคธนาคารระดับภูมิภาคอยู่ภายใต้การควบคุมเป็นส่วนใหญ่ ทางด้านหุ้นธนาคารมอร์แกน สแตนเลย์ดิ่งลง 2.66% ในวันศุกร์ หลังจากนายเจมส์ กอร์แมน ซีอีโอของมอร์แกน สแตนเลย์ประกาศว่า เขาจะลงจากตำแหน่งในเวลา 12 เดือนข้างหน้า
หุ้นฟูต ล็อกเกอร์ ซึ่งเป็นผู้ค้าปลีกรองเท้าดิ่งลง 27.24% ซึ่งถือเป็นการดิ่งลงรายวันครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 25 ก.พ. 2022 หลังจากฟูต ล็อกเกอร์ปรับลดคาดการณ์ผลกำไรและยอดขายประจำปี โดยประกาศเตือนของฟูต ล็อกเกอร์มีส่วนกดดันหุ้นอันเดอร์ อาร์เมอร์ให้รูดลง 4.20% และกดดันหุ้นไนกี้ให้ดิ่งลง 3.46% ด้วย โดยไนกี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของดัชนีดาวโจนส์--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--17 พ.ค.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดร่วงลงในวันอังคาร โดยได้รับแรงกดดันจากปัจจัยหลายประการ ซึ่งรวมถึงการที่บริษัทโฮม ดีโปท์เปิดเผยตัวเลขคาดการณ์ที่น่าผิดหวัง, ยอดค้าปลีกของสหรัฐประจำเดือนเม.ย.อยู่ในระดับอ่อนแอเกินคาด, นักลงทุนไม่แน่ใจในแนวโน้มอัตราดอกเบี้ย และนักลงทุนกังวลกับการเจรจาต่อรองเรื่องเพดานหนี้ของรัฐบาลสหรัฐ ทั้งนี้ หุ้นโฮม ดีโปท์ ซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกอุปกรณ์ตกแต่งบ้านดิ่งลง 2.15% และถือเป็นหนึ่งในหุ้นที่ถ่วงดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์และดัชนี S&P 500 ลงมากที่สุดในวันอังคาร หลังจากโฮม ดีโปท์ปรับลดตัวเลขคาดการณ์ยอดขายประจำปี และคาดว่าผลกำไรอาจจะดิ่งลงอย่างรุนแรงกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ ทางด้านหุ้นโลว์ส คอมพานีส์ อิงค์ซึ่งเป็นบริษัทคู่แข่งรูดลง 1.16%
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดดิ่งลง 1.01% สู่ 33,012.14, ดัชนี S&P 500 ปิดร่วงลง 0.64% สู่ 4,109.9 และดัชนี Nasdaq ปิดปรับลง 0.18% สู่ 12,343.05
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานในวันอังคารว่า ยอดค้าปลีกสหรัฐปรับขึ้น 0.4% ในเดือนเม.ย. หลังจากร่วงลง 0.7% ในเดือนมี.ค. แต่ยอดค้าปลีกปรับขึ้นต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ในโพลล์ที่ +0.8% สำหรับเดือนเม.ย. ทางด้านยอดค้าปลีกพื้นฐาน หรือยอดค้าปลีกที่ไม่รวมรถยนต์, น้ำมันเบนซิน, วัสดุก่อสร้าง และบริการอาหารพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่ง โดยยอดค้าปลีกพื้นฐานดีดขึ้น 0.7% ในเดือนเม.ย. หลังจากร่วงลง 0.4% ในเดือนมี.ค. และสิ่งนี้บ่งชี้ว่าปริมาณการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคมีแนวโน้มที่จะยังคงอยู่ในระดับแข็งแกร่งในช่วงต้นไตรมาส 2
เทรดเดอร์ในตลาดสัญญาล่วงหน้าคาดว่า มีโอกาส 90.1% ที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 5.00-5.25% ในการประชุมวันที่ 13-14 มิ.ย. และมีโอกาส 9.9% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ 5.25-5.50% ในการประชุมวันที่ 13-14 มิ.ย. และเทรดเดอร์ยังคาดการณ์อีกด้วยว่า อัตราดอกเบี้ยสหรัฐอาจจะปรับลดลงสู่ระดับราว 4.473% ในเดือนธ.ค. อย่างไรก็ดี ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟดในช่วงนี้บ่งชี้ว่า เฟดยังไม่พร้อมที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในเร็ว ๆ นี้ ทั้งนี้ นายโธมัส บาร์คิน ประธานเฟดสาขาริชมอนด์กล่าวในวันอังคารว่า เขาชื่นชอบทางเลือกที่แถลงการณ์นโยบายล่าสุดของเฟดบ่งชี้ไว้ แต่เขายอมรับได้กับการที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป ถ้าหากนั่นเป็นสิ่งที่เฟดจำเป็นต้องทำเพื่อทำให้อัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลง ทางด้านลอเรตตา เมสเตอร์ ประธานเฟดสาขาคลีฟแลนด์กล่าวว่า เธอไม่คิดว่าเฟดจะสามารถคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิมได้ในช่วงนี้ เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อยังคงลดลงได้ยาก
หุ้นฮอไรซัน เธราพิวทิกส์ดิ่งลง 14.17% หลังจากคณะกรรมการการค้าของรัฐบาลกลางสหรัฐ (FTC) ประกาศว่า ทางคณะกรรมการจะยื่นเรื่องฟ้องร้องเพื่อขัดขวางข้อตกลงขนาด 2.78 หมื่นล้านดอลลาร์ของบริษัทแอมเจนในการเข้าซื้อฮอไรซัน เธราพิวทิกส์ ทางด้านหุ้นแอมเจนรูดลง 2.42% ทั้งนี้ การดิ่งลงของหุ้นทั้งสองตัวนี้มีส่วนกดดันดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีชีวภาพของสหรัฐให้ดิ่งลง 2.44% ในวันอังคาร ซึ่งถือเป็นการดิ่งลงครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 3 เดือน และส่งผลให้ดัชนีหุ้นกลุ่มนี้ปิดตลาดที่ระดับปิดต่ำสุดรอบ 3 สัปดาห์ด้วย--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
วอชิงตัน--12 พ.ค.--รอยเตอร์
บรรษัทประกันเงินฝากของรัฐบาลกลางสหรัฐ (FDIC) ประกาศในวันพฤหัสบดีว่า ธนาคารที่ใหญ่ที่สุดราว 113 แห่งของสหรัฐจะแบกรับภาระในการเติมเงินจำนวนมากเข้าสู่กองทุนค้ำประกันเงินฝาก หลังจากทางกองทุนใช้เงินราว 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์ในช่วงที่เกิดวิกฤติภาคธนาคารนับตั้งแต่เดือนมี.ค.เป็นต้นมา ทั้งนี้ FDIC ได้ยื่นข้อเสนอในการประชุมคณะกรรมการว่า FDIC จะคิดค่าธรรมเนียม "การประเมินพิเศษ" ในอัตรา 0.125% ต่อเงินฝากที่ไม่ได้รับการค้ำประกันในธนาคารที่มีขนาดสูงกว่า 5 พันล้านดอลลาร์ โดยค่าธรรมเนียมดังกล่าวจะคิดกับปริมาณเงินฝากที่ไม่ได้รับการค้ำประกันที่ธนาคารแต่ละแห่งถือครองไว้ในช่วงสิ้นปี 2022
FDIC ระบุว่า ถึงแม้ว่าค่าธรรมเนียมนี้คิดกับธนาคารทุกแห่งในสหรัฐ ในทางปฏิบัตินั้นธนาคารที่มีสินทรัพย์ต่ำกว่า 5 พันล้านดอลลาร์จะไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมใด ๆ ส่วนธนาคารที่มีขนาดสินทรัพย์สูงกว่า 5.0 หมื่นล้านดอลลาร์จะแบกรับภาระรวมกันสูงกว่า 95% ของค่าใช้จ่ายนี้ ทางด้านซูซาน รอธ แคทส์เคอ นักวิเคราะห์ของธนาคารเครดิต สวิสระบุว่า ธนาคารที่ใหญ่ที่สุด 14 แห่งของสหรัฐจะต้องจ่ายเงินรวมกันราว 5.8 พันล้านดอลลาร์ต่อปี ซึ่งจะส่งผลลบราว 3% ต่อผลกำไรต่อหุ้นของธนาคารกลุ่มนี้ ทั้งนี้ มีการประเมินกันว่า ธนาคารเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โคจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมนี้ในปริมาณราว 1.3 พันล้านดอลลาร์ต่อปี, แบงก์ ออฟ อเมริกา คอร์ปจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมราว 1.1 พันล้านดอลลาร์ และเวลส์ ฟาร์โก แอนด์ โคจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมราว 898 ล้านดอลลาร์
คณะกรรมการของ FDIC ได้อนุมัติข้อเสนอนี้ในวันพฤหัสบดีตามเสียงส่วนใหญ่ โดยสมาชิกพรรคเดโมแครต 3 คนในคณะกรรมการอนุมัติข้อเสนอนี้ แต่สมาชิกพรรครีพับลิกัน 2 คนในคณะกรรมการโหวตคัดค้าน โดยในตอนนี้ FDIC จะเปิดรับฟังความคิดเห็นจากภาคธนาคารและจากสาธารณชน ก่อนที่จะกำหนดค่าธรรมเนียมใหม่ในขั้นตอนสุดท้าย
กองทุนของ FDIC ค้ำประกันเงินฝากของลูกค้าธนาคารในระดับไม่เกิน 250,000 ดอลลาร์ต่อราย โดยกองทุนแห่งนี้มีขนาด 1.282 แสนล้านดอลลาร์ในช่วงสิ้นปี 2022 ทั้งนี้ โดยปกติแล้วธนาคารพาณิชย์มักจะจ่ายค่าธรรมเนียมทุกไตรมาสให้กองทุนแห่งนี้ แต่ FDIC ระบุว่า FDIC จำเป็นต้องเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษในครั้งนี้ด้วย เพื่อชดเชยรายจ่ายจำนวนมากที่เกิดขึ้นหลังจากการล้มของธนาคารซิลิคอน แวลลีย์ (SVB) และธนาคารซิกเนเจอร์ในเดือนมี.ค. โดยหน่วยงานควบคุมกฎระเบียบได้ประกาศว่าธนาคารทั้งสองแห่งนี้ถือเป็นธนาคารที่มีความสำคัญต่อระบบการเงิน และการประกาศดังกล่าวก็เปิดโอกาสให้ FDIC สามารถค้ำประกันเงินฝากทั้งหมดในธนาคารสองแห่งนี้เพื่อสกัดกั้นวิกฤติภาคธนาคารไม่ให้ลุกลามออกไป นอกจากนี้ การที่ FDIC เข้ายึดธนาคารเฟิร์สท์ รีพับลิกและขายธนาคารดังกล่าวให้แก่ธนาคารเจพี มอร์แกน เชสในช่วงต้นเดือนนี้ ก็อาจจะส่งผลให้ FDIC ต้องเสียเงินอีก 1.3 หมื่นล้านดอลลาร์ด้วย
FDIC จะเก็บค่าธรรมเนียมนี้เป็นเวลา 8 ไตรมาสโดยเริ่มตั้งแต่เดือนมิ.ย. 2024 แต่อาจจะมีการปรับค่าธรรมเนียมตามการประเมินยอดสูญเสียของกองทุนค้ำประกันเงินฝากที่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งนี้ ธนาคารระดับภูมิภาคในสหรัฐที่มีเงินฝากที่ไม่ได้รับการค้ำประกันในปริมาณมากรวมถึงธนาคารโคเมริกา แบงก์, เวสเทิร์น อัลไลอันซ์ แบงก์, ไซออนส์ แบงก์ และไซโนวุส ไฟแนนเชียล โดยหุ้นโคเมริกาดิ่งลงเกือบ 7% ในวันพฤหัสบดี ในขณะที่หุ้นไซออนส์และไซโนวุสรูดลงกว่า 4% ส่วนหุ้นเวสเทิร์น อัลไลอันซ์ปรับลง 0.77% ในวันพฤหัสบดี--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--8 พ.ค.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดพุ่งขึ้นในวันศุกร์ ในขณะที่หุ้นบริษัทแอปเปิลทะยานขึ้น 4.69% หลังจากแอปเปิลเปิดเผยผลประกอบการที่น่าพึงพอใจ และตลาดหุ้นสหรัฐยังได้รับแรงหนุนเพิ่มเติมจากตัวเลขการจ้างงานที่บ่งชี้ว่า ตลาดแรงงานสหรัฐยังคงรักษาระดับความแข็งแกร่งไว้ได้เป็นอย่างดีด้วย ทั้งนี้ ผลประกอบการรายไตรมาสของแอปเปิลช่วยลดความกังวลของนักลงทุนเรื่องภาวะเศรษฐกิจถดถอย ในขณะที่หุ้นแอปเปิลพุ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดในรอบราว 9 เดือน และปิดตลาดทะยานขึ้น 4.69% ซึ่งถือเป็นการพุ่งขึ้นรายวันครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย. 2022
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดพุ่งขึ้น 1.65% สู่ 33,674.38 ซึ่งถือเป็นการพุ่งขึ้นรายวันครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 6 ม.ค., ดัชนี S&P 500 ปิดทะยานขึ้น 1.85% สู่ 4,136.25 และดัชนี Nasdaq ปิดพุ่งขึ้น 2.25% สู่ 12,235.41 ทางด้านดัชนีความผันผวน Cboe หรือดัชนี VIX ที่ใช้วัดระดับความกังวลในตลาดหุ้นสหรัฐดิ่งลงในวันศุกร์ในระดับที่มากที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 16 มี.ค. ทั้งนี้ ดัชนีดาวโจนส์และดัชนี S&P 500 ปิดตลาดสัปดาห์นี้ในแดนลบ แต่ดัชนี Nasdaq ปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการขยับขึ้นเล็กน้อยจากสัปดาห์ก่อน
กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานในวันศุกร์ว่า การจ้างงานนอกภาคเกษตรในสหรัฐเพิ่มขึ้น 253,000 ตำแหน่งในเดือนเม.ย. ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ที่ 180,000 ตำแหน่ง แต่ทางกระทรวงได้ปรับทบทวนตัวเลขของเดือนมี.ค.ให้ต่ำลงจากเดิม โดยระบุว่า การจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นเพียง 165,000 ตำแหน่งในเดือนมี.ค. โดยปรับลดลงจากเดิมที่เคยระบุว่า เพิ่มขึ้น 236,000 ตำแหน่งในเดือนมี.ค. นอกจากนี้ ทางกระทรวงยังรายงานอีกด้วยว่า ค่าแรงเฉลี่ยต่อชั่วโมงปรับขึ้น 4.4% ในเดือนเม.ย.เมื่อเทียบรายปี ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ +4.2%
ดัชนี KBW สำหรับหุ้นธนาคารระดับภูมิภาคของสหรัฐพุ่งขึ้น 4.7% ในวันศุกร์ ในขณะที่หุ้นธนาคารแพคเวสท์ แบงคอร์ปทะยานขึ้น 81.7% และหุ้นธนาคารเวสเทิร์น อัลไลอันซ์ แบงคอร์ปพุ่งขึ้น 49.2% โดยหุ้นธนาคารระดับภูมิภาคดีดขึ้นในวันศุกร์ หลังจากที่เคยดิ่งลงในช่วงก่อนหน้านี้โดยได้รับแรงกดดันจากการปิดกิจการธนาคารเฟิร์สท์ รีพับลิก ทางด้านนักวิเคราะห์ได้ปรับขึ้นอันดับความน่าลงทุนของหุ้นธนาคารบางแห่งที่นักวิเคราะห์มองว่า ถูกเทขายออกมามากเกินไปแล้ว ทั้งนี้ หุ้นทั้ง 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐปิดตลาดวันศุกร์ในแดนบวก ในขณะที่การพุ่งขึ้นของหุ้นแอปเปิลช่วยหนุนหุ้นบริษัทอื่น ๆ ในกลุ่มเทคโนโลยีให้ทะยานขึ้นตามไปด้วย
นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ผลกำไรของบริษัทในดัชนี S&P 500 อาจปรับลดลงเพียง 0.7% ในไตรมาสแรกเมื่อเทียบรายปี และอาจจะปรับลดลง 4.7% ในไตรมาส 2, ปรับขึ้น 1.8% ในไตรมาส 3, พุ่งขึ้น 9.9% ในไตรมาส 4 และทะยานขึ้น 9.6% ในไตรมาส 1/2024 ทั้งนี้ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เพิ่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ 5.00-5.25% ในการประชุมวันที่ 2-3 พ.ค.ตามความคาดหมาย แต่นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟดกล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่ได้มีการตัดสินใจกันว่า เฟดควรจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปหรือไม่ ในขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐยังคงเผชิญกับอัตราเงินเฟ้อที่ระดับสูง, สัญญาณบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจชะลอตัวลง และความเสี่ยงที่ธนาคารพาณิชย์อาจจะคุมเข้มการปล่อยกู้ในอนาคต--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--3 พ.ค.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดดิ่งลงในวันอังคาร ในขณะที่หุ้นธนาคารระดับภูมิภาครูดลงอย่างรุนแรง เนื่องจากนักลงทุนกังวลกับปัญหาในระบบการเงิน และนักลงทุนพยายามจะประเมินว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปอีกนานเพียงใด ทั้งนี้ ดัชนี KBW สำหรับหุ้นธนาคารระดับภูมิภาคของสหรัฐดิ่งลงแตะจุดต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย. 2020 ในระหว่างช่วงการซื้อขายวันอังคาร และปิดรูดลง 5.5% ในวันอังคาร ซึ่งถือเป็นการรูดลงรายวันครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 13 มี.ค. ในขณะที่หุ้นธนาคารแพคเวสท์ แบงคอร์ปดิ่งลง 27.8%, หุ้นธนาคารเวสเทิร์น อัลไลอันซ์ แบงคอร์ปรูดลง 15.1% และหุ้นธนาคารโคเมริกา อิงค์ดิ่งลง 12.4% ในวันอังคาร
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดดิ่งลง 1.08% สู่ 33,684.53; ดัชนี S&P 500 ปิดรูดลง 1.16% สู่ 4,119.58 และดัชนี Nasdaq ปิดดิ่งลง 1.08% สู่ 12,080.51 ทางด้านดัชนีความผันผวน Cboe หรือดัชนี VIX ที่ใช้วัดระดับความกังวลในตลาดหุ้นสหรัฐปิดตลาดที่ระดับปิดสูงสุดในรอบเกือบ 1 สัปดาห์ ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานดิ่งลง 4.3% และถือเป็นดัชนีหุ้นกลุ่มใหญ่ที่รูดลงมากที่สุดในวันอังคาร ในขณะที่ราคาน้ำมันดิ่งลง เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่ารัฐบาลสหรัฐอาจจะผิดนัดชำระหนี้ ทางด้านดัชนีหุ้นกลุ่มการเงินของสหรัฐรูดลง 2.3% ในวันอังคาร
นักลงทุนคาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ 5.00-5.25% ในการประชุมวันที่ 2-3 พ.ค.นี้ และนักลงทุนพยายามประเมินในช่วงนี้ว่า เฟดจะหยุดพักจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตั้งแต่เดือนมิ.ย.หรือไม่ หรือว่าเฟดมีโอกาสที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปอีก ถ้าหากอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐยังคงอยู่ในระดับสูง ทั้งนี้ เจเน็ต เยลเลน รมว.คลังสหรัฐกล่าวว่า กระทรวงการคลังสหรัฐอาจจะไม่ชำระหนี้ของรัฐบาลกลางสหรัฐทั้งหมดได้ภายในวันที่ 1 มิ.ย.นี้ ถ้าหากสภาคองเกรสไม่ผ่านร่างกฎหมายปรับขึ้นเพดานหนี้ของรัฐบาลสหรัฐ
หุ้นกลุ่มธนาคารระดับภูมิภาคของสหรัฐดิ่งลงต่อเนื่องจากวันจันทร์ หลังจากหน่วยงานควบคุมกฎระเบียบของรัฐแคลิฟอร์เนียได้เข้ายึดกิจการธนาคารเฟิร์สท์ รีพับลิกในวันจันทร์ และได้ให้บรรษัทประกันเงินฝากของรัฐบาลกลางสหรัฐ (FDIC) เข้าพิทักษ์ทรัพย์ของเฟิร์สท์ รีพับลิก ซึ่งส่งผลให้เฟิร์สท์ รีพับลิกกลายเป็นธนาคารสำคัญแห่งที่ 3 ในสหรัฐที่ถูกสั่งปิดกิจการในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา หลังจากมีการสั่งปิดกิจการธนาคารซิลิคอน แวลลีย์ (SVB) และธนาคารซิกเนเจอร์ในเดือนมี.ค. โดยการล้มของเฟิร์สท์ รีพับลิกถือเป็นการล้มของธนาคารครั้งใหญ่ที่สุดในสหรัฐนับตั้งแต่ธนาคารวอชิงตัน มิวชวลในปี 2008 ด้วย ทั้งนี้ หน่วยงานควบคุมกฎระเบียบได้ขายสินทรัพย์ส่วนใหญ่ของเฟิร์สท์ รีพับลิกให้แก่ธนาคารเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โคในวันจันทร์
หุ้นเช็กก์ ซึ่งเป็นบริษัทผู้ให้บริการทางการศึกษาดิ่งลง 48.4% ในวันอังคาร หลังจากเช็กก์คาดการณ์รายได้ไตรมาส 2 ในระดับต่ำ โดยเป็นผลจากการแข่งขันกับ ChatGPT ทั้งนี้ หุ้นสตาร์บัคส์ปิดขยับลง 0.1% ในวันอังคาร ก่อนที่สตาร์บัคส์จะเปิดเผยผลประกอบการรายไตรมาสหลังปิดตลาดวันอังคาร--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--20 เม.ย.--รอยเตอร์
ดัชนี S&P 500 และดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ของตลาดหุ้นสหรัฐปิดขยับลงเล็กน้อยในวันพุธ ในขณะที่นักลงทุนปรับตัวรับผลประกอบการของบริษัทสหรัฐที่ไร้ทิศทางชัดเจน ซึ่งรวมถึงผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทเทคโนโลยีทางการแพทย์ และการดิ่งลงของหุ้นบริษัทเน็ตฟลิกซ์ ทั้งนี้ หุ้นเน็ตฟลิกซ์รูดลง 3.2% หลังจากเน็ตฟลิกซ์คาดการณ์แนวโน้มที่อ่อนแอเกินคาด โดยเน็ตฟลิกซ์คาดว่ารายได้ในไตรมาส 2 จะอยู่ที่ 8.242 พันล้านดอลลาร์ และกำไรต่อหุ้นปรับลดจะอยู่ที่ 2.86 ดอลลาร์ในไตรมาส 2 แต่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่า รายได้ของเน็ตฟลิกซ์จะอยู่ที่ 8.476 พันล้านดอลลาร์ และกำไรต่อหุ้นปรับลดจะอยู่ที่ 3.05 ดอลลาร์ในไตรมาส 2 ทางด้านหุ้นดิสนีย์ซึ่งเป็นคู่แข่งของเน็ตฟลิกซ์ในธุรกิจสตรีมมิงดิ่งลง 2.2% ในวันพุธ และมีส่วนกดดันดัชนีดาวโจนส์ให้ปรับลง
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดปรับลง 0.23% สู่ 33,897.01, ดัชนี S&P 500 ปิดขยับลง 0.01% สู่ 4,154.52; และดัชนี Nasdaq ปิดขยับขึ้น 0.03% สู่ 12,157.23 ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคบวกขึ้น 0.8% ในวันพุธ และถือเป็นกลุ่มที่พุ่งขึ้นมากที่สุด ทางด้านดัชนีความผันผวน CBOE หรือดัชนี VIX ที่ใช้วัดระดับความกังวลในตลาดหุ้นสหรัฐดิ่งลงแตะจุดต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย. 2021 ในระหว่างช่วงการซื้อขายวันพุธ
ดัชนีดาวโจนส์ได้รับแรงกดดันจากหุ้นยูไนเต็ดเฮลธ์ กรุ๊ป อิงค์ที่รูดลง 3.6% ตามบริษัทคู่แข่งในธุรกิจประกันสุขภาพ โดยหุ้นบริษัทเอเลแวนซ์ เฮลธ์ อิงค์ดิ่งลง 5.3% ในขณะที่นักลงทุนกังวลว่าธุรกิจประกันของเอเลแวนซ์จะได้รับความเสียหายจากปัจจัยด้านกฎระเบียบ ถึงแม้เอเลแวนซ์รายงานผลกำไรรายไตรมาสที่แข็งแกร่ง ทั้งนี้ หุ้นแอบบอทท์ แลบอราทอรีส์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์พุ่งขึ้น 7.8% หลังจากแอบบอทท์ระบุว่า กระบวนการทางการแพทย์ที่ไม่เร่งด่วนที่เคยถูกเลื่อนกำหนดออกไปในช่วงเวลา 3 ปีที่เกิดวิกฤติโรคระบาด ได้กลับมาดำเนินการตามปกติแล้วเป็นส่วนใหญ่ทั่วโลก ทางด้านหุ้นบริษัทอินทูอิทิฟ เซอร์จิคัลทะยานขึ้น 10.9% หลังจากทางบริษัทรายงานตัวเลขผลกำไรและรายได้รายไตรมาสที่สูงเกินคาด
นักลงทุนคาดว่า บริษัทในดัชนี S&P 500 อาจจะมีผลกำไรดิ่งลง 4.8% ในไตรมาสแรกเมื่อเทียบรายปี โดยนายริค เมคเลอร์ หุ้นส่วนของบริษัทเชอร์รี เลน อินเวสท์เมนท์กล่าวว่า "ตลาดหุ้นดูเหมือนจะเคลื่อนตัวในกรอบแคบ ในขณะที่นักลงทุนกลุ่มหนึ่งคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐกำลังจะเข้าสู่ภาวะถดถอย แต่นักลงทุนอีกกลุ่มหนึ่งคาดว่า เศรษฐกิจจะชะลอตัวลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป"
หุ้นเทสลาซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าดิ่งลง 2% หลังจากเทสลาปรับลดราคาขายรถยนต์ไฟฟ้าในสหรัฐลงเป็นครั้งที่ 6 ของปีนี้ ทั้งนี้ หุ้นเวสเทิร์น อัลไลอันซ์ แบงคอร์ป ซึ่งเป็นธนาคารระดับภูมิภาคพุ่งขึ้น 24.1% หลังจากทางธนาคารเปิดเผยผลกำไรที่แข็งแกร่งเกินคาด และปัจจัยนี้มีส่วนช่วยหนุนกองทุน SPDR S&P Regional Banking ETF ที่ลงทุนในธนาคารระดับภูมิภาคของสหรัฐให้พุ่งขึ้น 3.9%--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
เครื่องมือออกแบบโปสเตอร์
โครงการพันธมิตร
ความเสี่ยงของการสูญเสียในการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น หุ้น FX สินค้าโภคภัณฑ์ ฟิวเจอร์ส พันธบัตร ETFs หรือเงินดิจิทัลอาจมีมาก คุณอาจสูญเสียเงินทุนทั้งหมดที่คุณฝากไว้กับโบรกเกอร์ของคุณ ดังนั้น คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบว่าการซื้อขายดังกล่าวเหมาะสมกับคุณหรือไม่ในสถานการณ์และทรัพยากรทางการเงินของคุณ
ไม่ควรตัดสินใจลงทุนโดยไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบสถานะอย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วยตัวเองหรือปรึกษากับที่ปรึกษาทางการเงินของคุณ เนื้อหาเว็บของเราอาจไม่เหมาะกับคุณเนื่องจากเราไม่ทราบเงื่อนไขทางการเงินและความต้องการในการลงทุนของคุณ ข้อมูลทางการเงินของเราอาจมีความล่าช้าหรือมีความไม่ถูกต้อง ดังนั้นคุณควรรับผิดชอบอย่างเต็มที่ต่อการตัดสินใจซื้อขายและการลงทุนของคุณ บริษัทจะไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียเงินทุนของคุณ
หากไม่ได้รับอนุญาตจากเว็บไซต์ คุณจะไม่สามารถคัดลอกกราฟิก ข้อความ หรือเครื่องหมายการค้าของเว็บไซต์ได้ สิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาในเนื้อหาหรือข้อมูลที่รวมอยู่ในเว็บไซต์นี้เป็นของผู้ให้บริการและผู้ค้าแลกเปลี่ยน
ไม่ได้ล็อกอิน
เข้าสู่ระบบเพื่อเข้าถึงฟังก์ชั่นเพิ่มเติม

สมาชิก FastBull
ยังไม่ได้เปิด
สมัคร
เข้าสู่ระบบ
ลงทะเบียน