ตลาด
ข่าวสาร
การวิเคราะห์
ผู้ใช้
24x7
ปฏิทินเศรษฐกิจ
แหล่งเรียนรู้
ข้อมูล
- ชื่อ
- ค่าล่าสุด
- ครั้งก่อน












สัญญาณ VIP
ทั้งหมด
ทั้งหมด



สหรัฐอเมริกา ค่าเฉลี่ยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก4 สัปดาห์ (SA)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานต่อรายสัปดาห์ (SA)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา Ivey PMI (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา Ivey PMI (Not SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา คำสั่งซื้อสินค้าคงทนนอกกระทรวงกลาโหมที่ได้แก้ไข MoM (ไม่รวมเครื่องบิน)(SA) (ก.ย.)ค:--
ค: --
สหรัฐอเมริกา คำสั่งซื้อโรงงาน MoM(ยกเว้นการขนส่ง) (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา คำสั่งซื้อโรงงาน MoM (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา คำสั่งซื้อโรงงาน MoM(ยกเว้นภาคกลาโหม) (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การเปลี่ยนแปลงสต็อกก๊าซธรรมชาติประจำสัปดาห์ของ EIAค:--
ค: --
ค: --
ซาอุดิอาระเบีย การผลิตน้ำมันดิบค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การถือครองธนารักษ์สหรัฐฯของธนาคารกลางต่างประเทศรายสัปดาห์ค:--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น เงินตราที่ใช้เป็นทุนสำรอง (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย อัตราขายคืนค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย ดอกเบี้ยอ้างอิงค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย อัตราขายคืนค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย อัตราเงินสดสำรองค:--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น อินดิเคเตอร์ชั้นนำเบื้องต้น (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหราชอาณาจักร ดัชนีราคาที่อยู่อาศัย Halifax YoY (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหราชอาณาจักร ดัชนีราคาที่อยู่อาศัย Halifax MoM (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส บัญชีเดินสะพัด (Not SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส ดุลการค้า (SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส การผลิตภาคอุตสาหกรรม MoM(SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
อิตาลี ดัชนียอดค้าปลีก MoM (SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงาน YoY (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน GDP Final YoY (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน GDP Final QoQ (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงาน QoQ (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงานสุดท้าย (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
บราซิล PPI MoM (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
เม็กซิโก ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา อัตราการว่างงาน (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา อัตราการมีส่วนร่วมในการจ้างงาน (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงาน (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงานนอกเวลา (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงานเต็มเวลา (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา รายได้ส่วนบุคคล MoM (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาธนาคารกลางรัฐดัลลาส สหรัฐอเมริกา PCE YoY (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคา PCE YoY (SA) (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคา PCE MoM (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา รายจ่ายส่วนบุคคล MoM(SA) (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาPCEหลักMoM (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา เงินเฟ้อเบื้องต้น UMich 5-YearYoY (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาPCEหลักYoY (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ค่าใช้จ่ายการบริโภคส่วนบุคคลที่จริง MoM (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การคาดการณ์เงินเฟ้อ 5-10 ปี (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีสถานภาพเบื้องต้น UMich ปัจจุบัน (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้น UMich (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อล่วงหน้า 1 ปี UMich (เบื้องต้น) (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีความคาดหวังผู้บริโภค UMich (เบื้องต้น) (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ปริมาณเครื่องเจาะทั้งหมดรายสัปดาห์--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ปริมาณเครื่องเจาะน้ำมันทั้งหมดรายสัปดาห์--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา สินเชื่ออุปโภคบริโภค (SA) (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ เงินตราที่ใช้เป็นทุนสำรอง (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ปริมาณการส่งออก YoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การนำเข้า YoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การนำเข้าYoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การนำเข้า (CNH) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ดุลการค้า (CNH) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การส่งออก (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น ค่าจ้าง MoM (ต.ค.)--
ค: --
ค: --


ไม่มีข้อมูลที่ตรงกัน
ทัศนคติล่าสุด
ทัศนคติล่าสุด
หัวข้อยอดนิยม
คอลัมนิสต์ยอดนิยม
อัปเดตล่าสุด
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
ดูผลการค้นหาทั้งหมด

ไม่มีข้อมูล
นิวยอร์ค--3 ต.ค.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดดิ่งลงในวันศุกร์ และดัชนี S&P 500 ปิดตลาดเดือนก.ย.ด้วยการดิ่งลงอย่างรุนแรงจากเดือนส.ค. โดยอัตราการดิ่งลงในเดือนก.ย.ปีนี้ถือเป็นการดิ่งลงครั้งใหญ่ที่สุด เมื่อเทียบกับเดือนก.ย.ในปีก่อน ๆ ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา โดยตลาดหุ้นได้รับแรงกดดันในไตรมาสสามจากอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูงมาก, จากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างแข็งกร้าว และจากความกังวลเรื่องภาวะเศรษฐกิจถดถอย ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานในวันศุกร์ว่า ดัชนีราคาค่าใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ซึ่งเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) นิยมใช้ ปรับขึ้น 6.2% ในเดือนส.ค.เมื่อเทียบรายปี หลังจากปรับขึ้น 6.4% ในเดือนก.ค.เมื่อเทียบรายปี ส่วนดัชนี PCE พื้นฐาน ซึ่งไม่รวมราคาอาหารและพลังงาน ปรับขึ้น 4.9% ในเดือนส.ค.เมื่อเทียบรายปี หลังจากปรับขึ้น 4.7% ในเดือนก.ค. โดยรายงานตัวเลขนี้บ่งชี้ว่า เฟดอาจจะไม่ชะลอความเร็วในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงนี้ และเฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างแข็งกร้าวต่อไปเป็นเวลานานเกินคาด ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ห่างจากระดับเป้าหมายที่เฟดตั้งไว้ที่ 2%
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดดิ่งลง 1.71% สู่ 28,725.51, ดัชนี S&P 500 ปิดรูดลง 1.51% สู่ 3,585.62; และดัชนี Nasdaq ปิดดิ่งลง 1.51% สู่ 10,575.62 ในวันศุกร์ หลังจากดัชนีทั้งสามเพิ่งพุ่งขึ้นเป็นเวลาสั้น ๆ ในช่วงเช้าวันศุกร์ ทั้งนี้ ดัชนีดาวโจนส์และ S&P ปิดตลาดสัปดาห์นี้ในแดนลบเป็นสัปดาห์ที่ 3 ติดต่อกัน และทั้งสามดัชนีต่างก็ปิดตลาดเดือนก.ย.ในแดนลบเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน นอกจากนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐก็ปิดตลาดไตรมาสสามในแดนลบเป็นไตรมาสที่ 3 ติดต่อกันด้วย ซึ่งถือเป็นการปิดตลาดรายไตรมาสในแดนลบติดต่อกันยาวนานที่สุดนับตั้งแต่ปี 2008 สำหรับดัชนี S&P และ Nasdaq และถือการปิดตลาดรายไตรมาสในแดนลบติดต่อกันยาวนานที่สุดในรอบ 7 ปีสำหรับดัชนีดาวโจนส์
นักลงทุนกังวลกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย หลังจากบริษัทไนกี้ซึ่งเป็นผู้ผลิตชุดกีฬาและบริษัทคาร์นิวาล ซึ่งเป็นผู้ประกอบการเรือสำราญออกประกาศเตือนว่า อัตราผลกำไรได้รับแรงกดดันจากภาวะเงินเฟ้อ โดยหุ้นไนกี้ดิ่งลง 12.8% ในวันศุกร์ ส่วนหุ้นคาร์นิวาลรูดลง 23.3% ทั้งนี้ หุ้นแอปเปิล, ไมโครซอฟท์, อะเมซอนดอทคอม และไนกี้ถือเป็นหุ้นที่ถ่วงดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐลงมากที่สุดในวันศุกร์
ในบรรดาหุ้น 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐนั้น หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ถือเป็นหุ้นกลุ่มเดียวที่ปิดตลาดในแดนบวกในวันศุกร์ ในขณะที่หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคและหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีถือเป็นหุ้น 2 กลุ่มที่รูดลงมากที่สุดในวันศุกร์
นักลงทุนรอดูผลประกอบการภาคเอกชนประจำไตรมาส 3 ที่จะได้รับการรายงานออกมาในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า โดยขณะนี้นักวิเคราะห์คาดว่า ผลกำไรของบริษัทในดัชนี S&P 500 อาจปรับขึ้น 4.5% ในไตรมาสสามเมื่อเทียบรายปี โดยปรับลดลงจากตัวเลขคาดการณ์เดิมที่ +11.1% ที่เคยคาดไว้ในช่วงต้นไตรมาสสาม--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--9 พ.ค.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดร่วงลงในวันศุกร์ ในขณะที่นักลงทุนกังวลว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะจำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างแข็งกร้าวเกินคาดเพื่อรับมือกับภาวะเงินเฟ้อ โดยเทรดเดอร์ส่วนใหญ่คาดการณ์กันว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ในการประชุมวันที่ 14-15 มิ.ย. ถึงแม้นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟดส่งสัญญาณว่าเฟดจะไม่ทำเช่นนั้น ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานในวันศุกร์ว่า การจ้างงานนอกภาคเกษตรในสหรัฐพุ่งขึ้น 428,000 ตำแหน่งในเดือนเม.ย. ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ 391,000 ตำแหน่ง และรายงานตัวเลขนี้ตอกย้ำให้เห็นว่า เศรษฐกิจสหรัฐมีพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ถึงแม้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของสหรัฐหดตัวลงในไตรมาสแรก ทางด้านอัตราการว่างงานในสหรัฐทรงตัวที่ 3.6% ในเดือนเม.ย. ส่วนรายได้เฉลี่ยต่อชั่วโมงของคนงานสหรัฐปรับขึ้น 0.3% ในเดือนเม.ย.เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ +0.4%
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดร่วงลง 0.3% สู่ 32,899.37, ดัชนี S&P 500 ปิดปรับลง 0.57% สู่ 4,123.34 และดัชนี Nasdaq ปิดดิ่งลง 1.4% สู่ 12,144.66 ซึ่งถือเป็นระดับปิดต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2020 โดยดัชนี Nasdaq ปิดตลาดสัปดาห์นี้ในแดนลบเป็นสัปดาห์ที่ 5 ติดต่อกัน ซึ่งถือเป็นการปิดตลาดรายสัปดาห์ในแดนลบติดต่อกันยาวนานที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาส 4/2012 ทางด้านดัชนี S&P 500 ปิดตลาดสัปดาห์นี้ในแดนลบเป็นสัปดาห์ที่ 5 ติดต่อกันเช่นกัน ซึ่งถือเป็นการปิดตลาดรายสัปดาห์ในแดนลบติดต่อกันยาวนานที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาส 2/2011 ทั้งนี้ หุ้น 9 กลุ่มจาก 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐปิดตลาดวันศุกร์ในแดนลบ แต่ดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้น 2.9% เนื่องจากราคาน้ำมันทะยานขึ้น โดยได้รับแรงหนุนจากความกังวลเรื่องอุปทานน้ำมัน
หุ้นบริษัทขนาดใหญ่ในกลุ่มเติบโตดิ่งลงเป็นส่วนใหญ่ในวันศุกร์ แต่หุ้นแอปเปิลปิดบวกขึ้น 0.5% ทางด้านหุ้นกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ร่วงลงด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะหุ้นเวลส์ ฟาร์โก แอนด์ โคที่ปรับลง 0.5%
นักลงทุนรอดูดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐที่จะได้รับการรายงานออกมาในวันพุธที่ 11 พ.ค. ในขณะที่นักลงทุนรอดูว่าอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐใกล้จะแตะจุดสูงสุดแล้วหรือไม่
หุ้นอันเดอร์ อาร์เมอร์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตชุดกีฬาดิ่งลง 23.8% หลังจากทางบริษัทคาดการณ์ผลกำไรที่อ่อนแอสำหรับปีงบดุลบัญชี 2023 ส่วนหุ้นไนกี้ซึ่งเป็นบริษัทคู่แข่งปิดรูดลง 3.49% ทั้งนี้ หุ้นคอยน์เบส โกลบัล ซึ่งเป็นบริษัทตลาดสกุลเงินคริปโตดิ่งลง 9% ในวันศุกร์ จนมาปิดตลาดที่ระดับปิดต่ำสุดนับตั้งแต่หุ้นตัวนี้เริ่มเปิดซื้อขายในตลาดในปี 2021 เป็นต้นมา--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--22 มี.ค.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดร่วงลงในวันจันทร์ หลังจากนายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณว่าเฟดอาจจะคุมเข้มนโยบายการเงินอย่างแข็งกร้าวเกินคาด และตลาดหุ้นได้รับแรงกดดันจากความไม่แน่นอนในสงครามยูเครนด้วย ทั้งนี้ นายพาวเวลล์กล่าวในงานประชุมของสมาคมเศรษฐศาสตร์ธุรกิจแห่งชาติว่า เฟดจำเป็นต้องปรับนโยบาย "อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ" เพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูงเกินไป และเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระดับที่มากกว่าปกติถ้าหากมีความจำเป็น โดยถ้อยแถลงของเขาส่งผลให้นักลงทุนในตลาดสัญญาล่วงหน้า Fed funds คาดการณ์ในตอนนี้ว่า มีโอกาส 60.7% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมครั้งถัดไปในวันที่ 3-4 พ.ค. โดยปรับขึ้นจากโอกาส 52% ที่เคยคาดการณ์ไว้ก่อนนายพาวเวลล์จะแสดงความเห็นดังกล่าว
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดร่วงลง 0.58% สู่ 34,552.99, ดัชนี S&P 500 ปิดขยับลง 0.04% สู่ 4,461.18 และดัชนี Nasdaq ปิดร่วงลง 0.4% สู่ 13,838.46 โดยก่อนหน้านี้ตลาดหุ้นสหรัฐเพิ่งปิดตลาดในแดนบวกนานติดต่อกัน 4 วัน และดัชนี S&P 500 เพิ่งทะยานขึ้น 6.2% ในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งถือเป็นการพุ่งขึ้นรายสัปดาห์ครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ต้นเดือนพ.ย. 2020 ทั้งนี้ หุ้น 6 กลุ่มจาก 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐปิดตลาดวันจันทร์ในแดนลบ โดยหุ้นกลุ่มบริการการสื่อสารถือเป็นกลุ่มที่ดิ่งลงมากที่สุด แต่หุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้น 3.8% และถือเป็นกลุ่มที่พุ่งขึ้นมากที่สุด
การสู้รบในยูเครนยังคงดำเนินต่อไป ในขณะที่ความพยายามในการเจรจาต่อรองเพื่อยุติสงครามยูเครนยังแทบไม่มีความคืบหน้า ทางด้านราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปิดตลาดพุ่งขึ้น 7.69 ดอลลาร์ หรือ 7.12% สู่ 115.62 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในวันจันทร์ เนื่องจากสหภาพยุโรป (อียู) กำลังพิจารณาเรื่องการร่วมมือกับสหรัฐในการห้ามนำเข้าน้ำมันรัสเซีย โดยปัจจัยนี้ช่วยหนุนหุ้นกลุ่มพลังงานให้พุ่งขึ้น ทั้งนี้ สงครามยูเครนส่งผลบวกต่อหุ้นกลุ่มอาวุธ โดยดัชนีหุ้นกลุ่มการบินและอาวุธของสหรัฐปิดตลาดพุ่งขึ้น 1.5% ในขณะที่หุ้นบริษัทล็อกฮีด มาร์ติน, เรย์ธีออน, นอร์ทธรอป กรุมแมน และเจเนอรัล ไดนามิกส์ปิดทะยานขึ้น 2.5-4.6%
หุ้นบริษัทโบอิ้งซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องบินดิ่งลง 3.6% หลังจากเครื่องบินรุ่น 737-800 ของโบอิ้งเครื่องหนึ่งในสายการบินไชน่า อีสเทิร์น แอร์ไลน์ตกลงในภาคใต้ของจีน และยังไม่มีการพบผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์นี้ โดยเครื่องบินลำนี้บรรทุกผู้โดยสารและลูกเรือเป็นจำนวนรวมกัน 132 คน
หุ้นเมตา แพลตฟอร์มส์ ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของเฟซบุ๊กดิ่งลง 2.3% หลังจากศาลแห่งหนึ่งในกรุงมอสโคว์ตัดสินว่าเมตาเป็น "องค์การหัวรุนแรง" และยืนยันคำตัดสินที่ให้แบนเฟซบุ๊กในรัสเซีย--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--28 ธ.ค.--รอยเตอร์
ดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐพุ่งขึ้นมาปิดตลาดที่สถิติระดับปิดสูงสุดใหม่ในวันจันทร์ และปิดตลาดในแดนบวกเป็นวันที่ 4 ติดต่อกัน ในขณะที่ยอดค้าปลีกที่ระดับสูงในสหรัฐช่วยตอกย้ำความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ และปัจจัยดังกล่าวช่วยบดบังความกังวลของนักลงทุนที่มีต่อการยกเลิกเที่ยวบินหลายพันเที่ยวในสหรัฐท่ามกลางการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์โอมิครอน ถึงแม้ว่าการยกเลิกเที่ยวบินดังกล่าวส่งผลให้หุ้นกลุ่มการท่องเที่ยวร่วงลง ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นกลุ่มค้าปลีกของสหรัฐพุ่งขึ้น หลังจากบริษัทมาสเตอร์การ์ด อิงค์รายงานในวันอาทิตย์ว่า ยอดค้าปลีกในสหรัฐ (ซึ่งไม่รวมรถยนต์) พุ่งขึ้น 8.5% ในช่วงฤดูช้อปปิ้งปลายปีนี้เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่แล้ว โดยช่วงฤดูช้อปปิ้งนี้ครอบคลุมช่วงเวลาตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.-24 ธ.ค. และได้รับแรงหนุนหลักจากการพุ่งขึ้น 11% ของยอดค้าปลีกทางระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวกขึ้น 0.98% สู่ 36,302.38, ดัชนี S&P 500 ปิดพุ่งขึ้น 1.38% สู่ 4,791.19 หลังจากทะยานขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่ในระหว่างวันที่ 4,791.49 และดัชนี Nasdaq ปิดพุ่งขึ้น 1.39% สู่ 15,871.26 ทั้งนี้ หุ้นทั้ง 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐปิดตลาดในแดนบวก โดยหุ้นกลุ่มพลังงานกับหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีถือเป็นหุ้นสองกลุ่มที่พุ่งขึ้นมากที่สุด
ในส่วนของหุ้นกลุ่มย่อยนั้น ดัชนีหุ้นกลุ่มสายการบินของสหรัฐร่วงลง 0.57% หลังจากสายการบินในสหรัฐยกเลิกเที่ยวบินหลายพันเที่ยวในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา และยกเลิกเที่ยวบินอีกราว 800 เที่ยวในวันจันทร์ เนื่องจากยอดผู้ติดเชื้อสายพันธุ์โอมิครอนพุ่งสูงขึ้น ทางด้านหุ้นกลุ่มเรือสำราญดิ่งลงอย่างรุนแรงด้วยเช่นกัน โดยหุ้นนอร์วีเจียน ครุยส์ ไลน์ โฮลอิงส์ดิ่งลง 2.55%, หุ้นรอยัล แคริบเบียนรูดลง 1.35% และหุ้นคาร์นิวัล คอร์ปดิ่งลง 1.18%
ดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้น 4.9% ในช่วง 4 วันทำการที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นการพุ่งขึ้นระยะ 4 วันครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ต้นเดือนพ.ย. 2020 นอกจากนี้ ดัชนี S&P 500 ก็มีแนวโน้มว่าอาจจะปิดตลาดปีนี้ในแดนบวกเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน โดยมีแนวโน้มว่าการพุ่งขึ้นช่วง 3 ปีล่าสุดนี้ (2019-2021) จะถือเป็นการพุ่งขึ้นระยะ 3 ปีครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 1999
ดัชนี Nasdaq ได้รับแรงหนุนในวันจันทร์จากการพุ่งขึ้นของหุ้นบริษัทขนาดใหญ่ ซึ่งรวมถึงหุ้นเทสลา, ไมโครซอฟท์, แอปเปิล และเมตา แพลตฟอร์ม (เฟซบุ๊ก)--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--22 ธ.ค.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในวันอังคาร โดยได้รับแรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวและหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี และได้รับแรงหนุนจากการทะยานขึ้นของหุ้นบริษัทไนกี้ซึ่งเป็นผู้ผลิตชุดกีฬา กับหุ้นบริษัทไมครอน เทคโนโลยีซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปด้วย หลังจากไนกี้กับไมครอนเปิดเผยผลประกอบการ โดยตลาดหุ้นสหรัฐสามารถดีดขึ้นได้ในวันอังคาร หลังจากที่เพิ่งดิ่งลงในวันจันทร์ท่ามกลางความกังวลเรื่องการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์โอไมครอน ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีทะยานขึ้นในวันอังคาร ซึ่งรวมถึงหุ้นบริษัทไมโครซอฟท์และแอปเปิล ส่วนหุ้นกลุ่มวัฏจักรเศรษฐกิจอย่างเช่นหุ้นกลุ่มพลังงานปรับขึ้นด้วยเช่นกัน ทางด้านหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ซึ่งรวมถึงหุ้นบริษัทคาร์นิวาล คอร์ปที่ทำธุรกิจเรือสำราญ, หุ้นลาส เวกัส แซนด์ส และหุ้นเอ็กซ์ปีเดีย กรุ๊ป
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดพุ่งขึ้น 1.6% สู่ 35,492.7, ดัชนี S&P 500 ปิดทะยานขึ้น 1.78% สู่ 4,649.23 และดัชนี Nasdaq ปิดพุ่งขึ้น 2.4% สู่ 15,341.09 ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มปลอดภัยร่วงลงในวันอังคาร หลังจากที่เคยพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในเดือนนี้ โดยหุ้นกลุ่มปลอดภัยนี้รวมถึงหุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น และหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภค
หุ้นไนกี้พุ่งขึ้น 6.1% หลังจากไนกี้เปิดเผยตัวเลขผลกำไรและรายได้รายไตรมาสที่สูงเกินคาด และระบุว่าไนกี้มีความเชื่อมั่นมากยิ่งขึ้นว่า ปัญหาด้านห่วงโซ่อุปทานจะปรับลดลงในปีงบดุลบัญชีถัดไป
หุ้นไมครอน เทคโนโลยีพุ่งขึ้น 10.5% หลังจากไมครอนคาดการณ์ว่า ผลกำไรและยอดขายในไตรมาสสองจะอยู่สูงเกินคาด และภาวะขาดแคลนชิปจะบรรเทาลงในปี 2022 โดยไมครอนเป็นผู้ผลิตชิปหน่วยความจำ NAND ที่ใช้ในตลาดอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูล และชิปหน่วยความจำ DRAM ที่ใช้ในศูนย์ข้อมูล, เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล และอุปกรณ์อื่น ๆ ทางด้านดัชนีหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐพุ่งขึ้น 3.4% ในวันอังคาร ทั้งนี้ นายคิง ลิป หัวหน้านักยุทธศาสตร์การลงทุนของบริษัทเบเกอร์ อะเวนิว แอสเซท แมเนจเมนท์กล่าวว่า "ถ้าหากไมครอนคาดการณ์ตัวเลขที่แข็งแกร่ง สิ่งนี้ก็บ่งชี้ว่าอุปสงค์ในหลายภาคอุตสาหกรรมจะอยู่ในระดับแข็งแกร่ง เพราะว่าสินค้าของไมครอนได้รับการใช้งานในภาคอุตสาหกรรมที่แตกต่างกันหลายภาค"
ดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้นมาแล้วราว 23.8% จากช่วงต้นปี 2021 อย่างไรก็ดี นักลงทุนบางรายกังวลว่า ตลาดหุ้นอาจจะได้รับแรงกดดันในปีหน้า ในขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีแนวโน้มจะเริ่มต้นปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า ทั้งนี้ เฟดระบุในวันพุธที่ 15 ธ.ค.ว่า เฟดจะยุติมาตรการเข้าซื้อตราสารหนี้สำหรับช่วงวิกฤติโรคระบาดในเดือนมี.ค. 2022 โดยการยุติมาตรการเข้าซื้อตราสารหนี้ในครั้งนี้จะปูทางไปสู่การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งละ 0.25% เป็นจำนวน 3 ครั้งก่อนสิ้นปี 2022--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--14 ธ.ค.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดดิ่งลงในวันจันทร์ ในขณะที่หุ้นกลุ่มเรือสำราญและหุ้นสายการบินบางแห่งรูดลง เนื่องจากนักลงทุนกังวลกับข่าวการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์โอไมครอน และนักลงทุนรอดูการประชุมกำหนดนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 14-15 ธ.ค. ทั้งนี้ มีข่าวว่ามีผู้เสียชีวิตหนึ่งรายจากสายพันธุ์โอไมครอนในอังกฤษ ในขณะที่สายพันธุ์โอไมครอนครองสัดส่วนราว 40% ของยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่ในกรุงลอนดอน โดยข่าวนี้ส่งผลให้หุ้นกลุ่มการท่องเที่ยวดิ่งลง ซึ่งรวมถึงดัชนีหุ้นกลุ่มสายการบินที่ดิ่งลงราว 3% ทางด้านหุ้นบริษัทนอร์วีเจียน ครุยส์ ไลน์ โฮลดิงส์, คาร์นิวาล คอร์ป และรอยัล แคริบเบียน ครุยเซสในกลุ่มเรือสำราญรูดลงกว่า 4%
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดร่วงลง 0.89% สู่ 35,651.61, ดัชนี S&P 500 ปิดปรับลง 0.91% สู่ 4,668.97 แต่ดัชนียังคงพุ่งขึ้นมาแล้วราว 24% จากช่วงต้นปีนี้ ทางด้านดัชนี Nasdaq ปิดดิ่งลง 1.39% สู่ 15,413.28 ทั้งนี้ หุ้นส่วนใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐดิ่งลงในวันจันทร์ โดยมีเพียงแค่หุ้นกลุ่มปลอดภัยที่ปิดตลาดในแดนบวก ซึ่งรวมถึงหุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น, หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภค และหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์
หุ้นบริษัทแอปเปิล อิงค์ดิ่งลง 2.1% ถึงแม้บริษัทเจ.พี. มอร์แกนปรับขึ้นราคาเป้าหมายของหุ้นแอปเปิล โดยในขณะนี้แอปเปิลใกล้ที่จะกลายเป็นบริษัทแห่งแรกในโลกที่มีมูลค่าในตลาดสูงถึง 3 ล้านล้านดอลลาร์
นักลงทุนคาดว่าเฟดจะส่งสัญญาณแบบสายเหยี่ยวมากยิ่งขึ้นในวันพุธนี้ โดยเฟดอาจจะเร่งความเร็วในการปรับลดขนาดมาตรการเข้าซื้อตราสารหนี้ ซึ่งจะส่งผลให้เฟดสามารถเริ่มต้นปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้ในเวลาที่เร็วขึ้น ทั้งนี้ นักเศรษฐศาสตร์ในโพลล์รอยเตอร์คาดว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจากระดับใกล้ 0% สู่ 0.25-0.50% ในไตรมาสสามของปีหน้า และจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในไตรมาสสี่ของปีหน้า
หุ้นบริษัทไฟเซอร์ อิงค์พุ่งขึ้น 4.6% หลังจากไฟเซอร์ตกลงที่จะเข้าซื้อบริษัทอารีนา ฟาร์มาซูติคัลส์ในข้อตกลงขนาด 6.7 พันล้านดอลลาร์โดยใช้เงินสดทั้งหมด ทางด้านหุ้นอารีนาพุ่งขึ้น 80%--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--29 พ.ย.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดดิ่งลงอย่างรุนแรงในวันศุกร์ โดยได้รับแรงกดดันจากข่าวเรื่องการค้นพบเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่มีการกลายพันธุ์ในหลายตำแหน่งในแอฟริกาใต้ หรือที่เรียกว่าสายพันธุ์โอมิครอน และรัฐบาลหลายประเทศก็แสดงปฏิกิริยาต่อข่าวนี้ โดยสหภาพยุโรป (อียู) และอังกฤษได้ออกมาตรการคุมเข้มด้านพรมแดน ในขณะที่นักวิจัยพยายามศึกษาว่า สายพันธุ์โอมิครอนนี้ดื้อต่อวัคซีนหรือไม่ ทั้งนี้ ข่าวดังกล่าวส่งผลลบเป็นอย่างมากต่อหุ้นบริษัทที่เคยพุ่งขึ้นในช่วงที่ผ่านมาเพราะได้รับแรงหนุนจากการเปิดเศรษฐกิจ โดยหุ้นบางตัวในกลุ่มผู้ประกอบการเรือสำราญ ซึ่งรวมถึงหุ้นบริษัทคาร์นิวาล คอร์ป, รอยัล แคริบเบียน ครุยเซส และนอร์วีเจียน ครุยส์ ไลน์ต่างก็ดิ่งลงกว่า 10% ส่วนหุ้นสายการบินยูไนเต็ด แอร์ไลน์, เดลตา แอร์ ไลน์ และอเมริกัน แอร์ไลน์รูดลงด้วยเช่นกัน ทางด้านดัชนี NYSE Arca สำหรับหุ้นกลุ่มสายการบินดิ่งลง 6.45% ซึ่งถือเป็นการดิ่งลงครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.ย. 2020
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดดิ่งลง 2.53% สู่ 34,899.34, ดัชนี S&P 500 ปิดรูดลง 2.27% สู่ 4,594.62; และดัชนี Nasdaq ปิดดิ่งลง 2.23% สู่ 15,491.66 ทั้งนี้ หุ้น 10 กลุ่มจาก 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐปิดตลาดดิ่งลงกว่า 1% โดยมีเพียงแค่หุ้นกลุ่มการแพทย์เท่านั้นที่ปิดตลาดร่วงลงเพียง 0.45% โดยหุ้นกลุ่มการแพทย์ได้รับแรงหนุนจากหุ้นไฟเซอร์ที่พุ่งขึ้น 6.11% มาปิดตลาดที่สถิติระดับปิดสูงสุดใหม่ที่ 54 ดอลลาร์ และได้รับแรงหนุนจากหุ้นโมเดอร์นาที่ทะยานขึ้น 20.57% ในวันศุกร์ ทางด้านดัชนี Russell 2000 สำหรับหุ้นบริษัทขนาดเล็กของสหรัฐปิดดิ่งลง 3.67% โดยทั้งดัชนี S&P 500 และดัชนีหุ้นบริษัทขนาดเล็กต่างก็รูดลงในวันศุกร์ในอัตราที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 25 ก.พ. เป็นต้นมา
นักลงทุนตั้งข้อสังเกตว่า การที่ตลาดหุ้นดิ่งลงอย่างรุนแรงในวันศุกร์อาจมีสาเหตุบางส่วนมาจากปริมาณการซื้อขายที่เบาบาง เนื่องจากวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาเป็นวันหยุดเนื่องในวันขอบคุณพระเจ้าของสหรัฐ ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มค้าปลีกดิ่งลง 2.04% ในขณะที่นักลงทุนกังวลว่าเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่จะส่งผลลบต่อจำนวนลูกค้าที่เข้าร้านค้า และจะส่งผลลบต่ออุปทานสินค้าด้วย ทางด้านดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารของสหรัฐรูดลง 3.87% ในขณะที่นักลงทุนปรับลดการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็ว
หุ้นกลุ่มพลังงานดิ่งลง 4% ในวันศุกร์ ซึ่งถือเป็นการดิ่งลงครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 8 เดือน โดยได้รับแรงกดดันจากราคาน้ำมันดิบสหรัฐที่ปิดตลาดรูดลง 10.24 ดอลลาร์ หรือ 13.1% สู่ 68.15 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในวันศุกร์ อย่างไรก็ดี หุ้นกลุ่มพลังงานถือเป็นหุ้นกลุ่มที่พุ่งขึ้นมากที่สุดในปีนี้ ทั้งนี้ ดัชนีความผันผวน CBOE หรือดัชนี VIX ที่ใช้วัดระดับความกังวลในตลาดหุ้นสหรัฐ ปิดพุ่งขึ้น 54% สู่ 28.62 หลังจากทะยานขึ้นแตะ 28.99 ในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่ต้นเดือนมี.ค.
หุ้นกลุ่มที่ได้รับแรงหนุนจากการกักตัวอยู่บ้านพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในวันศุกร์ โดยหุ้นเน็ตฟลิกซ์ปิดพุ่งขึ้น 1.12%, หุ้นเพโลตอน อินเทอร์แอคทีฟ ซึ่งเป็นบริษัทอุปกรณ์ออกกำลังกายทะยานขึ้น 5.67% และหุ้นซูม วิดีโอ คอมมูนิเคชันส์พุ่งขึ้น 5.72%--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
เครื่องมือออกแบบโปสเตอร์
โครงการพันธมิตร
ความเสี่ยงของการสูญเสียในการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น หุ้น FX สินค้าโภคภัณฑ์ ฟิวเจอร์ส พันธบัตร ETFs หรือเงินดิจิทัลอาจมีมาก คุณอาจสูญเสียเงินทุนทั้งหมดที่คุณฝากไว้กับโบรกเกอร์ของคุณ ดังนั้น คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบว่าการซื้อขายดังกล่าวเหมาะสมกับคุณหรือไม่ในสถานการณ์และทรัพยากรทางการเงินของคุณ
ไม่ควรตัดสินใจลงทุนโดยไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบสถานะอย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วยตัวเองหรือปรึกษากับที่ปรึกษาทางการเงินของคุณ เนื้อหาเว็บของเราอาจไม่เหมาะกับคุณเนื่องจากเราไม่ทราบเงื่อนไขทางการเงินและความต้องการในการลงทุนของคุณ ข้อมูลทางการเงินของเราอาจมีความล่าช้าหรือมีความไม่ถูกต้อง ดังนั้นคุณควรรับผิดชอบอย่างเต็มที่ต่อการตัดสินใจซื้อขายและการลงทุนของคุณ บริษัทจะไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียเงินทุนของคุณ
หากไม่ได้รับอนุญาตจากเว็บไซต์ คุณจะไม่สามารถคัดลอกกราฟิก ข้อความ หรือเครื่องหมายการค้าของเว็บไซต์ได้ สิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาในเนื้อหาหรือข้อมูลที่รวมอยู่ในเว็บไซต์นี้เป็นของผู้ให้บริการและผู้ค้าแลกเปลี่ยน
ไม่ได้ล็อกอิน
เข้าสู่ระบบเพื่อเข้าถึงฟังก์ชั่นเพิ่มเติม

สมาชิก FastBull
ยังไม่ได้เปิด
สมัคร
เข้าสู่ระบบ
ลงทะเบียน