ตลาด
ข่าวสาร
การวิเคราะห์
ผู้ใช้
24x7
ปฏิทินเศรษฐกิจ
แหล่งเรียนรู้
ข้อมูล
- ชื่อ
- ค่าล่าสุด
- ครั้งก่อน












สัญญาณ VIP
ทั้งหมด
ทั้งหมด



ฝรั่งเศส บัญชีเดินสะพัด (Not SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส ดุลการค้า (SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส การผลิตภาคอุตสาหกรรม MoM(SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
อิตาลี ดัชนียอดค้าปลีก MoM (SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงาน YoY (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน GDP Final YoY (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน GDP Final QoQ (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงาน QoQ (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงานสุดท้าย (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
บราซิล PPI MoM (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
เม็กซิโก ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา อัตราการว่างงาน (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา อัตราการมีส่วนร่วมในการจ้างงาน (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงาน (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงานนอกเวลา (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงานเต็มเวลา (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา รายได้ส่วนบุคคล MoM (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคา PCE YoY (SA) (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาธนาคารกลางรัฐดัลลาส สหรัฐอเมริกา PCE YoY (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคา PCE MoM (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา รายจ่ายส่วนบุคคล MoM(SA) (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาPCEหลักMoM (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาPCEหลักYoY (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา เงินเฟ้อเบื้องต้น UMich 5-YearYoY (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ค่าใช้จ่ายการบริโภคส่วนบุคคลที่จริง MoM (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การคาดการณ์เงินเฟ้อ 5-10 ปี (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีสถานภาพเบื้องต้น UMich ปัจจุบัน (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้น UMich (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อล่วงหน้า 1 ปี UMich (เบื้องต้น) (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีความคาดหวังผู้บริโภค UMich (เบื้องต้น) (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ปริมาณเครื่องเจาะทั้งหมดรายสัปดาห์--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ปริมาณเครื่องเจาะน้ำมันทั้งหมดรายสัปดาห์--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา สินเชื่ออุปโภคบริโภค (SA) (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ เงินตราที่ใช้เป็นทุนสำรอง (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ปริมาณการส่งออก YoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การนำเข้า YoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การนำเข้าYoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การนำเข้า (CNH) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ดุลการค้า (CNH) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การส่งออก (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น ค่าจ้าง MoM (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น ดุลการค้า (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น GDPที่แท้จริง QoQ (ไตรมาส 3)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น GDP Nominal แก้ไขQoQ (ไตรมาส 3)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น ดุลการค้า (SA)(ข้อมูลศุลกากร) (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น GDP ประจำปี (แก้ไข) QoQ (ไตรมาส 3)--
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ปริมาณการส่งออก YoY (CNH) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --


ไม่มีข้อมูลที่ตรงกัน
ทัศนคติล่าสุด
ทัศนคติล่าสุด
หัวข้อยอดนิยม
คอลัมนิสต์ยอดนิยม
อัปเดตล่าสุด
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
ดูผลการค้นหาทั้งหมด

ไม่มีข้อมูล
นิวยอร์ค--27 เม.ย.--รอยเตอร์
ดัชนี Nasdaq ของตลาดหุ้นสหรัฐปิดบวกขึ้นเล็กน้อยในวันพุธ หลังจากบริษัทไมโครซอฟท์ คอร์ปเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่ง และปัจจัยดังกล่าวช่วยหนุนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี อย่างไรก็ดี ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์และดัชนี S&P 500 ปรับลงในวันพุธ เนื่องจากนักลงทุนยังคงกังวลกับความอ่อนแอของเศรษฐกิจสหรัฐและวิกฤติภาคธนาคาร ทั้งนี้ หุ้นไมโครซอฟท์พุ่งขึ้น 7.2% หลังจากไมโครซอฟท์เปิดเผยยอดขายและผลกำไรรายไตรมาสที่แข็งแกร่ง ซึ่งรวมถึงยอดขายผลิตภัณฑ์ปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยผลประกอบการของไมโครซอฟท์ช่วยหนุนหุ้นตัวอื่น ๆ ในกลุ่มเทคโนโลยีให้พุ่งขึ้นด้วย ซึ่งรวมถึงหุ้นอะเมซอนดอทคอมที่พุ่งขึ้น 2.3% ในขณะที่อะเมซอนทำธุรกิจประมวลผลระบบคลาวด์, หุ้นดาตาด็อกที่ทะยานขึ้น 10.5% โดยดาตาด็อกทำธุรกิจวิเคราะห์ข้อมูล และหุ้นสโนว์เฟลคที่พุ่งขึ้น 8.5% โดยสโนว์เฟลคถือเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านระบบคลาวด์ข้อมูล
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดร่วงลง 0.68% สู่ 33,301.87, ดัชนี S&P 500 ปิดปรับลง 0.38% สู่ 4,055.99 และดัชนี Nasdaq ปิดบวกขึ้น 0.47% สู่ 11,854.35 ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีพุ่งขึ้น 1.7% และถือเป็นหุ้นกลุ่มใหญ่เพียงกลุ่มเดียวจากทั้งหมด 11 กลุ่มในสหรัฐที่ปิดตลาดในแดนบวกในวันพุธ ทางด้านดัชนีหุ้นกลุ่มการขนส่งดิ่งลง 3.6% ในวันพุธ ซึ่งถือเป็นการดิ่งลงครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 11 เดือน โดยหุ้นกลุ่มการขนส่งได้รับแรงกดดันจากความกังวลทางเศรษฐกิจในสหรัฐ หลังจากสหรัฐรายงานตัวเลขยอดสั่งซื้อสินค้าทุนที่อ่อนแอในวันพุธ และหลังจากบริษัทยูไนเต็ด พาร์เซล เซอร์วิส (UPS) ซึ่งเป็นบริษัทขนส่งพัสดุคาดการณ์รายได้ตลอดทั้งปีในระดับต่ำในวันอังคาร
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานในวันพุธว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าทุนยกเว้นอาวุธและเครื่องบิน หรือยอดสั่งซื้อสินค้าทุนพื้นฐาน ซึ่งถือเป็นมาตรวัดแผนการลงทุนทางธุรกิจ ร่วงลง 0.4% ในเดือนมี.ค. หลังจากปรับลง 0.7% ในเดือนก.พ. และเทียบกับโพลล์รอยเตอร์ที่คาดว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าทุนพื้นฐานอาจขยับลงเพียง 0.1% ในเดือนมี.ค. ทางด้านยอดขนส่งสินค้าทุนพื้นฐานปรับลง 0.4% ในเดือนมี.ค. หลังจากปรับลง 0.4% ในเดือนก.พ. และสิ่งนี้บ่งชี้ว่ารายจ่ายด้านอุปกรณ์ในภาคธุรกิจอาจจะเป็นปัจจัยที่ถ่วงเศรษฐกิจสหรัฐในไตรมาสแรก
หุ้นธนาคารเฟิร์สท์ รีพับลิก ซึ่งถือเป็นธนาคารระดับภูมิภาคในสหรัฐดิ่งลง 29.8% ในวันพุธ และรูดลงแตะสถิติต่ำสุดใหม่เป็นวันที่ 2 ติดต่อกัน โดยการดิ่งลงของหุ้นเฟิร์สท์ รีพับลิกมีส่วนกดดันดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารของสหรัฐให้รูดลง 1.4% ในวันพุธ นอกจากนี้ หุ้นเฟิร์สท์ รีพับลิกก็ดิ่งลงมาแล้ว 96.1% จากช่วงต้นปีนี้ด้วย ทั้งนี้ นักลงทุนกังวลกับข่าวที่ว่า รัฐบาลสหรัฐไม่เต็มใจที่จะจัดทำมาตรการช่วยเหลือเฟิร์สท์ รีพับลิก หลังจากยอดเงินฝากในธนาคารแห่งนี้ดิ่งลงกว่า 1.00 แสนล้านดอลลาร์ในไตรมาสแรก อย่างไรก็ดี หุ้นแพคเวสท์ แบงคอร์ป ซึ่งเป็นธนาคารระดับภูมิภาคในสหรัฐพุ่งขึ้น 7.5% หลังจากแพคเวสท์รายงานผลกำไรไตรมาสแรกที่ดีเกินคาด และรายงานว่าการถอนเงินฝากเข้าสู่เสถียรภาพแล้ว
หุ้นแอลฟาเบทซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิลขยับลง 0.1% ถึงแม้แอลฟาเบทรายงานผลประกอบการไตรมาสแรกที่ดีเกินคาด และประกาศแผนซื้อคืนหุ้น 7.0 หมื่นล้านดอลลาร์ ทั้งนี้ บริษัท 163 แห่งในดัชนี S&P 500 เปิดเผยผลประกอบการไตรมาสแรกออกมาแล้ว และบริษัท 79.8% ในกลุ่มนี้เปิดเผยผลกำไรที่ดีเกินคาด ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 66% ทางด้านนักวิเคราะห์คาดการณ์ในตอนนี้ว่า บริษัทในดัชนี S&P 500 อาจมีผลกำไรลดลงเพียง 3.2% ในไตรมาสแรก หลังจากที่เพิ่งคาดการณ์ในวันก่อนหน้านั้นว่า บริษัทกลุ่มนี้อาจมีผลกำไรหดตัวลง 3.9% ในไตรมาสแรก--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--1 ก.พ.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดพุ่งขึ้นในวันอังคาร หลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ดัชนีต้นทุนการจ้างงาน (ECI) ซึ่งถือเป็นมาตรวัดต้นทุนแรงงานในวงกว้างที่สุดในสหรัฐ ปรับขึ้น 1.0% ในไตรมาส 4/2022 เมื่อเทียบรายไตรมาส ซึ่งถือเป็นการปรับขึ้นที่น้อยที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาส 4/2021 และอยู่ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ในโพลล์รอยเตอร์ที่ +1.1% หลังจากดัชนี ECI ปรับขึ้น 1.2% ในไตรมาสเดือนก.ค.-ก.ย. 2022 ทางด้านค่าแรงและเงินเดือนในสหรัฐปรับขึ้น 1.0% ในไตรมาส 4/2022 ซึ่งถือเป็นการปรับขึ้นที่น้อยที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาส 4/2021 ด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ นักลงทุนบางรายมองว่า รายงานตัวเลขนี้แสดงให้เห็นว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างแข็งกร้าวของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในช่วงที่ผ่านมากำลังประสบความสำเร็จในการทำให้อัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลง
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดพุ่งขึ้น 1.09% สู่ 34,086.04, ดัชนี S&P 500 ปิดทะยานขึ้น 1.46% สู่ 4,076.6 และดัชนี Nasdaq ปิดพุ่งขึ้น 1.67% สู่ 11,584.55 ทั้งนี้ ดัชนี S&P 500 ปิดตลาดเดือนม.ค.ด้วยการพุ่งขึ้น 6.2% จากเดือนธ.ค. ส่วนดัชนี Nasdaq ทะยานขึ้น 10.7% ในเดือนม.ค. ซึ่งถือเป็นอัตราการพุ่งขึ้นครั้งใหญ่ที่สุดสำหรับเดือนม.ค.ในแต่ละปีนับตั้งแต่ปี 2001 เป็นต้นมา
นักลงทุนในตลาดสัญญาล่วงหน้าคาดการณ์ว่า มีโอกาส 97.9% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ 4.50-4.75% ในการประชุมวันที่ 31 ม.ค.-1 ก.พ. และมีโอกาสเพียง 2.1% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% สู่ 4.75-5.00% ในการประชุมวันที่ 31 ม.ค.-1 ก.พ.
หุ้นทั้ง 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐปิดตลาดในแดนบวกในวันอังคาร โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มวัสดุกับหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยที่พุ่งขึ้นกว่า 2% ทั้งนี้ นักลงทุนจับตาดูผลประกอบการของบริษัทสหรัฐในช่วงนี้ โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิลในกลุ่มน้ำมันพุ่งขึ้น 2.2% ในวันอังคาร หลังจากเอ็กซอนรายงานว่ามีผลกำไรสุทธิ 5.6 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2022 ซึ่งถือเป็นการทำสถิติสูงสุดใหม่สำหรับอุตสาหกรรมน้ำมันในชาติตะวันตก ทางด้านหุ้นยูไนเต็ด พาร์เซล เซอร์วิส (UPS) ทะยานขึ้น 4.7% หลังจาก UPS เปิดเผยผลกำไรรายไตรมาสที่สูงเกินคาด
หุ้นเจเนอรัล มอเตอร์ส (GM) ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์พุ่งขึ้น 8.3% หลังจาก GM คาดการณ์ผลกำไรปี 2023 ที่สูงเกินคาด ทั้งนี้ หุ้นแคเทอร์พิลลาร์ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตเครื่องจักรดิ่งลง 3.5% หลังจากทางบริษัทรายงานว่า ผลกำไรไตรมาส 4 ดิ่งลง 29% ส่วนหุ้นแมคโดนัลด์รูดลง 1.3% หลังจากแมคโดนัลด์ประกาศเตือนว่า ภาวะเงินเฟ้อจะส่งผลลบต่ออัตราผลกำไรในปี 2023--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--29 ธ.ค.--รอยเตอร์
กองทุนอาร์ค อินโนเวชันของนางแคธี วูดเคยมีขนาดพุ่งขึ้นกว่า 2 เท่าในช่วงที่เกิดวิกฤติโรคโควิด-19 แต่กองทุนดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะปิดตลาดปีนี้ด้วยการครองตำแหน่งเกือบต่ำสุดในบรรดากองทุนรวมทั้งหมดในสหรัฐ หลังจากการพุ่งขึ้นของอัตราเงินเฟ้อและการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างแข็งกร้าวส่งผลลบต่อหุ้นกลุ่มเติบโตสูง ทั้งนี้ กองทุนอาร์ค อินโนเวชันดิ่งลงมาแล้วราว 67% จากช่วงต้นปีนี้ ในขณะที่ดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐรูดลงเพียง 20% จากช่วงต้นปีนี้ โดยการดิ่งลง 67%ของกองทุนอาร์ค อินโนเวชันส่งผลให้กองทุนนี้ดิ่งลงมากที่สุดในบรรดากองทุนหุ้นเติบโตขนาดกลาง 537 แห่งในสหรัฐ และส่งผลให้กองทุนนี้ครองตำแหน่งเกือบต่ำสุดในบรรดากองทุนหุ้นทั้งหมดในสหรัฐที่บริษัทมอร์นิงสตาร์ติดตามข้อมูลอยู่
ดัชนี S&P 500 อาจจะปิดตลาดปีนี้ด้วยการดิ่งลงรายปีครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 2008 และปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้กองทุนส่วนใหญ่ขาดทุนในปี 2022 โดยนายไบรอัน จาค็อบเสน นักยุทธศาสตร์การลงทุนของบริษัทออลสปริง โกลบัล อินเวสท์เมนท์กล่าวว่า "ผู้จัดการกองทุนคาดการณ์ผิดพลาดในเรื่องภาวะเงินเฟ้อในปีนี้ และธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เองก็คาดการณ์ผิดพลาดในเรื่องภาวะเงินเฟ้อด้วยเช่นกัน" ทั้งนี้ เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมาแล้ว 4.25% นับตั้งแต่เดือนมี.ค.เพื่อพยายามควบคุมภาวะเงินเฟ้อ และปัจจัยดังกล่าวก็ส่งผลลบเป็นอย่างมากต่อหุ้นกลุ่มเติบโตสูง เพราะว่าอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นส่งผลให้หุ้นเติบโตมีความน่าดึงดูดน้อยลง เนื่องจากมูลค่าของหุ้นเติบโตมักจะขึ้นอยู่กับผลกำไรในอนาคต นอกจากนี้ อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นก็ส่งผลให้พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐและตราสารหนี้อื่น ๆ มีความน่าดึงดูดมากยิ่งขึ้นด้วย ซึ่งส่งผลลบต่อความต้องการลงทุนในหุ้น ทางด้านกองทุนของนางวูดเน้นการลงทุนในหุ้นเติบโต
ข้อมูลของบริษัทมอร์นิงสตาร์แสดงให้เห็นว่า กองทุนของนางวูดติดอันดับที่ 3,544 ในบรรดากองทุนรวมหุ้นสหรัฐที่ลงทุนเชิงรุกทั้งหมด 3,552 แห่ง ส่วนกองทุนที่ติดอันดับต่ำสุดในกลุ่มนี้คือกองทุนโวยา รัสเซีย ฟันด์ที่ดิ่งลง 92% จากช่วงต้นปีนี้ ทั้งนี้ ในบรรดาหุ้น 10 อันดับแรกที่กองทุนอาร์ค อินโนเวชันถือครองไว้มากที่สุดนั้น หุ้นทั้ง 10 ตัวนี้ต่างก็ดิ่งลงมาแล้วไม่ต่ำกว่า 30% จากช่วงต้นปีนี้ ซึ่งรวมถึงหุ้นบริษัทซูม วิดีโอ คอมมูนิเคชันส์, หุ้นเทสลา และหุ้นบล็อค อิงค์ (ซึ่งมีชื่อเดิมว่า "สแควร์") ที่ต่างก็รูดลงมาแล้วกว่า 60% จากช่วงต้นปีนี้ ในขณะที่หุ้นบริษัทเทลาด็อค เฮลธ์และหุ้นบริษัทโรคูต่างก็ดิ่งลงมาแล้วกว่า 70% จากช่วงต้นปีนี้
นางวูดคาดการณ์ผิดพลาดในเรื่องภาวะเงินเฟ้อในช่วงที่ผ่านมา โดยเธอเคยกล่าวเมื่อ 1 ปีก่อนว่า ภาวะเงินฝืดถือเป็นความเสี่ยงที่แท้จริงสำหรับตลาดในช่วงหนึ่งปีข้างหน้า และเธอได้กล่าวในเดือนก.ย.ปีนี้ว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดถือเป็นเรื่องที่ผิดพลาด อย่างไรก็ดี ดัชนีราคาผู้บริโภคของสหรัฐได้พุ่งขึ้นในอัตราที่สูงที่สุดในรอบ 40 ปีในบางเดือนในปี 2022 ทั้งนี้ นางวูดเคยมีชื่อเสียงโด่งดังในปี 2020 เพราะหุ้นบริษัทซูมและบริษัทเทลาด็อคในพอร์ตลงทุนของเธอมีราคาพุ่งขึ้นสูงมาก โดยได้รับแรงหนุนจากมาตรการล็อกดาวน์ในช่วงนั้น โดยสถานการณ์ในตอนนั้นส่งผลให้กองทุนของเธอมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารมากถึง 2.76 หมื่นล้านดอลลาร์ อย่างไรก็ดี กองทุนดังกล่าวมีขนาดสินทรัพย์ภายใต้การบริหารต่ำกว่า 6.5 พันล้านดอลลาร์ในปัจจุบัน
กองทุนอื่น ๆ ที่ลงทุนเป็นเงินจำนวนมากในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีต่างก็ดิ่งลงอย่างรุนแรงเช่นกันในปี 2022 โดยกองทุน Morgan Stanley Insight I ซึ่งมีขนาด 1.4 พันล้านดอลลาร์ และลงทุนเป็นเงินจำนวนมากในบริษัทสโนว์เฟลคที่ทำธุรกิจคลาวด์ ดิ่งลงมาแล้ว 61.3% จากช่วงต้นปีนี้ และถือเป็นหนึ่งในกองทุนขนาดใหญ่ที่ดิ่งลงมากที่สุดในปีนี้ ส่วนกองทุนเซเวนเบอร์เกน จีเนีย ซึ่งมีขนาด 59 ล้านดอลลาร์ และลงทุนเป็นเงินจำนวนมากในบริษัทเทสลา รูดลงมาแล้ว 59% จากช่วงต้นปีนี้ และถือเป็นหนึ่งในกองทุนกระจายความเสี่ยงที่ดิ่งลงมากที่สุดในปีนี้ ทั้งนี้ ในบรรดากองทุนรวมหุ้นที่มีการบริหารเชิงรุกและมีผลประกอบการดีที่สุด 15 อันดับแรกในปีนี้นั้น กองทุนส่วนใหญ่ในกลุ่มนี้เน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงานหรือสินค้าโภคภัณฑ์ ดังนั้นกองทุนกลุ่มนี้จึงได้รับประโยชน์จากการทะยานขึ้นของราคาน้ำมันและราคาวัตถุดิบอื่น ๆ ซึ่งรวมถึงกองทุนอินเวสโก เอ็นเนอร์จีที่พุ่งขึ้นมาแล้วเกือบ 49% จากช่วงต้นปีนี้ และครองอันดับหนึ่งในบรรดากองทุนแบบกระจายความเสี่ยง (diversified) ในอันดับที่จัดทำโดยบริษัทมอร์นิงสตาร์ในช่วงกลางเดือนธ.ค. ทางด้านกองทุน MicroSectors U.S. Big Oil 3x Leveraged ETN ซึ่งลงทุนในบริษัทเชฟรอน และบริษัทเอ็กซอน โมบิลในกลุ่มน้ำมัน ทะยานขึ้นมาแล้ว 172% จากช่วงต้นปีนี้ และครองอันดับหนึ่งในบรรดากองทุนทั้งหมดในอันดับที่จัดทำโดยมอร์นิงสตาร์--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--19 ก.ย.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดร่วงลงในวันศุกร์ หลังจากดิ่งลงแตะจุดต่ำสุดรอบ 2 เดือนในระหว่างวัน โดยตลาดหุ้นได้รับแรงกดดัน หลังจากบริษัทเฟดเอ็กซ์ซึ่งทำธุรกิจจัดส่งพัสดุประกาศเตือนเรื่องการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และปัจจัยดังกล่าวกระตุ้นให้นักลงทุนเทขายสินทรัพย์เสี่ยงและเข้าซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย ทั้งนี้ เฟดเอ็กซ์รายงานในช่วงเย็นวันพฤหัสบดีว่า ผลประกอบการไตรมาสแรกของปีงบดุลบัญชีได้รับความเสียหายจากยอดจัดส่งพัสดุที่อ่อนแอทั่วโลก และเฟดเอ็กซ์คาดว่าสถานการณ์ทางธุรกิจจะย่ำแย่ลงไปอีกในอนาคต โดยเฟดเอ็กซ์ได้ยกเลิกคาดการณ์ผลกำไรด้วย โดยหุ้นเฟดเอ็กซ์ดิ่งลง 21.4% ในวันศุกร์ ซึ่งถือเป็นหุ้นที่ดิ่งลงมากที่สุดในดัชนี S&P 500 ทางด้านหุ้นบริษัทอื่น ๆ ที่ทำธุรกิจจัดส่งพัสดุรูดลงด้วยเช่นกัน ซึ่งรวมถึงหุ้นยูไนเต็ด พาร์เซล เซอร์วิส (UPS) ที่ดิ่งลง 4.5% และหุ้นเอ็กซ์พีโอ โลจิสติกส์ที่รูดลง 4.7% ทางด้านหุ้นอะเมซอนดอทคอมดิ่งลง 2.1% โดยการดิ่งลงของหุ้นเฟดเอ็กซ์มีส่วนกดดันดัชนีหุ้นกลุ่มการขนส่งของสหรัฐให้ปิดรูดลง 5.1% ในวันศุกร์
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดร่วงลง 0.45% สู่ 30,822.42, ดัชนี S&P 500 ปิดปรับลง 0.72% สู่ 3,873.33 และดัชนี Nasdaq ปิดร่วงลง 0.9% สู่ 11,448.40 โดยทั้งสามดัชนีต่างก็รูดลงแตะจุดต่ำสุดนับตั้งแต่กลางเดือนก.ค. และดัชนี S&P 500 ปิดตลาดที่ระดับต่ำกว่า 3,900 ซึ่งถือเป็นแนวรับสำคัญ นอกจากนี้ ทั้งดัชนี S&P 500 และ Nasdaq ต่างก็ปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการดิ่งลงรายสัปดาห์ครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย.ด้วย ในขณะที่ตลาดหุ้นได้รับแรงกดดันจากความกังวลเรื่องภาวะเงินเฟ้อ, ความกังวลเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และสัญญาณเตือนทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้ หุ้น 9 กลุ่มจาก 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐปิดตลาดในแดนลบในวันศุกร์ โดยหุ้นกลุ่มพลังงานและหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมถือเป็นหุ้น 2 กลุ่มที่ดิ่งลงมากที่สุด
นายเดวิด คาร์เตอร์ กรรมการผู้จัดการของเจพีมอร์แกนในนิวยอร์คกล่าวว่า ตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตรได้รับแรงกดดันจากอัตราเงินเฟ้อที่ระดับสูง, อัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูง และอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ระดับต่ำในช่วงนี้ และเขากล่าวเสริมว่า "ถึงแม้นักลงทุนคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งใหญ่ในสัปดาห์หน้า นักลงทุนก็ไม่แน่ใจเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงหลังจากนั้น เฟดกำลังทำในสิ่งที่จำเป็นต้องทำในตอนนี้ และหลังจากเศรษฐกิจสหรัฐและตลาดเผชิญกับความยากลำบากเป็นเวลาระยะหนึ่ง เศรษฐกิจและตลาดก็จะเยียวยาตัวเองได้" ทั้งนี้ นักลงทุนคาดว่า มีโอกาส 82% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% สู่ 3.00-3.25% ในการประชุมวันที่ 20-21 ก.ย. และมีโอกาส 18% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 1.00% สู่ 3.25-3.50% ในการประชุมวันที่ 20-21 ก.ย.
ตลาดหุ้นได้รับแรงกดดัน หลังจากธนาคารกลางโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ประกาศเตือนในวันพฤหัสบดีว่าเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวลง โดยธนาคารกลางโลกระบุในวันพฤหัสบดีว่า เศรษฐกิจโลกอาจใกล้ที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอย ในขณะที่ธนาคารกลางทั่วโลกปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยพร้อมกันเพื่อรับมือกับภาวะเงินเฟ้อที่ยืดเยื้อ ทางด้านนายเจอร์รี ไรซ์ โฆษของไอเอ็มเอฟกล่าวในวันพฤหัสบดีว่า แนวโน้มเศรษฐกิจโลกยังคงเผชิญกับความเสี่ยงด้านต่ำ และมีการคาดการณ์กันว่าเศรษฐกิจของบางประเทศจะเข้าสู่ภาวะถดถอยในปี 2023 แต่ขณะนี้ยังเร็วเกินไปที่จะระบุได้ว่า เศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ภาวะถดถอยในวงกว้างหรือไม่
การซื้อขายหุ้นในวันศุกร์ได้รับผลกระทบจากการครบกำหนดอายุของออปชั่นรายเดือนด้วย โดยออปชั่นดังกล่าวจะครบกำหนดอายุในวันศุกร์ที่ 3 ของแต่ละเดือน และการทำประกันความเสี่ยงสำหรับออปชั่นก็จะส่งผลให้ตลาดหุ้นแกว่งตัวผันผวนมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ดัชนี VIX ที่ใช้วัดระดับความกังวลในตลาดหุ้นสหรัฐพุ่งขึ้นแตะ 28.45 ในระหว่างช่วงการซื้อขายวันศุกร์ ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดรอบ 2 เดือน--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--27 ต.ค.--รอยเตอร์
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์และดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐปรับขึ้นมาปิดตลาดที่สถิติระดับปิดสูงสุดใหม่ในวันอังคาร แต่ตลาดหุ้นปรับขึ้นได้ไม่มากนัก เนื่องจากหุ้นเฟซบุ๊กปิดตลาดดิ่งลง 3.92% สู่ 315.81 ดอลลาร์ หลังจากเฟซบุ๊กเปิดเผยผลกำไรรายไตรมาส ทั้งนี้ หุ้นเฟซบุ๊กถือเป็นหุ้นที่ถ่วงดัชนี S&P 500 และดัชนี Nasdaq มากที่สุดในวันอังคาร หลังจากเฟซบุ๊กประกาศเตือนว่า การที่บริษัทแอปเปิล อิงค์ปรับเปลี่ยนกฎระเบียบด้านความเป็นส่วนตัวจะส่งผลลบต่อธุรกิจดิจิทัลของเฟซบุ๊ก โดยหุ้นเฟซบุ๊กปิดตลาดที่ระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 200 วัน ซึ่งอยู่ที่ 320.20 ดอลลาร์ในวันอังคาร และครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่วันที่ 8 มี.ค.ที่หุ้นเฟซบุ๊กปิดตลาดต่ำกว่าค่าเฉลี่ยดังกล่าว และสิ่งนี้บ่งชี้ว่าหุ้นเฟซบุ๊กอาจจะดิ่งลงต่อไป
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดขยับขึ้น 0.04% สู่ 35,756.88, ดัชนี S&P 500 ปิดบวกขึ้น 0.18% สู่ 4,574.79 และดัชนี Nasdaq ปิดขยับขึ้น 0.06% สู่ 15,235.72 ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มปลอดภัยพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในวันอังคาร ซึ่งรวมถึงหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคและหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ และสิ่งนี้บ่งชี้ว่านักลงทุนใช้ความระมัดระวังในการลงทุนในช่วงนี้
ดัชนี S&P พุ่งขึ้นแตะสถิติสูงสุดใหม่ในระหว่างวันที่ 4,598.53 โดยได้รับแรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นบริษัทขนาดใหญ่ ซึ่งรวมถึงหุ้นเอ็นวิเดีย คอร์ปที่พุ่งขึ้น 6.70% มาปิดตลาดที่สถิติระดับปิดสูงสุดใหม่ที่ 247.17 ดอลลาร์, หุ้นอะเมซอนดอทคอมที่ทะยานขึ้น 1.68% และหุ้นแอปเปิลที่บวกขึ้น 0.46% นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยังได้รับแรงหนุนจากผลประกอบการรายไตรมาสที่แข็งแกร่งด้วย โดยหุ้นยูไนเต็ด พาร์เซล เซอร์วิส (UPS) ซึ่งเป็นบริษัทขนส่งพัสดุพุ่งขึ้น 6.95% และหุ้นเจเนอรัล อิเล็กทริค (GE) ทะยานขึ้น 2.03% หลังจากบริษัททั้งสองเปิดเผยผลประกอบการ
นักวิเคราะห์คาดว่า ผลกำไรของบริษัทในดัชนี S&P 500 อาจพุ่งขึ้น 35.6% ในไตรมาสสามเมื่อเทียบรายปี ทั้งนี้ บริษัทไมโครซอฟท์ คอร์ป และบริษัทแอลฟาเบท ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล ได้รายงานผลประกอบการออกมาหลังจากตลาดปิดทำการในวันอังคาร
สำนักงาน Conference Board รายงานในวันอังคารว่า ผู้บริโภคสหรัฐมีความเชื่อมั่นสูงเกินคาดต่อเศรษฐกิจสหรัฐ โดยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐพุ่งขึ้นจาก 109.8 ในเดือนก.ย. สู่ 113.8 ในเดือนต.ค. โดยได้รับแรงหนุนจากแนวโน้มที่ดีขึ้นในตลาดแรงงาน และปัจจัยบวกนี้ช่วยชดเชยความกังวลเรื่องอัตราเงินเฟ้อที่ระดับสูง ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานในวันอังคารว่า ยอดขายบ้านเดี่ยวหลังใหม่ในสหรัฐพุ่งขึ้น 14.0% ในเดือนก.ย.--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
เครื่องมือออกแบบโปสเตอร์
โครงการพันธมิตร
ความเสี่ยงของการสูญเสียในการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น หุ้น FX สินค้าโภคภัณฑ์ ฟิวเจอร์ส พันธบัตร ETFs หรือเงินดิจิทัลอาจมีมาก คุณอาจสูญเสียเงินทุนทั้งหมดที่คุณฝากไว้กับโบรกเกอร์ของคุณ ดังนั้น คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบว่าการซื้อขายดังกล่าวเหมาะสมกับคุณหรือไม่ในสถานการณ์และทรัพยากรทางการเงินของคุณ
ไม่ควรตัดสินใจลงทุนโดยไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบสถานะอย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วยตัวเองหรือปรึกษากับที่ปรึกษาทางการเงินของคุณ เนื้อหาเว็บของเราอาจไม่เหมาะกับคุณเนื่องจากเราไม่ทราบเงื่อนไขทางการเงินและความต้องการในการลงทุนของคุณ ข้อมูลทางการเงินของเราอาจมีความล่าช้าหรือมีความไม่ถูกต้อง ดังนั้นคุณควรรับผิดชอบอย่างเต็มที่ต่อการตัดสินใจซื้อขายและการลงทุนของคุณ บริษัทจะไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียเงินทุนของคุณ
หากไม่ได้รับอนุญาตจากเว็บไซต์ คุณจะไม่สามารถคัดลอกกราฟิก ข้อความ หรือเครื่องหมายการค้าของเว็บไซต์ได้ สิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาในเนื้อหาหรือข้อมูลที่รวมอยู่ในเว็บไซต์นี้เป็นของผู้ให้บริการและผู้ค้าแลกเปลี่ยน
ไม่ได้ล็อกอิน
เข้าสู่ระบบเพื่อเข้าถึงฟังก์ชั่นเพิ่มเติม

สมาชิก FastBull
ยังไม่ได้เปิด
สมัคร
เข้าสู่ระบบ
ลงทะเบียน