ตลาด
ข่าวสาร
การวิเคราะห์
ผู้ใช้
24x7
ปฏิทินเศรษฐกิจ
แหล่งเรียนรู้
ข้อมูล
- ชื่อ
- ค่าล่าสุด
- ครั้งก่อน












สัญญาณ VIP
ทั้งหมด
ทั้งหมด



ฝรั่งเศส บัญชีเดินสะพัด (Not SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
อิตาลี ดัชนียอดค้าปลีก MoM (SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงาน YoY (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน GDP Final YoY (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน GDP Final QoQ (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงาน QoQ (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงานสุดท้าย (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
บราซิล PPI MoM (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
เม็กซิโก ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา อัตราการว่างงาน (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา อัตราการมีส่วนร่วมในการจ้างงาน (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงาน (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงานนอกเวลา (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงานเต็มเวลา (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา รายได้ส่วนบุคคล MoM (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคา PCE YoY (SA) (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคา PCE MoM (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา รายจ่ายส่วนบุคคล MoM(SA) (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาPCEหลักMoM (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาPCEหลักYoY (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา เงินเฟ้อเบื้องต้น UMich 5-YearYoY (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ค่าใช้จ่ายการบริโภคส่วนบุคคลที่จริง MoM (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การคาดการณ์เงินเฟ้อ 5-10 ปี (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีสถานภาพเบื้องต้น UMich ปัจจุบัน (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้น UMich (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อล่วงหน้า 1 ปี UMich (เบื้องต้น) (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีความคาดหวังผู้บริโภค UMich (เบื้องต้น) (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ปริมาณเครื่องเจาะทั้งหมดรายสัปดาห์ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ปริมาณเครื่องเจาะน้ำมันทั้งหมดรายสัปดาห์ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ต้นทุนแรงงานต่อหน่วยเบื้องต้น (SA) (ไตรมาส 3)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา สินเชื่ออุปโภคบริโภค (SA) (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ เงินตราที่ใช้เป็นทุนสำรอง (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ปริมาณการส่งออก YoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การนำเข้า YoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การนำเข้าYoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การนำเข้า (CNH) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ดุลการค้า (CNH) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การส่งออก (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น ค่าจ้าง MoM (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น ดุลการค้า (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น GDP Nominal แก้ไขQoQ (ไตรมาส 3)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น ดุลการค้า (SA)(ข้อมูลศุลกากร) (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น GDP ประจำปี (แก้ไข) QoQ (ไตรมาส 3)--
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ปริมาณการส่งออก YoY (CNH) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ดุลการค้า (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
เยอรมนี การผลิตภาคอุตสาหกรรม MoM(SA) (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน Sentix (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา อินดิเคเตอร์ชั้นนำ MoM (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา ดัชนีความเชื่อมั่นเศรษฐกิจแห่งชาติ--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาธนาคารกลางรัฐดัลลาส สหรัฐอเมริกา PCE YoY (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา อัตราผลตอบแทนการประมูลพันธบัตรรัฐบาล 3-ปี--
ค: --
ค: --
สหราชอาณาจักร ดัชนียอดค้าปลีกรวม BRC YoY (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
สหราชอาณาจักร ดัชนียอดค้าปลีก Like-For-Like BRC YoY (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
ออสเตรเลีย อัตราหลัก(ดอกเบี้ยเงินกู้)O/N--
ค: --
ค: --
คำแถลงอัตราของธนาคารกลางออสเตรเลีย
ประธานธนาคารกลางออสเตรเลีย Bullock จัดงานแถลงข่าวนโยบายการเงิน
เยอรมนี อัตราการส่งออก MoM (SA) (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีความเชื่อมั่นของธุรกิจขนาดเล็ก NFIB (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
เม็กซิโก CPI หลัก YoY (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
เม็กซิโก อัตราเงินเฟ้อ 12-เดือน (CPI) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --


ไม่มีข้อมูลที่ตรงกัน
ทัศนคติล่าสุด
ทัศนคติล่าสุด
หัวข้อยอดนิยม
คอลัมนิสต์ยอดนิยม
อัปเดตล่าสุด
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
ดูผลการค้นหาทั้งหมด

ไม่มีข้อมูล
แบงก์ ออฟ อเมริกา (BofA) ปรับลดคาดการณ์อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนหลังจากที่เกิดปัญหาที่รุนแรงขึ้นในบริษัทเอเวอร์แกรนด์ ยักษ์ใหญ่ด้านอสังหาริมทรัพย์, การแพร่ระบาดรอบใหม่ของโควิด-19 และการจัดการด้านกฎระเบียบในวงกว้าง
BofA ปรับลดคาดการณ์จีดีพีแท้จริงของจีนลงสู่ระดับ 8.0% ในปีนี้ จาก 8.3% รวมทั้งได้ปรับลดคาดการณ์จีดีพีของปีหน้าลงมากที่สุดสู่ระดับ 5.3% จาก 6.2% และได้ปรับลดคาดการณ์จีดีพีในปีหน้าลงสู่ระดับ 5.3% จาก 6.0%
การปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจเกิดขึ้นขณะที่มีปัญหาทางเศรษฐกิจมากขึ้นสำหรับเศรษฐกิจมูลค่า 14.5 ล้านล้านดอลลาร์ของจีน และสะท้อนความกังวลมากขึ้นที่ว่า ปัญหาของเอเวอร์แกรนด์อาจมีผลกระทบกว้างขวาง
เอเวอร์แกรน์มีหนี้สินรวม 3.05 แสนล้านดอลลาร์ โดยมีกำหนดชำระหุ้นกู้ 2 งวดในสัปดาห์นี้ ซึ่งอาจจะไม่สามารถทำได้ ขณะที่ภาระหนี้ทั้งหมดของบริษัทมีสัดส่วนไม่ถึง 2% ของจีดีพี ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณว่า จีนเตรียมพร้อมเป็นอย่างดีที่จะป้องกันผลกระทบทางเศรษฐกิจในวงกว้างขึ้น
BofA ระบุว่า สถานการณ์จำลองสำหรับปัญหาของเอเวอร์แกรนด์ก็คือ แทบจะไม่มีผลกระทบต่อเนื่องต่อภาคอสังหาริมทรัพย์โดยรวม และตลาดการเงิน ถ้าหากรัฐบาลช่วยปรับโครงสร้างหนี้ให้เป็นระเบียบ--จบ--
นิวยอร์ค--16 ก.ย.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดบวกขึ้นในวันพุธ ในขณะที่การพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันดิบช่วยหนุนหุ้นกลุ่มพลังงาน และรายงานตัวเลขเศรษฐกิจในสหรัฐบ่งชี้ว่า อัตราเงินเฟ้อได้แตะจุดสูงสดไปแล้ว และเศรษฐกิจสหรัฐยังคงฟื้นตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง โดยตัวเลขเศรษฐกิจเหล่านี้ช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นของนักลงทุน ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มที่นำตลาดพุ่งขึ้นในวันพุธคือหุ้นกลุ่มวัฏจักรเศรษฐกิจ, หุ้นกลุ่มการขนส่ง และหุ้นบริษัทขนาดเล็ก โดยดัชนี Russell 2000 สำหรับหุ้นบริษัทขนาดเล็กปิดพุ่งขึ้น 1.11% ทางด้านหุ้นคุณค่านำตลาดปรับขึ้นในช่วงแรก แต่หลังจากนั้นความต้องการซื้อสินทรัพย์เสี่ยงก็พุ่งขึ้นในช่วงบ่าย และส่งผลให้หุ้นเติบโตปรับขึ้นด้วยเช่นกัน
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวกขึ้น 0.68% สู่ 34,814.39, ดัชนี S&P 500 ปิดปรับขึ้น 0.85% สู่ 4,480.7 และดัชนี Nasdaq ปิดบวกขึ้น 0.82% สู่ 15,161.53 ทั้งนี้ ในบรรดาหุ้น 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐนั้น หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคถือเป็นกลุ่มเดียวที่ไม่ได้ปิดตลาดในแดนบวก ส่วนหุ้นกลุ่มพลังงานถือเป็นกลุ่มที่พุ่งขึ้นมากที่สุด โดยหุ้นกลุ่มนี้ได้รับแรงหนุนจากราคาน้ำมันดิบสหรัฐที่ทะยานขึ้น 3.1% หลังจากสต็อกน้ำมันดิบในคลังสหรัฐดิ่งลงอย่างรุนแรงในสัปดาห์ล่าสุด
รายงานตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐในช่วงนี้บ่งชี้ว่า อัตราเงินเฟ้อในสหรัฐชะลอตัวลง และเศรษฐกิจกำลังจะกลับคืนสู่ภาวะปกติ ถึงแม้ว่าผลผลิตภาคโรงงานได้รับแรงกดดันจากพายุเฮอริเคนไอดาและปัญหาขีดจำกัดด้านอุปาน ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ราคานำเข้าร่วงลง 0.3% ในเดือนส.ค. หลังจากปรับขึ้น 0.4% ในเดือนก.ค. โดยการร่วงลงในครั้งนี้ถือเป็นการร่วงลงครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนต.ค. 2020 และถือเป็นสัญญาณล่าสุดที่บ่งชี้ว่า อัตราเงินเฟ้อในสหรัฐได้แตะจุดสูงสุดไปแล้ว โดยรายงานตัวเลขนี้สอดคล้องกับจุดยืนของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ว่า อัตราเงินเฟ้อในสหรัฐพุ่งขึ้นเพียงชั่วคราวเท่านั้น
เฟดสาขานิวยอร์ครายงานในวันพุธว่า ดัชนีเอ็มไพร์ สเตทสำหรับภาวะธุรกิจปัจจุบันในรัฐนิวยอร์คพุ่งขึ้นจาก 18.3 ในเดือนส.ค. สู่ 34.3 ในเดือนก.ย. และอยู่สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ 18.0 ส่วนเฟดรายงานว่า ผลผลิตภาคโรงงานของสหรัฐขยับขึ้นเพียง 0.2% ในเดือนส.ค. หลังจากพุ่งขึ้น 1.6% ในเดือนก.ค. ทั้งนี้ นักลงทุนรอดูการประชุมของคณะกรรมการกำหนดนโยบายของเฟด (FOMC) ในวันที่ 21-22 ก.ย. เพื่อดูว่าเฟดมีแนวโน้มอย่างไรในการปรับลดขนาดมาตรการเข้าซื้อตราสารหนี้ และในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
หุ้นบริษัทจีนที่จดทะเบียนในสหรัฐดิ่งลงต่อไป หลังจากจีนรายงานว่า ยอดค้าปลีกเพิ่มขึ้นเพียง 2.5% ในเดือนส.ค.จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ว่าจะเพิ่มขึ้น 7.0% โดยรายงานตัวเลขนี้บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจจีนอาจจะชะลอตัวลง นอกจากนี้ หุ้นบริษัทจีนยังได้รับแรงกดดันจากข่าวที่ว่า รัฐบาลจีนปรับเปลี่ยนกฎระเบียบสำหรับอุตสาหกรรมคาสิโนในมาเก๊าด้วย ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มคาสิโนในสหรัฐดิ่งลง โดยหุ้นบริษัทลาสเวกัส แซนด์ส คอร์ป, วินน์ รีสอร์ทส์ และเอ็มจีเอ็ม รีสอร์ทส์ อินเตอร์เนชั่นแนลรูดลง 1.7-6.3%--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
เจนัส เฮนเดอร์สันเปิดเผยว่า คาดว่าเงินปันผลทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 1.39 ล้านล้านดอลลาร์ในปีนี้ เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากตัวเลขคาดการณ์ก่อนหน้าเพื่อสะท้อนว่า การจ่ายเงินปันผลของภาคเอกชนมีการฟื้นตัวแข็งแกร่งกว่าที่คาดไว้ โดยตัวเลขคาดการณ์ล่าสุดเพิ่มขึ้น 2.2% จากตัวเลขคาดการณ์ก่อนหน้า แต่ก็ยังคงต่ำกว่าระดับสูงสุดก่อนเกิดโรคระบาดอยู่ 3%
การจ่ายปันผลร่วงลงในปีที่แล้วเนื่องจากวิกฤติโควิด-19 ขณะที่มีข้อจำกัดด้านกฎระเบียบ และแรงกดดันของภาครัฐเพื่อจำกัดการจ่ายปันผล แต่ข้อมูลจาก Global Dividend Index พบว่า การจ่ายปันผลกำลังฟื้นตัวแข็งแกร่ง โดยมีอัตราการเพิ่มขึ้น 26.3% ในไตรมาสสอง
เงินปันผลจากภาคเอกชนที่จะเริ่มจ่ายนั้นมีมูลค่ารวม 3.33 หมื่นล้านดอลลาร์ และคิดเป็นสัดส่วน 3 ใน 4 ของอัตราการเพิ่มขึ้นในไตรมาสสอง
นางเจน ชูเมค ผู้จัดการจากเจนัส เฮนเดอร์สันกล่าวว่า "การจ่ายปันผลทั่วโลกอาจจะฟื้นตัวสู่ระดับก่อนเกิดโรคระบาดภายใน 12 เดือนข้างหน้า และการฟื้นตัวในขณะนี้จะไม่ถูกขัดขวางจากระบบธนาคารที่อ่อนแอเหมือนกับที่เคยเป็นหลังวิกฤติการเงินโลกเมื่อ 10 ปีก่อน เนื่องจากผู้กำหนดนโยบายจะยังคงดำเนินมาตรการหนุนทางการคลังและการเงินให้แก่ภาคเศรษฐกิจต่อไป"--จบ--
นิวยอร์ค--9 ส.ค.--รอยเตอร์
นักวิเคราะห์ระบุว่า ตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐที่พุ่งสูงเกินคาดในเดือนก.ค.ได้ช่วยสนับสนุนการคาดการณ์ที่ว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอาจจะทะยานขึ้นในช่วงต่อไปในปีนี้ และปัจจัยดังกล่าวอาจจะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นสหรัฐ หลังจากดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐพุ่งขึ้นสู่สถิติสูงสุดใหม่ในช่วงนี้ ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานในวันศุกร์ว่า การจ้างงานนอกภาคเกษตรในสหรัฐพุ่งขึ้น 943,000 ตำแหน่งในเดือนก.ค. ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ในโพลล์รอยเตอร์ที่ 870,000 ตำแหน่ง โดยตัวเลขดังกล่าวส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปี (ซึ่งปรับตัวสวนทางกับราคาพันธบัตร) ทะยานขึ้นแตะ 1.3053% ในวันศุกร์ ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 23 ก.ค.
นักลงทุนบางรายคาดว่า ตัวเลขการจ้างงานที่แข็งแกร่งจะช่วยกระตุ้นให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับลดขนาดมาตรการเข้าซื้อตราสารหนี้ลงในเวลาที่รวดเร็วเกินคาด และปัจจัยดังกล่าวอาจจะส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยิลด์) พุ่งสูงขึ้น และกดดันหุ้นเติบโตให้ร่วงลง อย่างไรก็ดี นักลงทุนยังไม่แน่ใจมากนักในเรื่องนี้ เพราะเศรษฐกิจสหรัฐกำลังเผชิญแรงกดดันจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์เดลตา และเฟดยืนยันว่า อัตราเงินเฟ้อในสหรัฐพุ่งขึ้นเพียงชั่วคราวเท่านั้น ทั้งนี้ นักลงทุนคาดว่า ถ้าหากกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานตัวเลขการจ้างงานประจำเดือนส.ค.ที่แข็งแกร่งมากออกมาในช่วงต้นเดือนก.ย. ปัจจัยดังกล่าวก็อาจจะช่วยสนับสนุนให้เฟดประกาศโครงร่างแผนการปรับลดขนาดมาตรการเข้าซื้อตราสารหนี้รายเดือนลงจากระดับ 1.20 แสนล้านดอลลาร์ต่อเดือนในการประชุมกำหนดนโยบายในวันที่ 21-22 ก.ย.
ถ้าหากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐพุ่งสูงขึ้น ปัจจัยดังกล่าวก็อาจจะส่งผลลบต่อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและหุ้นเติบโต เพราะว่าการพุ่งขึ้นของอัตราดอกเบี้ยส่งผลลบต่อมูลค่ากระแสเงินสดในระยะยาว ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่หนุนหุ้นเติบโต ทั้งนี้ หุ้นเติบโตพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งนับตั้งแต่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรเริ่มร่วงลงในเดือนมี.ค.เป็นต้นมา โดยดัชนี Russell 1000 สำหรับหุ้นเติบโตพุ่งขึ้นมาแล้ว 18% นับตั้งแต่ปลายเดือนมี.ค. ในขณะที่ดัชนีหุ้นคุณค่าปรับขึ้นเพียง 6% ในช่วงเวลาเดียวกัน นอกจากนี้ การพุ่งขึ้นของหุ้นเติบโตและหุ้นเทคโนโลยีก็มีส่วนสำคัญในการช่วยหนุนดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐให้พุ่งขึ้นแตะสถิติสูงสุดใหม่ในช่วงนี้ด้วย เนื่องจากบริษัทกลุ่มนี้ครองน้ำหนักมากในตลาด โดยบริษัทสำคัญ 5 แห่งในกลุ่มเทคโนโลยีหรือกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี ซึ่งได้แก่บริษัทแอปเปิล, ไมโครซอฟท์, อะเมซอน, แอลฟาเบท และเฟซบุ๊ก ครองน้ำหนักรวมกันสูงกว่า 22% ของดัชนี S&P 500
การพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอาจจะส่งผลบวกต่อหุ้นคุณค่า ซึ่งครอบคลุมหุ้นกลุ่มธนาคาร, กลุ่มพลังงาน และกลุ่มอื่น ๆ ที่ปรับตัวตามวัฏจักรเศรษฐกิจ อย่างไรก็ดี ตัวเลขเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งในสหรัฐอาจจะส่งผลให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ซึ่งจะสร้างความเสียหายต่อผู้ส่งออกของสหรัฐ รวมทั้งส่งผลลบต่องบดุลของบริษัทข้ามชาติของสหรัฐด้วย เพราะบริษัทเหล่านี้จำเป็นต้องแปลงผลกำไรในรูปสกุลเงินต่างชาติกลับมาเป็นดอลลาร์
ธนาคารโกลด์แมน แซคส์, แบงก์ ออฟ อเมริกา โกลบัล รีเสิร์ช และบริษัทแบล็คร็อคคาดการณ์ว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐอาจจะพุ่งขึ้นสู่ระดับใกล้ 2% ก่อนสิ้นปีนี้ อย่างไรก็ดี ธนาคาร HSBC คาดว่า บอนด์ยิลด์อาจจะร่วงลงจากระดับปัจจุบัน ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ของบริษัทแคปิตัล อิโคโนมิคส์ระบุในวันศุกร์ว่า "เราคาดว่าการฟื้นตัวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐระยะยาวในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา จะยังคงดำเนินต่อไป" และระบุเสริมว่า "เราคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งในช่วง 2-3 ไตรมาสข้างหน้า และอัตราเงินเฟ้อจะพุ่งขึ้นเป็นเวลานานกว่าที่คนส่วนใหญ่ได้คาดการณ์ไว้"--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--2 ส.ค.--รอยเตอร์
นักวิเคราะห์ตลาดหุ้นสหรัฐระบุว่า การดีดขึ้นของผลกำไรภาคเอกชนและการดิ่งลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยิลด์) ในช่วงนี้ช่วยจำกัดมูลค่าหุ้นในตลาดหุ้นสหรัฐไม่ให้อยู่ในระดับที่แพงเกินไป และปัจจัยนี้ช่วยกระตุ้นให้นักลงทุนเข้าซื้อหุ้นสหรัฐต่อไป ถึงแม้ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐเคลื่อนตัวอยู่ใกล้สถิติสูงสุด และถึงแม้ตลาดหุ้นได้รับแรงกดดันจากการพุ่งขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ และจากการคาดการณ์ที่ว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะชะลอการเติบโตลง ทั้งนี้ ถึงแม้ดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐพุ่งขึ้นมาแล้วกว่า 17% จากช่วงต้นปีนี้ มูลค่าหุ้นสหรัฐกลับขยับลงนับตั้งแต่ช่วงต้นปีนี้ โดยค่าพีอีเรโชของหุ้นในดัชนี S&P 500 อยู่ที่ 21.4 เท่าของตัวเลขคาดการณ์ผลกำไรสำหรับช่วง 12 เดือนข้างหน้า โดยร่วงลงจาก 22.7 เท่าในเดือนม.ค. แต่ยังคงอยู่สูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 15.4 เท่า
นายปีเตอร์ ทูซ ประธานบริษัทเชส อินเวสท์เมนท์ เคาน์เซลกล่าวว่า "ผมคิดว่าตลาดหุ้นยังคงเป็นสถานที่ที่น่าลงทุน เพราะถึงแม้ว่ามูลค่าหุ้นอยู่ในระดับสูง ปัจจัยพื้นฐานของตลาดหุ้นก็ยังคงอยู่ในภาวะที่ดี นอกจากนี้ บริษัทส่วนใหญ่ก็มีผลประกอบการรายไตรมาสที่ดีมาก และมีแนวโน้มที่ดีมากด้วย" ทั้งนี้ นักลงทุนมุ่งความสนใจไปยังมูลค่าหุ้นในช่วงนี้ ในขณะที่นักลงทุนพยายามประเมินปัจจัยต่าง ๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อทิศทางตลาดในช่วงหลายเดือนข้างหน้า โดยปัจจัยเหล่านี้รวมถึงเศรษฐกิจสหรัฐที่มีแนวโน้มชะลอการเติบโตลง, การพุ่งขึ้นของยอดผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา และแผนการของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในการปรับลดขนาดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
นักลงทุนจะจับตาดูตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนก.ค.ที่รัฐบาลสหรัฐจะรายงานออกมาในวันศุกร์ที่ 6 ส.ค. และรอดูผลประกอบการที่บริษัทสหรัฐจะรายงานออกมาในสัปดาห์นี้ โดยเฉพาะผลประกอบการของบริษัทอีไล ลิลลี ซึ่งทำธุรกิจเวชภัณฑ์, ซีวีเอส เฮลธ์ ซึ่งทำธุรกิจประกันสุขภาพ และเจเนอรัล มอเตอร์ส (GM) ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์ โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์ในตอนนี้ว่า ผลกำไรของบริษัทในดัชนี S&P 500 อาจพุ่งขึ้น 87.2% ในไตรมาส 2 เมื่อเทียบรายปี โดยปรับขึ้นจากระดับ 65.4% ที่เคยคาดการณ์ไว้ในช่วงต้นเดือนก.ค. และการที่บริษัทสหรัฐรายงานผลกำไรที่สูงเกินคาดอย่างต่อเนื่องจะช่วยจำกัดมูลค่าหุ้นไม่ให้พุ่งสูงเกินไป ทั้งนี้ ธนาคารเครดิต สวิสคาดการณ์ว่า ดัชนี S&P 500 อาจจะปิดตลาดสิ้นปีนี้ที่ 4,600 โดยพุ่งขึ้นราว 4% จากระดับปิดวันพฤหัสบดีที่แล้วที่ 4,419.15 ส่วนธนาคารโกลด์แมน แซคส์ระบุว่า ทางธนาคารคาดว่าดัชนี S&P 500 อาจจะปิดตลาดสิ้นปีนี้ที่ 4,300 โดยตั้งอยู่บนสมมุติฐานที่ว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีอยู่ที่ 1.9% แต่ถ้าหากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอยู่ที่ 1.6% ระดับที่เหมาะสมของดัชนี S&P ก็จะพุ่งขึ้นสู่ 4,700 ในช่วงสิ้นปีนี้
นักลงทุนมองว่าหุ้นมีความน่าดึงดูดมากยิ่งขึ้น ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีดิ่งลงราว 0.55% จากระดับ 1.776% ในวันที่ 30 มี.ค. สู่ระดับ 1.226% ในช่วงท้ายวันศุกร์ที่ผ่านมา ทั้งนี้ สถาบันการลงทุนเวลส์ ฟาร์โกระบุว่า ค่าพรีเมียมความเสี่ยงของหุ้น ซึ่งเป็นส่วนต่างระหว่างอัตราผลตอบแทนจากผลกำไรของหุ้นกับอัตราดอกเบี้ยของพันธบัตร อยู่ในระดับที่สอดคล้องกับแนวโน้มในอดีตที่บ่งชี้ว่า ดัชนี S&P 500 จะพุ่งขึ้น 15.2% ในช่วง 12 เดือนข้างหน้า
นักลงทุนบางรายกังวลกับมูลค่าหุ้นที่อยู่ในระดับสูงในช่วงนี้ ในขณะที่ค่า CAPE ซึ่งเป็นค่าพีอีเรโชที่ปรับตามวัฏจักรเศรษฐกิจ ส่งสัญญาณเตือนออกมา โดยค่า CAPE ได้พุ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดในรอบกว่า 20 ปีในช่วงนี้ ทั้งนี้ นายแจ็ค เอบลิน หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของบริษัทเครสเซนท์ แคปิตัล แมเนจเมนท์กล่าวว่า การพุ่งขึ้นของค่า CAPE ถือเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ทางบริษัทตัดสินใจปรับลดการลงทุนในหุ้นโดยรวมลงในช่วงต้นปีนี้สำหรับพอร์ตลงทุนที่มีระยะเวลาการลงทุนอย่างน้อย 7 ปี และเขากล่าวเสริมว่า "มูลค่าหุ้นอยู่ในระดับที่สูงมาก ดังนั้นตลาดหุ้นจึงไม่ใช่สถานที่ที่น่าลงทุนมากนักในระยะยาว"--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--22 ก.ค.--รอยเตอร์
นักวิเคราะห์ระบุว่า บริษัทสหรัฐได้สะสมเงินสดไว้เป็นจำนวนมากในช่วงที่ผ่านมา และนักลงทุนคาดว่าเงินดังกล่าวอาจจะช่วยหนุนตลาดหุ้นสหรัฐได้ในช่วงหลายเดือนข้างหน้า ในขณะที่ผู้บริหารบริษัทหลายแห่งประกาศแผนการปรับเพิ่มปริมาณการซื้อคืนหุ้น, แผนปรับเพิ่มเงินปันผล หรือแผนปรับเพิ่มการลงทุนในธุรกิจของตนเอง ทั้งนี้ นายคีธ เลอร์เนอร์ หัวหน้านักยุทธศาสตร์การลงทุนตลาดของบริษัททรูอิสท์ แอดไวซอรี เซอร์วิสเซสระบุว่า บริษัทในดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐมีเงินสดอยู่ในงบดุลบัญชีราว 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงนี้ ซึ่งถือว่าสูงเป็นประวัติการณ์ และพุ่งขึ้นจากระดับ 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงก่อนเกิดวิกฤติโรคระบาดในปี 2020
นายไมเคิล เพอร์เวส ซีอีโอของบริษัททอลแบคเคน แคปิตัล แอดไวเซอร์สกล่าวว่า การที่ภาคเอกชนมีดุลเงินสดอยู่ในระดับสูงจะถือเป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยพยุงตลาดหุ้น และเขากล่าวเสริมว่า “ปัจจัยนี้จะช่วยหนุนตลาดหุ้นต่อไปในปี 2022 และ 2023 ถึงแม้มีการคาดการณ์กันว่าตลาดหุ้นอาจจะพุ่งขึ้นมากเกินไปแล้ว และมูลค่าหุ้นอยู่สูงเกินไป" ทั้งนี้ การที่บริษัทมีเงินสดเก็บไว้เป็นจำนวนมากจะช่วยให้บริษัทมีความยืดหยุ่นในการดำเนินมาตรการต่าง ๆ ที่จะส่งผลดีต่อราคาหุ้น ซึ่งรวมถึงการซื้อคืนหุ้น และการปรับเพิ่มเงินปันผล โดยมาตรการหลังนี้จะช่วยดึงดูดนักลงทุนที่ต้องการรายได้สูง ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐดิ่งลงในช่วงนี้
ตะกร้าหุ้นที่จัดทำโดยบริษัทโกลด์แมน แซคส์ที่รวบรวมหุ้นบริษัทที่คืนเงินสดจำนวนมากให้แก่ผู้ถือหุ้นโดยผ่านทางการซื้อคืนหุ้นหรือการจ่ายเงินปันผล พุ่งขึ้นในปี 2021 ในอัตราที่สูงกว่าดัชนี S&P 500 ราว 5% ส่วนตะกร้าหุ้นของบริษัทที่มีการลงทุนด้านทุนอยู่ในระดับสูง หรือมีรายจ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาอยู่ในระดับสูง พุ่งขึ้นในปี 2021 ในอัตราที่สูงกว่าดัชนี S&P 500 ราว 2% โดยสิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า นักลงทุนชื่นชอบบริษัทที่ใช้ประโยชน์จากเงินสดในปีนี้ นอกจากนี้ นักยุทธศาสตร์การลงทุนของโกลด์แมน แซคส์ยังคาดการณ์อีกด้วยว่า ปริมาณการซื้อคืนหุ้นอาจพุ่งขึ้น 35% ในปีนี้ ทั้งนี้ การคาดการณ์ที่ว่าบริษัทอาจใช้จ่ายเงินจำนวนมากจะช่วยกระตุ้นให้นักลงทุนเข้าช้อนซื้อหุ้น เมื่อราคาหุ้นร่วงลงในอนาคต และปัจจัยนี้จะช่วยชะลอการดิ่งลงของตลาดหุ้นในอนาคต
นายไรอัน ดีทริค หัวหน้านักยุทธศาสตร์การลงทุนตลาดของบริษัทแอลพีแอล ไฟแนนเชียลระบุว่า สถิตินับตั้งแต่ปี 1950 เป็นต้นมาแสดงให้เห็นว่า ดัชนี S&P 500 มักจะย่อตัวลงครั้งละอย่างน้อย 5% เป็นจำนวนเฉลี่ย 3 ครั้งต่อปี แต่ดัชนียังไม่ได้ย่อตัวลงแบบนี้เลยแม้แต่ครั้งเดียวในปีนี้ ดังนั้นนักลงทุนบางรายจึงคาดว่าอาจจะเกิดการย่อตัวขึ้นได้ในอนาคต ทั้งนี้ บริษัทสหรัฐได้ประกาศว่าจะซื้อคืนหุ้นเป็นมูลค่า 3.50 แสนล้านดอลลาร์ในไตรมาส 2 ซึ่งถือว่าสูงที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาส 2/2018 หลังจากประกาศซื้อคืนหุ้น 2.75 แสนล้านดอลลาร์ในไตรมาสแรก ทางด้านปริมาณการจ่ายเงินปันผลของบริษัทในดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้น 3.6% สู่ 1.234 แสนล้านดอลลาร์ในไตรมาส 2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อน แต่ยังคงอยู่ห่างจากสถิติสูงสุดที่เคยทำไว้ในไตรมาสแรกของปี 2020
นักลงทุนจะจับตาดูแผนการใช้จ่ายของบริษัทต่าง ๆ เมื่อบริษัทสหรัฐเปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 2 ในช่วงนี้ โดยเฉพาะบริษัทแอปเปิล, อะเมซอน และไมโครซอฟท์ที่จะเปิดเผยผลประกอบการในสัปดาห์หน้า ทางด้านบริษัทพรูเดนเชียล ไฟแนนเชียล กับบริษัทออโตเนชันเพิ่งประกาศขยายโครงการซื้อคืนหุ้นในสัปดาห์นี้ ทั้งนี้ ธนาคารเจพี มอร์แกนระบุในสัปดาห์นี้ว่า ในบรรดาบริษัทกลุ่มต่าง ๆ ในสหรัฐนั้น กลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มการเงินถือเป็น 2 กลุ่มที่ประกาศซื้อคืนหุ้นมากที่สุดนับตั้งแต่ต้นปีนี้ ซึ่งรวมถึงบริษัทแอปเปิลที่เพิ่งปรับเพิ่มอำนาจในการซื้อคืนหุ้นขึ้นอีก 9.0 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนเม.ย.--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
ดัชนี Nasdaq ปิดลดลงในวันพฤหัสบดี เนื่องจากหุ้นแอปเปิล, อะเมซอนและหุ้นอื่นๆในกลุ่มบิ๊กเทคร่วงลง ขณะที่จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกที่ลดลงทำให้นักลงทุนมีความกังวลเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นในช่วงที่ผ่านมา
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวก 53.79 จุด หรือ 0.15% ที่ 34,987.02, ดัชนี S&P 500 ปิดลดลง 14.27 จุด หรือ 0.32% สู่ระดับ 4,360.03 และดัชนี Nasdaq ปิดลดลง 101.81 จุด หรือ 0.70% สู่ 14,543.13
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในดัชนี S&P 500 ปิดลดลง หลังจากพุ่งขึ้น 4 วันติดต่อกัน ซึ่งความต้องการหุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่มเติบโตของนักลงทุนในช่วงต้นสัปดาห์นี้ทำให้ดัชนี S&P 500 และดัชนี Nasdaq พุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ส่วนหุ้นกลุ่มพลังงานในดัชนี S&P 500 ปิดร่วงลงตามราคาน้ำมันดิบจากการคาดการณ์ว่า จะมีปริมาณการผลิตมากขึ้นหลังจากมีข้อตกลงประนีประนอมระหว่างผู้ผลิตชั้นนำในกลุ่มโอเปก
ข้อมูลที่ระบุว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 16 สัปดาห์ในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่การขาดแคลนแรงงาน และภาวะคอขวดในระบบห่วงโซ่อุปทานสร้างความยุ่งยากให้แก่ภาคธุรกิจในการเพิ่มการผลิตเพื่อตอบสนองความต้องการสินค้าและบริการ
นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวว่า เขาคาดว่า การขาดแคลนและภาวะเงินเฟ้อสูงจะบรรเทาลง แต่นักลงทุนหลายคนก็ยังคงกังวลว่า ภาวะเงินเฟ้อที่นานมากขึ้นอาจจะนำไปสู่การคุมเข้มนโยบายการเงินที่เร็วกว่าคาด--จบ--
(รอยเตอร์ โดย เสาวณีย์ เอกปัญญาชัย แปลและเรียบเรียง)
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
เครื่องมือออกแบบโปสเตอร์
โครงการพันธมิตร
ความเสี่ยงของการสูญเสียในการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น หุ้น FX สินค้าโภคภัณฑ์ ฟิวเจอร์ส พันธบัตร ETFs หรือเงินดิจิทัลอาจมีมาก คุณอาจสูญเสียเงินทุนทั้งหมดที่คุณฝากไว้กับโบรกเกอร์ของคุณ ดังนั้น คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบว่าการซื้อขายดังกล่าวเหมาะสมกับคุณหรือไม่ในสถานการณ์และทรัพยากรทางการเงินของคุณ
ไม่ควรตัดสินใจลงทุนโดยไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบสถานะอย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วยตัวเองหรือปรึกษากับที่ปรึกษาทางการเงินของคุณ เนื้อหาเว็บของเราอาจไม่เหมาะกับคุณเนื่องจากเราไม่ทราบเงื่อนไขทางการเงินและความต้องการในการลงทุนของคุณ ข้อมูลทางการเงินของเราอาจมีความล่าช้าหรือมีความไม่ถูกต้อง ดังนั้นคุณควรรับผิดชอบอย่างเต็มที่ต่อการตัดสินใจซื้อขายและการลงทุนของคุณ บริษัทจะไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียเงินทุนของคุณ
หากไม่ได้รับอนุญาตจากเว็บไซต์ คุณจะไม่สามารถคัดลอกกราฟิก ข้อความ หรือเครื่องหมายการค้าของเว็บไซต์ได้ สิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาในเนื้อหาหรือข้อมูลที่รวมอยู่ในเว็บไซต์นี้เป็นของผู้ให้บริการและผู้ค้าแลกเปลี่ยน
ไม่ได้ล็อกอิน
เข้าสู่ระบบเพื่อเข้าถึงฟังก์ชั่นเพิ่มเติม

สมาชิก FastBull
ยังไม่ได้เปิด
สมัคร
เข้าสู่ระบบ
ลงทะเบียน