ตลาด
ข่าวสาร
การวิเคราะห์
ผู้ใช้
24x7
ปฏิทินเศรษฐกิจ
แหล่งเรียนรู้
ข้อมูล
- ชื่อ
- ค่าล่าสุด
- ครั้งก่อน












สัญญาณ VIP
ทั้งหมด
ทั้งหมด



ฝรั่งเศส บัญชีเดินสะพัด (Not SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส ดุลการค้า (SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส การผลิตภาคอุตสาหกรรม MoM(SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
อิตาลี ดัชนียอดค้าปลีก MoM (SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงาน YoY (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน GDP Final YoY (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน GDP Final QoQ (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงาน QoQ (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงานสุดท้าย (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
บราซิล PPI MoM (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
เม็กซิโก ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา อัตราการว่างงาน (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา อัตราการมีส่วนร่วมในการจ้างงาน (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงาน (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงานนอกเวลา (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงานเต็มเวลา (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา รายได้ส่วนบุคคล MoM (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคา PCE YoY (SA) (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาธนาคารกลางรัฐดัลลาส สหรัฐอเมริกา PCE YoY (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคา PCE MoM (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา รายจ่ายส่วนบุคคล MoM(SA) (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาPCEหลักMoM (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาPCEหลักYoY (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา เงินเฟ้อเบื้องต้น UMich 5-YearYoY (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ค่าใช้จ่ายการบริโภคส่วนบุคคลที่จริง MoM (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การคาดการณ์เงินเฟ้อ 5-10 ปี (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีสถานภาพเบื้องต้น UMich ปัจจุบัน (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้น UMich (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อล่วงหน้า 1 ปี UMich (เบื้องต้น) (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีความคาดหวังผู้บริโภค UMich (เบื้องต้น) (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ปริมาณเครื่องเจาะทั้งหมดรายสัปดาห์--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ปริมาณเครื่องเจาะน้ำมันทั้งหมดรายสัปดาห์--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา สินเชื่ออุปโภคบริโภค (SA) (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ เงินตราที่ใช้เป็นทุนสำรอง (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ปริมาณการส่งออก YoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การนำเข้า YoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การนำเข้าYoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การนำเข้า (CNH) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ดุลการค้า (CNH) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การส่งออก (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น ค่าจ้าง MoM (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น ดุลการค้า (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น GDPที่แท้จริง QoQ (ไตรมาส 3)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น GDP Nominal แก้ไขQoQ (ไตรมาส 3)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น ดุลการค้า (SA)(ข้อมูลศุลกากร) (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น GDP ประจำปี (แก้ไข) QoQ (ไตรมาส 3)--
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ปริมาณการส่งออก YoY (CNH) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --


ไม่มีข้อมูลที่ตรงกัน
ทัศนคติล่าสุด
ทัศนคติล่าสุด
หัวข้อยอดนิยม
คอลัมนิสต์ยอดนิยม
อัปเดตล่าสุด
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
ดูผลการค้นหาทั้งหมด

ไม่มีข้อมูล
นิวยอร์ค--29 ธ.ค.--รอยเตอร์
กองทุนอาร์ค อินโนเวชันของนางแคธี วูดเคยมีขนาดพุ่งขึ้นกว่า 2 เท่าในช่วงที่เกิดวิกฤติโรคโควิด-19 แต่กองทุนดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะปิดตลาดปีนี้ด้วยการครองตำแหน่งเกือบต่ำสุดในบรรดากองทุนรวมทั้งหมดในสหรัฐ หลังจากการพุ่งขึ้นของอัตราเงินเฟ้อและการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างแข็งกร้าวส่งผลลบต่อหุ้นกลุ่มเติบโตสูง ทั้งนี้ กองทุนอาร์ค อินโนเวชันดิ่งลงมาแล้วราว 67% จากช่วงต้นปีนี้ ในขณะที่ดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐรูดลงเพียง 20% จากช่วงต้นปีนี้ โดยการดิ่งลง 67%ของกองทุนอาร์ค อินโนเวชันส่งผลให้กองทุนนี้ดิ่งลงมากที่สุดในบรรดากองทุนหุ้นเติบโตขนาดกลาง 537 แห่งในสหรัฐ และส่งผลให้กองทุนนี้ครองตำแหน่งเกือบต่ำสุดในบรรดากองทุนหุ้นทั้งหมดในสหรัฐที่บริษัทมอร์นิงสตาร์ติดตามข้อมูลอยู่
ดัชนี S&P 500 อาจจะปิดตลาดปีนี้ด้วยการดิ่งลงรายปีครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 2008 และปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้กองทุนส่วนใหญ่ขาดทุนในปี 2022 โดยนายไบรอัน จาค็อบเสน นักยุทธศาสตร์การลงทุนของบริษัทออลสปริง โกลบัล อินเวสท์เมนท์กล่าวว่า "ผู้จัดการกองทุนคาดการณ์ผิดพลาดในเรื่องภาวะเงินเฟ้อในปีนี้ และธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เองก็คาดการณ์ผิดพลาดในเรื่องภาวะเงินเฟ้อด้วยเช่นกัน" ทั้งนี้ เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมาแล้ว 4.25% นับตั้งแต่เดือนมี.ค.เพื่อพยายามควบคุมภาวะเงินเฟ้อ และปัจจัยดังกล่าวก็ส่งผลลบเป็นอย่างมากต่อหุ้นกลุ่มเติบโตสูง เพราะว่าอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นส่งผลให้หุ้นเติบโตมีความน่าดึงดูดน้อยลง เนื่องจากมูลค่าของหุ้นเติบโตมักจะขึ้นอยู่กับผลกำไรในอนาคต นอกจากนี้ อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นก็ส่งผลให้พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐและตราสารหนี้อื่น ๆ มีความน่าดึงดูดมากยิ่งขึ้นด้วย ซึ่งส่งผลลบต่อความต้องการลงทุนในหุ้น ทางด้านกองทุนของนางวูดเน้นการลงทุนในหุ้นเติบโต
ข้อมูลของบริษัทมอร์นิงสตาร์แสดงให้เห็นว่า กองทุนของนางวูดติดอันดับที่ 3,544 ในบรรดากองทุนรวมหุ้นสหรัฐที่ลงทุนเชิงรุกทั้งหมด 3,552 แห่ง ส่วนกองทุนที่ติดอันดับต่ำสุดในกลุ่มนี้คือกองทุนโวยา รัสเซีย ฟันด์ที่ดิ่งลง 92% จากช่วงต้นปีนี้ ทั้งนี้ ในบรรดาหุ้น 10 อันดับแรกที่กองทุนอาร์ค อินโนเวชันถือครองไว้มากที่สุดนั้น หุ้นทั้ง 10 ตัวนี้ต่างก็ดิ่งลงมาแล้วไม่ต่ำกว่า 30% จากช่วงต้นปีนี้ ซึ่งรวมถึงหุ้นบริษัทซูม วิดีโอ คอมมูนิเคชันส์, หุ้นเทสลา และหุ้นบล็อค อิงค์ (ซึ่งมีชื่อเดิมว่า "สแควร์") ที่ต่างก็รูดลงมาแล้วกว่า 60% จากช่วงต้นปีนี้ ในขณะที่หุ้นบริษัทเทลาด็อค เฮลธ์และหุ้นบริษัทโรคูต่างก็ดิ่งลงมาแล้วกว่า 70% จากช่วงต้นปีนี้
นางวูดคาดการณ์ผิดพลาดในเรื่องภาวะเงินเฟ้อในช่วงที่ผ่านมา โดยเธอเคยกล่าวเมื่อ 1 ปีก่อนว่า ภาวะเงินฝืดถือเป็นความเสี่ยงที่แท้จริงสำหรับตลาดในช่วงหนึ่งปีข้างหน้า และเธอได้กล่าวในเดือนก.ย.ปีนี้ว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดถือเป็นเรื่องที่ผิดพลาด อย่างไรก็ดี ดัชนีราคาผู้บริโภคของสหรัฐได้พุ่งขึ้นในอัตราที่สูงที่สุดในรอบ 40 ปีในบางเดือนในปี 2022 ทั้งนี้ นางวูดเคยมีชื่อเสียงโด่งดังในปี 2020 เพราะหุ้นบริษัทซูมและบริษัทเทลาด็อคในพอร์ตลงทุนของเธอมีราคาพุ่งขึ้นสูงมาก โดยได้รับแรงหนุนจากมาตรการล็อกดาวน์ในช่วงนั้น โดยสถานการณ์ในตอนนั้นส่งผลให้กองทุนของเธอมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารมากถึง 2.76 หมื่นล้านดอลลาร์ อย่างไรก็ดี กองทุนดังกล่าวมีขนาดสินทรัพย์ภายใต้การบริหารต่ำกว่า 6.5 พันล้านดอลลาร์ในปัจจุบัน
กองทุนอื่น ๆ ที่ลงทุนเป็นเงินจำนวนมากในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีต่างก็ดิ่งลงอย่างรุนแรงเช่นกันในปี 2022 โดยกองทุน Morgan Stanley Insight I ซึ่งมีขนาด 1.4 พันล้านดอลลาร์ และลงทุนเป็นเงินจำนวนมากในบริษัทสโนว์เฟลคที่ทำธุรกิจคลาวด์ ดิ่งลงมาแล้ว 61.3% จากช่วงต้นปีนี้ และถือเป็นหนึ่งในกองทุนขนาดใหญ่ที่ดิ่งลงมากที่สุดในปีนี้ ส่วนกองทุนเซเวนเบอร์เกน จีเนีย ซึ่งมีขนาด 59 ล้านดอลลาร์ และลงทุนเป็นเงินจำนวนมากในบริษัทเทสลา รูดลงมาแล้ว 59% จากช่วงต้นปีนี้ และถือเป็นหนึ่งในกองทุนกระจายความเสี่ยงที่ดิ่งลงมากที่สุดในปีนี้ ทั้งนี้ ในบรรดากองทุนรวมหุ้นที่มีการบริหารเชิงรุกและมีผลประกอบการดีที่สุด 15 อันดับแรกในปีนี้นั้น กองทุนส่วนใหญ่ในกลุ่มนี้เน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงานหรือสินค้าโภคภัณฑ์ ดังนั้นกองทุนกลุ่มนี้จึงได้รับประโยชน์จากการทะยานขึ้นของราคาน้ำมันและราคาวัตถุดิบอื่น ๆ ซึ่งรวมถึงกองทุนอินเวสโก เอ็นเนอร์จีที่พุ่งขึ้นมาแล้วเกือบ 49% จากช่วงต้นปีนี้ และครองอันดับหนึ่งในบรรดากองทุนแบบกระจายความเสี่ยง (diversified) ในอันดับที่จัดทำโดยบริษัทมอร์นิงสตาร์ในช่วงกลางเดือนธ.ค. ทางด้านกองทุน MicroSectors U.S. Big Oil 3x Leveraged ETN ซึ่งลงทุนในบริษัทเชฟรอน และบริษัทเอ็กซอน โมบิลในกลุ่มน้ำมัน ทะยานขึ้นมาแล้ว 172% จากช่วงต้นปีนี้ และครองอันดับหนึ่งในบรรดากองทุนทั้งหมดในอันดับที่จัดทำโดยมอร์นิงสตาร์--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทปิดบวกเล็กน้อยในวันอังคาร หลังจากที่ร่วงลง 4 วันติดต่อกัน แต่นักลงทุนกังวลกับการใช้จ่ายที่ซบเซาในช่วงวันหยุด และผลตอบแทนพันธบัตรที่เพิ่มขึ้นได้เพิ่มแรงกดดัน หลังจากธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) ปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินอย่างไม่คาดคิดด้วยการปล่อยให้อัตราดอกเบี้ยระยะยาวเพิ่มขึ้นอีกได้ ขณะที่ความวิตกเกี่ยวกับแผนของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปนั้นกดดันหุ้นอย่างหนักมาตั้งแต่การประชุมนโยบายในสัปดาห์ที่แล้ว
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดเพิ่มขึ้น 92.2 จุด หรือ 0.28% ที่ 32,840.74, ดัชนี S&P 500 ปิดบวก 3.96 จุด หรือ 0.10% สู่ระดับ 3,821.62 และดัชนี Nasdaq ปิดบวก 1.08 จุด หรือ 0.01% สู่ 10,547.11
ราคาพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐร่วงลง หลังการดำเนินการที่ไม่คาดคิดของบีโอเจ โดยผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีของสหรัฐพุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 3 สัปดาห์ที่ 3.71%
ในบรรดาหุ้นหลัก 11 กลุ่มของดัชนี S&P 500 นั้น หุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้นมากที่สุด เนื่องจากราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้น ส่วนในบรรดาหุ้น 4 กลุ่มที่ร่วงลงนั้น หุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยร่วงลงมากที่สุด
ข้อมูลระบุว่า ยอดขายบ้านเดี่ยวในสหรัฐร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปีครึ่งในเดือนพ.ย. และใบอนุญาตเพื่อการก่อสร้างในอนาคตร่วงลงเนื่องจากอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อจำนองที่สูงขึ้นยังคงทำให้กิจกรรมซื้อขายในตลาดบ้านตกต่ำลง--จบ--
(รอยเตอร์ โดย เสาวณีย์ เอกปัญญาชัย แปลและเรียบเรียง)
นิวยอร์ค--6 ก.ค.--รอยเตอร์
ความกังวลที่ว่าเศรษฐกิจสหรัฐอาจจะเข้าสู่ภาวะถดถอยส่งผลให้ผู้จัดการกองทุนบางรายโยกย้ายเงินลงทุนเข้าสู่หุ้นบริษัทขนาดใหญ่ในกลุ่มเติบโตและกลุ่มเทคโนโลยี ซึ่งเป็นหุ้นกลุ่มที่เคยพุ่งสูงในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากผู้จัดการกองทุนกลุ่มนี้คาดว่า หุ้นเหล่านี้อาจจะปรับตัวได้ดีกว่าหุ้นกลุ่มอื่น ๆ ในช่วงที่เศรษฐกิจถดถอย ทั้งนี้ หุ้นบริษัทขนาดใหญ่หลายแห่ง ซึ่งรวมถึงหุ้นบริษัทไมโครซอฟท์, แอปเปิล และแอลฟาเบท ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล ดิ่งลงในระดับที่มากกว่าหรือเท่ากับดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ โดยได้รับแรงกดดันจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างแข็งกร้าวของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) หลังจากหุ้นเหล่านี้เคยพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งกว่าดัชนีตลาดหุ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ดี หุ้นเติบโตมีแนวโน้มที่จะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจน้อยกว่าหุ้นกลุ่มอื่น ๆ และด้วยเหตุนี้นักลงทุนบางรายจึงเชื่อว่า บริษัทในกลุ่มเติบโตที่มีอัตราผลกำไรสูงมาก อาจจะมีราคาหุ้นทะยานขึ้นอย่างแข็งแกร่งกว่าดัชนีตลาดหุ้นโดยรวมได้ด้วย ถ้าหากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอยในอนาคต ทั้งนี้ นางไซรา มาลิค หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของบริษัทนูวีนกล่าวว่า "เริ่มมีสัญญาณบ่งชี้ถึงความเปราะบางในการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐ ดังนั้นคุณจึงควรจะเลือกลงทุนในบริษัทที่อยู่ในสถานะที่ดีมากในภาคเทคโนโลยี" โดยนางมาลิคได้ปรับเพิ่มสถานะการลงทุนในบริษัทอะเมซอนดอทคอม และบริษัทเซลส์ฟอร์ซดอทคอมในช่วงที่ผ่านมา และเธอกล่าวเสริมว่า บริษัทที่ไม่มีประสิทธิภาพในการทำกำไรจะยังคงได้รับแรงกดดัน
กระแสการลงทุนในหุ้นเหล่านี้ยังคงอยู่ในขั้นเริ่มต้น โดยผลสำรวจล่าสุดของแบงก์ ออฟ อเมริกา โกลบัล รีเสิร์ชระบุว่า ผู้จัดการกองทุนทั่วโลกปรับเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีขึ้นเพียง 0.07% และยังคงคาดการณ์ในทางลบต่อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีโดยรวม อย่างไรก็ดี บริษัทแวนดา รีเสิร์ชระบุว่า นักลงทุนรายย่อยได้เข้าช้อนซื้อหุ้นบริษัทขนาดใหญ่ในกลุ่มเทคโนโลยีในช่วงที่ราคาดิ่งลงก่อนหน้านี้ ซึ่งรวมถึงหุ้นแอปเปิล ทั้งนี้ ดัชนี Russell 1000 สำหรับหุ้นเติบโตของสหรัฐดิ่งลง 28.4% ในช่วงครึ่งปีแรก ในขณะที่ดัชนี Russell 1000 สำหรับหุ้นคุณค่าของสหรัฐรูดลงเพียง 13.9% ในช่วงครึ่งปีแรก โดยหุ้นคุณค่านี้ครอบคลุมหุ้นกลุ่มพลังงานที่มักจะปรับตัวตามภาวะเศรษฐกิจด้วย ทางด้านดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐดิ่งลง 20.7% ในครึ่งปีแรก ซึ่งถือเป็นอัตราการดิ่งลงครั้งใหญ่ที่สุดสำหรับช่วงครึ่งปีแรกนับตั้งแต่ปี 1970 เป็นต้นมา
กองทุน ARK Innovation ETF ของนางแคธี วูด ดิ่งลงราว 57.7% ในช่วงครึ่งปีแรก โดยกองทุนแห่งนี้ถือครองหุ้นบริษัทใหม่ในภาคเทคโนโลยี ซึ่งรวมถึงหุ้นบริษัทซูม วิดีโอ คอมมูนิเคชันส์ และหุ้นบริษัทเทลาดอคที่ทำธุรกิจโทรเวชกรรม ทั้งนี้ นักลงทุนกังวลกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยมากยิ่งขึ้นในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา โดยธนาคารดอยช์ แบงก์เปิดเผยผลสำรวจความเห็นนักลงทุนในเดือนมิ.ย.ระบุว่า นักลงทุน 90% คาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะเข้าสู่ภาวะถดถอยก่อนสิ้นปี 2023 โดยพุ่งขึ้นจาก 78% ในผลสำรวจเดือนพ.ค.
นายแจ็ค จานาซีวิคส์ นักยุทธศาสตร์การลงทุนของบริษัทแนติซิส อินเวสท์เมนท์ แมเนเจอร์ส โซลูชันส์ระบุว่า ความกังวลเรื่องภาวะเศรษฐกิจถดถอยถือเป็นเหตุผลอันดีสำหรับการปรับเพิ่มสถานะการลงทุนในบริษัทแอลฟาเบท และบริษัทต่าง ๆ ที่เคยมีราคาหุ้นดิ่งลงในช่วงที่ผ่านมาจนส่งผลให้มูลค่าหุ้นมีความน่าดึงดูด โดยขณะนี้ค่าพีอีเรโชล่วงหน้าของบริษัทในกลุ่มเทคโนโลยีของสหรัฐดิ่งลงสู่ 19.1 เท่าของคาดการณ์ผลกำไร ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดนับตั้งแต่ต้นปี 2020 ทั้งนี้ นายลินด์เซย์ ฮอทัน ผู้จัดการพอร์ตลงทุนในบริษัทฮาร์เบอร์ แคปิตัลระบุว่า มีสัญญาณบ่งชี้ว่าราคาสินค้าโภคภัณฑ์อาจจะผ่านพ้นจุดสูงสุดไปแล้ว และปัจจัยดังกล่าวอาจจะเปิดโอกาสให้เฟดชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนก.ย. โดยบริษัทของเขาได้ขายหุ้นบางตัวในกลุ่มพลังงานออกมาในช่วงนี้ และโยกย้ายเงินลงทุนเข้าสู่หุ้นบริษัทขนาดใหญ่ในกลุ่มเทคโนโลยี เพราะเขาเชื่อว่าหุ้นกลุ่มนี้อาจจะพุ่งขึ้นอย่างน้อย 20% ต่อปีในช่วงหลายปีข้างหน้า เนื่องจากมูลค่าหุ้นกลุ่มนี้อยู่ในระดับต่ำมาก และบริษัทในกลุ่มนี้น่าจะครองส่วนแบ่งตลาดได้มากขึ้น--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
การดิ่งลงอย่างหนักของหุ้นและพันธบัตร, ความผันผวนรุนแรงของตลาด และความตั้งใจของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่จะควบคุมอัตราเงินเฟ้อที่เลวร้ายที่สุดในรอบกว่า 40 ปีเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตลาดสหรัฐในช่วงครึ่งปีแรกนี้ และ ณ วันพุธที่ผ่านมา ดัชนี S&P 500 จะปิด 6 เดือนแรกของปีนี้ด้วยการดิ่งลง 20% ทำให้มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดหายไปราว 8.2 ล้านล้านดอลลาร์ ขณะที่ดัชนีดิ่งลงมากที่สุดในช่วงครึ่งปีแรกนับตั้งแต่ปี 1970
พันธบัตรปรับตัวดีกว่าเล็กน้อย โดยดัชนีพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐของ BofA ในตลาด ICE ร่วงเกือบ 10% แล้วในปีนี้ ซึ่งจะเป็นการร่วงลงมากที่สุดของดัชนีนับตั้งแต่ปี 1997 และในขณะนี้ นักลงทุนแทบไม่เห็นการชะลอความผันผวนที่ทำให้ตลาดดิ่งลงในรอบหลายเดือนที่ผ่านมาท่ามกลางความวิตกที่ว่า การต่อสู้กับเงินเฟ้อของเฟดจะทำให้ความต้องการสินทรัพย์เสี่ยงลดลงไปอีก ขณะเดียวกันก็อาจจะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐถดถอย
ในเดือนหน้า จะมีการแถลงผลประกอบการรอบใหม่, การเปิดเผยข้อมูลเงินเฟ้อล่าสุด และการประชุมของเฟด ซึ่งทำให้มีโอกาสมากมายที่ตลาดจะต่อยอดการพุ่งขึ้นของตลาดหุ้นที่เพิ่งเริ่มในกลางเดือนมิ.ย. หรือจะมองหาจุดต่ำสุดใหม่
การดิ่งลงของหุ้นยังได้ทดสอบกลยุทธ์ที่เป็นที่นิยมในการซื้อหุ้นในช่วงขาลง ซึ่งทำให้นักลงทุนได้รับผลตอบแทนในช่วงทศวรษที่ผ่านมา แต่ก็ประสบความยากลำบากในปีนี้ท่ามกลางการดิ่งลงของดัชนี S&P 500 โดยดัชนีดีดตัวขึ้น 6% 3 ครั้งในปีนี้ ซึ่งพลิกกลับมาร่วงต่ำกว่าจุดต่ำสุดครั้งก่อนแล้ว ขณะที่การดีดตัวขึ้นครั้งล่าสุดส่งผลให้ดัชนีพุ่งขึ้นราว 3% จากระดับต่ำสุดในกลางเดือนมิ.ย.
แนวทางยอดนิยมอีกวิธีที่ได้รับผลกระทบในปีนี้ก็คือพอร์ทการลงทุนแบบ 60/40 ซึ่งนักลงทุนจะเข้าซื้อหุ้นและพันธบัตรผสมกันเพื่อปกป้องการดิ่งลงของตลาดหุ้น เนื่องจากหุ้นจะพุ่งขึ้นท่ามกลางความหวังต่อเศรษฐกิจ และพันธบัตรจะพุ่งขึ้นในช่วงที่เกิดความผันผวน แต่กลยุทธ์นี้ใช้ไม่ได้ในปีนี้ เนื่องจากการคาดการณ์การคุมเข้มนโยบายของเฟดถ่วงสินทรัพย์ทั้งสองประเภท โดยกองทุนจัดสรรการลงทุนตามเป้าหมาย 60/40 ของแบล็คร็อคร่วงลง 16% แล้วตั้งแต่ต้นปีนี้ ซึ่งเป็นผลการดำเนินงานที่แย่ที่สุดนับตั้งแต่เปิดตัวในปี 2006
แทบไม่มีนักลงทุนที่เชื่อว่า ความผันผวนรุนแรงของตลาดจะเบาบางลงจนกว่าจะมีหลักฐานบ่งชี้ว่า อัตราเงินเฟ้อกำลังลดลง ซึ่งจะทำให้เฟดสามารถชะลอหรือยุติการคุมเข้มนโยบายทางการเงิน ซึ่งในขณะนี้ คำเตือนเกี่ยวกับภาวะถดถอยเริ่มดังขึ้นในตลาดวอลล์สตรีท เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจแล้ว--จบ--
ลอนดอน--30 ธ.ค.--รอยเตอร์
นักวิเคราะห์ได้ระบุถึง 4 กระแสความเคลื่อนไหวสำคัญในตลาดสกุลเงินดิจิทัลในปีนี้ โดยความเคลื่อนไหวแรกคือการที่บิทคอยน์ยังคงครองตำแหน่งสกุลเงินดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในโลกต่อไปตามเดิม โดยราคาบิทคอยน์เคยพุ่งขึ้นกว่า 120% จากวันที่ 1 ม.ค. จนถึงระดับสูงเกือบถึง 65,000 ดอลลาร์ในช่วงกลางเดือนเม.ย. โดยได้รับแรงหนุนจากปัจจัยหลายประการ ซึ่งรวมถึงเงินลงทุนที่หลั่งไหลมาจากนักลงทุนสถาบัน, การที่บริษัทขนาดใหญ่ อย่างเช่นเทสลาและมาสเตอร์การ์ด หันมายอมรับบิทคอยน์มากยิ่งขึ้น และการที่ธนาคารในย่านวอลล์สตรีทยอมรับบิทคอยน์มากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ นักลงทุนสนใจลงทุนในบิทคอยน์มากยิ่งขึ้นด้วย เนื่องจากอุปทานบิทคอยน์อยู่ในวงจำกัด ดังนั้นบิทคอยน์จึงมีคุณสมบัติในการรับประกันความเสี่ยงจากภาวะเงินเฟ้อ นอกจากนี้ อัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำมากก็มีส่วนช่วยกระตุ้นให้นักลงทุนต้องการลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลกำไรอย่างรวดเร็ว อย่างเช่น บิทคอยน์ด้วยเช่นกัน
บิทคอยน์เคยดิ่งลง 35% ในเดือนพ.ค.ปีนี้ ก่อนจะพุ่งขึ้นสู่สถิติสูงสุดใหม่ที่ 69,000 ดอลลาร์ในเดือนพ.ย. โดยได้รับแรงหนุนจากอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงทั้งในสหรัฐและยุโรป ทางด้านนักวิเคราะห์มองว่า นักลงทุนที่เคยลงทุนในหุ้นและพันธบัตรรัฐบาลได้ทยอยเข้ามาลงทุนในบิทคอยน์ในช่วงนี้
กระแสที่ 2 คือการพุ่งขึ้นของเหรียญมีม หรือเหรียญที่พัฒนามาจากวัฒนธรรมในโลกอินเทอร์เน็ต อย่างเช่น โดชคอยน์และเหรียญชิบะ อินุ ซึ่งมักจะเป็นเหรียญที่แทบไม่มีประโยชน์ในทางปฏิบัติ โดยตัวอย่างความเคลื่อนไหวของเหรียญกลุ่มนี้คือราคาโดชคอยน์ที่พุ่งขึ้นกว่า 12,000% สู่สถิติสูงสุดในเดือนพ.ค. ก่อนจะดิ่งลงเกือบ 80% เมื่อถึงกลางเดือนธ.ค. ทางด้านเหรียญชิบะ อินุได้พุ่งขึ้นจนกลายเป็นหนึ่งใน 10 สกุลเงินดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในโลกเป็นเวลาสั้น ๆ ทั้งนี้ ปรากฏการณ์เหรียญมีมนี้มีความเกี่ยวพันกับกระแสการลงทุนของเทรดเดอร์รายย่อยในปีนี้ ซึ่งเป็นการที่เทรดเดอร์รายย่อยร่วมมือกันทางระบบออนไลน์ในการทุ่มเงินลงทุนในหุ้นบางตัว อย่างเช่นหุ้นบริษัทเกมสต็อป คอร์ป และส่งผลให้กองทุนเฮดจ์ฟันด์จำเป็นต้องเข้าซื้อชดเชยการทำชอร์ตเซลในหุ้นดังกล่าว นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ยังระบุอีกด้วยว่า การที่เทรดเดอร์รายย่อยต้องกักตัวอยู่บ้าน และมีเงินออมเพิ่มสูงขึ้นในช่วงที่มีการประกาศใช้มาตรการล็อกดาวน์ ก็มีส่วนกระตุ้นให้เทรดเดอร์รายย่อยหันมาลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลด้วย
กระแสที่ 3 คือความเคลื่อนไหวด้านกฎระเบียบในสกุลเงินดิจิทัล ในขณะที่ผู้ควบคุมกฎระเบียบในหลายประเทศกังวลว่า สกุลเงินดิจิทัลอาจจะถูกใช้ในการฟอกเงิน และอาจจะกลายเป็นภัยคุกคามต่อเสถียรภาพทางการเงินทั่วโลก ในขณะที่นักลงทุนจำนวนมากเข้ามาลงทุนในสกุลเงินดิจิทัล ทั้งนี้ เนื่องจากมีการคาดการณ์กันว่าอาจจะมีการประกาศกฎระเบียบใหม่ออกมาในอนาคต นักลงทุนจึงกังวลกับความเสี่ยงที่อาจจะเกิดการปราบปรามการลงทุนในด้านนี้ โดยเฉพาะหลังจากที่รัฐบาลจีนเคยออกกฎควบคุมสกุลเงินคริปโตในเดือนพ.ค. โดยเหตุการณ์ในครั้งนั้นส่งผลให้บิทคอยน์ดิ่งลงเกือบ 50% ในช่วงนั้น และส่งผลให้ตลาดสกุลเงินดิจิทัลโดยรวมรูดลงตามไปด้วย
กระแสที่ 4 คือกระแสความนิยมในสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีลักษณะเฉพาะตัว ไม่สามารถทำซ้ำได้ (NFT) โดยสินทรัพย์กลุ่มนี้ได้รับความนิยมพุ่งขึ้นสูงมากในปีนี้ และส่งผลให้งานศิลปะดิจิทัลของบีเพิล ซึ่งเป็นศิลปินชาวสหรัฐ สามารถขายได้ในราคาสูงเกือบถึง 70 ล้านดอลลาร์ในเดือนมี.ค.ปีนี้ ทั้งนี้ ยอดขาย NFT พุ่งขึ้นแตะ 1.07 หมื่นล้านดอลลาร์ในไตรมาสสาม โดยทะยานขึ้นกว่า 8 เท่าจากไตรมาสสอง ในขณะที่วอลุ่มการซื้อขายพุ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดในเดือนส.ค. ซึ่งส่งผลให้นักเก็งกำไรสามารถนำ NFT ที่ตนเองเพิ่งซื้อไว้ออกขายทำกำไรได้อย่างรวดเร็วภายในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงหรือไม่กี่วันต่อมา ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ระบุว่า กระแสความนิยมใน NFT นี้ได้รับแรงหนุนจากปัจจัยหลายประการ ซึ่งรวมถึงการเกิดขึ้นของกลุ่มเศรษฐีใหม่ที่ร่ำรวยมาจากสกุลเงินดิจิทัล, การคาดการณ์ที่ว่า NFT จะกลายเป็นศูนย์กลางของโลกเสมือนจริงในอนาคต และการที่ราคาสินทรัพย์แบบดั้งเดิม อย่างเช่นราคาบ้านพุ่งขึ้นสูงมาก จนส่งผลให้คนรุ่นหนุ่มสาวหันไปลงทุนใน NFT และสกุลเงินดิจิทัลแทน อย่างไรก็ดี นักลงทุนสถาบันส่วนใหญ่อาจจะยังคงหลีกเลี่ยงจากการลงทุนใน NFT ในช่วงนี้ เนื่องจากกฎระเบียบในด้านนี้ยังคงขาดความสมบูรณ์--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--30 พ.ย.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดบวกขึ้นในวันจันทร์ หลังจากดิ่งลงในวันศุกร์ ในขณะที่นักลงทุนคาดหวังว่าเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์โอมิครอนจะไม่ส่งผลให้สหรัฐประกาศใช้มาตรการล็อกดาวน์ หลังจากประธานาธิบดีโจ ไบเดนของสหรัฐกล่าวในวันจันทร์ว่า ยังไม่มีการพิจารณาเรื่องมาตรการล็อกดาวน์ในตอนนี้ และเขาขอให้ชาวสหรัฐไม่ตื่นตระหนกกับสายพันธุ์โอมิครอน อย่างไรก็ดี เขาแนะนำให้ชาวสหรัฐฉีดวัคซีนและใส่หน้ากากอนามัยขณะอยู่ในตัวอาคาร และเขากล่าวเสริมว่ารัฐบาลสหรัฐกำลังทำงานร่วมกับบริษัทเวชภัณฑ์ในการเตรียมแผนรับสถานการณ์ฉุกเฉิน ถ้าหากมีความจำเป็นต้องฉีดวัคซีนใหม่ ทั้งนี้ ดัชนี Nasdaq พุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งกว่าดัชนี S&P และดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ในวันจันทร์ ในขณะที่ดัชนี Nasdaq ได้รับแรงหนุนจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี โดยดัชนีหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐพุ่งขึ้น 4% ในวันจันทร์ โดยได้รับแรงหนุนสำคัญจากหุ้นบริษัทเอ็นวิเดียที่ทะยานขึ้น 5.9% ทางด้านดัชนีดาวโจนส์ปรับขึ้นไม่มากนัก เนื่องจากดัชนีดาวโจนส์ได้รับแรงกดดันจากหุ้นบริษัทเมอร์ค แอนด์ โคที่ดิ่งลง 5.4% หลังจากผลการศึกษายารักษาโรคโควิด-19 ของเมอร์คแสดงให้เห็นว่า ยาตัวนี้มีประสิทธิภาพในการลดความเสี่ยงในการเข้าโรงพยาบาลและการเสียชีวิตในระดับต่ำกว่าที่เคยระบุไว้
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวกขึ้น 0.68% สู่ 35,135.94, ดัชนี S&P 500 ปิดพุ่งขึ้น 1.32% สู่ 4,655.27 และดัชนี Nasdaq ปิดทะยานขึ้น 1.88% สู่ 15,782.83 ทั้งนี้ ในบรรดาหุ้น 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐนั้น ดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีพุ่งขึ้น 2.6% และถือเป็นกลุ่มที่พุ่งขึ้นมากที่สุด ส่วนดัชนีหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยทะยานขึ้น 1.6% และถือเป็นกลุ่มที่พุ่งขึ้นมากเป็นอันดับสอง โดยได้รับแรงหนุนจากหุ้นอะเมซอนดอทคอมและหุ้นเทสลา นอกจากนี้ ดัชนี S&P ก็ได้รับแรงหนุนสำคัญจากหุ้นบริษัทไมโครซอฟท์ที่พุ่งขึ้น 2.11% และหุ้นบริษัทแอปเปิลที่ทะยานขึ้น 2.19% ด้วย โดยหุ้นแอปเปิลได้รับแรงหนุน หลังจากธนาคาร HSBC ปรับขึ้นราคาเป้าหมายของหุ้นแอปเปิล
นักลงทุนมีความมั่นใจในการลงทุนมากยิ่งขึ้น หลังจากได้ฟังถ้อยแถลงของปธน.ไบเดน และหลังจากบริษัทยาส่งสัญญาณว่า ทางบริษัทให้ความสำคัญเป็นอย่างมากกับสายพันธุ์โอมิครอน โดยบริษัทไฟเซอร์, บิออนเทค, โมเดอร์นา และจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสันระบุในวันจันทร์ว่า ทางบริษัทกำลังพัฒนาวัคซีนที่ตั้งเป้าไปที่สายพันธุ์โอมิครอนอย่างเฉพาะเจาะจง เพื่อใช้ในกรณีที่วัคซีนที่มีอยู่ในปัจจุบันไม่สามารถต้านทานสายพันธุ์โอมิครอนได้ ทั้งนี้ หุ้นโมเดอร์นาพุ่งขึ้น 11.8%, หุ้นจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสันบวกขึ้น 0.34% แต่หุ้นไฟเซอร์ดิ่งลงเกือบ 3% ทางด้านศูนย์การควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐระบุหลังจากตลาดปิดทำการในวันจันทร์ว่า ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไปควรฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นในเวลา 6 เดือนหลังจากฉีดวัคซีนของไฟเซอร์หรือโมเดอร์นา หรือในเวลา 2 เดือนหลังจากฉีดวัคซีนของจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน
นางแคโรล ชลีฟ รองหัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของบริษัทบีเอ็มโอตั้งข้อสังเกตว่า นักลงทุนมีความคุ้นเคยกับการเข้าช้อนซื้อเก็งกำไรเมื่อใดก็ตามที่ตลาดหุ้นดิ่งลงในปีนี้ และเธอตั้งข้อสังเกตว่า "นักลงทุนพยายามประเมินสถานการณ์ใหม่ในช่วงนี้ และจะใช้ความอดทนในช่วงนี้" ทั้งนี้ อังกฤษระบุว่า อังกฤษจะฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นให้แก่ผู้ใหญ่ทุกคน และจะฉีดวัคซีนเข็มที่สองให้แก่เด็กอายุ 12-15 ปี หลังจากมีความกังวลเรื่องสายพันธุ์โอมิครอน โดยอังกฤษต้องการใช้วัคซีนของโมเดอร์นาและไฟเซอร์ในฐานะวัคซีนเข็มกระตุ้น
หุ้นเทสลาพุ่งขึ้น 5% หลังจากมีข่าวว่านายอีลอน มัสก์ ซีอีโอของเทสลาขอให้ลูกจ้างปรับลดต้นทุนในการจัดส่งรถยนต์--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
กองทุนหุ้นโลกได้รับคำสั่งซื้อหนาแน่นในรอบสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 27 ต.ค. โดยได้แรงหนุนจากผลประกอบการที่สดใสจากบริษัททั่วโลก, การคลายวิตกเรื่องเงินเฟ้อ และปัญหาขัดข้องด้านห่วงโซ่อุปทาน
ข้อมูลจากลิปเปอร์พบว่า นักลงทุนซื้อสุทธิกองทุนหุ้นโลก 2.452 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นคำสั่งซื้อสุทธิมากที่สุดนับตั้งแต่รอบสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 17 ต.ค.
กองทุนหุ้นสหรัฐได้รับคำสั่งซื้อ 1.299 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่กองทุนหุ้นยุโรปและเอเชียได้รับคำสั่งซื้อสุทธิ 6.62 พันล้านดอลลาร์ และ 3.05 พันล้านดอลลาร์ตามลำดับ
คำสั่งซื้อในกองทุนตราสารหนี้โลกลดลงสู่ระดับ 2.7 พันล้านดอลลาร์ ร่วงลงราว 65% จากสัปดาห์ก่อน แต่กองทุนตราสารหนี้ที่ได้รับการคุ้มครองเงินเฟ้อได้รับคำสั่งซื้อ 2.6 พันล้านดอลลาร์ มากที่สุดตั้งแต่เดือนธ.ค.2019 ส่วนกองทุนพันธบัตรรัฐบาลได้รับคำสั่งซื้อ 1.37 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่กองทุนหุ้นกู้โลกถูกเทขายเป็นสัปดาห์ที่ 4 ติดต่อกัน
กองทุนตลาดเงินโลกได้รับคำสั่งซื้อมากที่สุดในรอบ 6 สัปดาห์ที่ 6.566 หมื่นล้านดอลลาร์ แต่นักลงทุนขายกองทุนหุ้นตลาดเกิดใหม่ 275 ล้านดอลลาร์ และขายกองทุนตราสารหนี้ตลาดเกิดใหม่ 1.5 พันล้านดอลลาร์--จบ--
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
เครื่องมือออกแบบโปสเตอร์
โครงการพันธมิตร
ความเสี่ยงของการสูญเสียในการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น หุ้น FX สินค้าโภคภัณฑ์ ฟิวเจอร์ส พันธบัตร ETFs หรือเงินดิจิทัลอาจมีมาก คุณอาจสูญเสียเงินทุนทั้งหมดที่คุณฝากไว้กับโบรกเกอร์ของคุณ ดังนั้น คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบว่าการซื้อขายดังกล่าวเหมาะสมกับคุณหรือไม่ในสถานการณ์และทรัพยากรทางการเงินของคุณ
ไม่ควรตัดสินใจลงทุนโดยไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบสถานะอย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วยตัวเองหรือปรึกษากับที่ปรึกษาทางการเงินของคุณ เนื้อหาเว็บของเราอาจไม่เหมาะกับคุณเนื่องจากเราไม่ทราบเงื่อนไขทางการเงินและความต้องการในการลงทุนของคุณ ข้อมูลทางการเงินของเราอาจมีความล่าช้าหรือมีความไม่ถูกต้อง ดังนั้นคุณควรรับผิดชอบอย่างเต็มที่ต่อการตัดสินใจซื้อขายและการลงทุนของคุณ บริษัทจะไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียเงินทุนของคุณ
หากไม่ได้รับอนุญาตจากเว็บไซต์ คุณจะไม่สามารถคัดลอกกราฟิก ข้อความ หรือเครื่องหมายการค้าของเว็บไซต์ได้ สิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาในเนื้อหาหรือข้อมูลที่รวมอยู่ในเว็บไซต์นี้เป็นของผู้ให้บริการและผู้ค้าแลกเปลี่ยน
ไม่ได้ล็อกอิน
เข้าสู่ระบบเพื่อเข้าถึงฟังก์ชั่นเพิ่มเติม

สมาชิก FastBull
ยังไม่ได้เปิด
สมัคร
เข้าสู่ระบบ
ลงทะเบียน