ตลาด
ข่าวสาร
การวิเคราะห์
ผู้ใช้
24x7
ปฏิทินเศรษฐกิจ
แหล่งเรียนรู้
ข้อมูล
- ชื่อ
- ค่าล่าสุด
- ครั้งก่อน












สัญญาณ VIP
ทั้งหมด
ทั้งหมด



สหราชอาณาจักร ดัชนีราคาที่อยู่อาศัย Halifax YoY (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส บัญชีเดินสะพัด (Not SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส ดุลการค้า (SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส การผลิตภาคอุตสาหกรรม MoM(SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
อิตาลี ดัชนียอดค้าปลีก MoM (SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงาน YoY (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน GDP Final YoY (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน GDP Final QoQ (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงาน QoQ (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงานสุดท้าย (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
บราซิล PPI MoM (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
เม็กซิโก ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา อัตราการว่างงาน (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา อัตราการมีส่วนร่วมในการจ้างงาน (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงาน (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงานนอกเวลา (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงานเต็มเวลา (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา รายได้ส่วนบุคคล MoM (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคา PCE YoY (SA) (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคา PCE MoM (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา รายจ่ายส่วนบุคคล MoM(SA) (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาPCEหลักMoM (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาPCEหลักYoY (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา เงินเฟ้อเบื้องต้น UMich 5-YearYoY (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ค่าใช้จ่ายการบริโภคส่วนบุคคลที่จริง MoM (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การคาดการณ์เงินเฟ้อ 5-10 ปี (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีสถานภาพเบื้องต้น UMich ปัจจุบัน (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้น UMich (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อล่วงหน้า 1 ปี UMich (เบื้องต้น) (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีความคาดหวังผู้บริโภค UMich (เบื้องต้น) (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ปริมาณเครื่องเจาะทั้งหมดรายสัปดาห์--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ปริมาณเครื่องเจาะน้ำมันทั้งหมดรายสัปดาห์--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา สินเชื่ออุปโภคบริโภค (SA) (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ เงินตราที่ใช้เป็นทุนสำรอง (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ปริมาณการส่งออก YoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การนำเข้า YoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การนำเข้าYoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การนำเข้า (CNH) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ดุลการค้า (CNH) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การส่งออก (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น ค่าจ้าง MoM (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น ดุลการค้า (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น GDP Nominal แก้ไขQoQ (ไตรมาส 3)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น ดุลการค้า (SA)(ข้อมูลศุลกากร) (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น GDP ประจำปี (แก้ไข) QoQ (ไตรมาส 3)--
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ปริมาณการส่งออก YoY (CNH) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ดุลการค้า (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
เยอรมนี การผลิตภาคอุตสาหกรรม MoM(SA) (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน Sentix (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา อินดิเคเตอร์ชั้นนำ MoM (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา ดัชนีความเชื่อมั่นเศรษฐกิจแห่งชาติ--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาธนาคารกลางรัฐดัลลาส สหรัฐอเมริกา PCE YoY (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา อัตราผลตอบแทนการประมูลพันธบัตรรัฐบาล 3-ปี--
ค: --
ค: --
สหราชอาณาจักร ดัชนียอดค้าปลีกรวม BRC YoY (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
สหราชอาณาจักร ดัชนียอดค้าปลีก Like-For-Like BRC YoY (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
ออสเตรเลีย อัตราหลัก(ดอกเบี้ยเงินกู้)O/N--
ค: --
ค: --
คำแถลงอัตราของธนาคารกลางออสเตรเลีย
ประธานธนาคารกลางออสเตรเลีย Bullock จัดงานแถลงข่าวนโยบายการเงิน
เยอรมนี อัตราการส่งออก MoM (SA) (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีความเชื่อมั่นของธุรกิจขนาดเล็ก NFIB (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
เม็กซิโก CPI หลัก YoY (พ.ย.)--
ค: --
ค: --


ไม่มีข้อมูลที่ตรงกัน
ทัศนคติล่าสุด
ทัศนคติล่าสุด
หัวข้อยอดนิยม
คอลัมนิสต์ยอดนิยม
อัปเดตล่าสุด
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
ดูผลการค้นหาทั้งหมด

ไม่มีข้อมูล
นิวยอร์ค--9 ส.ค.--รอยเตอร์
วุฒิสภาสหรัฐได้ผ่านร่างกฎหมายปรับลดเงินเฟ้อขนาด 4.30 แสนล้านดอลลาร์ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นร่างกฎหมายที่ครอบคลุมทั้งประเด็นด้านสภาพภูมิอากาศ, การแพทย์ และภาษี โดยร่างกฎหมายนี้อาจจะส่งผลลบเล็กน้อยต่อผลกำไรในภาคเอกชน และอาจจะส่งผลให้บริษัทหลายแห่งเลื่อนเวลาในการซื้อคืนหุ้นให้เร็วขึ้นจากเดิม นอกจากนี้ ร่างกฎหมายนี้อาจจะส่งผลบวกต่อบริษัทบางกลุ่มด้วย ซึ่งรวมถึงกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า, กลุ่มเชื้อเพลิงชีวภาพ และกลุ่มพลังงานจากแสงอาทิตย์ ทั้งนี้ ร่างกฎหมายนี้ได้ถูกส่งเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐในช่วงนี้ และเป็นที่คาดกันว่าสภาผู้แทนราษฎรจะผ่านร่างกฎหมายนี้ในวันศุกร์ที่ 12 ส.ค. และหลังจากนั้นประธานาธิบดีโจ ไบเดนก็จะลงนามในร่างกฎหมายนี้เพื่อให้มีผลเป็นกฎหมาย โดยมาตรการด้านภาษีในกฎหมายฉบับนี้จะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2023 ซึ่งรวมถึงการเก็บภาษีสรรพสามิตใหม่ในการซื้อคืนหุ้น และการเก็บภาษีขั้นต่ำ 15% จากบริษัท
ธนาคารโกลด์แมน แซคส์คาดว่า ภาษีสองรายการใหม่นี้จะส่งผลลบราว 1.5% ต่อผลกำไรต่อหุ้นในปี 2023 ของบริษัทในดัชนี S&P 500 โดยบริษัทในกลุ่มการแพทย์และกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศ (ไอที) อาจจะได้รับผลกระทบมากเป็นพิเศษ ทั้งนี้ นางโซลิตา มาร์เซลลี หัวหน้าเจ้าหน้าที่การลงทุนทวีปอเมริกาของธนาคาร UBS คาดว่า ภาษีใหม่นี้จะ "ส่งผลลบ 1% ซึ่งถือเป็นระดับที่น้อยมาก ต่อผลกำไรต่อหุ้นของบริษัทในดัชนี S&P 500 อย่างไรก็ดี บริษัทบางแห่งจะได้รับผลกระทบจากภาษีนี้มากกว่าบริษัทอื่น ๆ"
นักลงทุนบางรายคาดว่ากฎหมายนี้จะกระตุ้นให้บริษัทหลายแห่งเร่งซื้อคืนหุ้นในปีนี้ โดยนายโธมัส เฮย์ส ประธานกรรมการบริษัทเกรท ฮิลล์ แคปิตัลกล่าวว่า "สิ่งหนึ่งที่จะเห็นได้ชัดก็คือว่า จะมีการเร่งรัดซื้อคืนหุ้นก่อนสิ้นปีนี้ เพราะบริษัทหลายแห่งไม่ต้องการจะจ่ายภาษีดังกล่าว และบริษัทก็มีโอกาสที่จะไม่ต้องจ่ายภาษีดังกล่าวในปีนี้ ดังนั้นคุณจึงมั่นใจได้ว่าบริษัทเหล่านี้จะฉวยโอกาสนี้" ทั้งนี้ นายโฮเวิร์ด ซิลเวอร์แบลท นักวิเคราะห์ของ S&P ระบุว่า ยอดซื้อคืนหุ้นเคยพุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดที่ 2.810 แสนล้านดอลลาร์ในไตรมาสแรกของปี 2022 แต่ดิ่งลง 17.4% ในไตรมาสสอง ทางด้านนายทิม กริสคีย์ นักยุทธศาสตร์การลงทุนของบริษัทอิงกัลส์ แอนด์ สไนเดอร์กล่าวว่า การเร่งรัดซื้อคืนหุ้นในปีนี้อาจจะช่วยหนุนตลาดหุ้น ในขณะที่ดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐดีดขึ้นมาแล้วราว 13% จากจุดต่ำสุดรอบ 1 ปีครึ่งที่ทำไว้ในช่วงกลางเดือนมิ.ย. นอกจากนี้ นายซิลเวอร์แบลทยังกล่าวเสริมว่า ในระยะยาวนั้น การเก็บภาษีในอัตรา 1% นี้ไม่มีแนวโน้มที่จะเป็นอุปสรรคขัดขวางการซื้อคืนหุ้นในภาคเอกชน
นายจาเรท เซเบิร์ก จากบริษัทโคเวน วอชิงตัน รีเสิร์ช กรุ๊ปกล่าวว่า บริษัทต่าง ๆ ไม่มีแนวโน้มที่จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตนเองเพื่อตอบรับต่อการเก็บภาษี 1% นี้ อย่างไรก็ดี มีความเสี่ยงที่การเก็บภาษีจากเงินปันผลอาจจะกลายเป็น "หนทางที่ง่ายดายในการระดมทุนเพิ่มเติม" และสภาคองเกรสอาจจะปรับขึ้นอัตราภาษีจาก 1% ในอนาคต ทั้งนี้ นายจอห์น เพทริเดส ผู้จัดการพอร์ตลงทุนของบริษัททอคเคอวิลล์ แอสเซท แมเนจเมนท์กล่าวว่า การปรับขึ้นอัตราภาษีนิติบุคคลอาจจะส่งผลลบต่ออัตราผลกำไรในภาคเอกชน และเขากล่าวเสริมว่า "การปรับขึ้นภาษีจะเป็นการลดแรงจูงใจในการจ้างงาน และอาจจะส่งผลให้มีการจัดสรรรายจ่ายฝ่ายทุนเพื่อนำมาลงทุนในระบบอัตโนมัติมากยิ่งขึ้น"
หุ้นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ของสหรัฐทะยานขึ้นในวันจันทร์ ซึ่งรวมถึงหุ้นริเวียน ออโตโมทีฟที่พุ่งขึ้น 6.78%, หุ้นฟอร์ด มอเตอร์ที่ทะยานขึ้น 3.14%, หุ้นเจเนอรัล มอเตอร์ส (GM) ที่พุ่งขึ้น 4.16%, หุ้นลอร์ดส์ทาวน์ มอเตอร์สที่ทะยานขึ้น 3.17% และหุ้นเทสลาซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่ปรับขึ้น 0.8%หลังจากวุฒิสภาสหรัฐอนุมัติร่างกฎหมายขนาด 4.30 แสนล้านดอลลาร์ในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นร่างกฎหมายในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยร่างกฎหมายนี้จะจัดให้มีการลดหย่อนภาษี 4,000 ดอลลาร์สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าใช้แล้ว และจะจัดสรรเงินหลายพันล้านดอลลาร์เพื่อใช้เป็นทุนสำหรับการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ทั้งนี้ นายเฮย์สกล่าวว่า หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีชีวภาพและหุ้นกลุ่มเวชภัณฑ์น่าจะดีดขึ้น หลังจากธุรกิจกลุ่มนี้เผชิญกับความไม่แน่นอนในช่วงที่ผ่านมา เพราะว่าร่างกฎหมายนี้ไม่ได้ส่งผลลบต่อธุรกิจการแพทย์มากเท่ากับที่เคยคาดการณ์กันไว้ ทางด้านนายปีเตอร์ ทุซ ประธานบริษัทเชส อินเวสท์เมนท์ เคาน์เซลกล่าวว่า ร่างกฎหมายนี้ส่งผลลบเพียงเล็กน้อยต่อธุรกิจการแพทย์ และส่งผลกระทบต่อยาเพียงบางตัวเท่านั้น--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
วอชิงตัน--27 ก.ค.--รอยเตอร์
นักลงทุนคาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นกรอบเป้าหมายอัตราดอกเบี้ย 0.75% สู่ 2.25-2.50% ในการประชุมกำหนดนโยบายในวันที่ 26-27 ก.ค. เพื่อรับมือกับอัตราเงินเฟ้อที่ระดับสูง และนักลงทุนจะรอดูแถลงการณ์ของเฟดในการประชุมครั้งนี้ โดยมุ่งความสนใจไปยังประเด็นที่ว่า ผู้กำหนดนโยบายของเฟดให้ความสำคัญมากเพียงใดต่อสัญญาณการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้ ถ้าหากเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ในวันนี้ตามความคาดหมาย การปรับขึ้นกรอบเป้าหมายอัตราดอกเบี้ยสู่ 2.25-2.50% ในครั้งนี้ก็จะใกล้เคียงกับอัตราดอกเบี้ยที่ "เป็นกลาง" ในระยะยาวในมุมมองของเจ้าหน้าที่เฟด โดยอัตราดอกเบี้ยที่เป็นกลางจะไม่ช่วยกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจและไม่จำกัดการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ถึงแม้ยังไม่มีสัญญาณบ่งชี้ว่า เฟดประสบความสำเร็จมากนักในการควบคุมภาวะเงินเฟ้อ สัญญาณบ่งชี้ถึงภาวะตึงเครียดทางเศรษฐกิจกลับเพิ่มสูงขึ้นในช่วงนี้ และสิ่งนี้จะส่งผลให้เจ้าหน้าที่เฟดต้องชั่งน้ำหนักระหว่างการคุมเข้มนโยบายการเงินเพื่อทำให้อัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลง กับความเสี่ยงในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากเกินไปจนส่งผลให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย โดยคำถามสำคัญในขณะนี้คือประเด็นที่ว่า เฟดกำลังเผชิญความเสี่ยงในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากเกินไปหรือไม่ ทั้งนี้ ตลาดพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐส่งสัญญาณในช่วงนี้ว่า มีความเป็นไปได้มากยิ่งขึ้นที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 2 ปีอยู่ที่ 3.043% ในช่วงท้ายวานนี้ ซึ่งสูงกว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปี ซึ่งอยู่ที่ 2.787% ในช่วงท้ายวานนี้ และสิ่งนี้เป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า นักลงทุนสูญเสียความเชื่อมั่นในการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะใกล้ และมีความเป็นไปได้ที่เฟดอาจจะมีความจำเป็นต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในอนาคตอันใกล้
นักลงทุนกังวลกับการชะลอตัวทางเศรษฐกิจมากยิ่งขึ้น หลังจากวอลมาร์ท อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกขนาดใหญ่ของสหรัฐประกาศปรับลดแนวโน้มผลกำไรในช่วงเย็นวันจันทร์ และวอลมาร์ทระบุว่าภาวะเงินเฟ้อส่งผลให้ผู้บริโภคใช้จ่ายเงินเป็นค่าอาหารและเชื้อเพลิงมากยิ่งขึ้น แทนที่จะนำเงินไปใช้ซื้อสินค้าฟุ่มเฟือย อย่างเช่นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และเสื้อผ้า ทางด้านบริษัทเจเนอรัล มอเตอร์ส โค (GM) ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์ของสหรัฐแถลงว่า ทางบริษัทได้ชะลอการจ้างงานและเลื่อนแผนการลงทุนออกไปเพื่อตอบรับต่อภาวะเงินเฟ้อ และเพื่อรับมือกับความเป็นไปได้ที่ธุรกิจจะชะลอตัวลงในวงกว้าง ทั้งนี้ นักลงทุนจะจับตาดูงานแถลงข่าวของนายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟดที่จะจัดขึ้นในเวลา 01.30 น.ของวันพฤหัสบดีตามเวลาไทย เพราะเขามีแนวโน้มที่จะชี้แจงว่า เฟดมีความเห็นอย่างไรบ้างต่อตัวเลขเศรษฐกิจในระยะนี้ และเขาจะส่งสัญญาณว่า เฟดจะดำเนินขั้นตอนอย่างไรในอนาคตด้วย โดยเขาอาจส่งสัญญาณว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในการประชุมวันที่ 20-21 ก.ย. โดยตัวเลขอัตราเงินเฟ้อจะเป็นปัจจัยสำคัญที่เป็นตัวกำหนดว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% หรือ 0.75% ในเดือนก.ย.
นายเอียน เชปเพิร์ดสัน หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของบริษัทแพนธีออน แมคโครอิโคโนมิคส์ ระบุว่า เนื่องจากดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐพุ่งขึ้นสูงกว่า 9% ในเดือนมิ.ย.เมื่อเทียบรายปี "เฟดจึงไม่มีแนวโน้มที่จะชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย จนกว่าเฟดจะมั่นใจว่าอัตราเงินเฟ้อปรับเปลี่ยนทิศทางแล้ว" ทั้งนี้ ผู้กำหนดนโยบายส่วนใหญ่ของเฟดแสดงความเห็นตรงกันว่า เฟดควรจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป จนกว่าอัตราเงินเฟ้อจะชะลอตัวลง อย่างไรก็ดี นักเศรษฐศาสตร์บางรายมองว่า การทำเช่นนั้นอาจจะส่งผลให้เกิดความผิดพลาดตามมาได้ เพราะตัวเลขอัตราเงินเฟ้ออาจจะปรับตัวล่าช้ากว่าผลกระทบที่เศรษฐกิจได้รับจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และสิ่งนี้หมายความว่า เฟดอาจจะยังคงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป ถึงแม้เศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัวลงแล้ว
อัตราดอกเบี้ยจำนองคงที่ระยะ 30 ปีของสหรัฐพุ่งขึ้นจากระดับต่ำกว่า 3% สู่ระดับราว 5.5% ในช่วงนี้ โดยได้รับแรงหนุนจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดในช่วงที่ผ่านมา ในขณะที่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานในวันอังคารว่า ยอดขายบ้านใหม่ในสหรัฐดิ่งลง 8.1% สู่ 590,000 ยูนิตต่อปีในเดือนมิ.ย. ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. 2020 หรือจุดต่ำสุดในรอบกว่า 2 ปี โดยรายงานตัวเลขเศรษฐกิจเหล่านี้บ่งชี้ถึงผลกระทบที่เศรษฐกิจได้รับจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างแข็งกร้าวของเฟด ทั้งนี้ เมื่อถึงเวลาที่เฟดจัดการประชุมกำหนดนโยบายครั้งถัดไปในวันที่ 20-21 ก.ย. ผู้กำหนดนโยบายของเฟดก็จะได้พิจารณาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อ, ปริมาณการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภค, ผลผลิตทางธุรกิจ, การจ้างงาน และตัวเลขเศรษฐกิจอื่น ๆ ที่ได้รับการรายงานออกมาในช่วงเดือนส.ค.และก.ย. ซึ่งถ้าหากอัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลงก่อนที่จะถึงการประชุมในวันที่ 20-21 ก.ย. ปัจจัยดังกล่าวก็อาจจะเปิดโอกาสให้เฟดชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
วอชิงตัน--7 มิ.ย.--รอยเตอร์
ทำเนียบขาวประกาศในวันจันทร์ว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดนของสหรัฐได้ยกเว้นการเก็บภาษีศุลกากรจากแผงเซลล์แสงอาทิตย์ (หรือแผงโซลาร์เซลล์) ที่นำเข้าจากไทย, กัมพูชา, มาเลเซีย และเวียดนามเป็นเวลา 2 ปี และเขาประกาศใช้กฎหมายการผลิตเพื่อป้องกันประเทศเพื่อกระตุ้นการผลิตแผงเซลล์แสงอาทิตย์ในสหรัฐ โดยการยกเว้นภาษีในครั้งนี้จะทำหน้าที่เป็นเหมือนกับ "สะพานเชื่อมต่อ" ในขณะที่บริษัทสหรัฐปรับเพิ่มการผลิตแผงเซลล์แสงอาทิตย์ให้สูงขึ้น ทั้งนี้ หุ้นในกลุ่มบริษัทพลังงานแสงอาทิตย์ในสหรัฐพุ่งขึ้น ซึ่งรวมถึงหุ้นบริษัทซันพาวเวอร์ คอร์ปที่พุ่งขึ้น 2.7%, หุ้นเอ็นเฟส เอ็นเนอร์จี อิงค์ที่ทะยานขึ้น 5.4% และหุ้นซันรัน อิงค์ที่พุ่งขึ้น 5.9% ในวันจันทร์ ในขณะที่แผงเซลล์แสงอาทิตย์ที่นำเข้าจาก 4 ประเทศนี้ครองสัดส่วนราว 80% ของการนำเข้าสินค้าดังกล่าวในสหรัฐ และครองสัดส่วนมากกว่า 50% ของอุปทานแผงเซลล์แสงอาทิตย์ทั้งหมดในสหรัฐ
ก่อนหน้านี้กระทรวงพาณิชย์สหรัฐได้ประกาศในเดือนมี.ค.ว่า ทางกระทรวงจะสอบสวนว่า แผงเซลล์แสงอาทิตย์ที่นำเข้าจาก 4 ประเทศนี้ถือเป็นการหลบเลี่ยงภาษีศุลกากรสำหรับสินค้าที่ผลิตในจีนหรือไม่ ซึ่งถ้าหากทางกระทรวงตัดสินว่าการนำเข้านี้ถือเป็นการหลบเลี่ยงภาษีจริง สหรัฐก็อาจจะเก็บภาษีย้อนหลังจากแผงเซลล์แสงอาทิตย์กลุ่มนี้ได้ โดยการสอบสวนนี้ถือเป็นการตอบรับต่อคำร้องเรียนจากบริษัทออกซิน ซึ่งเป็นบริษัทผู้จัดหาแผงเซลล์แสงอาทิตย์ขนาดเล็ก อย่างไรก็ดี การสอบสวนดังกล่าวส่งผลให้การนำเข้าแผงเซลล์แสงอาทิตย์กลุ่มนี้หยุดชะงักลง
การสอบสวนของกระทรวงพาณิชย์ส่งผลให้มีการปรับลดตัวเลขคาดการณ์ยอดการติดตั้งแผงเซลล์แสงอาทิตย์ในสหรัฐสำหรับปีนี้และปีหน้าลง 46% ในขณะที่บริษัทผู้พัฒนาพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งรวมถึงบริษัทเน็กซ์อีรา เอ็นเนอร์จี และบริษัทเซาเธิร์น โคประกาศเตือนว่า โครงการติดตั้งจะประสบกับความล่าช้าเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ ปธน.ไบเดนออกคำสั่งยกเว้นภาษีในครั้งนี้ เพื่อตอบรับต่อกระแสความกังวลที่มีต่อโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ที่หยุดชะงักลงทั่วสหรัฐ และเพื่อตอบรับต่อแผนการของรัฐบาลสหรัฐในการแก้ไขปัญหาความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศด้วย
ทำเนียบขาวระบุว่า สหรัฐจะใช้กฎหมายการผลิตเพื่อป้องกันประเทศในการขยายการผลิตสินค้าอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน ซี่งรวมถึงฉนวนอาคาร, ปั๊มความร้อน, หม้อแปลงไฟฟ้า และอุปกรณ์สำหรับ "เชื้อเพลิงสะอาดที่ใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้า" อย่างเช่นเซลล์เชื้อเพลิง และเครื่องแยกน้ำด้วยไฟฟ้า โดยทำเนียบขาวระบุเสริมว่า "เมื่อสหรัฐมีคลังพลังงานสะอาดที่แข็งแกร่งขึ้น สหรัฐก็จะสามารถทำหน้าที่เป็นหุ้นส่วนที่แข็งแกร่งขึ้นสำหรับชาติพันธมิตรของเรา โดยเฉพาะในช่วงที่ปูตินทำสงครามในยูเครน" ทั้งนี้ ภาคการผลิตแผงเซลล์แสงอาทิตย์ครองสัดส่วนเพียงเล็กน้อยในอุตสาหกรรมพลังงานแสงอาทิตย์ในสหรัฐ ในขณะที่การจ้างงานส่วนใหญ่ในอุตสาหกรรมนี้กระจุกตัวอยู่ในฝ่ายการพัฒนาโครงการ, การติดตั้ง และการก่อสร้าง โดยก่อนหน้านี้เคยมีการเสนอร่างกฎหมายกระตุ้นการผลิตแผงเซลล์แสงอาทิตย์ในสหรัฐด้วย แต่ร่างกฎหมายดังกล่าวยังไม่ผ่านความเห็นชอบจากสภาคองเกรส
นางเฮทเธอร์ ซิคัล ซีอีโอของสมาคมพลังงานสะอาดสหรัฐกล่าวว่า ประกาศของปธน.ไบเดนจะช่วยกระตุ้นการก่อสร้างและการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ในสหรัฐ เพราะประกาศนี้ช่วยฟื้นฟูความแน่นอนในทางธุรกิจและความสามารถในการคาดการณ์ล่วงหน้าได้ อย่างไรก็ดี นายมามุน ราชิด ซีอีโอของบริษัทออกซินกล่าวตำหนิความเคลื่อนไหวของทำเนียบขาว โดยเขาระบุว่า ความเคลื่อนไหวนี้จะเปิดโอกาสให้กลุ่มผลประโยชน์พิเศษที่ได้รับทุนสนับสนุนจากจีนสามารถขัดขวางการนำกฎหมายการค้าของสหรัฐมาใช้อย่างเป็นธรรม ทั้งนี้ บริษัทเฟิร์สท์ โซลาร์ ซึ่งถือเป็นบริษัทผู้ผลิตแผงเซลล์แสงอาทิตย์ที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐระบุว่า ความเคลื่อนไหวของทำเนียบขาวในครั้งนี้ถือเป็นการบ่อนทำลายการผลิตแผงเซลล์แสงอาทิตย์ของสหรัฐ--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
29 ต.ค.--รอยเตอร์
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานในวันพฤหัสบดีว่า มูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของสหรัฐเติบโตขึ้นเพียง 2% ในไตรมาสสามเมื่อเทียบเป็นตัวเลขเต็มปี (annualized) ซึ่งถือเป็นอัตราการเติบโตที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาส 2/2020 และอยู่ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ในโพลล์รอยเตอร์ที่ +2.7% หลังจากเศรษฐกิจสหรัฐเติบโต 6.7% ในไตรมาสสอง โดยรายงานของกระทรวงแสดงให้เห็นอีกด้วยว่า เศรษฐกิจสหรัฐได้รับแรงกดดันในไตรมาส 3 จากการระบาดของโรคโควิด-19, จากปริมาณการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคสหรัฐที่ปรับขึ้นเพียง 1.6% ในไตรมาสสาม หลังจากพุ่งขึ้น 12% ในไตรมาสสอง และจากความอ่อนแอในภาคยานยนต์ของสหรัฐ ทั้งนี้ ยอดการผลิตยานยนต์ในสหรัฐดิ่งลง 41.6% ในไตรมาสสาม หลังจากรูดลง 14.1% ในไตรมาสสอง โดยเป็นผลจากภาวะขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลก และภาคยานยนต์ก็ส่งผลลบ 2.39% ต่อการเติบโตของจีดีพีสหรัฐในไตรมาสสาม ซึ่งถือเป็นการส่งผลลบครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาส 2/1980 เป็นต้นมา หรือครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 40 ปี
ภาคยานยนต์ได้รับแรงกดดันเป็นอย่างมากจากภาวะขาดแคลนไมโครชิปทั่วโลก โดยยอดการผลิตยานยนต์ในสหรัฐดิ่งลงถึง 6 เดือนในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา และอยู่ในระดับที่สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย โดยยอดการประกอบยานยนต์ในสหรัฐอยู่ที่ระดับเพียง 7.51 ล้านคันในเดือนก.ย. ซึ่งถือเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ยอดดังกล่าวเคยดิ่งลงเข้าใกล้ระดับศูนย์คันในช่วงฤดูใบไม้ผลิปีที่แล้วท่ามกลางการใช้มาตรการล็อกดาวน์ แต่ถ้าหากไม่นับตัวเลขของช่วงฤดูใบไม้ผลิปีที่แล้ว ยอดการประกอบยานยนต์ในเดือนก.ย.ปีนี้ก็ถือเป็นจุดต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2010 เป็นต้นมา
ภาวะขาดแคลนชิปนี้เป็นปัจจัยหนึ่งที่มีส่วนทำให้อัตราเงินเฟ้อในสหรัฐพุ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดในรอบหลายสิบปีด้วย และถือเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการกำหนดราคาในภาครถยนต์เป็นอย่างมาก ทั้งนี้ เนื่องจากรถยนต์ใหม่กลายเป็นสิ่งที่หายากในตลาด ราคารถยนต์มือสองจึงพุ่งขึ้นสูงมากในช่วงที่ผ่านมา โดยราคารถยนต์มือสองเคยทะยานขึ้นสูงกว่า 10% ต่อเดือนเป็นเวลา 3 เดือนติดต่อกันในฤดูใบไม้ผลิปีนี้
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐระบุว่า สต็อกสินค้าคงคลังในภาคธุรกิจสหรัฐปรับลดลงในอัตราเพียง 7.77 หมื่นล้านดอลลาร์ในไตรมาสสาม หลังจากดิ่งลงในอัตรา 1.685 แสนล้านดอลลาร์ในไตรมาสสอง และด้วยเหตุนี้ภาคสต็อกสินค้าคงคลังจึงส่งผลบวก 2.07% ต่อการเติบโตของจีดีพีสหรัฐในไตรมาสสาม อย่างไรก็ดี ภาวะขาดแคลนยานยนต์มีส่วนทำให้สต็อกสินค้าคงคลังยังคงอยู่ในระดับต่ำ ทั้งนี้ ถ้าหากไม่นำสต็อกสินค้าคงคลังมาคำนวณด้วยแล้ว เศรษฐกิจสหรัฐก็หดตัวลง 0.1% ในไตรมาสสาม แต่ถ้าหากไม่นำผลผลิตยานยนต์มาคำนวณด้วยแล้ว เศรษฐกิจสหรัฐก็เติบโต 3.5% ในไตรมาสสาม หลังจากเติบโต 7.4% ในไตรมาสสอง
ยอดใช้จ่ายในสินค้าคงทนของสหรัฐดิ่งลงในอัตรา 26.2% ในไตรมาสสาม อย่างไรก็ดี ยอดใช้จ่ายในภาคบริการเติบโต 7.9% ในไตรมาสสาม หลังจากพุ่งขึ้น 11.5% ในไตรมาสสอง โดยยอดใช้จ่ายในภาคบริการในไตรมาสสามได้รับแรงหนุนจากความต้องการเช่ารถยนต์, ความต้องการโดยสารเครื่องบิน, ความต้องการใช้บริการในโรงพยาบาลและในร้านอาหาร และยอดจองโรงแรม ทั้งนี้ ถึงแม้ค่าแรงพุ่งสูงขึ้น ภาวะเงินเฟ้อก็ส่งผลลบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค โดยรายได้สุทธิของภาคครัวเรือนสหรัฐหลังปรับตามภาวะเงินเฟ้อดิ่งลง 5.6% ในไตรมาสสาม ส่วนอัตราการออมเงินร่วงลงสู่ 8.9% ในไตรมาสสาม จาก 10.5% ในไตรมาสสอง--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--5 ส.ค.--รอยเตอร์
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์และดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐปิดร่วงลงในวันพุธ หลังจากมีรายงานระบุว่า การจ้างงานในสหรัฐชะลอการเติบโตลงในเดือนก.ค. และหุ้นบริษัทเจเนอรัล มอเตอร์ส (GM) ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์ดิ่งลง 8.9% ซึ่งถือเป็นการดิ่งลงครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ต้นเดือนมี.ค. ในขณะที่บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ทั่วโลกเผชิญกับความไม่แน่นอนทั้งในด้านเทคโนโลยีและด้านเศรษฐกิจ ทางด้านหุ้นฟอร์ด มอเตอร์ซึ่งเป็นคู่แข่งของ GM รูดลง 5.0% ทั้งนี้ ตลาดหุ้นได้รับแรงกดดัน หลังจากบริษัทเอดีพีรายงานในวันพุธว่า การจ้างงานภาคเอกชนในสหรัฐเพิ่มขึ้นเพียง 330,000 ตำแหน่งในเดือนก.ค. ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ในโพลล์รอยเตอร์ที่ 695,000 ตำแหน่ง ในขณะที่การจ้างงานอาจได้รับแรงกดดันจากภาวะขาดแคลนวัตถุดิบและคนงาน
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดร่วงลง 0.92% สู่ 34,792.67, ดัชนี S&P 500 ปิดปรับลง 0.46% สู่ 4,402.66 แต่ดัชนี Nasdaq ปิดบวกขึ้น 0.13% สู่ 14,780.53 ทั้งนี้ หุ้น 9 กลุ่มจาก 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐปิดตลาดในแดนลบ ซึ่งรวมถึงหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมและหุ้นกลุ่มพลังงาน อย่างไรก็ดี ดัชนี Nasdaq ปิดตลาดในแดนบวก หลังจากสถาบันจัดการอุปทานของสหรัฐ (ISM) รายงานในวันพุธว่า ดัชนีกิจกรรมภาคบริการของสหรัฐพุ่งขึ้นจาก 60.1 ในเดือนมิ.ย. สู่ 64.1 ในเดือนก.ค. ซึ่งถือเป็นสถิติสูงสุดนับตั้งแต่เริ่มมีการจัดทำตัวเลขนี้ในปี 2008 เป็นต้นมา และอยู่สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ในโพลล์รอยเตอร์ที่ 60.5 โดยรายงานนี้บ่งชี้ว่า เศรษฐกิจสหรัฐในวงกว้างยังคงฟื้นตัวต่อไป
หลังจากดัชนี S&P 500 ปรับขึ้นมานาน 6 เดือนติดต่อกัน ดัชนีก็ได้รับแรงกดดันในเดือนส.ค.จากความกังวลเรื่องการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ และจากความกังวลเรื่องการพุ่งขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ โดยปัจจัยลบเหล่านี้บดบังแรงหนุนที่ดัชนีได้รับจากฤดูการรายงานผลประกอบการที่สดใส ทั้งนี้ นายริชาร์ด คลาริดา รองประธานกรรมการธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวในวันพุธว่า เศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มที่จะบรรลุเงื่อนไขด้านการจ้างงานและภาวะเงินเฟ้อก่อนสิ้นปี 2022 ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่เฟดตั้งไว้สำหรับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และสิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า เฟดน่าจะอยู่ในสถานะที่พร้อมสำหรับการเริ่มต้นปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี 2023
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีหรือกลุ่มบริษัทที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีพุ่งขึ้นในวันพุธ โดยหุ้นเน็ตฟลิกซ์ทะยานขึ้น 1.28% ส่วนหุ้นเฟซบุ๊กพุ่งขึ้น 2.19% อย่างไรก็ดี หุ้นคราฟท์ ไฮนซ์ซึ่งเป็นผู้ผลิตอาหารดิ่งลง 5.14% หลังจากคราฟท์ ไฮนซ์ประกาศเตือนว่า อัตราผลกำไรได้รับแรงกดดันจากการพุ่งขึ้นของราคาส่วนประกอบในอาหาร
หุ้นโรบินฮูด มาร์เก็ตส์ อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทผู้ให้บริการทางการเงินทางแอปพลิเคชันพุ่งขึ้น 50.4% และปรับขึ้นเป็นวันที่ 4 ติดต่อกัน โดยได้รับแรงหนุนจากนางแคธี วูด ผู้จัดการกองทุนชื่อดัง และจากเทรดเดอร์รายย่อย--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--2 ส.ค.--รอยเตอร์
นักวิเคราะห์ตลาดหุ้นสหรัฐระบุว่า การดีดขึ้นของผลกำไรภาคเอกชนและการดิ่งลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยิลด์) ในช่วงนี้ช่วยจำกัดมูลค่าหุ้นในตลาดหุ้นสหรัฐไม่ให้อยู่ในระดับที่แพงเกินไป และปัจจัยนี้ช่วยกระตุ้นให้นักลงทุนเข้าซื้อหุ้นสหรัฐต่อไป ถึงแม้ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐเคลื่อนตัวอยู่ใกล้สถิติสูงสุด และถึงแม้ตลาดหุ้นได้รับแรงกดดันจากการพุ่งขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ และจากการคาดการณ์ที่ว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะชะลอการเติบโตลง ทั้งนี้ ถึงแม้ดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐพุ่งขึ้นมาแล้วกว่า 17% จากช่วงต้นปีนี้ มูลค่าหุ้นสหรัฐกลับขยับลงนับตั้งแต่ช่วงต้นปีนี้ โดยค่าพีอีเรโชของหุ้นในดัชนี S&P 500 อยู่ที่ 21.4 เท่าของตัวเลขคาดการณ์ผลกำไรสำหรับช่วง 12 เดือนข้างหน้า โดยร่วงลงจาก 22.7 เท่าในเดือนม.ค. แต่ยังคงอยู่สูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 15.4 เท่า
นายปีเตอร์ ทูซ ประธานบริษัทเชส อินเวสท์เมนท์ เคาน์เซลกล่าวว่า "ผมคิดว่าตลาดหุ้นยังคงเป็นสถานที่ที่น่าลงทุน เพราะถึงแม้ว่ามูลค่าหุ้นอยู่ในระดับสูง ปัจจัยพื้นฐานของตลาดหุ้นก็ยังคงอยู่ในภาวะที่ดี นอกจากนี้ บริษัทส่วนใหญ่ก็มีผลประกอบการรายไตรมาสที่ดีมาก และมีแนวโน้มที่ดีมากด้วย" ทั้งนี้ นักลงทุนมุ่งความสนใจไปยังมูลค่าหุ้นในช่วงนี้ ในขณะที่นักลงทุนพยายามประเมินปัจจัยต่าง ๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อทิศทางตลาดในช่วงหลายเดือนข้างหน้า โดยปัจจัยเหล่านี้รวมถึงเศรษฐกิจสหรัฐที่มีแนวโน้มชะลอการเติบโตลง, การพุ่งขึ้นของยอดผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา และแผนการของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในการปรับลดขนาดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
นักลงทุนจะจับตาดูตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนก.ค.ที่รัฐบาลสหรัฐจะรายงานออกมาในวันศุกร์ที่ 6 ส.ค. และรอดูผลประกอบการที่บริษัทสหรัฐจะรายงานออกมาในสัปดาห์นี้ โดยเฉพาะผลประกอบการของบริษัทอีไล ลิลลี ซึ่งทำธุรกิจเวชภัณฑ์, ซีวีเอส เฮลธ์ ซึ่งทำธุรกิจประกันสุขภาพ และเจเนอรัล มอเตอร์ส (GM) ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์ โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์ในตอนนี้ว่า ผลกำไรของบริษัทในดัชนี S&P 500 อาจพุ่งขึ้น 87.2% ในไตรมาส 2 เมื่อเทียบรายปี โดยปรับขึ้นจากระดับ 65.4% ที่เคยคาดการณ์ไว้ในช่วงต้นเดือนก.ค. และการที่บริษัทสหรัฐรายงานผลกำไรที่สูงเกินคาดอย่างต่อเนื่องจะช่วยจำกัดมูลค่าหุ้นไม่ให้พุ่งสูงเกินไป ทั้งนี้ ธนาคารเครดิต สวิสคาดการณ์ว่า ดัชนี S&P 500 อาจจะปิดตลาดสิ้นปีนี้ที่ 4,600 โดยพุ่งขึ้นราว 4% จากระดับปิดวันพฤหัสบดีที่แล้วที่ 4,419.15 ส่วนธนาคารโกลด์แมน แซคส์ระบุว่า ทางธนาคารคาดว่าดัชนี S&P 500 อาจจะปิดตลาดสิ้นปีนี้ที่ 4,300 โดยตั้งอยู่บนสมมุติฐานที่ว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีอยู่ที่ 1.9% แต่ถ้าหากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอยู่ที่ 1.6% ระดับที่เหมาะสมของดัชนี S&P ก็จะพุ่งขึ้นสู่ 4,700 ในช่วงสิ้นปีนี้
นักลงทุนมองว่าหุ้นมีความน่าดึงดูดมากยิ่งขึ้น ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีดิ่งลงราว 0.55% จากระดับ 1.776% ในวันที่ 30 มี.ค. สู่ระดับ 1.226% ในช่วงท้ายวันศุกร์ที่ผ่านมา ทั้งนี้ สถาบันการลงทุนเวลส์ ฟาร์โกระบุว่า ค่าพรีเมียมความเสี่ยงของหุ้น ซึ่งเป็นส่วนต่างระหว่างอัตราผลตอบแทนจากผลกำไรของหุ้นกับอัตราดอกเบี้ยของพันธบัตร อยู่ในระดับที่สอดคล้องกับแนวโน้มในอดีตที่บ่งชี้ว่า ดัชนี S&P 500 จะพุ่งขึ้น 15.2% ในช่วง 12 เดือนข้างหน้า
นักลงทุนบางรายกังวลกับมูลค่าหุ้นที่อยู่ในระดับสูงในช่วงนี้ ในขณะที่ค่า CAPE ซึ่งเป็นค่าพีอีเรโชที่ปรับตามวัฏจักรเศรษฐกิจ ส่งสัญญาณเตือนออกมา โดยค่า CAPE ได้พุ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดในรอบกว่า 20 ปีในช่วงนี้ ทั้งนี้ นายแจ็ค เอบลิน หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของบริษัทเครสเซนท์ แคปิตัล แมเนจเมนท์กล่าวว่า การพุ่งขึ้นของค่า CAPE ถือเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ทางบริษัทตัดสินใจปรับลดการลงทุนในหุ้นโดยรวมลงในช่วงต้นปีนี้สำหรับพอร์ตลงทุนที่มีระยะเวลาการลงทุนอย่างน้อย 7 ปี และเขากล่าวเสริมว่า "มูลค่าหุ้นอยู่ในระดับที่สูงมาก ดังนั้นตลาดหุ้นจึงไม่ใช่สถานที่ที่น่าลงทุนมากนักในระยะยาว"--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--12 ก.ค.--รอยเตอร์
การดิ่งลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐในช่วงนี้ส่งผลให้นักลงทุนบางรายพยายามแสวงหาการลงทุนอื่น ๆ ที่ให้อัตราผลตอบแทนสูง ซึ่งรวมถึงหุ้นที่จ่ายเงินปันผล และพันธบัตรในประเทศตลาดเกิดใหม่ แต่การลงทุนในสินทรัพย์เหล่านี้ต้องแลกมาด้วยความเสี่ยงที่สูงกว่าการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ทั้งนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีอยู่ที่ 1.356% ในวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยดิ่งลงจากจุดสูงสุดของเดือนมี.ค.ที่ 1.77% หลังจากได้รับแรงกดดันจากปัจจัยหลายประการ โดยปัจจัยเหล่านี้รวมถึงการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) หันมาส่งสัญญาณแบบสายเหยี่ยวในช่วงกลางเดือนมิ.ย., ความต้องการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐจากนักลงทุนในประเทศที่พันธบัตรให้อัตราผลตอบแทนติดลบ และการที่นักลงทุนเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐเพื่อชดเชยการทำชอร์ตเซลที่เคยทำไว้เป็นจำนวนมากในช่วงก่อนหน้านี้
นายเอ็ด อัล-ฮุสเซนี นักวิเคราะห์สกุลเงินและอัตราดอกเบี้ยของบริษัทโคลัมเบีย เธรดนีดเดิลกล่าวว่า "ในมุมมองของเรานั้น เราเข้าไปลงทุนในสินทรัพย์อื่น ๆ เพราะเราไม่คาดว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐจะดีดขึ้นในเร็ว ๆ นี้" โดยนายอัล-ฮุสเซนีมุ่งความสนใจไปยังหลักทรัพย์ที่ได้รับการค้ำประกันจากสัญญาจำนอง (MBS) เนื่องจากเขาคาดว่า ภาคครัวเรือนสหรัฐจะมีฐานะการเงินที่ดีหลังผ่านพ้นวิกฤติโรคระบาด ทั้งนี้ กองทุน ETF "iShares MBS" ที่ถือครอง MBS ให้อัตราผลตอบแทน 1.88% ในวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยมีกำหนดไถ่ถอนเฉลี่ย 4.9 ปี
นายดอน เอลเลนเบอร์เกอร์ ผู้จัดการพอร์ตลงทุนของบริษัทเฟเดอเรเท็ด เฮอร์มีส เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตราสารหนี้ตลาดเกิดใหม่ในช่วงนี้ โดยเขาคาดว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐจะยังคงอยู่ในระดับต่ำต่อไป ในขณะที่นักลงทุนไม่แน่ใจว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปล่อยให้อัตราเงินเฟ้อพุ่งขึ้นได้สูงถึงระดับใด หลังจากราคาผู้บริโภคทะยานขึ้นในระยะนี้ นอกจากนี้ เขายังกล่าวอีกด้วยว่า "ตลาดสหรัฐปรับตัวไม่สอดคล้องกันในช่วงนี้ เพราะตลาดหุ้นส่งสัญญาณว่า เศรษฐกิจจะยังคงอยู่ในระดับแข็งแกร่งต่อไป แต่ตลาดพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐส่งสัญญาณว่า เศรษฐกิจจะชะลอการเติบโต" และเขายังคาดการณ์อีกด้วยว่า การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในวงกว้างจะช่วยหนุนประเทศตลาดเกิดใหม่ โดยเฉพาะประเทศผู้ผลิตสินค้าโภคภัณฑ์ ทั้งนี้ กองทุน ETF iShares JP Morgan ที่ลงทุนในตราสารหนี้ตลาดเกิดใหม่ในรูปดอลลาร์สหรัฐ ให้อัตราผลตอบแทนราว 3.85% ในวันศุกร์ที่ผ่านมา และกองทุนแห่งนี้มีสินทรัพย์พุ่งขึ้นเกือบ 430 ล้านดอลลาร์ในช่วงสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 7 ก.ค. ซึ่งถือเป็นการพุ่งขึ้นครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ต้นเดือนเม.ย.
นายเอียน ลินเจน จากแผนกแผนยุทธศาสตร์การลงทุนตราสารหนี้ของบริษัทบีเอ็มโอ แคปิตัล มาร์เก็ตส์กล่าวว่า นักลงทุนไม่ควรจะคาดการณ์ว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐจะดีดขึ้นอย่างรวดเร็วในปีนี้ และเขากล่าวเสริมว่า "ราคาพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐได้รับแรงหนุนในช่วงที่ผ่านมาจากความเป็นจริงด้านโรคระบาดที่ยังคงดำเนินต่อไป ซึ่งรวมถึงความกังวลที่เพิ่มมากขึ้นในเรื่องที่ประชาชนไม่ยอมฉีดวัคซีน และความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์เดลตา"
นางเมโลดี ไบรอันท์ ผู้จัดการพอร์ตลงทุนของกองทุนกาเบลลี แอสเซทกล่าวว่า การดิ่งลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐส่งผลให้หุ้นที่จ่ายเงินปันผลมีความน่าดึงดูดมากยิ่งขึ้น และเธอยังคงคาดการณ์ในทางบวกต่อหุ้นที่จ่ายเงินปันผล อย่างเช่นหุ้นบริษัทเดียร์ แอนด์ โค ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตเครื่องจักรทางการเกษตรที่ปรับเพิ่มเงินปันผลทุกปีในช่วง 25 ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี เธอได้เพิ่มการลงทุนในหุ้นกลุ่มเติบโตบางตัวในช่วงนี้ด้วย ซึ่งรวมถึงหุ้นบริษัทเซลส์ฟอร์ซดอทคอม อิงค์ ที่ทำธุรกิจซอฟต์แวร์ เนื่องจากเธอคาดว่าอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำจะส่งผลให้หุ้นเติบโตมีความน่าดึงดูดมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ นางไบรอันท์กล่าวว่า "เราเพิ่งผ่านพ้นช่วงเวลาที่กำไรจากการขายทรัพย์สินถือเป็นปัจจัยที่ใหญ่ที่สุดที่ช่วยหนุนผลตอบแทนจากการลงทุน และในตอนนี้เราก็กำลังเข้าสู่ช่วงเวลาใหม่ ซึ่งเป็นช่วงที่เงินปันผลจะกลายมาเป็นปัจจัยหลัก"--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
เครื่องมือออกแบบโปสเตอร์
โครงการพันธมิตร
ความเสี่ยงของการสูญเสียในการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น หุ้น FX สินค้าโภคภัณฑ์ ฟิวเจอร์ส พันธบัตร ETFs หรือเงินดิจิทัลอาจมีมาก คุณอาจสูญเสียเงินทุนทั้งหมดที่คุณฝากไว้กับโบรกเกอร์ของคุณ ดังนั้น คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบว่าการซื้อขายดังกล่าวเหมาะสมกับคุณหรือไม่ในสถานการณ์และทรัพยากรทางการเงินของคุณ
ไม่ควรตัดสินใจลงทุนโดยไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบสถานะอย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วยตัวเองหรือปรึกษากับที่ปรึกษาทางการเงินของคุณ เนื้อหาเว็บของเราอาจไม่เหมาะกับคุณเนื่องจากเราไม่ทราบเงื่อนไขทางการเงินและความต้องการในการลงทุนของคุณ ข้อมูลทางการเงินของเราอาจมีความล่าช้าหรือมีความไม่ถูกต้อง ดังนั้นคุณควรรับผิดชอบอย่างเต็มที่ต่อการตัดสินใจซื้อขายและการลงทุนของคุณ บริษัทจะไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียเงินทุนของคุณ
หากไม่ได้รับอนุญาตจากเว็บไซต์ คุณจะไม่สามารถคัดลอกกราฟิก ข้อความ หรือเครื่องหมายการค้าของเว็บไซต์ได้ สิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาในเนื้อหาหรือข้อมูลที่รวมอยู่ในเว็บไซต์นี้เป็นของผู้ให้บริการและผู้ค้าแลกเปลี่ยน
ไม่ได้ล็อกอิน
เข้าสู่ระบบเพื่อเข้าถึงฟังก์ชั่นเพิ่มเติม

สมาชิก FastBull
ยังไม่ได้เปิด
สมัคร
เข้าสู่ระบบ
ลงทะเบียน