ตลาด
ข่าวสาร
การวิเคราะห์
ผู้ใช้
24x7
ปฏิทินเศรษฐกิจ
แหล่งเรียนรู้
ข้อมูล
- ชื่อ
- ค่าล่าสุด
- ครั้งก่อน












สัญญาณ VIP
ทั้งหมด
ทั้งหมด



สหรัฐอเมริกา คำสั่งซื้อสินค้าคงทนนอกกระทรวงกลาโหมที่ได้แก้ไข MoM (ไม่รวมเครื่องบิน)(SA) (ก.ย.)ค:--
ค: --
สหรัฐอเมริกา คำสั่งซื้อโรงงาน MoM(ยกเว้นการขนส่ง) (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา คำสั่งซื้อโรงงาน MoM(ยกเว้นภาคกลาโหม) (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การเปลี่ยนแปลงสต็อกก๊าซธรรมชาติประจำสัปดาห์ของ EIAค:--
ค: --
ค: --
ซาอุดิอาระเบีย การผลิตน้ำมันดิบค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การถือครองธนารักษ์สหรัฐฯของธนาคารกลางต่างประเทศรายสัปดาห์ค:--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น เงินตราที่ใช้เป็นทุนสำรอง (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย อัตราขายคืนค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย ดอกเบี้ยอ้างอิงค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย อัตราขายคืนค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย อัตราเงินสดสำรองค:--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น อินดิเคเตอร์ชั้นนำเบื้องต้น (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหราชอาณาจักร ดัชนีราคาที่อยู่อาศัย Halifax YoY (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหราชอาณาจักร ดัชนีราคาที่อยู่อาศัย Halifax MoM (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส บัญชีเดินสะพัด (Not SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส ดุลการค้า (SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส การผลิตภาคอุตสาหกรรม MoM(SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
อิตาลี ดัชนียอดค้าปลีก MoM (SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงาน YoY (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน GDP Final YoY (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน GDP Final QoQ (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงาน QoQ (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงานสุดท้าย (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
บราซิล PPI MoM (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
เม็กซิโก ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา อัตราการว่างงาน (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา อัตราการมีส่วนร่วมในการจ้างงาน (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงาน (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงานนอกเวลา (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงานเต็มเวลา (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา รายได้ส่วนบุคคล MoM (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาธนาคารกลางรัฐดัลลาส สหรัฐอเมริกา PCE YoY (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคา PCE YoY (SA) (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคา PCE MoM (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา รายจ่ายส่วนบุคคล MoM(SA) (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาPCEหลักMoM (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา เงินเฟ้อเบื้องต้น UMich 5-YearYoY (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาPCEหลักYoY (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ค่าใช้จ่ายการบริโภคส่วนบุคคลที่จริง MoM (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การคาดการณ์เงินเฟ้อ 5-10 ปี (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีสถานภาพเบื้องต้น UMich ปัจจุบัน (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้น UMich (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อล่วงหน้า 1 ปี UMich (เบื้องต้น) (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีความคาดหวังผู้บริโภค UMich (เบื้องต้น) (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ปริมาณเครื่องเจาะทั้งหมดรายสัปดาห์--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ปริมาณเครื่องเจาะน้ำมันทั้งหมดรายสัปดาห์--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา สินเชื่ออุปโภคบริโภค (SA) (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ เงินตราที่ใช้เป็นทุนสำรอง (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ปริมาณการส่งออก YoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การนำเข้า YoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การนำเข้าYoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การนำเข้า (CNH) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ดุลการค้า (CNH) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การส่งออก (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น ค่าจ้าง MoM (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น ดุลการค้า (ต.ค.)--
ค: --
ค: --


ไม่มีข้อมูลที่ตรงกัน
ทัศนคติล่าสุด
ทัศนคติล่าสุด
หัวข้อยอดนิยม
คอลัมนิสต์ยอดนิยม
อัปเดตล่าสุด
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
ดูผลการค้นหาทั้งหมด

ไม่มีข้อมูล
นายไมเคิล บาร์ รองประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ฝ่ายกำกับดูแลได้จัดทำแผนปรับเปลี่ยนขนาดใหญ่เพื่อเพิ่มการดำรงเงินกองทุนของธนาคารที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐ หลังจากเกิดการล้มละลายของธนาคารเมื่อไม่นานมานี้
เขากล่าวว่า เขาวางแผนที่จะดำเนินแผนริเริ่มด้านการกำกับดูแลหลายแผน ซึ่งจะกำหนดให้ธนาคารขนาดใหญ่ต้องมีสินทรัพย์ในการถือครองมากกว่า 1.00 แสนล้านดอลลาร์อยู่ในทุนสำรอง โดยระบุว่า การล้มละลายของธนาคารได้ตอกย้ำความจำเป็นที่ผู้ควบคุมกฎต้องหนุนการฟื้นตัวไวในระบบ
แต่เขาไม่ได้วางแผนที่จะปฏิรูปกรอบด้านทุนของธนาคารสหรัฐ แต่จะสร้างกรอบขึ้นในหลายๆทางด้วยกัน ซึ่งรวมถึงการดำเนินตามข้อตกลงเงินทุนธนาคารบาเซลที่ใช้กันทั่วโลก และการขยายการทดสอบสถานะของธนาคารโดยใช้การทดสอบภาวะวิกฤติประจำปี เขาไม่ได้ให้ลำดับเวลาที่เฉพาะเจาะจงสำหรับการเปลี่ยนแปลง แต่ก็คาดว่าจะเริ่มต้นในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า
เขาระบุว่า วิกฤติที่เกิดขึ้นพิสูจน์ให้เห็นว่า ธนาคารขนาดเล็กสามารถมีบทบาทต่อระบบได้ ซึ่งหมายความว่า ธนาคารเหล่านี้ควรจะได้รับการกำกับดูแลที่เข้มงวดขึ้น และเขาจะหาทางบังคับใช้กฎด้านเงินทุนที่เข้มงวดขึ้นกับธนาคารที่มีสินทรัพย์มากกว่า 1.00 แสนล้านดอลลาร์ โดยจะขยายจำนวนบริษัทที่ต้องปฏิบัติตาม
แต่เขาย้ำว่า ข้อกำหนดใหม่ใดๆจะต้องผ่านการเขียนกฎอย่างเป็นทางการ และกระบวนการทำประชาพิจารณ์ก่อน และจะมีระยะเวลาการเปลี่ยนถ่ายที่ยาวนานเพื่อให้ธนาคารต่างๆสามารถเพิ่มทุนที่จำเป็นได้--จบ--
Eikon source text
วอชิงตัน--29 มิ.ย.--รอยเตอร์
ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้เปิดเผยผลการทดสอบภาวะวิกฤติประจำปีนี้ในวันพุธ ซึ่งเป็นการทดสอบธนาคาร 23 แห่งในสหรัฐที่แต่ละแห่งมีสินทรัพย์ไม่ต่ำกว่า 1.00 แสนล้านดอลลาร์ โดยผลการทดสอบพบว่า ธนาคารขนาดใหญ่เหล่านี้สามารถผ่านการทดสอบ ถึงแม้ว่าภาคธนาคารสหรัฐเพิ่งเผชิญกับภาวะปั่นป่วนวุ่นวายในช่วงต้นปี และเผชิญกับแนวโน้มเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนในอนาคต ทั้งนี้ ผลการทดสอบแสดงให้เห็นว่า ธนาคารกลุ่มนี้มีเงินกองทุนมากพอที่จะสามารถรับมือกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำอย่างรุนแรง และสิ่งนี้เปิดโอกาสให้ธนาคารเหล่านี้สามารถจ่ายเงินปันผลและซื้อคืนหุ้นได้ในอนาคต โดยธนาคารเหล่านี้จะสามารถประกาศแผนซื้อคืนหุ้นและง่ายเงินปันผลได้หลังจากตลาดหุ้นปิดทำการในวันศุกร์ที่ 30 มิ.ย. ทางด้านธนาคารที่ผ่านการทดสอบในครั้งนี้รวมถึงเจพีมอร์แกน เชส, แบงก์ ออฟ อเมริกา, ซิตี้กรุ๊ป, เวลส์ ฟาร์โก, มอร์แกน สแตนเลย์ และโกลด์แมน แซคส์
สถานการณ์ที่เฟดใช้ในการทดสอบคือสถานการณ์ที่เศรษฐกิจสหรัฐหดตัวลงเกือบ 8.75% โดยมีสาเหตุบางส่วนมาจากมูลค่าสินทรัพย์อสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ที่รูดลง 40% และอัตราการว่างงานพุ่งขึ้นสู่ 10% โดยการทดสอบนี้ประเมินว่า ธนาคารแต่ละแห่งจะยังคงมีสัดส่วนการดำรงเงินกองทุนอยู่สูงกว่าอัตราขั้นต่ำที่ 4.5% หรือไม่ และผลการทดสอบก็พบว่า สัดส่วนการดำรงเงินกองทุนโดยเฉลี่ยของธนาคารทั้ง 23 แห่งอยู่ที่ 10.1% หรือสูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำกว่า 2 เท่า โดยสัดส่วนดังกล่าวปรับขึ้นจาก 9.7% ในปีที่แล้ว ซึ่งเป็นปีที่เฟดทดสอบธนาคาร 34 แห่งโดยใช้สถานการณ์ที่ง่ายกว่านี้ และผลการทดสอบในปีนี้ยังระบุอีกด้วยว่า ธนาคาร 23 แห่งนี้จะมียอดสูญเสียรวมกัน 5.41 แสนล้านดอลลาร์ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว
ถึงแม้ผลการทดสอบอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง นักวิเคราะห์บางรายก็เตือนว่า ผลการทดสอบนี้ให้ภาพในทางบวกมากเกินไป หลังจากรัฐบาลสหรัฐเพิ่งถูกบีบให้เข้าแทรกแซงสถานการณ์เพื่อปกป้องผู้ฝากเงินในธนาคารเมื่อไม่กี่เดือนก่อน นอกจากนี้ เฟดก็สำรวจงบดุลของธนาคารเหล่านี้ตามที่ระบุไว้ในช่วงสิ้นปี 2022 ซึ่งนั่นหมายความว่าผลการทดสอบในครั้งนี้ไม่ได้สะท้อนให้เห็นถึงผลกระทบจากวิกฤติภาคธนาคารในช่วงต้นปีนี้
ธนาคารที่ให้ผลการทดสอบดีมากในครั้งนี้รวมถึงชาร์ลส์ ชว็อบ คอร์ป และกิจการในสหรัฐของดอยช์ แบงก์ ส่วนธนาคารที่ให้ผลการทดสอบรั้งท้ายรวมถึงซิติเซนส์ ไฟแนนเชียล คอร์ป และยู.เอส. แบงคอร์ป ซึ่งเป็นธนาคารระดับภูมิภาค ทั้งนี้ นายไมเคิล บาร์ รองประธานเฟดฝ่ายการกำกับดูแลกล่าวว่า ผลการทดสอบในครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าระบบธนาคารสหรัฐ "มีความแข็งแกร่งและยืดหยุ่น" แต่เขากล่าวย้ำว่าการทดสอบนี้เป็นเพียงมาตรวัดอันหนึ่งที่ใช้วัดความแข็งแกร่งของภาคธนาคาร หลังจากเกิดเหตุการณ์ธนาคารซิลิคอน แวลลีย์ (SVB) และธนาคารอีก 2 แห่งในสหรัฐถูกสั่งปิดกิจการในช่วงต้นปีนี้
ในกลุ่มของธนาคาร 8 แห่งในสหรัฐ "ที่ถือว่ามีความสำคัญต่อระบบโลก" นั้น สัดส่วนการดำรงเงินกองทุนโดยเฉลี่ยของธนาคารกลุ่มนี้อยู่ที่ 10.9% โดยปรับขึ้นเล็กน้อยจากปีที่แล้ว โดยธนาคารสเตท สตรีทมีสัดส่วนการดำรงเงินกองทุนอยู่ที่ 13.8% ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในกลุ่มธนาคารสำคัญ 8 แห่งนี้ ทั้งนี้ ผลการทดสอบแสดงให้เห็นว่า พอร์ตลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ของธนาคารเหล่านี้อยู่ในระดับที่ดีเกินคาด โดยพอร์ตลงทุนดังกล่าวจะมียอดหนี้สูญ 6.5 หมื่นล้านดอลลาร์ภายใต้สถานการณ์วิกฤติ หรือ 8.8% ของยอดสินเชื่อโดยเฉลี่ย โดยปรับลดลงจากสัดส่วน 9.8% ในปีที่แล้ว ทางด้านโกลด์แมน แซคส์ถือเป็นธนาคารที่มีสัดส่วนหนี้สูญในอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์มากที่สุด โดยมีสัดส่วนหนี้สูญจากอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ 16% ของยอดสินเชื่อโดยเฉลี่ยภายใต้การทดสอบ ในขณะที่มอร์แกน สแตนเลย์ครองอันดับ 2 ที่ 13.7% และซิติเซนส์ ไฟแนนเชียล กรุ๊ปครองอันดับ 3 ที่ 12.4%--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
ธนาคารขนาดใหญ่ของสหรัฐได้อัดฉีดเงินฝาก 3.0 หมื่นล้านดอลลาร์เข้าสู่ธนาคารเฟิร์สต์ รีพับลิค แบงก์เมื่อวานนี้ เพื่อเข้าพยุงกิจการธนาคารแห่งนี้ที่เผชิญกับวิกฤติที่ขยายวงกว้างขึ้นหลังการล้มละลายของธนาคารขนาดกลาง 2 แห่งของสหรัฐในสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่ราคาหุ้นเฟิร์สต์ รีพับลิค แบงก์ดิ่งลง 70% ในรอบ 9 วันทำการที่ผ่านมา
ธนาคารที่ใหญ่ที่สุดหลายแห่งของสหรัฐ อาทิ เจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค, ซิตี้กรุ๊ป อิงค์, แบงก์ ออฟ อเมริกา คอร์ป, เวลส์ ฟาร์โก แอนด์ โค, โกลด์แมน แซคส์ และมอร์แกน สแตนเลย์มีส่วนร่วมในการเข้ากอบกู้ครั้งนี้ และหุ้นเฟิร์สต์ รีพับลิค แบงก์ก็ปิดพุ่งขึ้น 10% รับข่าวดังกล่าว แต่ก็ร่วงลง 18% ในการซื้อขายหลังตลาดปิดทำการ หลังจากที่ธนาคารประกาศว่าจะระงับการจ่ายปันผล
ข้อตกลงช่วยเหลือครั้งนี้เกิดขึ้นจากการดำเนินการของนายหน้าผู้มีอำนาจ อาทิ เจเน็ท เยลเลน รมว.คลังสหรัฐ, นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และนายเจมี ไดมอน ซีอีโอเจพีมอร์แกน เชส ซึ่งได้หารือถึงมาตรการช่วยเหลือเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา
เยนเลนระบุว่า ระบบธนาคารของสหรัฐยังคงแข็งแกร่งเนื่องจากการดำเนินการที่ "เด็ดขาดและแข็งขัน" หลังการล้มละลายของซิลิคอน วัลเลย์ แบงก์--จบ--
Eikon source text
ธนาคารที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐสามารถผ่านบททดสอบประจำปีของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้อย่างง่ายดาย ซึ่งเป็นการแสดงถึงความเชื่อมั่นต่อภาคธนาคารท่ามกลางสัญญาณที่บ่งชี้ว่า เศรษฐกิจสหรัฐอาจถดถอยในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
ผลทดสอบภาวะวิกฤติ (stress test) ประจำปีของเฟดพบว่า ธนาคารมีเงินทุนมากพอที่จะผ่านพ้นภาวะเศรษฐกิจตกต่ำรุนแรงได้ และทำให้พวกเขาสามารถซื้อคืนหุ้น และจ่ายปันผลได้
ธนาคาร 34 แห่งที่มีสินทรัพย์มากกว่า 1.00 แสนล้านดอลลาร์ภายใต้การกำกับดูแลของเฟด จะขาดทุนรวมกัน 6.12 แสนล้านดอลลาร์ภายใต้ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำรุนแรง แต่พวกเขาจะยังคงมีเงินทุนภายใต้เกณฑ์ที่กำหนดไว้อยู่เกือบ 2 เท่า
ธนาคารเหล่านี้ อาทิ เจพีมอร์แกน เชส, แบงก์ ออฟ อเมริกา, เวลส์ ฟาร์โก, ซิติกรุ๊ป, มอร์แกน สแตนเลย์ และโกลด์แมน แซคส์จึงสามารถใช้เงินทุนส่วนเกินเพื่อจ่ายปันผล และซื้อคืนหุ้นให้ผู้ถือหุ้นได้
แม้สถานการณ์จำลองในปี 2022 ถูกกำหนดขึ้นก่อนการบุกโจมตียูเครนของรัสเซีย และแนวโน้มเงินเฟ้อที่พุ่งสูงในขณะนี้ แต่ผลการทดสอบก็น่าจะทำให้นักลงทุนและผู้กำหนดนโยบายรู้สึกคลายกังวลว่า ธนาคารของสหรัฐมีการเตรียมตัวดีพร้อมรับสิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์เตือนว่าอาจจะเกิดภาวะถดถอยในปีนี้ หรือปีหน้า--จบ--
24 ม.ค.--รอยเตอร์
นักวิเคราะห์ตลาดหุ้นสหรัฐระบุว่า การคาดการณ์เรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ช่วยหนุนหุ้นกลุ่มธนาคารระดับภูมิภาคของสหรัฐในช่วงนี้ ในขณะที่การดิ่งลงของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในสหรัฐกระตุ้นให้นักลงทุนพยายามแสวงหาสินทรัพย์อื่น ๆ ที่จะได้รับแรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยิลด์) และได้รับแรงหนุนจากการคุมเข้มนโยบายการเงินของเฟด ทั้งนี้ กองทุน ETF ที่ลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคารระดับภูมิภาคในสหรัฐของ SPDR พุ่งขึ้นมาแล้ว 2% จากช่วงต้นปีนี้ ซึ่งสวนทางกับดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐที่ดิ่งลงมาแล้ว 6.6% จากช่วงต้นปีนี้ นอกจากนี้ หุ้นธนาคารบางแห่งของสหรัฐก็ทะยานขึ้นอย่างแข็งแกร่งด้วย โดยหุ้นซิติเซนส์ ไฟแนนเชียล กรุ๊ปพุ่งขึ้นมาแล้ว 8.4% จากช่วงต้นปีนี้ ส่วนหุ้นคีย์คอร์ปทะยานขึ้นมาแล้วเกือบ 9%
ธนาคารระดับภูมิภาคมีรายได้ส่วนใหญ่มาจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ดังนั้นหุ้นกลุ่มนี้จึงได้รับแรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่า เฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างแข็งกร้าวในปีนี้เพื่อควบคุมภาวะเงินเฟ้อ โดยเฟดกำลังจะจัดการประชุมกำหนดนโยบายในวันที่ 25-26 ม.ค. และนักลงทุนคาดว่าเฟดอาจจะเริ่มต้นปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนมี.ค. ทั้งนี้ การคาดการณ์ที่ว่าเฟดจะคุมเข้มนโยบายการเงินมีส่วนช่วยหนุนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีให้พุ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดรอบ 2 ปีที่ 1.902% ในวันที่ 19 ม.ค. โดยทะยานขึ้นมาแล้ว 0.567% จากระดับ 1.335% ที่ทำไว้ในวันที่ 12 ธ.ค.
นักลงทุนบางรายคาดว่า การขยายตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐและการที่รัฐบาลสหรัฐปรับลดมาตรการกระตุ้นทางการคลัง จะเป็นสองปัจจัยที่ช่วยหนุนให้ยอดสินเชื่อขยายตัวด้วย และปัจจัยนี้อาจช่วยหนุนให้ธนาคารระดับภูมิภาคของสหรัฐมีผลกำไรเติบโตขึ้น 70.1% ในปี 2021 ซึ่งจะส่งผลให้หุ้นกลุ่มธนาคารระดับภูมิภาคถือเป็นกลุ่มที่มีผลกำไรเติบโตสูงเป็นอันดับ 7 ในบรรดาหุ้นกลุ่มย่อย 126 กลุ่มในดัชนี S&P 500 ทั้งนี้ นายมุสตาฟา มูนาห์ ผู้ช่วยผู้จัดการพอร์ตลงทุนของบริษัทเจมส์ อินเวสท์เมนท์กล่าวว่า "ถ้าหากคุณต้องการจะลงทุนตามการคาดการณ์ที่ว่า เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรจะลาดชันมากยิ่งขึ้น วิธีการที่ดีที่สุดก็คือลงทุนในธนาคารระดับภูมิภาค" โดยเขาได้เพิ่มการลงทุนในบริษัทเอสวีบี ไฟแนนเชียล กรุ๊ปในช่วงที่ผ่านมา
ถึงแม้นักลงทุนคาดว่า ธนาคารระดับภูมิภาคส่วนใหญ่จะได้รับประโยชน์จากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย สถานการณ์ก็อาจจะเปลี่ยนแปลงไปถ้าหากเฟดคุมเข้มนโยบายการเงินอย่างรวดเร็วมากเกินไป โดยนายมูนาห์กล่าวว่า ถ้าหากเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วเกินไป ปัจจัยดังกล่าวก็จะสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจ และจะสร้างความเสียหายต่อผลกำไรในภาคธนาคารด้วย แต่เขาคาดว่ามีความเป็นไปได้ไม่มากนักที่จะเกิดสถานการณ์ดังกล่าว ทั้งนี้ เทรดเดอร์ในตลาดสัญญาล่วงหน้า Fed funds คาดว่า มีโอกาส 100% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในเดือนมี.ค. และเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยรวมกันทั้งหมด 4 ครั้งในปี 2022 ทางด้านนายแกรี เทนเนอร์ นักวิเคราะห์ของบริษัทดี.เอ. เดวิดสัน แอนด์ โคคาดว่า เฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยรวมกันทั้งหมด 4 ครั้งในปี 2022-2023 โดยเพิ่มขึ้นอีก 2 ครั้งจากที่เคยคาดการณ์ไว้เดิม
นักลงทุนรอดูผลประกอบการรายไตรมาสของบริษัทไซออน แบงคอร์ปที่จะออกมาในวันจันทร์, ผลประกอบการของเฟิร์สท์ แบงคอร์ปที่จะออกมาในวันอังคาร และผลประกอบการของยูไนเต็ด แบงก์แชร์ส อิงค์ กับเมอร์แชนท์ แบงคอร์ปที่จะออกมาในวันพุธ ทั้งนี้ นายเทนเนอร์กล่าวว่า "การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มที่จะส่งผลบวกต่อตัวเลขคาดการณ์และอัตราผลกำไรของธนาคารระดับภูมิภาค" มากกว่าที่จะส่งผลบวกต่อธนาคารแบบครบวงจร ซึ่งมีรายได้บางส่วนมาจากแผนวาณิชธนกิจ โดยดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารโดยรวมของสหรัฐปรับขึ้นมาแล้ว 0.4% จากช่วงต้นปีนี้--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--16 ต.ค.--รอยเตอร์
นักวิเคราะห์ตลาดหุ้นสหรัฐระบุว่า นักลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐจะจับตาดูผลประกอบการรายไตรมาสของธนาคารระดับภูมิภาคของสหรัฐในสัปดาห์นี้ เพราะถ้าหากผลประกอบการดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า สินเชื่อเติบโตในอัตราที่รวดเร็วยิ่งขึ้น สิ่งนี้ก็อาจจะเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า ภาวะคอขวดในห่วงโซ่อุปทานลดระดับลงแล้ว หลังจากภาวะคอขวดดังกล่าวเป็นอุปสรรคขัดขวางการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐในช่วงที่ผ่านมา ทั้งนี้ สำนักงานธุรกิจขนาดเล็กของสหรัฐระบุว่า ธนาคารขนาดเล็กครองสัดส่วน 63% ของสินเชื่อขนาด 5.20 แสนล้านดอลลาร์ในโครงการให้สินเชื่อเพื่อคุ้มครองธุรกิจ (Paycheck Protection Program) ของรัฐบาลกลางสหรัฐ ซึ่งเป็นโครงการที่จัดตั้งขึ้นเพื่อรับมือกับวิกฤติโรคระบาด โดยโครงการดังกล่าวเปิดโอกาสให้ธุรกิจขนาดเล็กกู้ยืมเงินได้ โดยที่สินเชื่อดังกล่าวอาจจะได้รับการยกหนี้ หรืออาจจะจ่ายดอกเบี้ย 1%
นายเดฟ เอลลิสัน ผู้จัดการพอร์ตลงทุนของกองทุนเฮนเนสซีกล่าวว่า ถ้าหากความต้องการกู้เงินใหม่ในอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นปรับเพิ่มขึ้นจากเดิม สิ่งนี้ก็อาจจะบ่งชี้ว่าธุรกิจขนาดเล็กกำลังปรับเพิ่มสต็อกสินค้าคงคลัง และกำลังขยายกิจการในช่วงนี้ และเขากล่าวเสริมว่า "ดูเหมือนว่าธุรกิจเกือบทุกประเภทได้รับประโยชน์จากการเปิดเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมา ยกเว้นภาคธนาคารพาณิชย์ เพราะว่าสินเชื่อเติบโตขึ้นน้อยมาก" ในโครงการ Paycheck Protection Program และเขายังระบุอีกด้วยว่า "วิกฤติโรคระบาดสร้างความเสียหายต่อธุรกิจขนาดเล็กมากเป็นพิเศษ และธุรกิจกลุ่มนี้คือลูกค้าของธนาคารระดับภูมิภาค" ทั้งนี้ บรรษัทประกันเงินฝากของรัฐบาลกลางสหรัฐ (FDIC) ระบุว่า หากนับจากตัวเลขในวันที่ 30 มิ.ย. ธนาคารขนาดเล็กก็ครองสัดส่วน 15% ของสินเชื่อทั้งหมดในภาคธนาคารสหรัฐ แต่ครองสัดส่วน 31% ในสินเชื่อในโครงการ Paycheck Protection Program
ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ระบุว่า สินเชื่อเพื่อการพาณิชย์ดิ่งลง 12% ในเดือนก.ย.เมื่อเทียบรายปี แต่อัตราการดิ่งลงนี้ชะลอตัวลงจากอัตรา -16.3% ในเดือนพ.ค.เมื่อเทียบรายปี อย่างไรก็ดี นายคริส โคทอฟสกี นักวิเคราะห์ของบริษัทออพเพนไฮเมอร์ระบุว่า การพุ่งขึ้นของสต็อกสินค้าคงคลังในภาคค้าปลีกและในบริษัทซัพพลายเออร์รถยนต์น่าจะช่วยหนุนการเติบโตของสินเชื่อต่อไปในช่วงหนึ่งปีข้างหน้า และเขากล่าวเสริมว่า "ความเคลื่อนไหวสำคัญครั้งถัดไปน่าจะเป็นการพุ่งขึ้น ไม่ใช่การดิ่งลง เพราะว่าสินเชื่อไม่น่าจะดิ่งลงได้มากไปกว่าในช่วงที่ผ่านมา"
นายสตีเวน โคเมอรี นักวิเคราะห์ของกองทุนกาเบลลีกล่าวว่า ถ้าหากสินเชื่อใหม่ในธนาคารระดับภูมิภาคพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่ง นั่นก็จะเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า ปัญหาในห่วงโซ่อุปทานลดระดับลงแล้ว และเขากล่าวเสริมว่า "ถ้าหากลูกค้าไม่สามารถนำสินค้ามาวางขายในตลาดเพราะปัญหาด้านห่วงโซ่อุปทาน ลูกค้าก็จะไม่กู้เงินเพื่อปรับเพิ่มสต็อกสินค้าคงคลัง" และเขากล่าวเสริมว่า "ถ้าหากมีสัญญาณบ่งชี้ว่า ปัญหาด้านห่วงโซ่อุปทานยังไม่ได้รับการคลี่คลาย สิ่งนี้ก็จะส่งผลกระทบต่อตัวเลขคาดการณ์ผลกำไรจนถึงปี 2023"
ธนาคารขนาดใหญ่ของสหรัฐรายงานตัวเลขสินเชื่อรายไตรมาสที่ไร้ทิศทางชัดเจนในสัปดาห์ที่แล้ว โดยเจพี มอร์แกนรายงานว่า สินเชื่อเพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อน แต่ธนาคารแบงก์ ออฟ อเมริกากับเวลส์ ฟาร์โกรายงานว่าสินเชื่อปรับลดลง ทั้งนี้ ในบรรดาธนาคารระดับภูมิภาคที่จะเปิดเผยผลประกอบการในสัปดาห์นี้นั้น ธนาคารเฟิร์สท์ คอมมูนิตี แบงก์แชร์ส อิงค์, เฟิร์สท์ มิดเวสต์ แบงคอร์ป อิงค์ และไซออนส์ แบงคอร์ป จะรายงานผลประกอบการในวันนี้ ส่วนธนาคารฟิฟธ์ เธิร์ด แบงคอร์ป และยูไนเต็ด คอมมูนิตี แบงก์ส อิงค์จะรายงานผลประกอบการในวันอังคาร--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
เครื่องมือออกแบบโปสเตอร์
โครงการพันธมิตร
ความเสี่ยงของการสูญเสียในการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น หุ้น FX สินค้าโภคภัณฑ์ ฟิวเจอร์ส พันธบัตร ETFs หรือเงินดิจิทัลอาจมีมาก คุณอาจสูญเสียเงินทุนทั้งหมดที่คุณฝากไว้กับโบรกเกอร์ของคุณ ดังนั้น คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบว่าการซื้อขายดังกล่าวเหมาะสมกับคุณหรือไม่ในสถานการณ์และทรัพยากรทางการเงินของคุณ
ไม่ควรตัดสินใจลงทุนโดยไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบสถานะอย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วยตัวเองหรือปรึกษากับที่ปรึกษาทางการเงินของคุณ เนื้อหาเว็บของเราอาจไม่เหมาะกับคุณเนื่องจากเราไม่ทราบเงื่อนไขทางการเงินและความต้องการในการลงทุนของคุณ ข้อมูลทางการเงินของเราอาจมีความล่าช้าหรือมีความไม่ถูกต้อง ดังนั้นคุณควรรับผิดชอบอย่างเต็มที่ต่อการตัดสินใจซื้อขายและการลงทุนของคุณ บริษัทจะไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียเงินทุนของคุณ
หากไม่ได้รับอนุญาตจากเว็บไซต์ คุณจะไม่สามารถคัดลอกกราฟิก ข้อความ หรือเครื่องหมายการค้าของเว็บไซต์ได้ สิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาในเนื้อหาหรือข้อมูลที่รวมอยู่ในเว็บไซต์นี้เป็นของผู้ให้บริการและผู้ค้าแลกเปลี่ยน
ไม่ได้ล็อกอิน
เข้าสู่ระบบเพื่อเข้าถึงฟังก์ชั่นเพิ่มเติม

สมาชิก FastBull
ยังไม่ได้เปิด
สมัคร
เข้าสู่ระบบ
ลงทะเบียน