ตลาด
ข่าวสาร
การวิเคราะห์
ผู้ใช้
24x7
ปฏิทินเศรษฐกิจ
แหล่งเรียนรู้
ข้อมูล
- ชื่อ
- ค่าล่าสุด
- ครั้งก่อน












สัญญาณ VIP
ทั้งหมด
ทั้งหมด



สหราชอาณาจักร ดัชนีราคาที่อยู่อาศัย Halifax YoY (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส บัญชีเดินสะพัด (Not SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส ดุลการค้า (SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส การผลิตภาคอุตสาหกรรม MoM(SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
อิตาลี ดัชนียอดค้าปลีก MoM (SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงาน YoY (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน GDP Final YoY (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน GDP Final QoQ (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงาน QoQ (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงานสุดท้าย (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
บราซิล PPI MoM (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
เม็กซิโก ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา อัตราการว่างงาน (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา อัตราการมีส่วนร่วมในการจ้างงาน (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงาน (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงานนอกเวลา (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงานเต็มเวลา (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา รายได้ส่วนบุคคล MoM (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคา PCE YoY (SA) (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคา PCE MoM (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา รายจ่ายส่วนบุคคล MoM(SA) (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาPCEหลักMoM (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาPCEหลักYoY (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา เงินเฟ้อเบื้องต้น UMich 5-YearYoY (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ค่าใช้จ่ายการบริโภคส่วนบุคคลที่จริง MoM (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การคาดการณ์เงินเฟ้อ 5-10 ปี (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีสถานภาพเบื้องต้น UMich ปัจจุบัน (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้น UMich (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อล่วงหน้า 1 ปี UMich (เบื้องต้น) (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีความคาดหวังผู้บริโภค UMich (เบื้องต้น) (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ปริมาณเครื่องเจาะทั้งหมดรายสัปดาห์--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ปริมาณเครื่องเจาะน้ำมันทั้งหมดรายสัปดาห์--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา สินเชื่ออุปโภคบริโภค (SA) (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ เงินตราที่ใช้เป็นทุนสำรอง (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ปริมาณการส่งออก YoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การนำเข้า YoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การนำเข้าYoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การนำเข้า (CNH) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ดุลการค้า (CNH) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การส่งออก (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น ค่าจ้าง MoM (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น ดุลการค้า (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น GDP Nominal แก้ไขQoQ (ไตรมาส 3)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น ดุลการค้า (SA)(ข้อมูลศุลกากร) (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น GDP ประจำปี (แก้ไข) QoQ (ไตรมาส 3)--
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ปริมาณการส่งออก YoY (CNH) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ดุลการค้า (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
เยอรมนี การผลิตภาคอุตสาหกรรม MoM(SA) (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน Sentix (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา อินดิเคเตอร์ชั้นนำ MoM (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา ดัชนีความเชื่อมั่นเศรษฐกิจแห่งชาติ--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาธนาคารกลางรัฐดัลลาส สหรัฐอเมริกา PCE YoY (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา อัตราผลตอบแทนการประมูลพันธบัตรรัฐบาล 3-ปี--
ค: --
ค: --
สหราชอาณาจักร ดัชนียอดค้าปลีกรวม BRC YoY (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
สหราชอาณาจักร ดัชนียอดค้าปลีก Like-For-Like BRC YoY (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
ออสเตรเลีย อัตราหลัก(ดอกเบี้ยเงินกู้)O/N--
ค: --
ค: --
คำแถลงอัตราของธนาคารกลางออสเตรเลีย
ประธานธนาคารกลางออสเตรเลีย Bullock จัดงานแถลงข่าวนโยบายการเงิน
เยอรมนี อัตราการส่งออก MoM (SA) (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีความเชื่อมั่นของธุรกิจขนาดเล็ก NFIB (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
เม็กซิโก CPI หลัก YoY (พ.ย.)--
ค: --
ค: --


ไม่มีข้อมูลที่ตรงกัน
ทัศนคติล่าสุด
ทัศนคติล่าสุด
หัวข้อยอดนิยม
คอลัมนิสต์ยอดนิยม
อัปเดตล่าสุด
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
ดูผลการค้นหาทั้งหมด

ไม่มีข้อมูล
นิวยอร์ค--20 ก.ค.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในวันอังคาร ในขณะที่บริษัทหลายแห่งรายงานผลประกอบการที่ดีเกินคาด และปัจจัยดังกล่าวช่วยลดความกังวลของนักลงทุนในเรื่องที่ว่า ผลประกอบการภาคเอกชนอาจได้รับแรงกดดันจากอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้น และได้รับแรงกดดันจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ทั้งนี้ หุ้นฮัลลิเบอร์ตัน ซึ่งเป็นบริษัทผู้ให้บริการแหล่งน้ำมันพุ่งขึ้น 2.1% หลังจากฮัลลิเบอร์ตันรายงานว่าผลกำไรรายไตรมาสทะยานขึ้น 41% ส่วนหุ้นแฮสโบร ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตของเล่นปรับขึ้น 0.7% หลังจากแฮสโบรรายงานผลกำไรรายไตรมาสที่ดีเกินคาด ทางด้านหุ้นธนาคารทรูอิสต์ ไฟแนนเชียล คอร์ปพุ่งขึ้น 2.6% หลังจากทรูอิสต์รายงานผลกำไรรายไตรมาสที่สูงเกินคาดเช่นกัน
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดพุ่งขึ้น 2.43% สู่ 31,827.05, ดัชนี S&P 500 ปิดทะยานขึ้น 2.76% สู่ 3,936.69 และดัชนี Nasdaq ปิดพุ่งขึ้น 3.11% สู่ 11,713.15 ซึ่งถือเป็นการพุ่งขึ้นครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 24 มิ.ย.สำหรับดัชนี Nasdaq
นายพอล คิม ซีอีโอของบริษัทซิมพลิฟาย แอสเซท แมเนจเมนท์กล่าวว่า "ผลกำไรของบริษัทต่าง ๆ อยู่ในระดับที่สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ถูกปรับลดลงในช่วงที่ผ่านมา และสิ่งนี้ก็แสดงให้เห็นว่า การคุมเข้มนโยบายการเงินและภาวะเงินเฟ้อไม่ได้สร้างความเสียหายต่อรายได้ของภาคเอกชนมากเท่ากับที่เคยกังวลกันไว้" และเขากล่าวเสริมว่า "สถานการณ์ด้านเศรษฐกิจมหภาคยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม โดยผลกำไรยังคงชะลอตัวลง, แรงกดดันเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูง และเฟดยังคงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ดังนั้นผมจึงคาดว่า การพุ่งขึ้นของตลาดหุ้นแบบนี้จะไม่ดำเนินต่อไปเป็นเวลานาน" ทั้งนี้ นักวิเคราะห์คาดว่า ผลกำไรไตรมาสสองของบริษัทในดัชนี S&P 500 อาจปรับขึ้น 5.8% เมื่อเทียบรายปี โดยปรับลดลงจากระดับ +6.8% ที่เคยคาดไว้ในช่วงต้นไตรมาสสอง
หุ้นจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสันซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ในธุรกิจการแพทย์ดิ่งลง 1.5% หลังจากทางบริษัทรายงานผลกำไรและยอดขายที่สูงเกินคาด แต่ทางบริษัทปรับลดแนวโน้มผลกำไรสำหรับปีนี้ โดยเป็นผลจากการแข็งค่าของดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ ดอลลาร์สหรัฐก็ส่งผลลบต่อหุ้นของบริษัท IBM ด้วย โดย IBM เพิ่งรายงานตัวเลขรายได้ที่สูงเกินคาดในวันจันทร์ แต่ IBM ประกาศเตือนว่า ความเปลี่ยนแปลงด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศอาจสร้างความเสียหายต่อบริษัทราว 3.5 พันล้านดอลลาร์ในปีนี้ โดยหุ้น IBM ปิดดิ่งลง 5.2% ในวันอังคาร
ดัชนีดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินอยู่ที่ 106.67 ในช่วงท้ายวันอังคาร โดยร่วงลงจาก 107.43 ในช่วงท้ายวันจันทร์ และเทียบกับระดับ 109.29 ที่ทำไว้ในวันพฤหัสบดีที่ 14 ก.ค. ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.ย. 2002 หรือจุดสูงสุดในรอบเกือบ 20 ปี โดยดอลลาร์ได้รับแรงกดดันในช่วงนี้จากการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพียง 0.75% แทนที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 1.00% ในการประชุมในวันที่ 26-27 ก.ค.--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--19 ก.ค.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดร่วงลงในวันจันทร์ หลังจากดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารลดช่วงบวกลง และหุ้นบริษัทแอปเปิลดิ่งลง 2.1% มาปิดตลาดที่ 147.1 ดอลลาร์ โดยหุ้นแอปเปิลได้รับแรงกดดันข่าวของสำนักข่าวบลูมเบิร์กที่ระบุว่า แอปเปิลวางแผนจะชะลอการจ้างงานและชะลอการปรับเพิ่มรายจ่ายในบางแผนกในปีหน้า เพื่อรับมือกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดร่วงลง 0.69% สู่ 31,072.61, ดัชนี S&P 500 ปิดปรับลง 0.84% สู่ 3,830.85 และดัชนี Nasdaq ปิดร่วงลง 0.81% สู่ 11,360.05 ทั้งนี้ หุ้น 9 กลุ่มจาก 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐปิดตลาดในแดนลบ โดยหุ้นกลุ่มการแพทย์และหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคถือเป็นหุ้น 2 กลุ่มที่ดิ่งลงมากที่สุด ส่วนหุ้นกลุ่มพลังงานถือเป็นกลุ่มที่พุ่งขึ้นมากที่สุด
ดัชนีหุ้นกลุ่มการเงินของสหรัฐลดช่วงบวกลง หลังจากพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในช่วงแรก โดยได้รับแรงหนุนจากผลประกอบการของธนาคารแบงก์ ออฟ อเมริกา คอร์ป และธนาคารโกลด์แมน แซคส์ กรุ๊ป อิงค์ โดยหุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกาปิดขยับขึ้น 0.03% ส่วนหุ้นโกลด์แมน แซคส์พุ่งขึ้น 2.5% หลังจากโกลด์แมนรายงานว่า ผลกำไรไตรมาสสองปรับลดลง 48% ซึ่งเป็นระดับที่ไม่มากเท่าที่คาด เนื่องจากผลกำไรของโกลด์แมนได้รับแรงหนุนจากความแข็งแกร่งในแผนกการค้าตราสารหนี้
เทรดเดอร์ปรับลดการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 1.00% ในการประชุมวันที่ 26-27 ก.ค. และหันมาคาดการณ์อย่างเชื่อมั่นมากยิ่งขึ้นว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพียง 0.75% ในการประชุมครั้งนั้น ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่เฟดบางคนส่งสัญญาณในวันศุกร์ว่า พวกเขามีแนวโน้มที่จะสนับสนุนให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ในการประชุมปลายเดือนก.ค. ถึงแม้ว่าตัวเลขอัตราเงินเฟ้อที่ระดับสูงในระยะนี้อาจจะสนับสนุนให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากเกินคาดในช่วงต่อไปในปีนี้
หุ้นแอลฟาเบทซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิลดิ่งลง 2.5% ส่วนหุ้น IBM รูดลง 1.3% ในวันจันทร์ ทั้งนี้ นักลงทุนจะรอดูผลประกอบการของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่บางแห่งที่จะออกมาในสัปดาห์หน้า หลังจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีเคยเผชิญกับแรงเทขายอย่างหนักหน่วงในช่วงครึ่งปีแรก--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
ธนาคารที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐสามารถผ่านบททดสอบประจำปีของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้อย่างง่ายดาย ซึ่งเป็นการแสดงถึงความเชื่อมั่นต่อภาคธนาคารท่ามกลางสัญญาณที่บ่งชี้ว่า เศรษฐกิจสหรัฐอาจถดถอยในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
ผลทดสอบภาวะวิกฤติ (stress test) ประจำปีของเฟดพบว่า ธนาคารมีเงินทุนมากพอที่จะผ่านพ้นภาวะเศรษฐกิจตกต่ำรุนแรงได้ และทำให้พวกเขาสามารถซื้อคืนหุ้น และจ่ายปันผลได้
ธนาคาร 34 แห่งที่มีสินทรัพย์มากกว่า 1.00 แสนล้านดอลลาร์ภายใต้การกำกับดูแลของเฟด จะขาดทุนรวมกัน 6.12 แสนล้านดอลลาร์ภายใต้ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำรุนแรง แต่พวกเขาจะยังคงมีเงินทุนภายใต้เกณฑ์ที่กำหนดไว้อยู่เกือบ 2 เท่า
ธนาคารเหล่านี้ อาทิ เจพีมอร์แกน เชส, แบงก์ ออฟ อเมริกา, เวลส์ ฟาร์โก, ซิติกรุ๊ป, มอร์แกน สแตนเลย์ และโกลด์แมน แซคส์จึงสามารถใช้เงินทุนส่วนเกินเพื่อจ่ายปันผล และซื้อคืนหุ้นให้ผู้ถือหุ้นได้
แม้สถานการณ์จำลองในปี 2022 ถูกกำหนดขึ้นก่อนการบุกโจมตียูเครนของรัสเซีย และแนวโน้มเงินเฟ้อที่พุ่งสูงในขณะนี้ แต่ผลการทดสอบก็น่าจะทำให้นักลงทุนและผู้กำหนดนโยบายรู้สึกคลายกังวลว่า ธนาคารของสหรัฐมีการเตรียมตัวดีพร้อมรับสิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์เตือนว่าอาจจะเกิดภาวะถดถอยในปีนี้ หรือปีหน้า--จบ--
นิวยอร์ค--26 เม.ย.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดพุ่งขึ้นในวันจันทร์ หลังจากบริษัททวิตเตอร์ตกลงที่จะขายกิจการให้แก่นายอีลอน มัสก์ ซึ่งบุคคลที่รวยที่สุดในโลก และข่าวดังกล่าวช่วยหนุนหุ้นเติบโตให้พุ่งขึ้นในช่วงท้ายตลาด โดยหุ้นทวิตเตอร์ซึ่งเป็นบริษัทสื่อสังคมทะยานขึ้น 5.6% หลังจากทวิตเตอร์ประกาศข่าวนี้ออกมา ทางด้านดัชนีหุ้นเติบโตของสหรัฐร่วงลงในช่วงแรก ก่อนจะปิดตลาดพุ่งขึ้นกว่า 1% โดยได้รับแรงหนุนจากข่าวทวิตเตอร์ ทั้งนี้ ตลาดหุ้นทั่วโลกได้รับแรงกดดันในช่วงแรกจากความกังวลเรื่องการใช้มาตรการควบคุมโรคอย่างเข้มงวดในจีน โดยตลาดหุ้นจีนดิ่งลงในวันจันทร์ในอัตราที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.พ. 2020 ส่วนตลาดหุ้นยุโรปรูดลงแตะจุดต่ำสุดในรอบกว่า 1 เดือน ทางด้านดัชนี S&P 500 เคลื่อนตัวในแดนลบเกือบตลอดทั้งวัน ก่อนจะได้รับแรงหนุนจากข่าวทวิตเตอร์
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวกขึ้น 0.7% สู่ 34,049.46, ดัชนี S&P 500 ปิดปรับขึ้น 0.57% สู่ 4,296.12 และดัชนี Nasdaq ปิดพุ่งขึ้น 1.29% สู่ 13,004.85 อย่างไรก็ดี ดัชนี Nasdaq ยังคงดิ่งลงมาแล้วราว 18% จากช่วงต้นปีนี้
ดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานของสหรัฐดิ่งลง 3.3% ในวันจันทร์ ในขณะที่ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปิดรูดลง 4.33 ดอลลาร์ หรือ 4.1% สู่ 102.32 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล โดยหุ้นบริษัทเชฟรอน คอร์ปและเอ็กซอนโมบิลในกลุ่มน้ำมันดิ่งลงกว่า 2% ทางด้านหุ้นบริษัทชลัมเบอร์เกอร์และบริษัทฮัลลิเบอร์ตันซึ่งเป็นผู้ให้บริการแหล่งน้ำมันรูดลงกว่า 6%
หุ้นแอลฟาเบทซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิลพุ่งขึ้น 2.9% ก่อนที่แอลฟาเบทจะเปิดเผยผลประกอบการรายไตรมาสในช่วงเย็นวันอังคาร ส่วนหุ้นไมโครซอฟท์ปิดทะยานขึ้น 2.44% และหุ้นเมตา แพลตฟอร์มส์ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของเฟซบุ๊กปิดพุ่งขึ้น 1.56% ในวันจันทร์ ทั้งนี้ บริษัทเกือบ 1 ใน 3 ของดัชนี S&P 500 จะเปิดเผยผลประกอบการในสัปดาห์นี้ หลังจากบริษัท 102 แห่งในดัชนี S&P 500 เปิดเผยผลประกอบการออกมาแล้ว และบริษัท 77.5% ในกลุ่มนี้เปิดเผยผลกำไรที่ดีเกินคาด
ดัชนีความผันผวน CBOE หรือดัชนี VIX ที่ใช้วัดระดับความกังวลในตลาดหุ้นสหรัฐปิดดิ่งลง 4.22% สู่ 27.02 ในวันจันทร์ หลังจากพุ่งขึ้นแตะ 31.6 ในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่กลางเดือนมี.ค.--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--20 เม.ย.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดพุ่งขึ้นครั้งใหญ่ที่สุดในรอบกว่า 1 เดือนในวันอังคาร โดยได้รับแรงหนุนจากผลประกอบการที่สดใสของบริษัทสหรัฐ และจากถ้อยแถลงแบบสายพิราบของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สองคน ทั้งนี้ นายชาร์ลส์ อีแวนส์ ประธานเฟดสาขาชิคาโกกล่าวในวันอังคารว่า เขายอมรับได้กับแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ที่ครอบคลุมการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งละ 0.50% เป็นจำนวน 2 ครั้ง และอัตราดอกเบี้ยปรับขึ้นสู่ระดับที่เป็นกลางก่อนสิ้นปีนี้ แต่เขามองไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งละมากกว่า 0.50% ส่วนนายราฟาเอล บอสติก ประธานเฟดสาขาแอตแลนตากล่าวในวันอังคารว่า เฟดจำเป็นต้องใช้ความระมัดระวังในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงหลายเดือนข้างหน้า เพราะว่ามีความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจโลกอาจจะชะลอตัวลง อย่างไรก็ดี นายเจมส์ บูลลาร์ด ประธานเฟดสาขาเซนต์หลุยส์กล่าวในวันจันทร์ว่า เฟดควรจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสู่ 3.5% ก่อนสิ้นปีนี้เพื่อทำให้อัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลง และเขาไม่ตัดโอกาสในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งละ 0.75%
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดพุ่งขึ้น 1.45% สู่ 34,911.2, ดัชนี S&P 500 ปิดทะยานขึ้น 1.61% สู่ 4,462.21 และดัชนี Nasdaq ปิดพุ่งขึ้น 2.15% สู่ 13,619.66 โดยทั้งสามดัชนีต่างก็พุ่งขึ้นในวันอังคารในอัตราที่สูงที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 16 มี.ค.เป็นต้นมา ทั้งนี้ หุ้น 10 กลุ่มจาก 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐปิดตลาดในแดนบวก โดยหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยถือเป็นกลุ่มที่พุ่งขึ้นมากที่สุด โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มคาสิโน โดยหุ้นบริษัทวินน์ รีสอร์ทส์, ซีซาร์ส เอ็นเตอร์เทนเมนท์ และเพนน์ เนชั่นแนล เกมมิงทะยานขึ้น 4.9-5.9% ในวันอังคาร
หุ้นบริษัทจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ซึ่งเป็นผู้ผลิตยาพุ่งขึ้น 3.1% และปิดตลาดที่สถิติระดับปิดสูงสุดใหม่ หลังจากทางบริษัทรายงานผลกำไรรายไตรมาสที่สูงเกินคาด และปรับขึ้นเงินปันผล ส่วนหุ้นบริษัทอินเตอร์เนชั่นแนล บิสเนส แมชีนส์ (IBM) ปิดทะยานขึ้น 2.4% ในวันอังคาร ก่อนที่ IBM จะรายงานผลประกอบการหลังจากตลาดปิดทำการ ทั้งนี้ บริษัท 49 แห่งในดัชนี S&P 500 เปิดเผยผลประกอบการรายไตรมาสออกมาแล้ว และบริษัท 79.6% ในกลุ่มนี้เปิดเผยผลกำไรที่ดีเกินคาด ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยที่ 66%
หุ้นเน็ตฟลิกซ์ปิดตลาดวันอังคารพุ่งขึ้น 3.2% อย่างไรก็ดี เน็ตฟลิกซ์รายงานหลังจากตลาดปิดทำการว่า ยอดสมาชิกดิ่งลง 200,000 รายในไตรมาสแรก ซึ่งถือเป็นการดิ่งลงครั้งแรกในรอบ 10 ปี ในขณะที่การระงับการให้บริการในรัสเซียส่งผลให้เน็ตฟลิกซ์สูญเสียสมาชิกไป 700,000 ราย นอกจากนี้ เน็ตฟลิกซ์ยังคาดการณ์อีกด้วยว่า ยอดสมาชิกอาจดิ่งลง 2 ล้านรายในไตรมาสสอง ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานดิ่งลง 1% ในวันอังคาร ในขณะที่ราคาน้ำมันดิบเบรนท์รูดลง 5.2% หลังจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ปรับลดตัวเลขคาดการณ์อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลก และเตือนเรื่องการพุ่งขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ ทางด้านหุ้นบริษัทฮัลลิเบอร์ตันซึ่งเป็นผู้ให้บริการแหล่งน้ำมันร่วงลง 0.8% ในวันอังคาร ถึงแม้ฮัลลิเบอร์ตันรายงานว่า ผลกำไรไตรมาสแรกพุ่งขึ้น 85% เนื่องจากความต้องการใช้อุปกรณ์และบริการของฮัลลิเบอร์ตันเพิ่มสูงขึ้น
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรยังคงพุ่งขึ้นต่อไป โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 30 ปีพุ่งขึ้นเหนือ 3% ได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนเม.ย. 2019 ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรชดเชยเงินเฟ้อของรัฐบาลสหรัฐ (TIPS) ประเภทอายุ 10 ปีพุ่งขึ้นแตะ 0.008% ในระหว่างช่วงการซื้อขายวันอังคาร จาก -0.088% ในช่วงท้ายวันจันทร์ ซึ่งถือเป็นการพุ่งขึ้นสู่แดนบวกเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนมี.ค. 2020 หรือครั้งแรกในรอบ 2 ปี--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--19 เม.ย.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดร่วงลงในวันจันทร์ หลังจากแกว่งตัวผันผวนระหว่างแดนบวกและแดนลบในระหว่างวัน โดยตลาดหุ้นได้รับแรงหนุนจากผลประกอบการที่สดใสของธนาคารแบงก์ ออฟ อเมริกา แต่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐพุ่งสูงขึ้น ซึ่งส่งผลลบต่อหุ้นเติบโต นอกจากนี้ นักลงทุนก็รอดูผลประกอบการของบริษัทหลายแห่งที่จะได้รับการประกาศออกมาในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงผลประกอบการของบริษัทเน็ตฟลิกซ์, เทสลา, จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน และอินเตอร์เนชั่นแนล บิสเนส แมชีนส์ (IBM) โดยนักลงทุนจะมุ่งความสนใจไปยังประเด็นที่ว่า ฐานะการเงินของบริษัทต่าง ๆ ได้รับผลกระทบอย่างไรบ้างจากสงครามยูเครนและจากการพุ่งขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ ทั้งนี้ แบงก์ ออฟ อเมริการายงานว่า ธุรกิจการปล่อยกู้แก่ผู้บริโภคเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่ง แต่แผนกวาณิชธนกิจได้รับแรงกดดันจากการชะลอตัวในธุรกิจการทำข้อตกลง โดยหุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกาพุ่งขึ้น 3.4% ส่วนดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารของสหรัฐทะยานขึ้น 1.7% ในวันจันทร์
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดร่วงลง 0.11% สู่ 34,411.69, ดัชนี S&P 500 ปิดขยับลง 0.02% สู่ 4,391.69 และดัชนี Nasdaq ปิดปรับลง 0.14% สู่ 13,332.36 ทั้งนี้ หุ้น 5 กลุ่มจาก 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐปิดตลาดในแดนบวก โดยดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานปิดพุ่งขึ้น 1.5% และถือเป็นกลุ่มที่พุ่งขึ้นมากที่สุด ในขณะที่ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ทะยานขึ้นแตะ 114.84 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 28 มี.ค. โดยราคาน้ำมันได้รับแรงหนุนจากเหตุขัดข้องในการผลิตน้ำมันในลิเบีย
นายแจ็ค จานาซีวิคซ์ ผู้จัดการพอร์ตลงทุนของบริษัทแนติซิส อินเวสท์เมนท์ แมเนเจอร์สกล่าวว่า "นักลงทุนรอดูทิศทางของตลาดในช่วงนี้ และผลประกอบการภาคเอกชนอาจจะช่วยกำหนดทิศทางให้กับตลาด แต่ปัจจัยสำคัญ 2 อันที่ยังคงครอบงำตลาดก็คือสถานการณ์ในจีน ในขณะที่จีนใช้นโยบายความอดทนเป็นศูนย์ต่อโรคโควิด-19 และประเด็นที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะทำอย่างไรในอนาคตในส่วนของอัตราดอกเบี้ยและภาวะเงินเฟ้อ" และเขากล่าวเสริมว่า "ยังคงต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง ก่อนที่ปัจจัยสำคัญทั้งสองจะสามารถกำหนดทิศทางที่ชัดเจนให้กับตลาด และด้วยเหตุนี้ผมจึงไม่ประหลาดใจถ้าหากตลาดหุ้นจะยังคงเคลื่อนตัวในกรอบเดิมต่อไป"
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีพุ่งขึ้นแตะ 2.884% ในวันจันทร์ ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค. 2018 และปัจจัยนี้ส่งผลลบต่อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและหุ้นเติบโต เพราะว่าการคาดการณ์เรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหลายครั้งอาจจะส่งผลลบต่อผลกำไรในอนาคตของบริษัทกลุ่มนี้ ทั้งนี้ หุ้นแอปเปิลร่วงลง 0.1% ในวันจันทร์ แต่หุ้นเทสลาซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าพุ่งขึ้น 2% ในขณะที่เทสลาเตรียมที่จะเปิดโรงงานในนครเซี่ยงไฮ้อีกครั้ง หลังจากปิดโรงงานมานานเกือบ 3 สัปดาห์ท่ามกลางการระบาดของโรคโควิด-19
หุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่ง โดยหุ้นบริษัทมาราธอน ปิโตรเลียม คอร์ปพุ่งขึ้น 3.3% และแตะสถิติสูงสุดใหม่ได้อีกครั้ง ส่วนหุ้นวาเลโร เอ็นเนอร์จี คอร์ปทะยานขึ้น 5.2% และหุ้นฟิลลิปส์ 66 พุ่งขึ้น 5.2% เช่นกัน ทั้งนี้ หุ้นบริษัททวิตเตอร์พุ่งขึ้น 7.5% หลังจากทวิตเตอร์ดำเนินมาตรการในวันศุกร์เพื่อสกัดกั้นนายอีลอน มัสก์ ซีอีโอของเทสลาจากการเข้าถือหุ้นในทวิตเตอร์มากกว่า 15% เป็นเวลาหนึ่งปี--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--21 มี.ค.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดพุ่งขึ้นในวันศุกร์ โดยได้รับแรงหนุนจากการทะยานขึ้นอย่างแข็งแกร่งของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี หลังจากประธานาธิบดีโจ ไบเดนของสหรัฐได้หารือทางวิดีโอกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีนในวันศุกร์ โดยปธน.ไบเดนพยายามโน้มน้าวจีนไม่ให้ช่วยเหลือรัสเซียในการรุกรานยูเครน และเนื้อหาในการหารือครั้งนี้ไม่ได้สร้างความประหลาดใจครั้งใหญ่ต่อนักลงทุน ทั้งนี้ ทำเนียบขาวระบุว่า ปธน.ไบเดนได้กล่าวเตือนปธน.สีว่า จะมี "ผลตามมา" ถ้าหากรัฐบาลจีนให้ความช่วยเหลืออย่างสำคัญต่อรัสเซียในการรุกรานยูเครน และทั้งจีนกับสหรัฐต่างก็เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการหาทางออกทางการทูตให้แก่วิกฤติยูเครน ทางด้านปธน.สีกล่าวว่า ประเทศสมาชิกองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) ควรจะหารือกับรัฐบาลรัสเซีย และเขาไม่ได้กล่าวโทษรัสเซียในเรื่องการรุกรานยูเครน
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวกขึ้น 0.8% สู่ 34,754.93, ดัชนี S&P 500 ปิดพุ่งขึ้น 1.17% สู่ 4,463.12 และดัชนี Nasdaq ปิดทะยานขึ้น 2.05% สู่ 13,893.84 ทั้งนี้ เมื่อเทียบกับระดับปิดสัปดาห์ที่แล้ว ดัชนีดาวโจนส์ก็ปิดตลาดสัปดาห์นี้พุ่งขึ้น 5.5%, ดัชนี S&P 500 ปิดตลาดสัปดาห์นี้ทะยานขึ้น 6.2% และดัชนี Nasdaq ปิดตลาดสัปดาห์นี้พุ่งขึ้น 8.2% โดยทั้งสามดัชนีต่างก็ปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการพุ่งขึ้นรายสัปดาห์ครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ต้นเดือนพ.ย. 2020
นายอาร์ท โฮแกน หัวหน้านักยุทธศาสตร์การลงทุนตลาดของบล.เนชั่นแนลกล่าวว่า ตลาดหุ้นได้รับแรงหนุนจากการที่รัสเซียกับยูเครนยังคงเจรจากันต่อไป, จากการที่ราคาน้ำมันชะลอการปรับขึ้น และจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยแนวโน้มในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอนาคต โดยเขากล่าวเสริมว่า "แทนที่นักลงทุนจะต้องกังวลว่าเฟดจะทำสิ่งใดบ้างในอนาคต ตอนนี้เราก็มีแผนโร้ดแมปที่ชัดเจนสำหรับนโยบายการเงินแล้ว" ทั้งนี้ นายสตีฟ ซอสนิค หัวหน้านักยุทธศาสตร์การลงทุนของบริษัทอินเทอร์แอคทีฟ โบรกเกอร์สกล่าวว่า นักลงทุนพึงพอใจที่ราคาน้ำมันอยู่สูงกว่าระดับ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเพียงเล็กน้อยในวันศุกร์ หลังจากราคาน้ำมันเคยทะยานขึ้นแตะ 139.13 ดอลลาร์ในวันที่ 7 มี.ค. โดยเขากล่าวเสริมว่า "นักลงทุนอาจจะไม่ได้ชื่นชอบที่ราคาน้ำมันอยู่ที่ระดับราว 100 ดอลลาร์ แต่นักลงทุนก็ต้องการให้ราคาน้ำมันอยู่ที่ระดับราว 100 ดอลลาร์ มากกว่าที่จะเห็นราคาน้ำมันพุ่งขึ้น 20 ดอลลาร์ในแต่ละวัน"
หุ้น 10 กลุ่มจาก 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐปิดปรับขึ้นในวันศุกร์ โดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปิดพุ่งขึ้น 2.2% และหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยปิดทะยานขึ้น 2.2% ในขณะที่หุ้นกลุ่มบริการการสื่อสารพุ่งขึ้น 1.4% อย่างไรก็ดี หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคปิดร่วงลง 0.9% และถือเป็นหุ้นกลุ่มใหญ่เพียงกลุ่มเดียวที่ปิดตลาดในแดนลบในวันศุกร์
หุ้นโมเดอร์นาซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตยาปิดพุ่งขึ้น 6.3% หลังจากโมเดอร์นายื่นเรื่องต่อสำนักงานอาหารและยาของสหรัฐ เพื่อขออนุมัติให้มีการใช้วัคซีนโรคโควิด-19 ของโมเดอร์นาในฐานะวัคซีนเข็มกระตุ้นเข็มที่สอง ทั้งนี้ หุ้นโบอิ้งทะยานขึ้น 1.4% หลังจากมีข่าวว่าโบอิ้งใกล้จะได้ทำข้อตกลงกับสายการบินเดลตา แอร์ไลน์ในการขายเครื่องบิน 737 MAX 10 จำนวนราว 100 ลำให้แก่เดลตา--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
เครื่องมือออกแบบโปสเตอร์
โครงการพันธมิตร
ความเสี่ยงของการสูญเสียในการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น หุ้น FX สินค้าโภคภัณฑ์ ฟิวเจอร์ส พันธบัตร ETFs หรือเงินดิจิทัลอาจมีมาก คุณอาจสูญเสียเงินทุนทั้งหมดที่คุณฝากไว้กับโบรกเกอร์ของคุณ ดังนั้น คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบว่าการซื้อขายดังกล่าวเหมาะสมกับคุณหรือไม่ในสถานการณ์และทรัพยากรทางการเงินของคุณ
ไม่ควรตัดสินใจลงทุนโดยไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบสถานะอย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วยตัวเองหรือปรึกษากับที่ปรึกษาทางการเงินของคุณ เนื้อหาเว็บของเราอาจไม่เหมาะกับคุณเนื่องจากเราไม่ทราบเงื่อนไขทางการเงินและความต้องการในการลงทุนของคุณ ข้อมูลทางการเงินของเราอาจมีความล่าช้าหรือมีความไม่ถูกต้อง ดังนั้นคุณควรรับผิดชอบอย่างเต็มที่ต่อการตัดสินใจซื้อขายและการลงทุนของคุณ บริษัทจะไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียเงินทุนของคุณ
หากไม่ได้รับอนุญาตจากเว็บไซต์ คุณจะไม่สามารถคัดลอกกราฟิก ข้อความ หรือเครื่องหมายการค้าของเว็บไซต์ได้ สิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาในเนื้อหาหรือข้อมูลที่รวมอยู่ในเว็บไซต์นี้เป็นของผู้ให้บริการและผู้ค้าแลกเปลี่ยน
ไม่ได้ล็อกอิน
เข้าสู่ระบบเพื่อเข้าถึงฟังก์ชั่นเพิ่มเติม

สมาชิก FastBull
ยังไม่ได้เปิด
สมัคร
เข้าสู่ระบบ
ลงทะเบียน