ตลาด
ข่าวสาร
การวิเคราะห์
ผู้ใช้
24x7
ปฏิทินเศรษฐกิจ
แหล่งเรียนรู้
ข้อมูล
- ชื่อ
- ค่าล่าสุด
- ครั้งก่อน












สัญญาณ VIP
ทั้งหมด
ทั้งหมด



ฝรั่งเศส บัญชีเดินสะพัด (Not SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส ดุลการค้า (SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส การผลิตภาคอุตสาหกรรม MoM(SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
อิตาลี ดัชนียอดค้าปลีก MoM (SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงาน YoY (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน GDP Final YoY (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน GDP Final QoQ (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงาน QoQ (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงานสุดท้าย (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
บราซิล PPI MoM (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
เม็กซิโก ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา อัตราการว่างงาน (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา อัตราการมีส่วนร่วมในการจ้างงาน (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงาน (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงานนอกเวลา (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงานเต็มเวลา (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา รายได้ส่วนบุคคล MoM (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคา PCE YoY (SA) (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาธนาคารกลางรัฐดัลลาส สหรัฐอเมริกา PCE YoY (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคา PCE MoM (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา รายจ่ายส่วนบุคคล MoM(SA) (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาPCEหลักMoM (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาPCEหลักYoY (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา เงินเฟ้อเบื้องต้น UMich 5-YearYoY (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ค่าใช้จ่ายการบริโภคส่วนบุคคลที่จริง MoM (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การคาดการณ์เงินเฟ้อ 5-10 ปี (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีสถานภาพเบื้องต้น UMich ปัจจุบัน (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้น UMich (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อล่วงหน้า 1 ปี UMich (เบื้องต้น) (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีความคาดหวังผู้บริโภค UMich (เบื้องต้น) (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ปริมาณเครื่องเจาะทั้งหมดรายสัปดาห์--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ปริมาณเครื่องเจาะน้ำมันทั้งหมดรายสัปดาห์--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา สินเชื่ออุปโภคบริโภค (SA) (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ เงินตราที่ใช้เป็นทุนสำรอง (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ปริมาณการส่งออก YoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การนำเข้า YoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การนำเข้าYoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การนำเข้า (CNH) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ดุลการค้า (CNH) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การส่งออก (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น ค่าจ้าง MoM (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น ดุลการค้า (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น GDPที่แท้จริง QoQ (ไตรมาส 3)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น GDP Nominal แก้ไขQoQ (ไตรมาส 3)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น ดุลการค้า (SA)(ข้อมูลศุลกากร) (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น GDP ประจำปี (แก้ไข) QoQ (ไตรมาส 3)--
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ปริมาณการส่งออก YoY (CNH) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --


ไม่มีข้อมูลที่ตรงกัน
ทัศนคติล่าสุด
ทัศนคติล่าสุด
หัวข้อยอดนิยม
คอลัมนิสต์ยอดนิยม
อัปเดตล่าสุด
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
ดูผลการค้นหาทั้งหมด

ไม่มีข้อมูล
ดัชนีหุ้นสหรัฐชั้นนำปิดเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในวันศุกร์ หลังการแถลงผลประกอบการที่ออกมาคละเคล้ากัน ขณะที่นักลงทุนประเมินว่า ข้อมูลเศรษฐกิจที่ออกมาขัดแย้งกันอาจมีอิทธิพลอย่างไรต่ออัตราดอกเบี้ย และรอดูการแถลงผลประกอบการในสัปดาห์นี้
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวก 22.34 จุด หรือ 0.07% ที่ 33,808.96, ดัชนี S&P 500 ปิดบวก 3.73 จุด หรือ 0.09% สู่ระดับ 4,133.52 และดัชนี Nasdaq ปิดบวก 12.90 จุด หรือ 0.11% สู่ 12,072.46 โดยในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนี S&P 500 ลดลง 0.1%, ดัชนีดาวโจนส์ลดลง 0.2% และดัชนี Nasdaq ลดลง 0.4%
ผลสำรวจพบว่า กิจกรรมทางธุรกิจของสหรัฐขยายตัวสูงสุดในรอบ 11 เดือนในเดือนเม.ย. ซึ่งทำให้แนวโน้มนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มืดมนมากขึ้น หลังข้อมูลในช่วงต้นสัปดาห์ที่แล้วบ่งชี้ถึงภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอ
สัปดาห์นี้จะมีการแถลงผลประกอบการจากบริษัทที่มีมูลค่าสูงสุดหลายบริษัทของสหรัฐ อาทิ ไมโครซอฟท์, อัลฟาเบ็ท และแอมะซอน โดยหุ้นแอมะซอนพุ่งขึ้น 3% หลังจากบริษัทวิจัยแห่งหนึ่งคาดว่า ธุรกิจของแอมะซอนในอเมริกาเหนือจะดีกว่าตัวเลขคาดการณ์ของวอลล์สตรีท
จนถึงขณะนี้ นักลงทุนยังคงคาดการณ์ในสัปดาห์ที่แล้วที่ว่า ผลกำไรรายไตรมาสของบริษัทในดัชนี S&P 500 จะร่วงเกือบ 5% เมื่อเทียบรายปี โดยนายปีเตอร์ ทุซ ประธานบริษัทเชส อินเวสเมนต์ เคาน์เซิล กล่าวว่า "การไม่สามารถคาดเดาผลกำไรและรายได้ และการชี้แนะแนวทางในอนาคตมีเพิ่มขึ้นมาก และคุณยังมีสัญญาณที่แสดงว่า เศรษฐกิจกำลังอ่อนแอลงไปทุกที่"--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย เสาวณีย์ เอกปัญญาชัย แปลและเรียบเรียง)
นิวยอร์ค--17 เม.ย.--รอยเตอร์
นักวิเคราะห์ตลาดหุ้นสหรัฐระบุว่า นักลงทุนกำลังรอดูผลประกอบการไตรมาสแรกของบริษัทในกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยของสหรัฐที่จะได้รับการรายงานออกมาในช่วงไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า เพราะว่าผลประกอบการดังกล่าวอาจจะบ่งชี้ได้ว่า เศรษฐกิจสหรัฐมีสถานะเป็นเช่นใด หลังจากเศรษฐกิจเผชิญกับอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูงมาเป็นเวลานาน และได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างแข็งกร้าวของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ ผู้บริโภคสหรัฐรักษาระดับความแข็งแกร่งไว้ได้เป็นอย่างดีในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ถึงแม้มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจำนองและอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิต อย่างไรก็ดี การปรับลดพนักงานจำนวนมากในบริษัทกลุ่มเทคโนโลยีในไตรมาสแรกและวิกฤติภาคธนาคาร ในเดือนมี.ค. อาจจะส่งผลลบต่อแนวโน้มการจับจ่ายใช้สอยในด้านต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงในภาคความบันเทิง, ร้านอาหาร, ภาครถยนต์ และภาคโรงแรม
นายแกร์เรทท์ เมลสัน นักยุทธศาสตร์การลงทุนพอร์ตลงทุนของบริษัทแนติซิส อินเวสท์เมนท์ แมเนเจอร์ส โซลูชันส์กล่าวว่า "นักลงทุนไม่แน่ใจว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะทรุดตัวลงอย่างรุนแรง หรือว่าจะชะลอตัวลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่ถ้าหากตัวเลขในภาคการบริโภคอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง สิ่งนี้ก็จะช่วยสนับสนุนการคาดการณ์ที่ว่า เศรษฐกิจสหรัฐอาจจะสามารถหลีกเลี่ยงจากภาวะเลวร้ายที่สุดได้" โดเขาคาดการณ์ในทางบวกต่อหุ้นกลุ่มก่อสร้างบ้านและหุ้นกลุ่มผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า เนื่องจากเขาคาดว่าตลาดบ้านจะฟื้นตัวขึ้น
นักวิเคราะห์คาดว่า ผลกำไรของบริษัทในดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐอาจดิ่งลง 5.2% ในไตรมาสแรกเมื่อเทียบรายปี หลังจากผลกำไรปรับลดลงไปแล้วในไตรมาส 4/2022 ซึ่งเท่ากับว่าจะเกิดภาวะผลกำไรถดถอย โดยนักวิเคราะห์คาดว่า กลุ่มบริษัทที่อาจจะมีผลกำไรดิ่งลงอย่างรุนแรงในไตรมาสแรกรวมถึงกลุ่มวัสดุที่อาจจะมีผลกำไรดิ่งลง 32.9%, กลุ่มการแพทย์ที่อาจรูดลง 18.9% และกลุ่มเทคโนโลยีที่อาจมีผลกำไรดิ่งลง 14.4% ส่วนกลุ่มบริษัทที่อาจมีผลกำไรพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในไตรมาสแรกรวมถึงกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยที่อาจจะมีผลกำไรพุ่งขึ้น 36.5%, กลุ่มอุตสาหกรรมที่อาจจะทะยานขึ้น 17.1% และกลุ่มพลังงานที่อาจมีผลกำไรพุ่งขึ้น 13.7% ทางด้านดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้นมาแล้วราว 6.5% จากช่วงต้นปีนี้
บริษัทในกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยที่จะรายงานผลประกอบการในสัปดาห์นี้รวมถึงบริษัทเน็ตฟลิกซ์ที่จะรายงานผลประกอบการในวันที่ 18 เม.ย., บริษัทเทสลาที่จะรายงานผลประกอบการในวันที่ 19 เม.ย. และบริษัทออโตเนชัน ส่วนบริษัทอะเมซอนดอทคอมจะรายงานผลประกอบการในวันที่ 27 เม.ย. ทั้งนี้ นายเมลสันกล่าวว่า ความกังวลเรื่องภาวะเศรษฐกิจถดถอยในช่วง 1 ปีที่ผ่านมาส่งผลให้บริษัทหลายแห่งในกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยปรับลดต้นทุนลงเพื่อหนุนอัตราผลกำไร และปัจจัยนี้อาจจะส่งผลให้บริษัทในกลุ่มนี้รายงานผลกำไรไตรมาสแรกที่สูงเกินคาด
บริษัทในกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยได้รับแรงหนุนจากตลาดแรงงานสหรัฐที่ยังคงอยู่ในภาวะแข็งแกร่ง เพราะตลาดแรงงานที่แข็งแกร่งช่วยหนุนปริมาณการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภค โดยดัชนีหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยพุ่งขึ้นมาแล้วราว 14% จากช่วงต้นปีนี้ ซึ่งสูงกว่าอัตราการพุ่งขึ้นของดัชนี S&P 500 เป็นอย่างมาก ในขณะที่หุ้นเทสลาและหุ้นอะเมซอนครองน้ำหนักเกือบ 40% ในดัชนีหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย ทั้งนี้ หุ้นเทสลาพุ่งขึ้นมาแล้วเกือบ 50% จากช่วงต้นปีนี้ ส่วนหุ้นอะเมซอนทะยานขึ้นมาแล้วเกือบ 22% ทางด้านกองทุน SPDR ETF สำหรบหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยมีเงินลงทุนไหลเข้าสุทธิ 229.1 ล้านดอลลาร์ในช่วง 6 สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นยอดเงินไหลเข้าระยะ 6 สัปดาห์ที่สูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนส.ค. 2022--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
ความผันผวนอย่างมากของสกุลเงินทั่วโลกฉุดผลกำไรของภาคเอกชนร่วงลงในปีที่แล้ว และขณะที่ตลาดอัตราแลกเปลี่ยนผันผวนน้อยลงนั้น หลายบริษัทก็กำลังหาทางปกป้องผลกำไร และลดต้นทุนการประกันความเสี่ยง โดยความผันผวนของค่าเงินทำให้ดัชนี VXY G7 ของเจ.พี.มอร์แกนในเดือนก.ย.พุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 2 ปี และความผันผวนยังคงเพิ่มขึ้นที่ 10.1 สูงกว่าระดับเฉลี่ยรอบ 10 ปีที่ 8.34
ความผันผวนของค่าเงินกระทบบริษัทขนาดใหญ่ อาทิ ไอบีเอ็ม ซึ่งระบุว่าอัตราแลกเปลี่ยนทำให้รายได้ลดลง 3.5 พันล้านดอลลาร์ในปี 2022 ในการแถลงผลประกอบการในไตรมาส 4 ขณะที่บริษัทเมต้า ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของเฟซบุ๊คเปิดเผยว่า รายได้ 3.22 หมื่นล้านดอลลาร์ในไตรมาสที่แล้วน่าจะสูงกว่านั้นอีก 2 พันล้านดอลลาร์ ถ้าไม่มีความผันผวนของค่าเงิน
นายแอนดี้ เกจ รองประธานอาวุโสด้านโซลูชั่นและที่ปรึกษาอัตราแลกเปลี่ยนจากไครีบากล่าวว่า ดอลลาร์ร่วงลงกว่า 7% เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินหลักในรอบ 3 เดือนที่ผ่านมา หลังจากที่พุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 20 ปีในปีที่แล้ว และนั่นอาจจะเป็นข่าวน่ายินดีสำหรับบริษัทที่ต้องการฟื้นคืนจากการขาดทุนในปีที่แล้ว แต่ความผันผวนยังคงน่ากังวลมาก ขณะที่องค์กรต่างๆกำลังสรุปการรายงานผลประกอบการรอบสิ้นปีและเตรียมการชี้แนะสำหรับปีนี้
หลายบริษัทกำลังใช้ออปชั่นเพื่อป้องกันผลขาดทุนที่เกิดจากอัตราแลกเปลี่ยน และนั่นอาจจะหมายความว่า พวกเขาจะได้ประโยชน์ถ้าความผันผวนของค่าเงินเอื้อประโยชน์ให้แก่พวกเขา
อีกวิธีที่ธุรกิจต่างๆพยายามลดต้นทุนการประกันความเสี่ยงให้น้อยที่สุดก็คือการกระจายการบริหารค่าเงินไปยังโบรกเกอร์มากขึ้นนอกเหนือไปจากธนาคารรับชำระบัญชีหลักๆที่พวกเขาใช้อยู่--จบ--
Eikon source text
ดัชนีหุ้นสหรัฐปิดร่วงลงในวันศุกร์ หลังจากข้อมูลการจ้างงานที่แข็งแกร่งเกินคาดทำให้เกิดความวิตกเกี่ยวกับการดำเนินการแบบเชิงรุกของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ขณะที่นักลงทุนได้พิจารณารายงานผลประกอบการของบริษัทขนาดใหญ่ที่ออกมาไร้ทิศทาง
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดลดลง 127.93 จุด หรือ 0.38% ที่ 33,926.01, ดัชนี S&P 500 ปิดร่วงลง 43.28 จุด หรือ 1.04% สู่ระดับ 4,136.48 และดัชนี Nasdaq ปิดร่วงลง 193.86 จุด หรือ 1.59% สู่ 12,006.96 และในสัปดาห์ที่แล้ว ดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้นรวม 1.6%, ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ลดลง 0.15% และดัชนี Nasdaq พุ่งขึ้น 3.3%
การจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐพุ่งขึ้น 517,000 ตำแหน่งในเดือนม.ค. มากกว่าที่คาดไว้ที่ 185,000 ตำแหน่ง ขณะที่อัตราว่างงานแตะระดับต่ำสุดในรอบกว่า 53 ปีครึ่งที่ 3.4% และกิจกรรมภาคบริการของสหรัฐดีดตัวขึ้นแข็งแกร่งในเดือนม.ค.
นักลงทุนได้พิจารณาสัญญาณที่มีหวังที่ว่า เศรษฐกิจอาจจะหลีกเลี่ยงภาวะถดถอยที่วิตกกันได้กับความวิตกว่า เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับสูงต่อไปเพื่อควบคุมเงินเฟ้อเป็นเวลานานเท่าใด
นักลงทุนได้พิจารณารายงานผลประกอบการของภาคเอกชนด้วย โดยหุ้นแอปเปิลพุ่งขึ้น 2.4% หลังจากบริษัทคาดว่า รายได้จะลดลงเป็นไตรมาสที่ 2 ติดต่อกัน แต่ยอดขายไอโฟนอาจจะดีขึ้นเนื่องจากการผลิตในจีนฟื้นตัวสู่ระดับปกติแล้ว แต่หุ้นอเมซอนดิ่งลง 8.4% ขณะที่บริษัทแถลงว่า กำไรจากการดำเนินงานอาจลดลงสู่ระดับ 0 ในไตรมาสปัจจุบัน เนื่องจากการลดต้นทุนจากการปลดพนักงานไม่ได้ชดเชยผลกระทบทางการเงินของผู้บริโภค และทำให้ผู้บริโภคลดการใช้จ่าย และหุ้นอัลฟาเบทร่วงลง 2.7% หลังจากแถลงผลกำไรและยอดขายไตรมาส 4 ที่ต่ำกว่าที่ตลาดวอลล์สตรีทคาดการณ์ไว้มาก--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย เสาวณีย์ เอกปัญญาชัย แปลและเรียบเรียง)
มิลาน/ลอนดอน--25 ม.ค.--รอยเตอร์
นักลงทุนได้แห่เข้ามาลงทุนในสกุลเงิน, หุ้น และตราสารหนี้ในยุโรปในช่วงนี้ โดยได้รับแรงกระตุ้นจากภาวะอากาศที่อบอุ่นผิดปกติในฤดูหนาวในยุโรป และจากการที่ยุโรปสามารถกักเก็บสต็อกก๊าซธรรมชาติไว้ในคลังได้เป็นจำนวนมาก โดยปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้นักลงทุนปรับลดความกังวลเรื่องภาวะขาดแคลนไฟฟ้าและการพุ่งขึ้นของราคาพลังงานในยุโรป นอกจากนี้ ตลาดการเงินยุโรปยังได้รับแรงหนุนจากการที่จีนเปิดเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วมากด้วย ในขณะที่เศรษฐกิจของยุโรปพึ่งพาการส่งออก ทั้งนี้ ธนาคารเจพีมอร์แกนได้ปรับตัวเลขคาดการณ์อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของยูโรโซนขึ้นสู่ +1% สำหรับช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ จากเดิมที่เคยคาดไว้ที่ -0.5% หลังจากธนาคารโกลด์แมน แซคส์ปรับขึ้นตัวเลขคาดการณ์แบบเดียวกันในช่วงต้นเดือนนี้ ทางด้านแบงก์ ออฟ อเมริกา โกลบัล รีเสิร์ชรายงานในวันศุกร์ที่ผ่านมาว่า กองทุนหุ้นยุโรปมีเงินลงทุนไหลเข้าสุทธิ 0.2 พันล้านดอลลาร์ในช่วงสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 18 ม.ค. ซึ่งถือเป็นยอดเงินไหลเข้าสุทธิครั้งแรกในรอบ 49 สัปดาห์ หรือครั้งแรกในรอบเกือบ 1 ปี
ปัจจัยเหล่านี้มีส่วนช่วยหนุนให้ยูโร/ดอลลาร์พุ่งขึ้นมาแล้วเกือบ 10% ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นหนึ่งในการพุ่งขึ้นครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 2011 นอกจากนี้ ยูโร/ดอลลาร์สหรัฐก็ทะยานขึ้นมาแล้ว 15% นับตั้งแต่แตะจุดต่ำสุดรอบ 20 ปีที่ 0.9528 ดอลลาร์สหรัฐในเดือนก.ย. 2022 ด้วย โดยยูโรเพิ่งพุ่งขึ้นแตะ 1.0927 ดอลลาร์ในวันจันทร์ ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. 2022 หรือจุดสูงสุดรอบ 9 เดือน และนักวิเคราะห์บางรายคาดว่า ยูโรมีโอกาสพุ่งขึ้นได้อีกมากในช่วงต่อไป ทั้งนี้ นายจอร์แดน โรเชสเตอร์ นักยุทธศาสตร์การลงทุนสกุลเงินของธนาคารโนมูระกล่าวว่า "เศรษฐกิจยุโรปกำลังฟื้นตัวขึ้นครั้งใหญ่" และโนมูระคาดว่ายูโรจะปรับขึ้นแตะ 1.10 ดอลลาร์ก่อนสิ้นเดือนม.ค. และ 1.16 ดอลลาร์ก่อนสิ้นปีนี้
ตลาดหุ้นยุโรปพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งกว่าตลาดหุ้นสหรัฐเป็นอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา โดยดัชนี STOXX ของตลาดหุ้นยูโรโซนพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งกว่าดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐกว่า 18% นับตั้งแต่เดือนก.ย. 2022 ในขณะที่ดัชนี STOXX พุ่งขึ้นมาแล้ว 17.1% นับตั้งแต่เดือนก.ย. แต่ดัชนี S&P 500 ร่วงลง 0.96% นับตั้งแต่เดือนก.ย. โดยธนาคารมอร์แกน สแตนเลย์ระบุว่า การที่ตลาดหุ้นยูโรโซนพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งกว่าตลาดหุ้นสหรัฐกว่า 18% ในครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ใหญ่ที่สุดในรอบ 20 ปี ทั้งนี้ ราคาสัญญาล่วงหน้าก๊าซธรรมชาติในเนเธอร์แลนด์ ซึ่งถือเป็นราคาก๊าซอ้างอิงสำหรับยุโรป ดิ่งลงมาแล้ว 80% จากจุดสูงสุดของเดือนส.ค. และร่วงลงมาอยู่ในระดับเดียวกับในช่วงก่อนเกิดสงครามยูเครน และปัจจัยดังกล่าวก็ส่งผลให้นักลงทุนคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจยุโรปในทางที่ดีขึ้นจากเดิมเป็นอย่างมาก
ในส่วนของมูลค่าหุ้นนั้น หุ้นกลุ่มบลูชิพของยุโรปมีค่าพีอีเรโชอยู่ที่ราว 13 เท่าของผลกำไร ซึ่งต่ำกว่าค่าพีอีเรโชของหุ้นในดัชนี S&P 500 ซึ่งอยู่ที่ระดับราว 20 เท่าของผลกำไร และส่วนต่างที่ระดับ 7 จุดนี้ถือว่าอยู่สูงกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีที่ 1.5 จุดเป็นอย่างมาก และสิ่งนี้บ่งชี้ว่าหุ้นยุโรปยังคงมีราคาถูกเมื่อเทียบกับหุ้นสหรัฐ ทั้งนี้ นักลงทุนโยกย้ายเงินลงทุนกลับเข้ามาลงทุนในหุ้นยุโรป และปรับลดการลงทุนในหุ้นสหรัฐ ในขณะที่การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในสหรัฐสร้างความเสียหายต่อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในสหรัฐที่มีราคาแพง โดยนายโรเบอร์โต ลอตติซี ผู้จัดการพอร์ตลงทุนของธนาคารแบงกา อิไฟเจสท์ระบุว่า เขาเพิ่งขายหุ้นบริษัทอะเมซอนของสหรัฐออกมา เพื่อนำเงินไปซื้อหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคของยุโรป และหุ้นกลุ่มธนาคารของยุโรป ซึ่งรวมถึงหุ้นธนาคารอินเตซาของอิตาลี, BNP ของฝรั่งเศส และซานตานเดร์ของสเปน แต่เขากล่าวเสริมว่า ยุโรปยังคงได้รับแรงกดดันจากสงครามยูเครน
การที่เศรษฐกิจยุโรปปรับตัวดีขึ้นส่งผลให้นักลงทุนเข้าซื้อตราสารหนี้ยุโรปด้วย โดยนายริชาร์ด แมคไกวร์ หัวหน้าฝ่ายแผนยุทธศาสตร์การลงทุนอัตราดอกเบี้ยของธนาคารราโบแบงก์กล่าวว่า การดิ่งลงของราคาก๊าซธรรมชาติส่งผลกระทบทั้งในทางบวกและทางลบต่อราคาพันธบัตรรัฐบาล แต่ถือว่าส่งผลบวกโดยรวมต่อราคาพันธบัตร และเขากล่าวเสริมว่า การดิ่งลงของราคาก๊าซธรรมชาติส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อลดลง และส่งผลให้รัฐบาลมีความจำเป็นน้อยลงในการออกจำหน่ายพันธบัตรเพื่อระดมทุนมาใช้ในมาตรการอุดหนุนค่าพลังงาน และปัจจัยเหล่านี้ถือว่าส่งผลบวกต่อราคาพันธบัตร อย่างไรก็ดี การดิ่งลงของราคาก๊าซธรรมชาติจะช่วยกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งอาจจะส่งผลลบต่อความต้องการซื้อพันธบัตรในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ทั้งนี้ พันธบัตรรัฐบาลของประเทศที่มีเศรษฐกิจอ่อนแอในยูโรโซนได้รับแรงหนุนมากเป็นพิเศษ โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอิตาลีประเภทอายุ 10 ปีดิ่งลงมาแล้ว 0.87% จากช่วงต้นปีนี้ ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลเยอรมนีประเภทอายุ 10 ปีปรับลงเพียง 0.49% และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐปรับลงเพียง 0.44% ในช่วงเวลาเดียวกัน โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยิลด์) เป็นสิ่งที่ปรับตัวสวนทางกับราคาพันธบัตร--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
27 ธ.ค.--รอยเตอร์
บริษัทมาสเตอร์การ์ดระบุในรายงานที่ออกมาในวันจันทร์ว่า ยอดค้าปลีกในสหรัฐเพิ่มขึ้น 7.6% ในช่วงระหว่างวันที่ 1 พ.ย.จนถึงวันที่ 24 ธ.ค. ซึ่งครอบคลุมช่วงเวลาส่วนใหญ่ในช่วงเทศกาลวันหยุดของสหรัฐ ในขณะที่มาตรการลดราคาสินค้าช่วยดึงดูดผู้บริโภคให้มาจับจ่ายซื้อสินค้าราคาถูก ทั้งนี้ อัตราการเติบโตดังกล่าวอยู่สูงกว่าระดับ 7.1% ที่มาสเตอร์การ์ดเคยคาดการณ์ไว้ในเดือนก.ย. โดยในตอนนั้นมาสเตอร์การ์ดคาดว่าผู้บริโภคจะหันมาซื้อสินค้าลดราคาตั้งแต่ในเดือนต.ค.
อย่างไรก็ดี อัตราการเติบโตของยอดค้าปลีกในเทศกาลวันหยุดปีนี้อยู่ต่ำกว่าระดับ +8.5% ในปีที่แล้ว ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อที่อยู่ใกล้จุดสูงสุดในรอบหลายสิบปี, การพุ่งขึ้นของอัตราดอกเบี้ย และความกังวลเรื่องภาวะเศรษฐกิจถดถอยส่งผลให้ผู้บริโภคใช้จ่ายเงินอย่างระมัดระวัง
บริษัทค้าปลีกหลายแห่ง ซึ่งรวมถึงบริษัทอะเมซอนดอทคอมและบริษัทวอลมาร์ท ได้ปรับลดราคาสินค้าครั้งใหญ่ในปีนี้เพื่อระบายสต็อกสินค้าที่ล้นคลัง และเพื่อทำให้ปริมาณสต็อกสินค้าคงคลังกลับคืนสู่ระดับปกติ โดยการทำเช่นนี้ส่งผลให้ยอดซื้อสินค้าหลายประเภท ซึ่งรวมถึงของเล่นและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อยู่ในระดับสูงในช่วง 5 วันสำคัญที่เริ่มตั้งแต่วันขอบคุณพระเจ้าไปจนถึงวันไซเบอร์ มันเดย์ โดยช่วงเวลาดังกล่าวตรงกับวันที่ 24-28 พ.ย.ในปีนี้ อย่างไรก็ดี ยอดขายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ดิ่งลง 5.3% ในช่วงวันที่ 1 พ.ย.-24 ธ.ค.
ยอดขายเสื้อผ้าพุ่งขึ้น 4.4% ในช่วงเทศกาลวันหยุดที่กินเวลานานเกือบ 2 เดือน ส่วนยอดขายในร้านอาหารทะยานขึ้น 15.1% และส่งผลบวกต่อยอดค้าปลีกโดยรวม ทั้งนี้ ยอดขายสินค้าออนไลน์พุ่งขึ้น 10.6% ในช่วงเทศกาลวันหยุดปีนี้ หลังจากทะยานขึ้น 11% ในช่วงเวลาเดียวกันในปีที่แล้ว
รายงานสเปนดิงพัลซ์ของบริษัทมาสเตอร์การ์ดนี้ครอบคลุมยอดค้าปลีกทั้งในร้านและทางออนไลน์ โดยครอบคลุมทุกรูปแบบการชำระเงิน แต่ไม่รวมยอดขายรถยนต์--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
หุ้นสหรัฐปิดร่วงลงเป็นวันที่ 4 ติดต่อกันในวันพฤหัสบดี ขณะที่ข้อมูลเศรษฐกิจแทบไม่ได้เปลี่ยนการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปนานกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้า โดยถ้อยแถลงของนายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟดหลังการประชุมเมื่อวันพุธที่ว่า "เร็วเกินไปมาก" ที่จะพิจารณาเรื่องการหยุดพักการขึ้นดอกเบี้ยนั้น ทำให้หุ้นร่วงลง ขณะที่ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ และดอลลาร์พุ่งขึ้น ซึ่งเป็นรูปแบบที่ดำเนินต่อเนื่องมาจนถึงวันพฤหัสบดี
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดลดลง 146.51 จุด หรือ 0.46% ที่ 32,001.25, ดัชนี S&P 500 ปิดร่วงลง 39.8 จุด หรือ 1.06% สู่ระดับ 3,719.89 และดัชนี Nasdaq ปิดร่วงลง 181.86 จุด หรือ 1.73% สู่ 10,342.94
ข้อมูลเศรษฐกิจพบว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลงอย่างไม่คาดคิดในสัปดาห์ที่แล้ว และดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) สำหรับภาคบริการขยายตัวลดลงในเดือนต.ค. ซึ่งข้อมูลดังกล่าวจะทำให้เฟดดำเนินแนวทางการขึ้นดอกเบี้ยแบบเชิงรุกต่อไป
ขณะที่เทรดเดอร์มีความเห็นเท่าๆกันระหว่างการขึ้นดอกเบี้ย 0.50% และ 0.75% ในการประชุมเฟดในเดือนหน้า แต่ก็คาดว่าระดับสูงสุดของอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นของเฟดจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 5% เป็นอย่างต่ำ เมื่อเทียบกับกรอบ 4.5-4.75% ที่คาดไว้ก่อนหน้า และนักลงทุนจะจับตารายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตรที่จะประกาศในวันศุกร์เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ว่า การขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดเริ่มที่จะมีผลกระทบอย่างมากต่อการชะลอเศรษฐกิจ
การพุ่งขึ้นของผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐถ่วงหุ้นเมกะแค๊ป อาทิ หุ้นแอปเปิลที่ดิ่งลง 4.24% และหุ้นอัลฟาเบ็ทดิ่งลง 4.07% ซึ่งฉุดหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี และกลุ่มสื่อสารดิ่งลงมากที่สุด --จบ--
(รอยเตอร์ โดย เสาวณีย์ เอกปัญญาชัย แปลและเรียบเรียง)
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
เครื่องมือออกแบบโปสเตอร์
โครงการพันธมิตร
ความเสี่ยงของการสูญเสียในการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น หุ้น FX สินค้าโภคภัณฑ์ ฟิวเจอร์ส พันธบัตร ETFs หรือเงินดิจิทัลอาจมีมาก คุณอาจสูญเสียเงินทุนทั้งหมดที่คุณฝากไว้กับโบรกเกอร์ของคุณ ดังนั้น คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบว่าการซื้อขายดังกล่าวเหมาะสมกับคุณหรือไม่ในสถานการณ์และทรัพยากรทางการเงินของคุณ
ไม่ควรตัดสินใจลงทุนโดยไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบสถานะอย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วยตัวเองหรือปรึกษากับที่ปรึกษาทางการเงินของคุณ เนื้อหาเว็บของเราอาจไม่เหมาะกับคุณเนื่องจากเราไม่ทราบเงื่อนไขทางการเงินและความต้องการในการลงทุนของคุณ ข้อมูลทางการเงินของเราอาจมีความล่าช้าหรือมีความไม่ถูกต้อง ดังนั้นคุณควรรับผิดชอบอย่างเต็มที่ต่อการตัดสินใจซื้อขายและการลงทุนของคุณ บริษัทจะไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียเงินทุนของคุณ
หากไม่ได้รับอนุญาตจากเว็บไซต์ คุณจะไม่สามารถคัดลอกกราฟิก ข้อความ หรือเครื่องหมายการค้าของเว็บไซต์ได้ สิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาในเนื้อหาหรือข้อมูลที่รวมอยู่ในเว็บไซต์นี้เป็นของผู้ให้บริการและผู้ค้าแลกเปลี่ยน
ไม่ได้ล็อกอิน
เข้าสู่ระบบเพื่อเข้าถึงฟังก์ชั่นเพิ่มเติม

สมาชิก FastBull
ยังไม่ได้เปิด
สมัคร
เข้าสู่ระบบ
ลงทะเบียน