ตลาด
ข่าวสาร
การวิเคราะห์
ผู้ใช้
24x7
ปฏิทินเศรษฐกิจ
แหล่งเรียนรู้
ข้อมูล
- ชื่อ
- ค่าล่าสุด
- ครั้งก่อน












สัญญาณ VIP
ทั้งหมด
ทั้งหมด



สหรัฐอเมริกา คำสั่งซื้อสินค้าคงทนนอกกระทรวงกลาโหมที่ได้แก้ไข MoM (ไม่รวมเครื่องบิน)(SA) (ก.ย.)ค:--
ค: --
สหรัฐอเมริกา คำสั่งซื้อโรงงาน MoM(ยกเว้นการขนส่ง) (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา คำสั่งซื้อโรงงาน MoM(ยกเว้นภาคกลาโหม) (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การเปลี่ยนแปลงสต็อกก๊าซธรรมชาติประจำสัปดาห์ของ EIAค:--
ค: --
ค: --
ซาอุดิอาระเบีย การผลิตน้ำมันดิบค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การถือครองธนารักษ์สหรัฐฯของธนาคารกลางต่างประเทศรายสัปดาห์ค:--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น เงินตราที่ใช้เป็นทุนสำรอง (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย อัตราขายคืนค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย ดอกเบี้ยอ้างอิงค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย อัตราขายคืนค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย อัตราเงินสดสำรองค:--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น อินดิเคเตอร์ชั้นนำเบื้องต้น (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหราชอาณาจักร ดัชนีราคาที่อยู่อาศัย Halifax YoY (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหราชอาณาจักร ดัชนีราคาที่อยู่อาศัย Halifax MoM (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส บัญชีเดินสะพัด (Not SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส ดุลการค้า (SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส การผลิตภาคอุตสาหกรรม MoM(SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
อิตาลี ดัชนียอดค้าปลีก MoM (SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงาน YoY (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน GDP Final YoY (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน GDP Final QoQ (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงาน QoQ (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงานสุดท้าย (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
บราซิล PPI MoM (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
เม็กซิโก ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา อัตราการว่างงาน (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา อัตราการมีส่วนร่วมในการจ้างงาน (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงาน (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงานนอกเวลา (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงานเต็มเวลา (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา รายได้ส่วนบุคคล MoM (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาธนาคารกลางรัฐดัลลาส สหรัฐอเมริกา PCE YoY (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคา PCE YoY (SA) (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคา PCE MoM (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา รายจ่ายส่วนบุคคล MoM(SA) (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาPCEหลักMoM (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา เงินเฟ้อเบื้องต้น UMich 5-YearYoY (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาPCEหลักYoY (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ค่าใช้จ่ายการบริโภคส่วนบุคคลที่จริง MoM (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การคาดการณ์เงินเฟ้อ 5-10 ปี (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีสถานภาพเบื้องต้น UMich ปัจจุบัน (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้น UMich (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อล่วงหน้า 1 ปี UMich (เบื้องต้น) (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีความคาดหวังผู้บริโภค UMich (เบื้องต้น) (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ปริมาณเครื่องเจาะทั้งหมดรายสัปดาห์--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ปริมาณเครื่องเจาะน้ำมันทั้งหมดรายสัปดาห์--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา สินเชื่ออุปโภคบริโภค (SA) (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ เงินตราที่ใช้เป็นทุนสำรอง (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ปริมาณการส่งออก YoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การนำเข้า YoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การนำเข้าYoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การนำเข้า (CNH) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ดุลการค้า (CNH) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การส่งออก (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น ค่าจ้าง MoM (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น ดุลการค้า (ต.ค.)--
ค: --
ค: --


ไม่มีข้อมูลที่ตรงกัน
ทัศนคติล่าสุด
ทัศนคติล่าสุด
หัวข้อยอดนิยม
คอลัมนิสต์ยอดนิยม
อัปเดตล่าสุด
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
ดูผลการค้นหาทั้งหมด

ไม่มีข้อมูล
นิวยอร์ค--22 พ.ย.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดร่วงลงในวันจันทร์ ในขณะที่นักลงทุนกังวลว่า จีนอาจจะดำเนินมาตรการควบคุมโรคโควิด-19 อย่างเข้มงวดอีกครั้ง หลังจากเทศบาลกรุงปักกิ่งของจีนประกาศเตือนในวันจันทร์ว่า กรุงปักกิ่งกำลังเผชิญกับการทดสอบครั้งร้ายแรงที่สุดสำหรับการระบาดของโรคโควิด-19 โดยมีการสั่งปิดธุรกิจและโรงเรียนในบางเขตของกรุงปักกิ่ง และมีการเพิ่มความเข้มงวดในกฎระเบียบสำหรับการเดินทางเข้าเมือง หลังจากยอดผู้ติดเชื้อปรับสูงขึ้นทั้งในกรุงปักกิ่งและทั่วประเทศจีน ทางด้านนักลงทุนคาดว่า รัฐบาลจีนอาจจะไม่ผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคลงในเร็ว ๆ นี้ ทั้งนี้ หุ้นบริษัทคาสิโนของสหรัฐที่มีธุรกิจในจีนดิ่งลงอย่างรุนแรง โดยหุ้นบริษัทวินน์ รีสอร์ทส์, ลาส เวกัส แซนด์ส, เอ็มจีเอ็ม รีสอร์ทส์ อินเตอร์เนชั่นแนล และเมลโค รีสอร์ทส์ แอนด์ เอ็นเตอร์เทนเมนท์ ต่างก็ดิ่งลงอย่างน้อย 2% ในวันจันทร์
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดขยับลง 0.13% สู่ 33,700.28, ดัชนี S&P 500 ปิดปรับลง 0.39% สู่ 3,949.94 และดัชนี Nasdaq ปิดดิ่งลง 1.09% สู่ 11,024.51 ทั้งนี้ วอลุ่มการซื้อขายอยู่ในระดับเบาบางในวันจันทร์ โดยอยู่ที่ 9.43 พันล้านหุ้น ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของช่วง 20 วันทำการที่ผ่านมาที่ระดับ 1.188 หมื่นล้านหุ้นต่อวัน โดยวอลุ่มการซื้อขายมีแนวโน้มที่จะลดลงจนถึงวันพฤหัสบดีที่ 24 พ.ย. ซึ่งถือเป็นวันหยุดเนื่องในวันขอบคุณพระเจ้าของสหรัฐ และปัจจัยนี้อาจจะส่งผลให้ตลาดหุ้นแกว่งตัวผันผวนมากยิ่งขึ้นในช่วงนี้
ตลาดหุ้นลดช่วงติดลบกลับขึ้นมาได้บ้างในช่วงบ่าย หลังจากนางแมรี ดาลี ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาซานฟรานซิสโกกล่าวว่า เจ้าหน้าที่จำเป็นจะต้องใช้ความระมัดระวัง เพื่อจะได้หลีกเลี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำอย่างเลวร้าย ทางด้านนางลอเรตตา เมสเตอร์ ประธานเฟดสาขาคลีฟแลนด์แสดงความเห็นสอดคล้องกับนางดาลี โดยนางเมสเตอร์กล่าวว่า เธอสนับสนุนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในขนาดที่เล็กลงในเดือนธ.ค. ทั้งนี้ เทรดเดอร์คาดว่า มีโอกาส 81% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% สู่ 4.25-4.50% ในการประชุมกำหนดนโยบายในวันที่ 13-14 ธ.ค. และเทรดเดอร์คาดว่า อัตราดอกเบี้ยของเฟดจะขึ้นไปแตะจุดสูงสุดในเดือนมิ.ย. 2023
ดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานของสหรัฐดิ่งลงเกือบ 3% ในระหว่างช่วงการซื้อขายวันจันทร์ และรูดลงแตะจุดต่ำสุดในรอบ 4 สัปดาห์ ในขณะที่ราคาน้ำมันดิ่งลงกว่า 5% ในช่วงแรก หลังจากมีข่าวว่าซาอุดิอาระเบียกับประเทศอื่น ๆ ในกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) กำลังหารือกันเรื่องการปรับเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมัน อย่างไรก็ดี ดัชนีหุ้นกลุ่มน้ำมันลดช่วงติดลบกลับขึ้นมาได้บ้าง หลังจากซาอุดิอาระเบียปฏิเสธข่าวนี้ ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้นมาแล้วราว 63% จากช่วงต้นปีนี้ และถือเป็นหุ้นกลุ่มใหญ่เพียงกลุ่มเดียวในตลาดหุ้นสหรัฐที่มีแนวโน้มปิดตลาดในแดนบวกในปีนี้
หุ้นวอลท์ ดิสนีย์พุ่งขึ้น 6.30% หลังจากนายบ็อบ ไอเกอร์กลับมาดำรงตำแหน่งซีอีโอของวอลท์ ดิสนีย์ ทั้งนี้ หุ้นเทสลาซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าดิ่งลง 6.84% หลังจากเทสลาประกาศว่า เทสลาจะเรียกคืนรถยนต์ในสหรัฐเพราะมีปัญหาไฟท้ายไม่ทำงานในบางครั้ง--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--27 ก.ย.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดดิ่งลงในวันจันทร์ ในขณะที่นักลงทุนกังวลว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างแข็งกร้าวเพื่อควบคุมภาวะเงินเฟ้อ และการทำเช่นนั้นอาจจะส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐตกต่ำลงอย่างรุนแรง ทั้งนี้ หลังจากตลาดหุ้นสหรัฐร่วงลงอย่างต่อเนื่องในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ก็ดิ่งลงมาแล้ว 20.5% จากสถิติระดับปิดสูงสุดที่เคยทำไว้ในวันที่ 4 ม.ค. โดยการดิ่งลง 20% หรือมากกว่านั้นจากระดับปิดสูงสุดถือเป็นการยืนยันว่า ดัชนีดาวโจนส์เข้าสู่ภาวะตลาดหมีนับตั้งแต่แตะจุดสูงสุดในเดือนม.ค. ทางด้านดัชนี S&P 500 ยืนยันการเข้าสู่ภาวะตลาดหมีไปแล้วในเดือนมิ.ย. และดัชนี S&P ก็ดิ่งลงมาแล้วราว 23% จากช่วงต้นปี 2022 โดยดัชนี S&P ปิดตลาดวันจันทร์ที่ระดับต่ำกว่าระดับปิดต่ำสุดของช่วงกลางเดือนมิ.ย.ด้วย
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดดิ่งลง 1.11% สู่ 29,260.81, ดัชนี S&P 500 ปิดรูดลง 1.03% สู่ 3,655.04 และดัชนี Nasdaq ปิดปรับลง 0.6% สู่ 10,802.92 ทั้งนี้ หุ้น 10 กลุ่มจาก 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐปิดตลาดในแดนลบ โดยดัชนีหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานรูดลง 2.6% และถือเป็นหุ้นสองกลุ่มที่ดิ่งลงมากที่สุด อย่างไรก็ดี หุ้นบริษัทอะเมซอนและหุ้นบริษัทคอสต์โค โฮลเซลพุ่งขึ้นในวันจันทร์ และปัจจัยนี้ช่วยจำกัดการร่วงลงของดัชนี Nasdaq
ตลาดหุ้นได้รับแรงกดดัน หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% เป็นครั้งที่ 3 ติดต่อกัน โดยปรับกรอบเป้าหมายอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นสู่ 3.00-3.25% ในวันพุธที่ 21 ก.ย. ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2008 และรายงานคาดการณ์ฉบับใหม่ของเฟดระบุว่า กรอบเป้าหมายอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดมีแนวโน้มพุ่งขึ้นสู่ 4.25-4.50% ก่อนสิ้นปีนี้ และจะอยู่ที่ 4.50-4.75% ในช่วงปลายปี 2023 ทั้งนี้ นายเจค ดอลลาร์ไฮด์ ซีอีโอของบริษัทลองโบว์ แอสเซท แมเนจเมนท์กล่าวว่า นักลงทุนเทขายหุ้นออกมา ในขณะที่นักลงทุนไม่แน่ใจว่า "อัตราดอกเบี้ย Fed funds จะขึ้นไปแตะจุดสูงสุดที่ระดับใด โดยอัตราดอกเบี้ยอาจจะขึ้นไปแตะ 4.6% หรืออาจจะขึ้นไปแตะ 5% และนักลงทุนไม่แน่ใจว่าอัตราดอกเบี้ยจะแตะจุดสูงสุดในปี 2023 หรือไม่"
ตลาดหุ้นได้รับแรงกดดันจากความเคลื่อนไหวอย่างรุนแรงในตลาดปริวรรตเงินตราด้วย ในขณะที่ปอนด์ดิ่งลง 4.9% ในระหว่างวัน และลงไปแตะสถิติต่ำสุดใหม่ในวันจันทร์ที่ 1.0327 ดอลลาร์ โดยปอนด์ได้รับแรงกดดันหลังจากนายควาซี กวาร์เตง รมว.คลังอังกฤษประกาศแผนการปรับลดภาษีครั้งใหญ่ในวันศุกร์ และรัฐบาลอังกฤษจะกู้เงินเพิ่มขึ้นครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 1972 เพื่อหาเงินมาใช้รองรับแผนการปรับลดภาษีนี้ ทางด้านนักลงทุนกังวลว่า แผนเศรษฐกิจใหม่ของรัฐบาลอังกฤษจะสร้างความเสียหายต่อฐานะการคลังของอังกฤษ ทั้งนี้ นักลงทุนกังวลว่าเศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ภาวะถดถอย และกังวลกับอัตราเงินเฟ้อในบางประเทศที่แตะจุดสูงสุดในรอบหลายสิบปีในช่วงนี้ด้วย ทางด้านดัชนี VIX ที่ใช้วัดระดับความกังวลในตลาดหุ้นสหรัฐพุ่งขึ้น 7.8% มาปิดตลาดที่ 32.26 ในวันจันทร์ หลังจากทะยานขึ้นแตะจุดสูงสุดรอบ 3 เดือนที่ 32.88 ในระหว่างวัน
หุ้นกลุ่มคาสิโนของสหรัฐพุ่งขึ้น โดยหุ้นบริษัทวินน์ รีสอร์ท, บริษัทลาสเวกัส แซนด์ และบริษัทเมลโค รีสอร์ท แอนด์ เอ็นเตอร์เทนเมนท์พุ่งขึ้น 11.8-25.5% หลังจากมาเก๊าวางแผนที่จะเปิดให้กรุ๊ปทัวร์จากจีนเข้ามาเที่ยวในมาเก๊าได้ในเดือนพ.ย. ซึ่งจะถือเป็นการเปิดต้อนรับกรุ๊ปทัวร์เป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 3 ปี--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--28 ธ.ค.--รอยเตอร์
ดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐพุ่งขึ้นมาปิดตลาดที่สถิติระดับปิดสูงสุดใหม่ในวันจันทร์ และปิดตลาดในแดนบวกเป็นวันที่ 4 ติดต่อกัน ในขณะที่ยอดค้าปลีกที่ระดับสูงในสหรัฐช่วยตอกย้ำความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ และปัจจัยดังกล่าวช่วยบดบังความกังวลของนักลงทุนที่มีต่อการยกเลิกเที่ยวบินหลายพันเที่ยวในสหรัฐท่ามกลางการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์โอมิครอน ถึงแม้ว่าการยกเลิกเที่ยวบินดังกล่าวส่งผลให้หุ้นกลุ่มการท่องเที่ยวร่วงลง ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นกลุ่มค้าปลีกของสหรัฐพุ่งขึ้น หลังจากบริษัทมาสเตอร์การ์ด อิงค์รายงานในวันอาทิตย์ว่า ยอดค้าปลีกในสหรัฐ (ซึ่งไม่รวมรถยนต์) พุ่งขึ้น 8.5% ในช่วงฤดูช้อปปิ้งปลายปีนี้เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่แล้ว โดยช่วงฤดูช้อปปิ้งนี้ครอบคลุมช่วงเวลาตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.-24 ธ.ค. และได้รับแรงหนุนหลักจากการพุ่งขึ้น 11% ของยอดค้าปลีกทางระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวกขึ้น 0.98% สู่ 36,302.38, ดัชนี S&P 500 ปิดพุ่งขึ้น 1.38% สู่ 4,791.19 หลังจากทะยานขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่ในระหว่างวันที่ 4,791.49 และดัชนี Nasdaq ปิดพุ่งขึ้น 1.39% สู่ 15,871.26 ทั้งนี้ หุ้นทั้ง 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐปิดตลาดในแดนบวก โดยหุ้นกลุ่มพลังงานกับหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีถือเป็นหุ้นสองกลุ่มที่พุ่งขึ้นมากที่สุด
ในส่วนของหุ้นกลุ่มย่อยนั้น ดัชนีหุ้นกลุ่มสายการบินของสหรัฐร่วงลง 0.57% หลังจากสายการบินในสหรัฐยกเลิกเที่ยวบินหลายพันเที่ยวในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา และยกเลิกเที่ยวบินอีกราว 800 เที่ยวในวันจันทร์ เนื่องจากยอดผู้ติดเชื้อสายพันธุ์โอมิครอนพุ่งสูงขึ้น ทางด้านหุ้นกลุ่มเรือสำราญดิ่งลงอย่างรุนแรงด้วยเช่นกัน โดยหุ้นนอร์วีเจียน ครุยส์ ไลน์ โฮลอิงส์ดิ่งลง 2.55%, หุ้นรอยัล แคริบเบียนรูดลง 1.35% และหุ้นคาร์นิวัล คอร์ปดิ่งลง 1.18%
ดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้น 4.9% ในช่วง 4 วันทำการที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นการพุ่งขึ้นระยะ 4 วันครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ต้นเดือนพ.ย. 2020 นอกจากนี้ ดัชนี S&P 500 ก็มีแนวโน้มว่าอาจจะปิดตลาดปีนี้ในแดนบวกเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน โดยมีแนวโน้มว่าการพุ่งขึ้นช่วง 3 ปีล่าสุดนี้ (2019-2021) จะถือเป็นการพุ่งขึ้นระยะ 3 ปีครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 1999
ดัชนี Nasdaq ได้รับแรงหนุนในวันจันทร์จากการพุ่งขึ้นของหุ้นบริษัทขนาดใหญ่ ซึ่งรวมถึงหุ้นเทสลา, ไมโครซอฟท์, แอปเปิล และเมตา แพลตฟอร์ม (เฟซบุ๊ก)--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--14 ธ.ค.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดดิ่งลงในวันจันทร์ ในขณะที่หุ้นกลุ่มเรือสำราญและหุ้นสายการบินบางแห่งรูดลง เนื่องจากนักลงทุนกังวลกับข่าวการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์โอไมครอน และนักลงทุนรอดูการประชุมกำหนดนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 14-15 ธ.ค. ทั้งนี้ มีข่าวว่ามีผู้เสียชีวิตหนึ่งรายจากสายพันธุ์โอไมครอนในอังกฤษ ในขณะที่สายพันธุ์โอไมครอนครองสัดส่วนราว 40% ของยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่ในกรุงลอนดอน โดยข่าวนี้ส่งผลให้หุ้นกลุ่มการท่องเที่ยวดิ่งลง ซึ่งรวมถึงดัชนีหุ้นกลุ่มสายการบินที่ดิ่งลงราว 3% ทางด้านหุ้นบริษัทนอร์วีเจียน ครุยส์ ไลน์ โฮลดิงส์, คาร์นิวาล คอร์ป และรอยัล แคริบเบียน ครุยเซสในกลุ่มเรือสำราญรูดลงกว่า 4%
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดร่วงลง 0.89% สู่ 35,651.61, ดัชนี S&P 500 ปิดปรับลง 0.91% สู่ 4,668.97 แต่ดัชนียังคงพุ่งขึ้นมาแล้วราว 24% จากช่วงต้นปีนี้ ทางด้านดัชนี Nasdaq ปิดดิ่งลง 1.39% สู่ 15,413.28 ทั้งนี้ หุ้นส่วนใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐดิ่งลงในวันจันทร์ โดยมีเพียงแค่หุ้นกลุ่มปลอดภัยที่ปิดตลาดในแดนบวก ซึ่งรวมถึงหุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น, หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภค และหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์
หุ้นบริษัทแอปเปิล อิงค์ดิ่งลง 2.1% ถึงแม้บริษัทเจ.พี. มอร์แกนปรับขึ้นราคาเป้าหมายของหุ้นแอปเปิล โดยในขณะนี้แอปเปิลใกล้ที่จะกลายเป็นบริษัทแห่งแรกในโลกที่มีมูลค่าในตลาดสูงถึง 3 ล้านล้านดอลลาร์
นักลงทุนคาดว่าเฟดจะส่งสัญญาณแบบสายเหยี่ยวมากยิ่งขึ้นในวันพุธนี้ โดยเฟดอาจจะเร่งความเร็วในการปรับลดขนาดมาตรการเข้าซื้อตราสารหนี้ ซึ่งจะส่งผลให้เฟดสามารถเริ่มต้นปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้ในเวลาที่เร็วขึ้น ทั้งนี้ นักเศรษฐศาสตร์ในโพลล์รอยเตอร์คาดว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจากระดับใกล้ 0% สู่ 0.25-0.50% ในไตรมาสสามของปีหน้า และจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในไตรมาสสี่ของปีหน้า
หุ้นบริษัทไฟเซอร์ อิงค์พุ่งขึ้น 4.6% หลังจากไฟเซอร์ตกลงที่จะเข้าซื้อบริษัทอารีนา ฟาร์มาซูติคัลส์ในข้อตกลงขนาด 6.7 พันล้านดอลลาร์โดยใช้เงินสดทั้งหมด ทางด้านหุ้นอารีนาพุ่งขึ้น 80%--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--30 พ.ย.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดบวกขึ้นในวันจันทร์ หลังจากดิ่งลงในวันศุกร์ ในขณะที่นักลงทุนคาดหวังว่าเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์โอมิครอนจะไม่ส่งผลให้สหรัฐประกาศใช้มาตรการล็อกดาวน์ หลังจากประธานาธิบดีโจ ไบเดนของสหรัฐกล่าวในวันจันทร์ว่า ยังไม่มีการพิจารณาเรื่องมาตรการล็อกดาวน์ในตอนนี้ และเขาขอให้ชาวสหรัฐไม่ตื่นตระหนกกับสายพันธุ์โอมิครอน อย่างไรก็ดี เขาแนะนำให้ชาวสหรัฐฉีดวัคซีนและใส่หน้ากากอนามัยขณะอยู่ในตัวอาคาร และเขากล่าวเสริมว่ารัฐบาลสหรัฐกำลังทำงานร่วมกับบริษัทเวชภัณฑ์ในการเตรียมแผนรับสถานการณ์ฉุกเฉิน ถ้าหากมีความจำเป็นต้องฉีดวัคซีนใหม่ ทั้งนี้ ดัชนี Nasdaq พุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งกว่าดัชนี S&P และดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ในวันจันทร์ ในขณะที่ดัชนี Nasdaq ได้รับแรงหนุนจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี โดยดัชนีหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐพุ่งขึ้น 4% ในวันจันทร์ โดยได้รับแรงหนุนสำคัญจากหุ้นบริษัทเอ็นวิเดียที่ทะยานขึ้น 5.9% ทางด้านดัชนีดาวโจนส์ปรับขึ้นไม่มากนัก เนื่องจากดัชนีดาวโจนส์ได้รับแรงกดดันจากหุ้นบริษัทเมอร์ค แอนด์ โคที่ดิ่งลง 5.4% หลังจากผลการศึกษายารักษาโรคโควิด-19 ของเมอร์คแสดงให้เห็นว่า ยาตัวนี้มีประสิทธิภาพในการลดความเสี่ยงในการเข้าโรงพยาบาลและการเสียชีวิตในระดับต่ำกว่าที่เคยระบุไว้
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวกขึ้น 0.68% สู่ 35,135.94, ดัชนี S&P 500 ปิดพุ่งขึ้น 1.32% สู่ 4,655.27 และดัชนี Nasdaq ปิดทะยานขึ้น 1.88% สู่ 15,782.83 ทั้งนี้ ในบรรดาหุ้น 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐนั้น ดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีพุ่งขึ้น 2.6% และถือเป็นกลุ่มที่พุ่งขึ้นมากที่สุด ส่วนดัชนีหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยทะยานขึ้น 1.6% และถือเป็นกลุ่มที่พุ่งขึ้นมากเป็นอันดับสอง โดยได้รับแรงหนุนจากหุ้นอะเมซอนดอทคอมและหุ้นเทสลา นอกจากนี้ ดัชนี S&P ก็ได้รับแรงหนุนสำคัญจากหุ้นบริษัทไมโครซอฟท์ที่พุ่งขึ้น 2.11% และหุ้นบริษัทแอปเปิลที่ทะยานขึ้น 2.19% ด้วย โดยหุ้นแอปเปิลได้รับแรงหนุน หลังจากธนาคาร HSBC ปรับขึ้นราคาเป้าหมายของหุ้นแอปเปิล
นักลงทุนมีความมั่นใจในการลงทุนมากยิ่งขึ้น หลังจากได้ฟังถ้อยแถลงของปธน.ไบเดน และหลังจากบริษัทยาส่งสัญญาณว่า ทางบริษัทให้ความสำคัญเป็นอย่างมากกับสายพันธุ์โอมิครอน โดยบริษัทไฟเซอร์, บิออนเทค, โมเดอร์นา และจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสันระบุในวันจันทร์ว่า ทางบริษัทกำลังพัฒนาวัคซีนที่ตั้งเป้าไปที่สายพันธุ์โอมิครอนอย่างเฉพาะเจาะจง เพื่อใช้ในกรณีที่วัคซีนที่มีอยู่ในปัจจุบันไม่สามารถต้านทานสายพันธุ์โอมิครอนได้ ทั้งนี้ หุ้นโมเดอร์นาพุ่งขึ้น 11.8%, หุ้นจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสันบวกขึ้น 0.34% แต่หุ้นไฟเซอร์ดิ่งลงเกือบ 3% ทางด้านศูนย์การควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐระบุหลังจากตลาดปิดทำการในวันจันทร์ว่า ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไปควรฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นในเวลา 6 เดือนหลังจากฉีดวัคซีนของไฟเซอร์หรือโมเดอร์นา หรือในเวลา 2 เดือนหลังจากฉีดวัคซีนของจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน
นางแคโรล ชลีฟ รองหัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของบริษัทบีเอ็มโอตั้งข้อสังเกตว่า นักลงทุนมีความคุ้นเคยกับการเข้าช้อนซื้อเก็งกำไรเมื่อใดก็ตามที่ตลาดหุ้นดิ่งลงในปีนี้ และเธอตั้งข้อสังเกตว่า "นักลงทุนพยายามประเมินสถานการณ์ใหม่ในช่วงนี้ และจะใช้ความอดทนในช่วงนี้" ทั้งนี้ อังกฤษระบุว่า อังกฤษจะฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นให้แก่ผู้ใหญ่ทุกคน และจะฉีดวัคซีนเข็มที่สองให้แก่เด็กอายุ 12-15 ปี หลังจากมีความกังวลเรื่องสายพันธุ์โอมิครอน โดยอังกฤษต้องการใช้วัคซีนของโมเดอร์นาและไฟเซอร์ในฐานะวัคซีนเข็มกระตุ้น
หุ้นเทสลาพุ่งขึ้น 5% หลังจากมีข่าวว่านายอีลอน มัสก์ ซีอีโอของเทสลาขอให้ลูกจ้างปรับลดต้นทุนในการจัดส่งรถยนต์--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--29 พ.ย.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดดิ่งลงอย่างรุนแรงในวันศุกร์ โดยได้รับแรงกดดันจากข่าวเรื่องการค้นพบเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่มีการกลายพันธุ์ในหลายตำแหน่งในแอฟริกาใต้ หรือที่เรียกว่าสายพันธุ์โอมิครอน และรัฐบาลหลายประเทศก็แสดงปฏิกิริยาต่อข่าวนี้ โดยสหภาพยุโรป (อียู) และอังกฤษได้ออกมาตรการคุมเข้มด้านพรมแดน ในขณะที่นักวิจัยพยายามศึกษาว่า สายพันธุ์โอมิครอนนี้ดื้อต่อวัคซีนหรือไม่ ทั้งนี้ ข่าวดังกล่าวส่งผลลบเป็นอย่างมากต่อหุ้นบริษัทที่เคยพุ่งขึ้นในช่วงที่ผ่านมาเพราะได้รับแรงหนุนจากการเปิดเศรษฐกิจ โดยหุ้นบางตัวในกลุ่มผู้ประกอบการเรือสำราญ ซึ่งรวมถึงหุ้นบริษัทคาร์นิวาล คอร์ป, รอยัล แคริบเบียน ครุยเซส และนอร์วีเจียน ครุยส์ ไลน์ต่างก็ดิ่งลงกว่า 10% ส่วนหุ้นสายการบินยูไนเต็ด แอร์ไลน์, เดลตา แอร์ ไลน์ และอเมริกัน แอร์ไลน์รูดลงด้วยเช่นกัน ทางด้านดัชนี NYSE Arca สำหรับหุ้นกลุ่มสายการบินดิ่งลง 6.45% ซึ่งถือเป็นการดิ่งลงครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.ย. 2020
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดดิ่งลง 2.53% สู่ 34,899.34, ดัชนี S&P 500 ปิดรูดลง 2.27% สู่ 4,594.62; และดัชนี Nasdaq ปิดดิ่งลง 2.23% สู่ 15,491.66 ทั้งนี้ หุ้น 10 กลุ่มจาก 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐปิดตลาดดิ่งลงกว่า 1% โดยมีเพียงแค่หุ้นกลุ่มการแพทย์เท่านั้นที่ปิดตลาดร่วงลงเพียง 0.45% โดยหุ้นกลุ่มการแพทย์ได้รับแรงหนุนจากหุ้นไฟเซอร์ที่พุ่งขึ้น 6.11% มาปิดตลาดที่สถิติระดับปิดสูงสุดใหม่ที่ 54 ดอลลาร์ และได้รับแรงหนุนจากหุ้นโมเดอร์นาที่ทะยานขึ้น 20.57% ในวันศุกร์ ทางด้านดัชนี Russell 2000 สำหรับหุ้นบริษัทขนาดเล็กของสหรัฐปิดดิ่งลง 3.67% โดยทั้งดัชนี S&P 500 และดัชนีหุ้นบริษัทขนาดเล็กต่างก็รูดลงในวันศุกร์ในอัตราที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 25 ก.พ. เป็นต้นมา
นักลงทุนตั้งข้อสังเกตว่า การที่ตลาดหุ้นดิ่งลงอย่างรุนแรงในวันศุกร์อาจมีสาเหตุบางส่วนมาจากปริมาณการซื้อขายที่เบาบาง เนื่องจากวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาเป็นวันหยุดเนื่องในวันขอบคุณพระเจ้าของสหรัฐ ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มค้าปลีกดิ่งลง 2.04% ในขณะที่นักลงทุนกังวลว่าเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่จะส่งผลลบต่อจำนวนลูกค้าที่เข้าร้านค้า และจะส่งผลลบต่ออุปทานสินค้าด้วย ทางด้านดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารของสหรัฐรูดลง 3.87% ในขณะที่นักลงทุนปรับลดการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็ว
หุ้นกลุ่มพลังงานดิ่งลง 4% ในวันศุกร์ ซึ่งถือเป็นการดิ่งลงครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 8 เดือน โดยได้รับแรงกดดันจากราคาน้ำมันดิบสหรัฐที่ปิดตลาดรูดลง 10.24 ดอลลาร์ หรือ 13.1% สู่ 68.15 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในวันศุกร์ อย่างไรก็ดี หุ้นกลุ่มพลังงานถือเป็นหุ้นกลุ่มที่พุ่งขึ้นมากที่สุดในปีนี้ ทั้งนี้ ดัชนีความผันผวน CBOE หรือดัชนี VIX ที่ใช้วัดระดับความกังวลในตลาดหุ้นสหรัฐ ปิดพุ่งขึ้น 54% สู่ 28.62 หลังจากทะยานขึ้นแตะ 28.99 ในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่ต้นเดือนมี.ค.
หุ้นกลุ่มที่ได้รับแรงหนุนจากการกักตัวอยู่บ้านพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในวันศุกร์ โดยหุ้นเน็ตฟลิกซ์ปิดพุ่งขึ้น 1.12%, หุ้นเพโลตอน อินเทอร์แอคทีฟ ซึ่งเป็นบริษัทอุปกรณ์ออกกำลังกายทะยานขึ้น 5.67% และหุ้นซูม วิดีโอ คอมมูนิเคชันส์พุ่งขึ้น 5.72%--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--22 พ.ย.--รอยเตอร์
ดัชนี Nasdaq ของตลาดหุ้นสหรัฐปรับขึ้นมาปิดตลาดเหนือระดับ 16,000 ได้เป็นครั้งแรกในวันศุกร์ และทำสถิติระดับปิดสูงสุดใหม่ได้เป็นวันที่สองติดต่อกัน โดยได้รับแรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี อย่างไรก็ดี ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ร่วงลงมาปิดตลาดในแดนลบเป็นวันที่ 4 ในรอบ 5 วันทำการ โดยได้รับแรงกดดันจากความกังวลเรื่องโรคระบาด ทั้งนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐได้รับแรงกดดันในวันศุกร์จากการดิ่งลงของหุ้นกลุ่มธนาคาร, หุ้นกลุ่มพลังงาน และหุ้นกลุ่มสายการบิน ในขณะที่นักลงทุนกังวลว่าหลายประเทศในยุโรปอาจจะทำตามอย่างออสเตรียในการประกาศใช้มาตรการล็อกดาวน์อย่างเต็มที่อีกครั้งเพื่อรับมือกับการพุ่งขึ้นของยอดผู้ป่วยโรคโควิด-19
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดร่วงลง 0.75% สู่ 35,601.98, ดัชนี S&P 500 ปิดปรับลง 0.14% สู่ 4,697.96 และดัชนี Nasdaq ปิดบวกขึ้น 0.4% สู่ 16,057.44 ทั้งนี้ ดัชนีดาวโจนส์ปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการดิ่งลง 1.38% จากสัปดาห์ที่แล้ว และดัชนีรูดลงมาแล้วราว 2.3% จากสถิติสูงสุดที่ทำไว้ในวันที่ 8 พ.ย. ส่วนดัชนี S&P ปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการบวกขึ้น 0.34% จากสัปดาห์ที่แล้ว และดัชนี Nasdaq พุ่งขึ้น 1.24% จากสัปดาห์ที่แล้ว
ดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารดิ่งลง 1.6% ในวันศุกร์ ในขณะที่นักลงทุนเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย และส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีดิ่งลงสู่ 1.548% ในวันศุกร์ จาก 1.587% ในวันพฤหัสบดี ส่วนดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานของสหรัฐดิ่งลง 3.9% และถือเป็นหุ้นกลุ่มที่รูดลงมากที่สุดในวันศุกร์ โดยได้รับแรงกดดันจากการดิ่งลงอย่างรุนแรงของราคาน้ำมันท่ามกลางความกังวลเรื่องอุปสงค์น้ำมัน ทางด้านหุ้นกลุ่มสายการบินและหุ้นกลุ่มเรือสำราญรูดลงด้วยเช่นกัน โดยหุ้นเดลตา แอร์ ไลน์, ยูไนเต็ด แอร์ไลน์, อเมริกัน แอร์ไลน์, นอร์วีเจียน ครุยส์ ไลน์ และคาร์นิวาล คอร์ปร่วงลง 0.6-2.8% อย่างไรก็ดี การร่วงลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยิลด์) และความต้องการซื้อสินทรัพย์ปลอดภัยช่วยหนุนหุ้นบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่และดัชนี Nasdaq ให้ปรับขึ้นในวันศุกร์ ทั้งนี้ นายเจย์ แฮทฟิลด์ ซีอีโอของบริษัทอินฟราสตรัคเจอร์ แคปิตัล แมเนจเมนท์กล่าวว่า "เป็นเรื่องปกติที่นักลงทุนจะลดความเสี่ยงลง แต่ช่วงนี้เป็นช่วงที่มีสภาพคล่องสูงมากจนส่งผลให้ตลาดหุ้นไม่ดิ่งลง และนักลงทุนก็ลดความเสี่ยงด้วยการเข้าซื้อหุ้นกลุ่มปลอดภัยแทน"
ดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศ (ไอที) ปรับขึ้น 0.8% และถือเป็นดัชนีหุ้นกลุ่มใหญที่ปรับขึ้นมากที่สุดในวันศุกร์ โดยหุ้นกลุ่มไอทีได้รับแรงหนุนจากหุ้นบริษัทอินชูอิท อิงค์ (Intuit Inc) ซึ่งเป็นบริษัทซอฟท์แวร์ภาษีเงินได้ที่พุ่งขึ้น 10.1% หลังจากอินชูอิทรายงานผลกำไรรายไตรมาสที่ดีเกินคาด และโบรกเกอร์ปรับขึ้นราคาเป้าหมายของหุ้นตัวนี้ ทั้งนี้ หุ้นเอ็นวิเดียซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปพุ่งขึ้น 4.1% มาปิดตลาดที่สถิติระดับปิดสูงสุดใหม่เป็นวันที่ 3 ติดต่อกัน ส่วนดัชนีหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐบวกขึ้น 0.3% และมาปิดตลาดที่สถิติระดับปิดสูงสุดใหม่เป็นวันที่ 3 ในรอบ 4 วันทำการ
หุ้นบริษัทบางแห่งที่ได้รับประโยชน์จากการกักตัวอยู่บ้านปรับขึ้นในวันศุกร์ โดยหุ้นคลอร็อกซ์ซึ่งเป็นผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อบวกขึ้น 0.73% และหุ้นเอ็ตซีซึ่งเป็นผู้ค้างานฝีมือออนไลน์พุ่งขึ้น 1.42% อย่างไรก็ดี หุ้นเน็ตฟลิกซ์ร่วงลง 0.47%, หุ้นโรคูซึ่งเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์สตรีมมิงร่วงลง 0.74% และหุ้นซูม วิดีโอ คอมมูนิเคชันส์ดิ่งลง 1.74% ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยของสหรัฐปรับขึ้น 0.3% และปิดตลาดที่สถิติระดับปิดสูงสุดใหม่เป็นวันที่สองติดต่อกัน หลังจากบริษัทในภาคค้าปลีกเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่งในสัปดาห์นี้ และมีสัญญาณบ่งชี้ว่ายอดช้อปปิ้งในช่วงเทศกาลวันหยุดปลายปีจะอยู่ในระดับแข็งแกร่ง โดยหุ้นโลว์ส คอมปานีส์ในกลุ่มค้าปลีกปรับขึ้น 0.9% ในวันศุกร์ หลังจากโลว์สเปิดเผยผลประกอบการไตรมาสสามในวันพุธที่ผ่านมา--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
เครื่องมือออกแบบโปสเตอร์
โครงการพันธมิตร
ความเสี่ยงของการสูญเสียในการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น หุ้น FX สินค้าโภคภัณฑ์ ฟิวเจอร์ส พันธบัตร ETFs หรือเงินดิจิทัลอาจมีมาก คุณอาจสูญเสียเงินทุนทั้งหมดที่คุณฝากไว้กับโบรกเกอร์ของคุณ ดังนั้น คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบว่าการซื้อขายดังกล่าวเหมาะสมกับคุณหรือไม่ในสถานการณ์และทรัพยากรทางการเงินของคุณ
ไม่ควรตัดสินใจลงทุนโดยไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบสถานะอย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วยตัวเองหรือปรึกษากับที่ปรึกษาทางการเงินของคุณ เนื้อหาเว็บของเราอาจไม่เหมาะกับคุณเนื่องจากเราไม่ทราบเงื่อนไขทางการเงินและความต้องการในการลงทุนของคุณ ข้อมูลทางการเงินของเราอาจมีความล่าช้าหรือมีความไม่ถูกต้อง ดังนั้นคุณควรรับผิดชอบอย่างเต็มที่ต่อการตัดสินใจซื้อขายและการลงทุนของคุณ บริษัทจะไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียเงินทุนของคุณ
หากไม่ได้รับอนุญาตจากเว็บไซต์ คุณจะไม่สามารถคัดลอกกราฟิก ข้อความ หรือเครื่องหมายการค้าของเว็บไซต์ได้ สิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาในเนื้อหาหรือข้อมูลที่รวมอยู่ในเว็บไซต์นี้เป็นของผู้ให้บริการและผู้ค้าแลกเปลี่ยน
ไม่ได้ล็อกอิน
เข้าสู่ระบบเพื่อเข้าถึงฟังก์ชั่นเพิ่มเติม

สมาชิก FastBull
ยังไม่ได้เปิด
สมัคร
เข้าสู่ระบบ
ลงทะเบียน