ตลาด
ข่าวสาร
การวิเคราะห์
ผู้ใช้
24x7
ปฏิทินเศรษฐกิจ
แหล่งเรียนรู้
ข้อมูล
- ชื่อ
- ค่าล่าสุด
- ครั้งก่อน












สัญญาณ VIP
ทั้งหมด
ทั้งหมด



สหราชอาณาจักร ดัชนีราคาที่อยู่อาศัย Halifax YoY (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส บัญชีเดินสะพัด (Not SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส ดุลการค้า (SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส การผลิตภาคอุตสาหกรรม MoM(SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
อิตาลี ดัชนียอดค้าปลีก MoM (SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงาน YoY (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน GDP Final YoY (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน GDP Final QoQ (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงาน QoQ (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงานสุดท้าย (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
บราซิล PPI MoM (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
เม็กซิโก ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา อัตราการว่างงาน (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา อัตราการมีส่วนร่วมในการจ้างงาน (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงาน (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงานนอกเวลา (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงานเต็มเวลา (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา รายได้ส่วนบุคคล MoM (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคา PCE YoY (SA) (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคา PCE MoM (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา รายจ่ายส่วนบุคคล MoM(SA) (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาPCEหลักMoM (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาPCEหลักYoY (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา เงินเฟ้อเบื้องต้น UMich 5-YearYoY (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ค่าใช้จ่ายการบริโภคส่วนบุคคลที่จริง MoM (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การคาดการณ์เงินเฟ้อ 5-10 ปี (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีสถานภาพเบื้องต้น UMich ปัจจุบัน (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้น UMich (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อล่วงหน้า 1 ปี UMich (เบื้องต้น) (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีความคาดหวังผู้บริโภค UMich (เบื้องต้น) (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ปริมาณเครื่องเจาะทั้งหมดรายสัปดาห์--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ปริมาณเครื่องเจาะน้ำมันทั้งหมดรายสัปดาห์--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา สินเชื่ออุปโภคบริโภค (SA) (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ เงินตราที่ใช้เป็นทุนสำรอง (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ปริมาณการส่งออก YoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การนำเข้า YoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การนำเข้าYoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การนำเข้า (CNH) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ดุลการค้า (CNH) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การส่งออก (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น ค่าจ้าง MoM (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น ดุลการค้า (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น GDPที่แท้จริง QoQ (ไตรมาส 3)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น GDP Nominal แก้ไขQoQ (ไตรมาส 3)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น ดุลการค้า (SA)(ข้อมูลศุลกากร) (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น GDP ประจำปี (แก้ไข) QoQ (ไตรมาส 3)--
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ปริมาณการส่งออก YoY (CNH) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ดุลการค้า (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --


ไม่มีข้อมูลที่ตรงกัน
ทัศนคติล่าสุด
ทัศนคติล่าสุด
หัวข้อยอดนิยม
คอลัมนิสต์ยอดนิยม
อัปเดตล่าสุด
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
ดูผลการค้นหาทั้งหมด

ไม่มีข้อมูล
นิวยอร์ค--25 พ.ค.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดร่วงลงในวันพุธ ในขณะที่การเจรจาต่อรองระหว่างทำเนียบขาวกับพรรครีพับลิกันในเรื่องการปรับขึ้นเพดานหนี้ของรัฐบาลกลางสหรัฐยังคงดำเนินต่อไป โดยที่ทั้งสองฝ่ายยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงกันได้ ถึงแม้ว่าใกล้จะถึงเส้นตายในวันที่ 1 มิ.ย.ในการปรับขึ้นเพดานหนี้จากระดับ 31.4 ล้านล้านดอลลาร์ ทั้งนี้ ตัวแทนในการเจรจาของประธานาธิบดีโจ ไบเดนของสหรัฐกับนายเควิน แมคคาร์ธี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐจากพรรครีพับลิกันได้หารือกันในวันพุธ โดยนายแมคคาร์ธีกล่าวหลังจากการหารือกันเป็นเวลานาน 4 ชั่วโมงที่ทำเนียบขาวว่า การเจรจาต่อรองดำเนินไปในทางที่ดีขึ้น และจะมีการเจรจากันต่อไปในช่วงเย็นวันพุธ โดยเขาคาดว่าทั้งสองฝ่ายจะสามารถบรรลุข้อตกลงกันได้ แต่ยังคงมีปัญหาบางประการที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข ทางด้านแครีน ฌอง-ปิแอร์ โฆษกทำเนียบขาวกล่าวว่า การเจรจายังคงให้ผลดี
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดร่วงลง 0.77% สู่ 32,799.92, ดัชนี S&P 500 ปิดปรับลง 0.73% สู่ 4,115.24 และดัชนี Nasdaq ปิดร่วงลง 0.61% สู่ 12,484.16 ทั้งนี้ หุ้น 10 กลุ่มจาก 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐปิดตลาดวันพุธในแดนลบ โดยหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ถือเป็นกลุ่มที่ดิ่งลงมากที่สุด แต่หุ้นกลุ่มพลังงานถือเป็นหุ้นกลุ่มเดียวที่ปิดตลาดในแดนบวก ทางด้านดัชนีความผันผวน CBOE หรือดัชนี VIX ที่ใช้วัดระดับความกังวลในตลาดหุ้นสหรัฐเคลื่อนตัวอยู่ใกล้จุดสูงสุดรอบ 3 สัปดาห์
ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยรายงานการประชุมกำหนดนโยบายประจำวันที่ 2-3 พ.ค.ในวันพุธ โดยรายงานการประชุมระบุว่า เจ้าหน้าที่เฟดโดยส่วนใหญ่มีความเห็นตรงกันว่า พวกเขามีความมั่นใจน้อยลงในเรื่องความจำเป็นในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปหลังเดือนพ.ค. แต่เจ้าหน้าที่เฟดบางรายกล่าวเตือนว่า เฟดจำเป็นจะต้องเปิดทางเลือกต่าง ๆ ไว้ต่อไป เนื่องจากมีความเสี่ยงที่อัตราเงินเฟ้อจะลดลงได้ยาก ทั้งนี้ นักลงทุนในตลาดสัญญาล่วงหน้าคาดการณ์ในตอนนี้ว่า มีโอกาส 65.2% ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 5.00-5.25% ในการประชุมวันที่ 13-14 มิ.ย. และมีโอกาส 34.8% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ 5.25-5.50% ในการประชุมวันที่ 13-14 มิ.ย.
นายคริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ หนึ่งในผู้ว่าการเฟดกล่าวว่า เขากังวลกับการขาดความคืบหน้าในการปรับลดอัตราเงินเฟ้อ และถึงแม้ว่ามีความเป็นไปได้ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิมในเดือนมิ.ย. วัฏจักรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดก็ยังไม่มีแนวโน้มว่าจะสิ้นสุดลง
หุ้นธนาคารซิตี้กรุ๊ปดิ่งลง 3.1% ในขณะที่ซิตี้กรุ๊ปยกเลิกแผนการขนาด 7 พันล้านดอลลาร์ในการขายกิจการบานาเม็กซ์ในเม็กซิโก และซิตี้กรุ๊ปจะนำกิจการดังกล่าวเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นแทน ทั้งนี้ หุ้นอาไจเลนท์ เทคโนโลยีส์ ซึ่งเป็นผู้จัดหาอุปกรณ์ให้ห้องแล็บดิ่งลงราว 6% หลังจากทางบริษัทปรับลดตัวเลขคาดการณ์ผลกำไรและยอดขายประจำปี--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
ซิตี้กรุ๊ปได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปีนี้ขึ้นเป็น 2.4% โดยระบุถึงภาวะเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐ, เขตยูโรและจีน และยังเลื่อนคาดการณ์ที่เศรษฐกิจสหรัฐจะถดถอยออกไปเป็นไตรมาส 4 ปีนี้ ซึ่งก่อนหน้านี้ นักเศรษฐศาสตร์ของซิติระบุว่า เศรษฐกิจโลกจะขยายตัว 2.2% ในปีนี้ และเศรษฐกิจสหรัฐจะเริ่มถดถอยในไตรมาส 3
นักเศรษฐศาสตร์ของซิตินำโดยนายนาธาน ชีทส์ระบุว่า "เราคาดการณ์ว่า ภาวะตึงตัวรุนแรงทางการเงิน ซึ่งทำให้เกิดแรงกดดันทั้งฝั่งสหรัฐและยุโรปในเดือนที่แล้ว จะผ่อนคลายลงต่อไป" โดยเขาระบุถึงการล้มละลายของธนาคารขนาดกลาง 2 แห่งของสหรัฐในเดือนที่แล้ว และการเข้าเทคโอเวอร์ธนาคารเครดิตสวิสโดยยูบีเอสจากสถานการณ์บังคับ ซึ่งทำให้เกิดความวิตกเกี่ยวกับภาวะวิกฤติในวงกว้างขึ้นในระบบธนาคาร ซึ่งถูกมองว่าเกิดขึ้นจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยแบบเชิงรุกเพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อของธนาคารกลางทั่วโลก
แต่ซิติได้ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีหน้าลงสู่ 2.1% จาก 2.5% ที่คาดไว้ก่อนหน้า
"ขณะที่สถานการณ์ตึงเครียดในภาคธนาคารที่รุนแรงดูเหมือนว่ากำลังบรรเทาลง แต่เราก็ยังคงเห็นความท้าทายต่อเนื่องที่เกี่ยวข้องกับอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น และผลกระทบจากเหตุการณ์นี้ต่อสินทรัพย์, เงินฝาก และการระดมทุนของธนาคาร และกำไรขั้นต้นของธนาคาร" ซึ่งเงื่อนไขเหล่านี้อาจนำไปสู่การคุมเข้มเงื่อนไขการให้สินเชื่อ ซึ่งรวมถึงความเป็นไปได้ที่จะเกิดภาวะสินเชื่อตึงตัว" --จบ--
Eikon source text
19 เม.ย.--รอยเตอร์
เจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ยังคงแสดงความกังวลต่อภาวะเงินเฟ้อ และยังคงส่งสัญญาณว่าอีซีบีจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป อย่างไรก็ดี นักลงทุนไม่ได้แสดงความเชื่อมั่นในสัญญาณเหล่านี้มากนัก เนื่องจากนักลงทุนกังวลกับวิกฤติภาคธนาคาร และกังวลว่าอีซีบีอาจจะดำเนินนโยบายผิดพลาด ทั้งนี้ การแสดงความเห็นแบบสายเหยี่ยวของผู้กำหนดนโยบายของอีซีบีในช่วงต้นปีนี้ และตัวเลขอัตราเงินเฟ้อที่ระดับสูงในเดือนก.พ.ในยูโรโซน เป็นปัจจัยสำคัญที่เคยช่วยกระตุ้นให้นักลงทุนคาดการณ์กันในช่วงต้นเดือนมี.ค.ว่า อัตราดอกเบี้ยของอีซีบีอาจจะพุ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดของวัฏจักรที่ระดับสูงกว่า 4% อย่างไรก็ดี หลังจากเกิดวิกฤติภาคธนาคารในช่วงกลางเดือนมี.ค. เทรดเดอร์ก็ปรับลดตัวเลขคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยขั้นสุดท้ายลงสู่ 3% ในช่วงนั้น ซึ่งเท่ากับระดับที่เคยคาดไว้ในช่วงกลางเดือนธ.ค. และในตอนนี้เทรดเดอร์ก็คาดว่า อัตราดอกเบี้ยเงินฝากของอีซีบีอาจจะขึ้นไปแตะจุดสูงสุดของวัฏจักรที่ระดับเพียงราว 3.75% เท่านั้น โดยเทียบกับอัตราดอกเบี้ยที่ 3.00% ในปัจจุบัน
อีซีบีจะจัดการประชุมครั้งถัดไปในวันที่ 4 พ.ค. โดยนักลงทุนในตลาดสัญญาล่วงหน้าคาดการณ์กันในตอนนี้ว่า มีโอกาส 64.08% ที่อีซีบีจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ 3.25% ในการประชุมครั้งนี้ และมีโอกาส 35.92% ที่อีซีบีจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% สู่ 3.50% ในการประชุมครั้งนี้ ทั้งนี้ นายเออร์จอน ซัทโก นักยุทธศาสตร์การลงทุนของธนาคารแบงก์ ออฟ อเมริกากล่าวว่า "ภาวะปั่นป่วนวุ่นวายในตลาดในเดือนมี.ค.เป็นสิ่งที่ช่วยเตือนว่า วัฏจักรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมักจะหยุดชะงักลงอย่างฉับพลันเพราะความเปราะบางที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝัน"
อีซีบีได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมาแล้วรวมกัน 3.50% นับตั้งแต่เดือนก.ค. 2022 เป็นต้นมา ซึ่งถือเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วที่สุดนับตั้งแต่มีการจัดตั้งสกุลเงินยูโร และปัจจัยดังกล่าวก็ส่งผลให้นักลงทุนกังวลเรื่องผลกระทบที่จะมีต่อเศรษฐกิจยูโรโซน ซึ่งประกอบด้วยประเทศสมาชิก 20 ประเทศ ทั้งนี้ ธนาคารแบงก์ ออฟ อเมริกาได้เปิดเผยผลสำรวจในวันจันทร์ที่ระบุว่า สิ่งที่นักลงทุนกังวลมากที่สุดในช่วงนี้ก็คือตลาดการเงินที่เปราะบางและอัตราเงินเฟ้อที่ลดลงยาก และนักลงทุนก็ได้ปรับเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ขึ้นสู่จุดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค. 2009 ด้วย
อัตราฟอร์เวิร์ดดอกเบี้ยระยะสั้นของอีซีบี (ESTR) ประจำเดือนพ.ย. 2023 ปรับขึ้นสู่ 3.65% ในวันนี้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่านักลงทุนคาดการณ์ว่า อัตราดอกเบี้ยเงินฝากของอีซีบีจะอยู่ที่ระดับราว 3.75% ในเดือนนั้น ทั้งนี้ นักวิเคราะห์กล่าวว่า แถลงการณ์ของอีซีบีในเดือนมี.ค.แสดงให้เห็นว่า อีซีบีมีโอกาสปรับเปลี่ยนทิศทางนโยบายการเงิน ถ้าหากอีซีบีมีเหตุผลอันหนักแน่นที่ทำให้เชื่อได้ว่า วิกฤติภาคการเงินอาจจะส่งผลกระทบต่อการตอบรับของตลาดเงินที่มีต่อนโยบายของอีซีบี นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ยังกล่าวเสริมว่า วอลุ่มการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าพันธบัตรที่พุ่งสูงขึ้น สะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนเชื่อมั่นว่า อัตราดอกเบี้ยขั้นสุดท้ายจะอยู่ต่ำกว่าระดับที่เคยคาดการณ์กันไว้
นักวิเคราะห์ของธนาคารเจพีมอร์แกนระบุว่า ในช่วง 2 สัปดาห์นับตั้งแต่วันที่ 10 มี.ค. ซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้นของวิกฤติภาคธนาคาร วอลุ่มการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าพันธบัตรรัฐบาลเยอรมนีและอิตาลีได้พุ่งขึ้นเข้าใกล้จุดสูงสุดนับตั้งแต่ต้นปี 2020 และสิ่งนี้ "บ่งชี้ว่านักลงทุนจำนวนมากได้ปรับเปลี่ยนการคาดการณ์ที่มีต่อจุดหักเหสำคัญในนโยบายการเงิน" อย่างไรก็ดี วอลุ่มการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าพันธบัตรรัฐบาลเยอรมนีร่วงลงหลังจากวันที่ 15 มี.ค. เนื่องจากนักลงทุนได้ปรับตัวเลขคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยให้สูงขึ้นอีกครั้ง ทั้งนี้ นักลงทุนคาดการณ์ในตอนนี้ว่า อีซีบีจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในช่วงครึ่งแรกของปี 2024 และสิ่งนี้แสดงให้เห็นว่านักลงทุนกังวลว่า อีซีบีอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากเกินไปและอย่างรวดเร็วจนเกินไป ซึ่งจะส่งผลให้อีซีบีจำเป็นจะต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างรวดเร็วในอนาคต--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
เจ.พี.มอร์แกน และซิตี้กรุ๊ปได้ปรับเพิ่มคาดการณ์จีดีพีทั้งปีของจีนสำหรับปีนี้ โดยระบุว่า การตัดสินใจยกเลิกมาตรการควบคุมโควิด-19 ที่เข้มงวดในเดือนธ.ค.ที่ผ่านมาช่วยหนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
เจ.พี.มอร์แกน และซิติปรับเพิ่มคาดการณ์จีดีพีทั้งปีขึ้น 0.40% สู่ระดับ 6.4% และ 6.1% เมื่อเทียบรายปีตามลำดับสำหรับปีนี้ ขณะที่เศรษฐกิจจีนขยายตัว 4.5% ในไตรมาสแรก ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้
ธนาคารระบุถึงการฟื้นตัวของการอุปโภคบริโภคที่เกี่ยวกับการเดินทาง และการบริการ และการมีเสถียรภาพของตลาดที่อยู่อาศัยเป็นสาเหตุที่ทำให้จีดีพีขยายตัวสูงเกินคาด
นายจู ไห่ปิน หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จีนกล่าวว่า "การฟื้นตัวหลังเปิดประเทศน่าจะดำเนินต่อไปในระยะใกล้ และเราคาดว่าแรงหนุนส่งเศรษฐกิจจะอ่อนแอลงในช่วงครึ่งปีหลังท่ามกลางความไม่แน่นอนของภายนอก และขณะที่การเร่งออกการสนับสนุนด้านนโยบายมหภาคจะกลายเป็นตัวถ่วงในช่วงต่อไปของปีนี้"
ด้านซิติระบุว่า ผู้กำหนดนโยบายของจีนจะไม่ผ่อนคลายได้อย่างสบายใจ และจะต้องจัดการกับความท้าทายด้านโครงสร้าง เช่น การว่างงานของเยาวชน และหนี้รัฐบาลท้องถิ่น "ภาคเอกชนอาจต้องการมาตรการหนุนเพิ่มเติมเพื่อฟื้นคืนความเชื่อมั่น และเรายังไม่เห็นมาตรการที่เป็นรูปธรรมจากรัฐบาลในขณะนี้"--จบ--
Eikon source text
นิวยอร์ค--17 เม.ย.--รอยเตอร์
นักวิเคราะห์ตลาดหุ้นสหรัฐระบุว่า นักลงทุนกำลังรอดูผลประกอบการไตรมาสแรกของบริษัทในกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยของสหรัฐที่จะได้รับการรายงานออกมาในช่วงไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า เพราะว่าผลประกอบการดังกล่าวอาจจะบ่งชี้ได้ว่า เศรษฐกิจสหรัฐมีสถานะเป็นเช่นใด หลังจากเศรษฐกิจเผชิญกับอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูงมาเป็นเวลานาน และได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างแข็งกร้าวของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ ผู้บริโภคสหรัฐรักษาระดับความแข็งแกร่งไว้ได้เป็นอย่างดีในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ถึงแม้มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจำนองและอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิต อย่างไรก็ดี การปรับลดพนักงานจำนวนมากในบริษัทกลุ่มเทคโนโลยีในไตรมาสแรกและวิกฤติภาคธนาคาร ในเดือนมี.ค. อาจจะส่งผลลบต่อแนวโน้มการจับจ่ายใช้สอยในด้านต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงในภาคความบันเทิง, ร้านอาหาร, ภาครถยนต์ และภาคโรงแรม
นายแกร์เรทท์ เมลสัน นักยุทธศาสตร์การลงทุนพอร์ตลงทุนของบริษัทแนติซิส อินเวสท์เมนท์ แมเนเจอร์ส โซลูชันส์กล่าวว่า "นักลงทุนไม่แน่ใจว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะทรุดตัวลงอย่างรุนแรง หรือว่าจะชะลอตัวลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่ถ้าหากตัวเลขในภาคการบริโภคอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง สิ่งนี้ก็จะช่วยสนับสนุนการคาดการณ์ที่ว่า เศรษฐกิจสหรัฐอาจจะสามารถหลีกเลี่ยงจากภาวะเลวร้ายที่สุดได้" โดเขาคาดการณ์ในทางบวกต่อหุ้นกลุ่มก่อสร้างบ้านและหุ้นกลุ่มผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า เนื่องจากเขาคาดว่าตลาดบ้านจะฟื้นตัวขึ้น
นักวิเคราะห์คาดว่า ผลกำไรของบริษัทในดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐอาจดิ่งลง 5.2% ในไตรมาสแรกเมื่อเทียบรายปี หลังจากผลกำไรปรับลดลงไปแล้วในไตรมาส 4/2022 ซึ่งเท่ากับว่าจะเกิดภาวะผลกำไรถดถอย โดยนักวิเคราะห์คาดว่า กลุ่มบริษัทที่อาจจะมีผลกำไรดิ่งลงอย่างรุนแรงในไตรมาสแรกรวมถึงกลุ่มวัสดุที่อาจจะมีผลกำไรดิ่งลง 32.9%, กลุ่มการแพทย์ที่อาจรูดลง 18.9% และกลุ่มเทคโนโลยีที่อาจมีผลกำไรดิ่งลง 14.4% ส่วนกลุ่มบริษัทที่อาจมีผลกำไรพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในไตรมาสแรกรวมถึงกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยที่อาจจะมีผลกำไรพุ่งขึ้น 36.5%, กลุ่มอุตสาหกรรมที่อาจจะทะยานขึ้น 17.1% และกลุ่มพลังงานที่อาจมีผลกำไรพุ่งขึ้น 13.7% ทางด้านดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้นมาแล้วราว 6.5% จากช่วงต้นปีนี้
บริษัทในกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยที่จะรายงานผลประกอบการในสัปดาห์นี้รวมถึงบริษัทเน็ตฟลิกซ์ที่จะรายงานผลประกอบการในวันที่ 18 เม.ย., บริษัทเทสลาที่จะรายงานผลประกอบการในวันที่ 19 เม.ย. และบริษัทออโตเนชัน ส่วนบริษัทอะเมซอนดอทคอมจะรายงานผลประกอบการในวันที่ 27 เม.ย. ทั้งนี้ นายเมลสันกล่าวว่า ความกังวลเรื่องภาวะเศรษฐกิจถดถอยในช่วง 1 ปีที่ผ่านมาส่งผลให้บริษัทหลายแห่งในกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยปรับลดต้นทุนลงเพื่อหนุนอัตราผลกำไร และปัจจัยนี้อาจจะส่งผลให้บริษัทในกลุ่มนี้รายงานผลกำไรไตรมาสแรกที่สูงเกินคาด
บริษัทในกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยได้รับแรงหนุนจากตลาดแรงงานสหรัฐที่ยังคงอยู่ในภาวะแข็งแกร่ง เพราะตลาดแรงงานที่แข็งแกร่งช่วยหนุนปริมาณการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภค โดยดัชนีหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยพุ่งขึ้นมาแล้วราว 14% จากช่วงต้นปีนี้ ซึ่งสูงกว่าอัตราการพุ่งขึ้นของดัชนี S&P 500 เป็นอย่างมาก ในขณะที่หุ้นเทสลาและหุ้นอะเมซอนครองน้ำหนักเกือบ 40% ในดัชนีหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย ทั้งนี้ หุ้นเทสลาพุ่งขึ้นมาแล้วเกือบ 50% จากช่วงต้นปีนี้ ส่วนหุ้นอะเมซอนทะยานขึ้นมาแล้วเกือบ 22% ทางด้านกองทุน SPDR ETF สำหรบหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยมีเงินลงทุนไหลเข้าสุทธิ 229.1 ล้านดอลลาร์ในช่วง 6 สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นยอดเงินไหลเข้าระยะ 6 สัปดาห์ที่สูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนส.ค. 2022--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--17 เม.ย.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดปรับลงในวันศุกร์ ในขณะที่มีการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจที่ไร้ทิศทางชัดเจนในสหรัฐ และรายงานตัวเลขเหล่านี้ดูเหมือนจะสนับสนุนให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้ง โดยปัจจัยลบดังกล่าวบดบังแรงหนุนที่ตลาดหุ้นสหรัฐได้รับในช่วงแรก หลังจากธนาคารขนาดใหญ่ในสหรัฐรายงานตัวเลขผลกำไรที่แข็งแกร่งเกินคาด ซึ่งถือเป็นการเปิดฤดูการรายงานผลประกอบการของบริษัทสหรัฐประจำไตรมาสแรก ทั้งนี้ ธนาคารกลางสหรัฐรายงานในวันศุกร์ว่า การผลิตภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐ ซึ่งครอบคลุมทั้งการผลิตภาคโรงงาน, ภาคเหมืองแร่ และภาคสาธารณูปโภค ปรับขึ้น 0.4% ในเดือนมี.ค. หลังจากปรับขึ้น 0.2% ในเดือนก.พ. โดยการผลิตภาคอุตสาหกรรมปรับขึ้น 0.2% ในไตรมาสแรก หลังจากหดตัวลง 2.5% ในไตรมาส 4/2022 ทางด้านอัตราการใช้กำลังการผลิตในภาคอุตสาหกรรมปรับขึ้นสู่ 79.8% ในเดือนมี.ค. จาก 79.6% ในเดือนก.พ. และอยู่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของปี 1972-2022 ราว 0.1%
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดปรับลง 0.42% สู่ 33,886.47, ดัชนี S&P 500 ปิดปรับลง 0.21% สู่ 4,137.64 และดัชนี Nasdaq ปิดปรับลง 0.35% สู่ 12,123.47 ในวันศุกร์ อย่างไรก็ดี ดัชนีดาวโจนส์, S&P 500 และ Nasdaq ต่างก็ปิดตลาดสัปดาห์นี้ในแดนบวก โดยได้รับแรงหนุนจากการพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในวันพฤหัสบดี โดยก่อนหน้านี้ดัชนีดาวโจนส์เพิ่งทะยานขึ้น 1.14% ในวันพฤหัสบดี ดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้น 1.33% ในวันพฤหัสบดี และดัชนี Nasdaq ทะยานขึ้น 1.99% ในวันพฤหัสบดี ทั้งนี้ หุ้น 7 กลุ่มจาก 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐปิดตลาดวันศุกร์ในแดนลบ โดยหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ดิ่งลงมากที่สุด แต่ดัชนีหุ้นกลุ่มการเงินพุ่งขึ้น 1.1% และถือเป็นกลุ่มที่พุ่งขึ้นมากที่สุดในวันศุกร์
ธนาคารซิตี้กรุ๊ป, เจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค และเวลส์ ฟาร์โก แอนด์ โคต่างก็เปิดเผยผลกำไรที่ดีเกินคาดในวันศุกร์ โดยได้รับแรงหนุนจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และจากการที่ชาวสหรัฐลดความกังวลที่มีต่อวิกฤติภาคธนาคาร โดยนายรอส เมย์ฟิลด์ นักวิเคราะห์แผนยุทธศาสตร์การลงทุนของบริษัท Baird กล่าวว่า "ธนาคารขนาดใหญ่ไม่ได้รับความเสียหายมากนักจากภาวะปั่นป่วนวุ่นวายในธนาคารระดับภูมิภาค และธนาคารขนาดใหญ่อาจจะเป็นฝ่ายที่ได้รับประโยชน์จากภาวะปั่นป่วนวุ่นวายดังกล่าวด้วย โดยเราพบว่างบดุลของธนาคารขนาดใหญ่อยู่ในระดับที่แข็งแกร่งเป็นส่วนใหญ่ และสิ่งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า วิกฤติธนาคารระดับภูมิภาคไม่ได้เป็นวิกฤติเชิงระบบ" ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารของสหรัฐพุ่งขึ้น 3.5% ในวันศุกร์ ในขณะที่หุ้นธนาคารเจพีมอร์แกน เชสทะยานขึ้น 7.6% ซึ่งถือเป็นการพุ่งขึ้นครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 9 พ.ย. 2020 ส่วนหุ้นซิตี้กรุ๊ปทะยานขึ้น 4.8% แต่หุ้นเวลส์ ฟาร์โกขยับลง 0.1%
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ยอดค้าปลีกสหรัฐร่วงลงอย่างรุนแรงเกินคาดในเดือนมี.ค. เนื่องจากผู้บริโภคปรับลดการซื้อรถยนต์และสินค้ารายการใหญ่ โดยยอดค้าปลีกดิ่งลง 1.0% ในเดือนมี.ค.เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากปรับลง 0.2% ในเดือนก.พ. ส่วนมหาวิทยาลัยมิชิแกนรายงานในวันศุกร์ว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐปรับขึ้นจาก 62.0 ในเดือนมี.ค. สู่ 63.5 ในเดือนเม.ย. ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ในโพลล์รอยเตอร์ที่ 62.0 ทั้งนี้ เทรดเดอร์ในตลาดสัญญาล่วงหน้า Fed funds คาดการณ์ว่า มีโอกาส 81% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% สู่ 5.00-5.25% ในการประชุมวันที่ 2-3 พ.ค.
นักลงทุนรอดูผลประกอบการบริษัทสหรัฐหลายแห่งที่จะได้รับการรายงานออกมาในสัปดาห์หน้า ซึ่งรวมถึงผลประกอบการของธนาคารโกลด์แมน แซคส์ กรุ๊ป อิงค์, มอร์แกน สแตนเลย์, แบงก์ ออฟ อเมริกา และบริษัทเน็ตฟลิกซ์ ในขณะที่ธนาคารระดับภูมิภาคและบริษัทในภาคอุตสาหกรรมหลายแห่งก็จะรายงานผลประกอบการออกมาด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ นักวิเคราะห์คาดว่า ผลกำไรของบริษัทในดัชนี S&P 500 อาจดิ่งลง 4.8% ในไตรมาสแรกเมื่อเทียบรายปี--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--12 เม.ย.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวอย่างไร้ทิศทางชัดเจนในวันอังคาร โดยตลาดหุ้นร่วงลงในช่วงท้ายตลาด ในขณะที่นักลงทุนรอดูดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ประจำเดือนมี.ค.ที่กระทรวงแรงงานสหรัฐจะรายงานออกมาในวันพุธนี้ในเวลา 19.30 น.ตามเวลาไทย และนักลงทุนรอดูฤดูการรายงานผลประกอบการไตรมาสแรกที่จะเริ่มต้นขึ้นอย่างไม่เป็นทางการในวันศุกร์นี้ เมื่อธนาคารเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค, ซิตี้กรุ๊ป และเวลส์ ฟาร์โกจะรายงานผลประกอบการออกมาในวันที่ 14 เม.ย. ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดตลาดวันอังคารในแดนบวก โดยได้รับแรงหนุนจากหุ้นกลุ่มที่มักปรับตัวตามภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งรวมถึงหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรม, กลุ่มวัสดุ และกลุ่มการขนส่ง อย่างไรก็ดี ดัชนี Nasdaq ปิดตลาดวันอังคารในแดนลบ โดยได้รับแรงกดดันจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและหุ้นบริษัทขนาดยักษ์ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดปรับขึ้น 0.29% สู่ 33,684.79; ดัชนี S&P 500 ปิดขยับลง 0.17 จุด หรือ 0.00% สู่ 4,108.94; และดัชนี Nasdaq ปิดปรับลง 0.43% สู่ 12,031.88 ทั้งนี้ ในบรรดาหุ้น 11 กลุ่มใหญ๋ในตลาดหุ้นสหรัฐนั้น หุ้นกลุ่มบริการการสื่อสารและหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปิดตลาดวันอังคารในแดนลบ ส่วนหุ้นกลุ่มพลังงานกับหุ้นกลุ่มการเงินถือเป็นหุ้น 2 กลุ่มที่พุ่งขึ้นมากที่สุด
นายไรอัน ดีทริค หัวหน้านักยุทธศาสตร์การลงทุนตลาดของบริษัทคาร์สัน กรุ๊ปกล่าวว่า "เมื่อใดก็ตามที่หุ้นกลุ่มวัฏจักรเศรษฐกิจนำตลาดปรับขึ้น นั่นก็ถือเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า นักลงทุนอาจจะกังวลมากเกินไปในเรื่องภาวะเศรษฐกิจถดถอย และสิ่งนี้ถือเป็นสัญญาณที่ดี" ทั้งนี้ ตลาดหุ้นได้รับแรงหนุนในช่วงบ่าย ในขณะที่นายออสตัน กูลส์บี ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาชิคาโกกล่าวว่า เฟดควรจะใช้ความระมัดระวังในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหลังจากเกิดวิกฤติภาคธนาคารในช่วงที่ผ่านมา และเขาตั้งข้อสังเกตว่า การที่ธนาคารปรับลดการปล่อยกู้จะถือเป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยควบคุมภาวะเงินเฟ้อ และถือเป็นการช่วยแบ่งเบาภาระของนโยบายการเงิน
นักลงทุนรอดูดัชนี CPI ของสหรัฐและรายงานการประชุมเฟดประจำวันที่ 21-22 มี.ค.ที่จะได้รับการเปิดเผยออกมาในวันพุธนี้ ในขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่า ดัชนี CPI ทั่วไปอาจปรับขึ้น 0.2% ในเดือนมี.ค.เมื่อเทียบรายเดือน โดยชะลอตัวลงจาก +0.4% ในเดือนก.พ. และอาจปรับขึ้นเพียง 5.2% ในเดือนมี.ค.เมื่อเทียบรายปี โดยชะลอตัวลงอย่างรุนแรงจาก +6.0% ในเดือนก.พ. ส่วนดัชนี CPI พื้นฐานที่ไม่รวมราคาอาหารและพลังงานในเดือนมี.ค.อาจปรับขึ้น 0.4% เมื่อเทียบรายเดือน โดยชะลอตัวลงจาก +0.5% ในเดือนก.พ. และอาจปรับขึ้น 5.6% ในเดือนมี.ค.เมื่อเทียบรายปี โดยเร่งตัวขึ้นจาก +5.5% ในเดือนก.พ. ทั้งนี้ เครื่องมือ FedWatch ของบริษัท CME ระบุว่า นักลงทุนคาดการณ์กันว่ามีโอกาส 67% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ 5.00-5.25% ในการประชุมวันที่ 2-3 พ.ค.
หุ้นกลุ่มสกุลเงินคริปโตพุ่งขึ้น ซึ่งรวมถึงหุ้นบริษัทคอยน์เบส โกลบัล, ไรออท แพลตฟอร์มส์ และมาราธอน ดิจิทัล โฮลดิงส์ที่ทะยานขึ้น 6-17% ในวันอังคาร ในขณะที่บิทคอยน์พุ่งขึ้นเหนือระดับ 30,000 ดอลลาร์ได้เป็นครั้งแรกในรอบ 10 เดือน และขึ้นไปแตะจุดสูงสุดของวันที่ 30,575 ดอลลาร์--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
เครื่องมือออกแบบโปสเตอร์
โครงการพันธมิตร
ความเสี่ยงของการสูญเสียในการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น หุ้น FX สินค้าโภคภัณฑ์ ฟิวเจอร์ส พันธบัตร ETFs หรือเงินดิจิทัลอาจมีมาก คุณอาจสูญเสียเงินทุนทั้งหมดที่คุณฝากไว้กับโบรกเกอร์ของคุณ ดังนั้น คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบว่าการซื้อขายดังกล่าวเหมาะสมกับคุณหรือไม่ในสถานการณ์และทรัพยากรทางการเงินของคุณ
ไม่ควรตัดสินใจลงทุนโดยไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบสถานะอย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วยตัวเองหรือปรึกษากับที่ปรึกษาทางการเงินของคุณ เนื้อหาเว็บของเราอาจไม่เหมาะกับคุณเนื่องจากเราไม่ทราบเงื่อนไขทางการเงินและความต้องการในการลงทุนของคุณ ข้อมูลทางการเงินของเราอาจมีความล่าช้าหรือมีความไม่ถูกต้อง ดังนั้นคุณควรรับผิดชอบอย่างเต็มที่ต่อการตัดสินใจซื้อขายและการลงทุนของคุณ บริษัทจะไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียเงินทุนของคุณ
หากไม่ได้รับอนุญาตจากเว็บไซต์ คุณจะไม่สามารถคัดลอกกราฟิก ข้อความ หรือเครื่องหมายการค้าของเว็บไซต์ได้ สิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาในเนื้อหาหรือข้อมูลที่รวมอยู่ในเว็บไซต์นี้เป็นของผู้ให้บริการและผู้ค้าแลกเปลี่ยน
ไม่ได้ล็อกอิน
เข้าสู่ระบบเพื่อเข้าถึงฟังก์ชั่นเพิ่มเติม

สมาชิก FastBull
ยังไม่ได้เปิด
สมัคร
เข้าสู่ระบบ
ลงทะเบียน