ตลาด
ข่าวสาร
การวิเคราะห์
ผู้ใช้
24x7
ปฏิทินเศรษฐกิจ
แหล่งเรียนรู้
ข้อมูล
- ชื่อ
- ค่าล่าสุด
- ครั้งก่อน












สัญญาณ VIP
ทั้งหมด
ทั้งหมด



สหราชอาณาจักร ดัชนีราคาที่อยู่อาศัย Halifax YoY (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส บัญชีเดินสะพัด (Not SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส ดุลการค้า (SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส การผลิตภาคอุตสาหกรรม MoM(SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
อิตาลี ดัชนียอดค้าปลีก MoM (SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงาน YoY (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน GDP Final YoY (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน GDP Final QoQ (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงาน QoQ (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงานสุดท้าย (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
บราซิล PPI MoM (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
เม็กซิโก ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา อัตราการว่างงาน (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา อัตราการมีส่วนร่วมในการจ้างงาน (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงาน (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงานนอกเวลา (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงานเต็มเวลา (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา รายได้ส่วนบุคคล MoM (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคา PCE YoY (SA) (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคา PCE MoM (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา รายจ่ายส่วนบุคคล MoM(SA) (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาPCEหลักMoM (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาPCEหลักYoY (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา เงินเฟ้อเบื้องต้น UMich 5-YearYoY (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ค่าใช้จ่ายการบริโภคส่วนบุคคลที่จริง MoM (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การคาดการณ์เงินเฟ้อ 5-10 ปี (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีสถานภาพเบื้องต้น UMich ปัจจุบัน (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้น UMich (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อล่วงหน้า 1 ปี UMich (เบื้องต้น) (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีความคาดหวังผู้บริโภค UMich (เบื้องต้น) (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ปริมาณเครื่องเจาะทั้งหมดรายสัปดาห์--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ปริมาณเครื่องเจาะน้ำมันทั้งหมดรายสัปดาห์--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา สินเชื่ออุปโภคบริโภค (SA) (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ เงินตราที่ใช้เป็นทุนสำรอง (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ปริมาณการส่งออก YoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การนำเข้า YoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การนำเข้าYoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การนำเข้า (CNH) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ดุลการค้า (CNH) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การส่งออก (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น ค่าจ้าง MoM (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น ดุลการค้า (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น GDPที่แท้จริง QoQ (ไตรมาส 3)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น GDP Nominal แก้ไขQoQ (ไตรมาส 3)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น ดุลการค้า (SA)(ข้อมูลศุลกากร) (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น GDP ประจำปี (แก้ไข) QoQ (ไตรมาส 3)--
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ปริมาณการส่งออก YoY (CNH) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ดุลการค้า (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --


ไม่มีข้อมูลที่ตรงกัน
ทัศนคติล่าสุด
ทัศนคติล่าสุด
หัวข้อยอดนิยม
คอลัมนิสต์ยอดนิยม
อัปเดตล่าสุด
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
ดูผลการค้นหาทั้งหมด

ไม่มีข้อมูล
นิวยอร์ค--27 มิ.ย.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดร่วงลงในวันจันทร์ ในขณะที่นักลงทุนหลีกเลี่ยงสินทรัพย์เสี่ยง หลังจากเกิดเหตุการณ์กลุ่มทหารรับจ้างแวกเนอร์ที่ติดอาวุธหนักและนำโดยนายเยฟเกนี พรีโกซิน พยายามจะก่อกบฏในรัสเซียในช่วงสุดสัปดาห์ ก่อนจะยกเลิกปฏิบัติการดังกล่าวภายใต้ข้อตกลง โดยเหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้นักลงทุนตั้งคำถามต่ออนาคตของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินของรัสเซีย และนักลงทุนต้องการจะรอดูผลลัพธ์จากเหตุการณ์ดังกล่าวในช่วงนี้ ทางด้านปธน.ปูตินได้กล่าวในวันจันทร์ว่า เขาขอบคุณผู้บัญชาการทหารรับจ้างและกลุ่มทหารรับจ้างที่ล้มเลิกการก่อกบฏเพื่อจะได้หลีกเลี่ยงการนองเลือด ในขณะที่กระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐระบุว่า สถานการณ์ในรัสเซียยังคงไม่หยุดนิ่ง ทั้งนี้ นายพรีโกซินกล่าวในวันจันทร์ว่า เขาไม่เคยตั้งใจที่จะโค่นล้มรัฐบาลรัสเซีย แต่เขาไม่ได้เปิดเผยสถานที่อยู่ของเขาในปัจจุบัน และไม่ได้เปิดเผยข้อตกลงในการยกเลิกการก่อกบฏ
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดขยับลง 0.04% สู่ 33,714.71, ดัชนี S&P 500 ปิดปรับลง 0.45% สู่ 4,328.82 และดัชนี Nasdaq ปิดดิ่งลง 1.16% สู่ 13,335.78 ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้น 2.2% และถือเป็นกลุ่มที่พุ่งขึ้นมากที่สุดในวันจันทร์ ในขณะที่ราคาน้ำมันปรับขึ้น โดยได้รับแรงหนุนจากความกังวลที่ว่า ภาวะไร้เสถียรภาพทางการเมืองในรัสเซียอาจจะส่งผลให้เกิดการขาดตอนของอุปทานน้ำมัน ทางด้านหุ้นเติบโตดิ่งลงในวันจันทร์ โดยหุ้นเมตา แพลตฟอร์มส์ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของเฟซบุ๊กดิ่งลง 3.6%, หุ้นแอลฟาเบทรูดลง 3.3% หลังจากธนาคารยูบีเอสปรับลดอันดับความน่าลงทุนของหุ้นแอลฟาเบทลงสู่ "neutral" และหุ้นเทสลาดิ่งลง 6.1% หลังจากโกลด์แมน แซคส์ปรับลดอันดับความน่าลงทุนของหุ้นเทสลาลงสู่ "neutral"
ตลาดหุ้นได้รับผลกระทบจากการเทขายทำกำไรหุ้นเติบโตในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของไตรมาสสอง หลังจากหุ้นเติบโตพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในช่วงต้นปีนี้ โดยนายคริส แซคคาเรลลี หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของบริษัทอินดิเพนเดนท์ แอดไวเซอร์ อัลไลอันซ์กล่าวว่า นักลงทุนหันมาสำรวจหุ้นที่เคยปรับตัวอ่อนแอในช่วงต้นปีนี้ ซึ่งรวมถึงหุ้นคุณค่าและหุ้นบริษัทขนาดเล็ก ทั้งนี้ นักลงทุนรอดูตัวเลขเศรษฐกิจหลายตัวในสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน, ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของมหาวิทยาลัยมิชิแกน และดัชนีราคาค่าใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ซึ่งถือเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) นิยมใช้ และนักลงทุนรอฟังถ้อยแถลงของนายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟดในสัปดาห์นี้ด้วย หลังจากเขาส่งสัญญาณในสัปดาห์ที่แล้วว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป และถ้อยแถลงของเขามีส่วนกดดันตลาดหุ้นสหรัฐให้ร่วงลงในสัปดาห์ที่แล้ว
เทรดเดอร์คาดการณ์ในตอนนี้ว่า มีโอกาส 26.1% ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 5.00-5.25% ในการประชุมวันที่ 25-26 ก.ค. และมีโอกาส 73.9% ที่เฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ 5.25-5.50% ในการประชุมวันที่ 25-26 ก.ค. โดยเทรดเดอร์คาดการณ์อีกด้วยว่า เฟดจะไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปอีกในช่วงหลังจากนั้น ถึงแม้ผู้กำหนดนโยบายส่วนใหญ่ของเฟดคาดว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสู่ระดับอย่างน้อย 5.50-5.75% ก่อนสิ้นปีนี้
หุ้นไฟเซอร์ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตยาดิ่งลง 3.7% หลังจากไฟเซอร์ประกาศยุติการพัฒนายารักษาโรคเบาหวานและโรคอ้วนตัวหนึ่ง ทั้งนี้ หุ้นลูซิด กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าทะยานขึ้น 1.5% หลังจากลูซิดทำข้อตกลงกับบริษัทแอสตัน มาร์ตินของอังกฤษ ซึ่งจะส่งผลให้ลูซิดได้ถือหุ้น 3.7% ในแอสตัน มาร์ติน--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--14 มี.ค.--รอยเตอร์
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์และดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐปิดปรับลงในวันจันทร์ตามหุ้นกลุ่มธนาคาร ในขณะที่นักลงทุนกังวลกับการปิดกิจการธนาคารซิลิคอน แวลลีย์ (SVB) ในวันศุกร์ที่ผ่านมา หลังจาก SVB ประสบความล้มเหลวในการเพิ่มทุน โดยนักลงทุนกังวลว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างแข็งกร้าวของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมาอาจจะส่งผลกระทบต่อธนาคารแห่งอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ดี บรรยากาศการซื้อขายมีความผันผวน และดัชนี Nasdaq ปิดบวกขึ้นในวันจันทร์ เนื่องจากหุ้นบางกลุ่มได้รับแรงหนุนจากความคาดหวังที่ว่า เฟดอาจจะชะลอความเร็วในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย นอกจากนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 2 ปีก็ดิ่งลงจาก 4.588% ในช่วงท้ายวันศุกร์ สู่ 4.030% ในช่วงท้ายวันจันทร์ ซึ่งถือเป็นการดิ่งลงรายวันครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ตลาดหุ้นสหรัฐทรุดตัวครั้งใหญ่ในวัน Black Monday ในปี 1987
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดปรับลง 0.28% สู่ 31,819.14, ดัชนี S&P 500 ปิดขยับลง 0.15% สู่ 3,855.76 และดัชนี Nasdaq ปิดบวกขึ้น 0.45% สู่ 11,188.84 ทางด้านดัชนีความผันผวน CBOE หรือดัชนี VIX ที่ใช้วัดระดับความกังวลของตลาดหุ้นสหรัฐพุ่งขึ้น 1.72 จุด สู่ 26.52 หลังจากทะยานขึ้นแตะ 30.81 ในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่ปลายเดือนต.ค. ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภค ซึ่งถือเป็นหุ้นกลุ่มปลอดภัยพุ่งขึ้น 1.54% ในขณะที่หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับขึ้นเช่นกัน โดยหุ้นสองกลุ่มหลังนี้มักจะได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ย
ประธานาธิบดีโจ ไบเดนของสหรัฐกล่าวว่า มาตรการของรัฐบาลสหรัฐในการรับประกันว่า ผู้ฝากเงินจะสามารถเข้าถึงเงินฝากของตนเองใน SVB และในธนาคารซิกเนเจอร์ น่าจะช่วยให้ชาวสหรัฐมีความเชื่อมั่นว่า ระบบธนาคารสหรัฐมีความปลอดภัย และเขาให้สัญญาว่าจะทำทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อรับมือกับภัยคุกคามต่อระบบธนาคาร อย่างไรก็ดี ดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารของสหรัฐดิ่งลง 7% ในวันจันทร์ ซึ่งถือเป็นการดิ่งลงครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 11 มิ.ย. 2020 ในขณะที่หุ้นธนาคารเฟิร์สท์ รีพับลิกรูดลง 61.83%, หุ้นธนาคารเวสเทิร์น อัลไลอันซ์ แบงคอร์ปดิ่งลง 47.06% และหุ้นธนาคารแพคเวสท์ แบงคอร์ปรูดลง 21.05% นอกจากนี้ หุ้นชาร์ลส์ ชวอบ ซึ่งเป็นบริษัทผู้ให้บริการทางการเงินก็ดิ่งลง 11.56% หลังจากทางบริษัทรายงานว่า จำนวนเงินที่ลูกค้ากู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์โดยเฉลี่ยดิ่งลง 28% และสินทรัพย์ของลูกค้าโดยรวมลดลง 4% ในเดือนก.พ. ทั้งนี้ หุ้นธนาคารขนาดใหญ่ของสหรัฐดิ่งลงด้วยเช่นกัน ซึ่งรวมถึงหุ้นเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค, ซิตี้กรุ๊ป และเวลส์ ฟาร์โก
นักลงทุนรอดูดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ประจำเดือนก.พ.ที่รัฐบาลสหรัฐจะรายงานออกมาในวันอังคารนี้ และรอดูดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ที่รัฐบาลสหรัฐจะรายงานออกมาในวันพุธ ทั้งนี้ นักลงทุนในตลาดสัญญาล่วงหน้าคาดการณ์ในตอนนี้ว่า มีโอกาส 31.4% ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 4.50-4.75% ในการประชุมวันที่ 21-22 มี.ค. และมีโอกาส 68.6% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ 4.75-5.00% ในการประชุมวันที่ 21-22 มี.ค.
หุ้นไฟเซอร์ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตยาพุ่งขึ้น 1.19% หลังจากไฟเซอร์ประกาศว่า ไฟเซอร์จะเข้าซื้อบริษัทซีเกนในวงเงินเกือบ 4.3 หมื่นล้านดอลลาร์--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--28 ก.พ.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดบวกขึ้นเล็กน้อยในวันจันทร์ ในขณะที่นักลงทุนเข้าช้อนซื้อเก็งกำไรหุ้นสหรัฐ หลังจากตลาดหุ้นดิ่งลงอย่างรุนแรงในสัปดาห์ที่แล้ว แต่ตลาดหุ้นยังคงได้รับแรงกดดันจากความกังวลที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปเพื่อควบคุมภาวะเงินเฟ้อ ทั้งนี้ ดัชนีสำคัญทั้ง 3 ดัชนีของตลาดหุ้นสหรัฐพุ่งขึ้นกว่า 1% ในเวลาไม่นานหลังจากเปิดตลาดในวันจันทร์ ในขณะที่ตลาดหุ้นได้รับแรงหนุนจากการร่วงลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ แต่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรลดช่วงติดลบกลับขึ้นมาได้บ้างในเวลาต่อมา และส่งผลให้ตลาดหุ้นลดช่วงบวกลง โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีอยู่ที่ 3.922% ในช่วงท้ายวันจันทร์ โดยปรับลงจาก 3.949% ในช่วงท้ายวันศุกร์
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวกขึ้น 0.22% สู่ 32,889.09, ดัชนี S&P 500 ปิดปรับขึ้น 0.31% สู่ 3,982.24 และดัชนี Nasdaq ปิดบวกขึ้น 0.63% สู่ 11,466.98 ทั้งนี้ ดัชนีดาวโจนส์เพิ่งปิดตลาดสัปดาห์ที่แล้วด้วยการรูดลง 2.99% จากสัปดาห์ก่อนหน้านั้น ซึ่งถือเป็นการดิ่งลงรายสัปดาห์ครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.ย. หรือครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 5 เดือน ทางด้านดัชนี S&P ปิดตลาดสัปดาห์ที่แล้วด้วยการรูดลง 2.66% จากสัปดาห์ก่อนหน้านั้น และดัชนี Nasdaq ปิดดิ่งลง 3.33% ในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งถือเป็นการดิ่งลงรายสัปดาห์ครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.ทั้งสำหรับดัชนี S&P และ Nasdaq โดยตลาดหุ้นได้รับแรงกดดันในสัปดาห์ที่แล้วจากตัวเลขเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง และจากถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟดที่บ่งชี้ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป
นักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารบาร์เคลย์สและธนาคารแนทเวสต์ของอังกฤษคาดว่า เฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% สู่ 5.00-5.25% ในการประชุมวันที่ 21-22 มี.ค. ส่วนธนาคารมอร์แกน สแตนเลย์คาดว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในเดือนมี.ค. 2024 โดยปรับเปลี่ยนจากเดิมที่เคยคาดว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในเดือนธ.ค. 2023 นอกจากนี้ มอร์แกน สแตนเลย์ยังคาดการณ์อีกด้วยว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างเชื่องช้า โดยปรับลดลงเพียง 0.25% ต่อไตรมาส และอัตราดอกเบี้ยจะอยู่ที่ 4.25% ในช่วงสิ้นปี 2024 ทั้งนี้ เทรดเดอร์ในตลาดสัญญาล่วงหน้าคาดการณ์ในตอนนี้ว่า อัตราดอกเบี้ยของสหรัฐอาจจะขึ้นไปแตะจุดสูงสุดของวัฏจักรที่ระดับราว 5.408% ในเดือนก.ย.
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานในวันจันทร์ว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าทุนที่ไม่รวมอาวุธและเครื่องบิน หรือยอดสั่งซื้อสินค้าทุนพื้นฐานของสหรัฐ พุ่งขึ้น 0.8% ในเดือนม.ค.เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ในโพลล์รอยเตอร์ที่ +0.1% หลังจากร่วงลง 0.3% ในเดือนธ.ค. ทางด้านยอดขนส่งสินค้าทุนพื้นฐานดีดขึ้น 1.1% ในเดือนม.ค. หลังจากร่วงลง 0.6% ในเดือนธ.ค. และสิ่งนี้บ่งชี้ว่ารายจ่ายด้านอุปกรณ์ในภาคธุรกิจปรับสูงขึ้น
การร่วงลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยิลด์) มีส่วนช่วยหนุนดัชนีหุ้นเติบโตของสหรัฐให้ดีดขึ้น 0.63% ในวันจันทร์ ในขณะที่หุ้นบริษัทเทสลาซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าพุ่งขึ้น 5.46% หลังจากเทสลารายงานว่า โรงงานของเทสลาในเมืองแบรนเดนเบิร์กของเยอรมนีผลิตรถยนต์ได้ 4,000 คันต่อสัปดาห์ ซึ่งถือว่าเร็วกกว่ากำหนดถึง 3 สัปดาห์--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--9 ม.ค.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในวันศุกร์ หลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า การจ้างงานนอกภาคเกษตรในสหรัฐปรับเพิ่มขึ้นสูงเกินคาด แต่ค่าแรงชะลอการปรับขึ้น และมีรายงานระบุว่าภาคบริการของสหรัฐหดตัวลง โดยรายงานตัวเลขเหล่านี้ช่วยลดความกังวลของนักลงทุนที่มีต่อแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า การจ้างงานในสหรัฐเพิ่มขึ้น 223,000 ตำแหน่งในเดือนธ.ค. ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ที่ 200,000 ตำแหน่ง แต่ค่าแรงเพิ่มขึ้นเพียง 0.3% ในเดือนธ.ค.เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนพ.ย. และต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ 0.4% สำหรับเดือนธ.ค. ส่วนค่าแรงแบบเทียบรายปีปรับขึ้นเพียง 4.6% ในเดือนธ.ค. ซึ่งถือเป็นการเพิ่มขึ้นที่น้อยที่สุดนับตั้งแต่เดือนส.ค. 2021 หลังจากเพิ่มขึ้น 4.8% ในเดือนพ.ย.เมื่อเทียบรายปี ทางด้านอัตราการว่างงานร่วงลงสู่ 3.5% ในเดือนธ.ค. จาก 3.6% ในเดือนพ.ย. ในขณะที่อัตราการมีส่วนร่วมในกำลังแรงงานสหรัฐปรับขึ้นสู่ 62.3% ในดือนธ.ค. จาก 62.2 ในเดือนพ.ย.
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดพุ่งขึ้น 2.13% สู่ 33,630.61, ดัชนี S&P 500 ปิดทะยานขึ้น 2.28% สู่ 3,895.08 และดัชนี Nasdaq ปิดพุ่งขึ้น 2.56% สู่ 10,569.29 โดยดัชนีดาวโจนส์ปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการทะยานขึ้น 1.46% จากสัปดาห์ที่แล้ว, ดัชนี S&P ปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการพุ่งขึ้น 1.45% จากสัปดาห์ที่แล้ว หลังจากปิดตลาดรายสัปดาห์ในแดนลบมานาน 4 สัปดาห์ติดต่อกัน และดัชนี Nasdaq ปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการบวกขึ้น 0.98% จากสัปดาห์ที่แล้ว หลังจากปิดตลาดรายสัปดาห์ในแดนลบมานาน 4 สัปดาห์ติดต่อกัน ทั้งนี้ หุ้นทั้ง 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐปิดตลาดในแดนบวกในวันศุกร์ โดยหุ้นกลุ่มที่พุ่งขึ้นมากที่สุดคือหุ้นกลุ่มวัสดุที่ทะยานขึ้น 3.44% ส่วนหุ้นกลุ่มที่พุ่งขึ้นมากเป็นอันดับสองคือหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ทะยานขึ้น 2.99% ทางด้านหุ้นกลุ่มที่ปรับขึ้นน้อยที่สุดคือหุ้นกลุ่มการแพทย์ที่ปรับขึ้นเพียง 0.89% และหุ้นกลุ่มพลังงานที่ปรับขึ้น 1.68%
สถาบันจัดการอุปทานของสหรัฐ (ISM) รายงานในวันศุกร์ว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการของสหรัฐดิ่งลงจาก 56.5 ในเดือนพ.ย. สู่ 49.6 ในเดือนธ.ค. ซึ่งถือเป็นการรูดผ่านระดับ 50 ลงมาเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนพ.ค. 2020 และดัชนีที่ระดับต่ำกว่า 50 บ่งชี้ว่าภาคบริการหดตัวลง โดยดัชนีนี้แสดงให้เห็นว่าภาคบริการซึ่งครองสัดส่วนสูงกว่า 2 ใน 3 ของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในสหรัฐหดตัวลงในเดือนธ.ค.เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 2 ปีครึ่ง นอกจากนี้ ISM ยังรายงานอีกด้วยว่า ดัชนีราคาจ่ายในภาคบริการปรับลงจาก 70.0 ในเดือนพ.ย. สู่ 67.6 ในเดือนธ.ค. ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนม.ค. 2021 และถือเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าอัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลง ทั้งนี้ นางเมแกน ฮอร์นแมน หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของบริษัทเวอร์เดนซ์ แคปิตัล แมเนจเมนท์กล่าวว่า รายงานตัวเลขการจ้างงานและตัวเลขภาคบริการที่ออกมาในวันศุกร์ "ทำให้นักลงทุนคาดว่า วัฏจักรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างแข็งกร้าวของเฟดใกล้จะถึงจุดสิ้นสุดแล้ว และปัจจัยนี้ก็หนุนตลาดหุ้นให้พุ่งขึ้น" ทางด้านนายจอห์น ออกุสติน หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของธนาคารฮันทิงทัน เนชันแนล แบงก์ระบุว่า นักลงทุนปรับลดความกังวลที่ว่า เฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจนถึงระดับที่ส่งผลให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย และเขากล่าวเสริมว่า "รายงานตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาในวันศุกร์อาจจะช่วยลดแรงกดดันสำหรับเฟดในการทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย โดยเฟดอาจจะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัวลงมามากพอแล้ว และเฟดอาจจะต้องรอเพียงแค่การยืนยันเรื่องนี้จากรายงานตัวเลขเงินเฟ้อ" โดยรัฐบาลสหรัฐจะรายงานตัวเลขอัตราเงินเฟ้อประจำเดือนธ.ค.ออกมาในวันพฤหัสบดีที่ 12 ม.ค. และถ้าหากอัตราเงินเฟ้อในเดือนธ.ค.ยังคงชะลอตัวลงต่อไป เฟดก็จะสามารถตัดสินใจได้ว่า เฟดจะชะลอความเร็วในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหรือไม่
นายราฟาเอล บอสติก ประธานเฟดสาขาแอตแลนตากล่าวในวันศุกร์ว่า รายงานการจ้างงานครั้งล่าสุดของสหรัฐถือเป็นอีกสัญญาณหนึ่งที่บ่งชี้ว่า เศรษฐกิจสหรัฐกำลังชะลอตัวลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป และถ้าหากเศรษฐกิจยังคงชะลอตัวลงแบบนี้ต่อไป เฟดก็จะสามารถปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพียง 0.25% ในการประชุมกำหนดนโยบายครั้งถัดไปในวันที่ 31 ม.ค.-1 ก.พ. ทั้งนี้ นักลงทุนรอดูฤดูการรายงานผลประกอบการไตรมาส 4 ที่จะเริ่มต้นขึ้นในวันศุกร์ที่ 13 ม.ค.เมื่อธนาคารเจพีมอร์แกนและธนาคารแบงก์ ออฟ อเมริกาเปิดเผยผลประกอบการออกมา
ดัชนีหุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นพุ่งขึ้นในวันศุกร์ โดยได้รับแรงหนุนจากหุ้นคอสต์โค โฮลเซล คอร์ป ซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกที่พุ่งขึ้น 7% หลังจากทางบริษัทรายงานว่ายอดขายในเดือนธ.ค.พุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ทั้งนี้ หุ้นไฟเซอร์ทะยานขึ้น 2.5% หลังจากมีรายงานข่าวระบุว่า ไฟเซอร์เจรจากับจีนในเรื่องการออกใบอนุญาตให้บริษัทผู้ผลิตยาในจีนสามารถผลิตและจัดจำหน่ายยาชื่อสามัญของยา Paxlovid ของไฟเซอร์เพื่อใช้ในการรักษาโรคโควิด-19 ในจีน--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--13 ธ.ค.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดพุ่งขึ้นในวันจันทร์ โดยได้รับแรงหนุนบางส่วนจากการทะยานขึ้นของหุ้นบริษัทไมโครซอฟท์และหุ้นบริษัทไฟเซอร์ ในขณะที่นักลงทุนรอดูตัวเลขอัตราเงินเฟ้อที่รัฐบาลสหรัฐจะรายงานออกมาในวันอังคารนี้ และรอดูผลการประชุมกำหนดนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่จะออกมาในวันพุธนี้ ทั้งนี้ หุ้นไมโครซอฟท์พุ่งขึ้น 2.89% หลังจากไมโครซอฟท์ทำข้อตกลงซื้อหุ้น 4% ในบริษัทลอนดอน สต็อก เอ็กซ์เชนจ์ กรุ๊ป (LSEG) หรือบริษัทตลาดหุ้นลอนดอน โดยการพุ่งขึ้นของหุ้นไมโครซอฟท์ส่งผลบวกต่อดัชนีตลาดหุ้นสำคัญทั้ง 3 ดัชนีของสหรัฐ ทางด้านหุ้นไฟเซอร์บวกขึ้น 0.85% หลังจากไฟเซอร์คาดการณ์รายได้จากวัคซีน โดยไฟเซอร์คาดว่า รายได้ในแต่ละปีจากวัคซีน mRNA อาจจะพุ่งขึ้นแตะ 1.0-1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ภายในปี 2030 และคาดว่ารายได้ทั้งหมดของไฟเซอร์อาจจะอยู่สูงกว่า 1.00 แสนล้านดอลลาร์ในปีนี้ ซึ่งสูงกว่า 2 เท่าของช่วงก่อนเกิดวิกฤติโรคระบาด โดยรายได้ในปีนี้ได้รับแรงหนุนจากอุปสงค์ที่แข็งแกร่งในวัคซีนโรคโควิด-19 และยา Paxlovid
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดพุ่งขึ้น 1.58% สู่ 34,005.04, ดัชนี S&P 500 ปิดทะยานขึ้น 1.43% สู่ 3,990.56 และดัชนี Nasdaq ปิดพุ่งขึ้น 1.26% สู่ 11,143.74 โดยดัชนีทั้ง 3 ต่างก็ทะยานขึ้นในวันจันทร์ในอัตราที่แข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 30 พ.ย.เป็นต้นมา และหุ้นทั้ง 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐต่างก็ปิดตลาดในแดนบวกทั้งหมดในวันจันทร์ ทั้งนี้ ดัชนี S&P 500 ดิ่งลงมาแล้วราว 16% จากช่วงต้นปีนี้ และอาจจะปิดตลาดปีนี้ในแดนลบเป็นปีแรกนับตั้งแต่ปี 2018 โดยดัชนีอาจจะปิดตลาดสิ้นปีนี้ด้วยการดิ่งลงรายปีครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 2008 ด้วย โดยดัชนี S&P 500 ได้รับแรงกดดันในปีนี้จากความกังวลที่ว่า เฟดอาจจะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอย
นักลงทุนคาดว่ารัฐบาลสหรัฐอาจจะรายงานในวันอังคารว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ทั่วไปของสหรัฐอาจปรับขึ้น 7.3% ในเดือนพ.ย.เมื่อเทียบรายปี หลังจากพุ่งขึ้น 7.7% ในเดือนต.ค.เมื่อเทียบรายปี ส่วนดัชนี CPI พื้นฐานของสหรัฐ ซึ่งไม่รวมราคาอาหารและพลังงาน อาจปรับขึ้น 6.1% ในเดือนพ.ย.เมื่อเทียบรายปี โดยชะลอตัวลงจาก +6.3% ในเดือนต.ค.เมื่อเทียบรายปี ทั้งนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐเพิ่งร่วงลงในวันศุกร์ หลังจากสหรัฐรายงานดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ที่สูงเกินคาด ถึงแม้ดัชนี PPI มีแนวโน้มชะลอตัวลง โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานในวันศุกร์ว่า ดัชนี PPI ปรับขึ้น 7.4% ในเดือนพ.ย.เมื่อเทียบรายปี ซึ่งถือเป็นการปรับขึ้นที่น้อยที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค. 2021 หลังจากดัชนี PPI ปรับขึ้น 8.1% ในเดือนต.ค. แต่ดัชนีอยู่สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ในโพลล์รอยเตอร์ที่ +7.2% สำหรับเดือนพ.ย.
ถ้าหากสหรัฐรายงานดัชนี CPI ที่ต่ำเกินคาดในวันอังคารนี้ ตัวเลขดังกล่าวก็จะช่วยสนับสนุนความเชื่อที่ว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างแข็งกร้าวของเฟดในปีนี้ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐแล้ว ทั้งนี้ นักลงทุนในตลาดสัญญาล่วงหน้าคาดว่า มีโอกาส 91% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% สู่ 4.25-4.50% ในวันพุธนี้ และมีโอกาส 9% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% สู่ 4.50-4.75% ในวันพุธนี้ หลังจากเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งละ 0.75% ติดต่อกันมาแล้ว 4 ครั้ง และนักลงทุนยังคาดการณ์กันอีกด้วยว่า อัตราดอกเบี้ยของเฟดอาจจะขึ้นไปแตะจุดสูงสุดของวัฏจักรที่ระดับ 4.984% ในเดือนพ.ค.ปี 2023
หุ้นริเวียน ออโตโมทีฟดิ่งลง 6.16% หลังจากริเวียนระงับการหารือกับบริษัทเมอร์เซเดส-เบนซ์ แวนส์เป็นการชั่วคราว ซึ่งเป็นการหารือเรื่องการเป็นหุ้นส่วนในการผลิตรถแวนไฟฟ้าในยุโรป ทั้งนี้ หุ้นฮอไรซัน เธราพิวทิกส์ ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพพุ่งขึ้น 15.49% หลังจากบริษัทแอมเจนเสนอซื้อฮอไรซัน--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--9 ก.พ.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในวันอังคาร โดยได้รับแรงหนุนจากหุ้นบริษัทอะเมซอนดอทคอมที่พุ่งขึ้น 2.2%, หุ้นไมโครซอฟท์ที่ทะยานขึ้น 1.20% และหุ้นแอปเปิลที่พุ่งขึ้น 1.85% นอกจากนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐยังได้รับแรงหนุนจากการทะยานขึ้นของหุ้นกลุ่มธนาคารด้วย ในขณะที่หุ้นกลุ่มธนาคารได้รับแรงหนุนจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่ทะยานขึ้นสูงมาก ก่อนที่รัฐบาลสหรัฐจะรายงานตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ออกมาในวันพฤหัสบดีนี้ โดยนักเศรษฐศาสตร์ในโพลล์รอยเตอร์คาดว่า ดัชนี CPI อาจพุ่งขึ้น 7.3% ในเดือนม.ค.เมื่อเทียบรายปี ซึ่งจะถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่ปี 1982 เป็นต้นมา หรือจุดสูงสุดในรอบเกือบ 40 ปี ทั้งนี้ หุ้นธนาคารแบงก์ ออฟ อเมริกา คอร์ป, เจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค และเวลส์ ฟาร์โกต่างก็พุ่งขึ้นกว่า 1% ในวันอังคาร ในขณะที่ดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารทะยานขึ้น 1.9% หลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีพุ่งขึ้นแตะ 1.97% ในวันอังคาร ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย. 2019 โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรได้รับแรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเริ่มต้นปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 15-16 มี.ค.
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดพุ่งขึ้น 1.06% สู่ 35,462.78, ดัชนี S&P 500 ปิดบวกขึ้น 0.84% สู่ 4,521.54 และดัชนี Nasdaq ปิดพุ่งขึ้น 1.28% สู่ 14,194.46 อย่างไรก็ดี ดัชนี S&P 500 ยังคงดิ่งลงมาแล้วราว 5% จากช่วงต้นปีนี้ ส่วนดัชนี Nasdaq รูดลงมาแล้วราว 9% จากช่วงต้นปีนี้ ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานดิ่งลง 2.1% ในขณะที่นักลงทุนกังวลว่าการเจรจาทางอ้อมระหว่างสหรัฐกับอิหร่านอาจจะส่งผลให้มีการฟื้นฟูข้อตกลงนิวเคลียร์ระหว่างประเทศ และอาจจะเปิดโอกาสให้อิหร่านสามารถส่งออกน้ำมันได้มากยิ่งขึ้น
ตลาดหุ้นได้รับแรงหนุนเพิ่มเติม หลังจากประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครงของฝรั่งเศสได้ประชุมกับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินของรัสเซียในเรื่องวิกฤติยูเครน และปธน.มาครงแสดงความเห็นในทางบวกหลังการประชุม
บริษัทสหรัฐรายงานผลประกอบการที่ไร้ทิศทางชัดเจนในวันอังคาร โดยหุ้นไฟเซอร์ดิ่งลง 2.84% หลังจากไฟเซอร์คาดการณ์ยอดขายตลอดทั้งปีสำหรับวัคซีนโรคโควิด-19 และยาต้านไวรัสในระดับที่ต่ำเกินคาด อย่างไรก็ดี หุ้นแอมเจนซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพพุ่งขึ้น 7.82% หลังจากแอมเจนประกาศแผนซื้อคืนหุ้นขนาด 6 พันล้านดอลลาร์ และคาดว่าผลกำไรจะพุ่งขึ้นกว่า 2 เท่าภายในปี 2030
หุ้นเมตา แพลตฟอร์มส์ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของเฟซบุ๊กดิ่งลง 2.1% ในวันอังคาร และรูดลงเป็นวันที่ 4 ติดต่อกัน หลังจากนายปีเตอร์ ธีล ตัดสินใจลาออกจากคณะกรรมการบริษัท ทางด้านหุ้นเพโลตอน อินเทอร์แอคทีฟ ซึ่งเป็นผู้ผลิตจักรยานออกกำลังกายพุ่งขึ้น 25% หลังจากเพโลตอนประกาศว่า เพโลตอนจะเปลี่ยนตัวซีอีโอ, จะปรับลดการจ้างงาน และจะพยายามกระตุ้นยอดขายที่ตกต่ำลง--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--20 ธ.ค.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดดิ่งลงในวันศุกร์ โดยได้รับแรงกดดันจากการรูดลงของหุ้นบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ ในขณะที่นักลงทุนกังวลกับเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์โอไมครอน และนักลงทุนปรับตัวรับการตัดสินใจของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในการเร่งความเร็วในการปรับลดขนาดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ หลังจากเฟดส่งสัญญาณในวันพุธว่า เฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งละ 0.25% เป็นจำนวน 3 ครั้งในปี 2022 เพื่อสกัดกั้นการพุ่งขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ ทั้งนี้ หุ้นเอ็นวิเดียดิ่งลง 2.1% ในวันศุกร์ ส่วนหุ้นแอลฟาเบทซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิลรูดลง 1.9% และส่งผลลบอย่างมากต่อดัชนี S&P 500 และดัชนี Nasdaq ทางด้านดัชนีหุ้นเติบโตร่วงลง 0.7% และดัชนีหุ้นคุณค่าดิ่งลง 1.4% ในวันศุกร์ อย่างไรก็ดี ก่อนหน้านี้หุ้นเติบโตอย่างเช่นเอ็นวิเดียและไมโครซอฟท์เคยพุ่งขึ้นมาแล้วอย่างแข็งแกร่งกว่าตลาดหุ้นโดยรวมในปี 2021 โดยดัชนีหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐทะยานขึ้นมาแล้วราว 35% จากช่วงต้นปีนี้ ในขณะที่ดัชนี S&P 500 ปรับขึ้นราว 23% ในช่วงเวลาเดียวกัน
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดดิ่งลง 1.48% สู่ 35,365.44, ดัชนี S&P 500 ปิดรูดลง 1.03% สู่ 4,620.64 และดัชนี Nasdaq ปิดขยับลง 0.07% สู่ 15,169.68 นอกจากนี้ ถ้าหากเทียบกับระดับปิดสัปดาห์ที่แล้ว ดัชนีดาวโจนส์ก็ปิดตลาดสัปดาห์นี้ดิ่งลง 1.7%, ดัชนี S&P 500 ปิดตลาดสัปดาห์นี้รูดลง 1.9% และดัชนี Nasdaq ปิดตลาดสัปดาห์นี้ดิ่งลง 2.9% ทั้งนี้ หุ้นทั้ง 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐปิดตลาดในแดนลบในวันศุกร์ โดยดัชนีหุ้นกลุ่มการเงินดิ่งลง 2.3% และถือเป็นกลุ่มที่รูดลงมากที่สุด ส่วนดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานดิ่งลง 2.2% อย่างไรก็ดี ดัชนี Russell 2000 สำหรับหุ้นบริษัทขนาดเล็กของสหรัฐพุ่งขึ้น 1% ในวันศุกร์ หลังจากดิ่งลงมาแล้วกว่า 10% จากสถิติสูงสุดที่เคยทำไว้ในช่วงต้นเดือนพ.ย.
บริษัทไฟเซอร์ระบุในวันศุกร์ว่า การระบาดใหญ่ของโรคโควิด-19 อาจจะดำเนินต่อไปตลอดทั้งปีหน้า ในขณะที่ผลการศึกษาจากอังกฤษแสดงให้เห็นว่า โอกาสในการติดเชื้อซ้ำของสายพันธุ์โอไมครอนอยู่ในระดับที่สูงกว่า 5 เท่าของสายพันธุ์เดลตา และไม่มีสัญญาณบ่งชี้ว่าสายพันธุ์โอไมครอนส่งผลให้มีอาการป่วยน้อยกว่า โดยมีการเปิดเผยผลการศึกษานี้ออกมาในขณะที่หลายประเทศในยุโรปกำลังพิจารณาเรื่องการออกมาตรการจำกัดการเดินทางและมาตรการควบคุมโรคเพิ่มเติม
เทรดเดอร์ระบุว่า สาเหตุที่ตลาดหุ้นแกว่งตัวผันผวนในวันศุกร์อาจเกิดจากการเทขายหุ้นเพื่อผลทางภาษีในช่วงสิ้นปี และเกิดจาก triple witching หรือการที่ออปชั่นหุ้น, สัญญาล่วงหน้าดัชนีหุ้น และออปชั่นดัชนีครบกำหนดอายุในวันเดียวกัน
หุ้นออราเคิลซึ่งเป็นผู้ผลิตซอฟท์แวร์สำหรับกิจการดิ่งลง 6.4% หลังจากหนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัลรายงานว่า ออราเคิลอยู่ในระหว่างการเจรจาเพื่อเข้าซื้อเซอร์เนอร์ ซึ่งเป็นบริษัทเวชระเบียนทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ในข้อตกลงที่อาจจะมีมูลค่าราว 3.0 หมื่นล้านดอลลาร์ ทางด้านหุ้นเซอร์เนอร์พุ่งขึ้น 12.9%--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
เครื่องมือออกแบบโปสเตอร์
โครงการพันธมิตร
ความเสี่ยงของการสูญเสียในการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น หุ้น FX สินค้าโภคภัณฑ์ ฟิวเจอร์ส พันธบัตร ETFs หรือเงินดิจิทัลอาจมีมาก คุณอาจสูญเสียเงินทุนทั้งหมดที่คุณฝากไว้กับโบรกเกอร์ของคุณ ดังนั้น คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบว่าการซื้อขายดังกล่าวเหมาะสมกับคุณหรือไม่ในสถานการณ์และทรัพยากรทางการเงินของคุณ
ไม่ควรตัดสินใจลงทุนโดยไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบสถานะอย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วยตัวเองหรือปรึกษากับที่ปรึกษาทางการเงินของคุณ เนื้อหาเว็บของเราอาจไม่เหมาะกับคุณเนื่องจากเราไม่ทราบเงื่อนไขทางการเงินและความต้องการในการลงทุนของคุณ ข้อมูลทางการเงินของเราอาจมีความล่าช้าหรือมีความไม่ถูกต้อง ดังนั้นคุณควรรับผิดชอบอย่างเต็มที่ต่อการตัดสินใจซื้อขายและการลงทุนของคุณ บริษัทจะไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียเงินทุนของคุณ
หากไม่ได้รับอนุญาตจากเว็บไซต์ คุณจะไม่สามารถคัดลอกกราฟิก ข้อความ หรือเครื่องหมายการค้าของเว็บไซต์ได้ สิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาในเนื้อหาหรือข้อมูลที่รวมอยู่ในเว็บไซต์นี้เป็นของผู้ให้บริการและผู้ค้าแลกเปลี่ยน
ไม่ได้ล็อกอิน
เข้าสู่ระบบเพื่อเข้าถึงฟังก์ชั่นเพิ่มเติม

สมาชิก FastBull
ยังไม่ได้เปิด
สมัคร
เข้าสู่ระบบ
ลงทะเบียน