ตลาด
ข่าวสาร
การวิเคราะห์
ผู้ใช้
24x7
ปฏิทินเศรษฐกิจ
แหล่งเรียนรู้
ข้อมูล
- ชื่อ
- ค่าล่าสุด
- ครั้งก่อน












สัญญาณ VIP
ทั้งหมด
ทั้งหมด



ฝรั่งเศส บัญชีเดินสะพัด (Not SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส ดุลการค้า (SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
อิตาลี ดัชนียอดค้าปลีก MoM (SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงาน YoY (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน GDP Final YoY (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน GDP Final QoQ (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงาน QoQ (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงานสุดท้าย (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
บราซิล PPI MoM (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
เม็กซิโก ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา อัตราการว่างงาน (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา อัตราการมีส่วนร่วมในการจ้างงาน (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงาน (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงานนอกเวลา (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงานเต็มเวลา (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา รายได้ส่วนบุคคล MoM (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคา PCE YoY (SA) (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคา PCE MoM (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา รายจ่ายส่วนบุคคล MoM(SA) (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาPCEหลักMoM (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาPCEหลักYoY (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา เงินเฟ้อเบื้องต้น UMich 5-YearYoY (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ค่าใช้จ่ายการบริโภคส่วนบุคคลที่จริง MoM (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การคาดการณ์เงินเฟ้อ 5-10 ปี (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีสถานภาพเบื้องต้น UMich ปัจจุบัน (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้น UMich (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อล่วงหน้า 1 ปี UMich (เบื้องต้น) (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีความคาดหวังผู้บริโภค UMich (เบื้องต้น) (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ปริมาณเครื่องเจาะทั้งหมดรายสัปดาห์ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ปริมาณเครื่องเจาะน้ำมันทั้งหมดรายสัปดาห์ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ต้นทุนแรงงานต่อหน่วยเบื้องต้น (SA) (ไตรมาส 3)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา สินเชื่ออุปโภคบริโภค (SA) (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ เงินตราที่ใช้เป็นทุนสำรอง (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ปริมาณการส่งออก YoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การนำเข้า YoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การนำเข้าYoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การนำเข้า (CNH) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ดุลการค้า (CNH) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การส่งออก (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น ค่าจ้าง MoM (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น ดุลการค้า (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น GDP Nominal แก้ไขQoQ (ไตรมาส 3)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น ดุลการค้า (SA)(ข้อมูลศุลกากร) (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น GDP ประจำปี (แก้ไข) QoQ (ไตรมาส 3)--
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ปริมาณการส่งออก YoY (CNH) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ดุลการค้า (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
เยอรมนี การผลิตภาคอุตสาหกรรม MoM(SA) (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน Sentix (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา อินดิเคเตอร์ชั้นนำ MoM (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา ดัชนีความเชื่อมั่นเศรษฐกิจแห่งชาติ--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาธนาคารกลางรัฐดัลลาส สหรัฐอเมริกา PCE YoY (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา อัตราผลตอบแทนการประมูลพันธบัตรรัฐบาล 3-ปี--
ค: --
ค: --
สหราชอาณาจักร ดัชนียอดค้าปลีกรวม BRC YoY (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
สหราชอาณาจักร ดัชนียอดค้าปลีก Like-For-Like BRC YoY (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
ออสเตรเลีย อัตราหลัก(ดอกเบี้ยเงินกู้)O/N--
ค: --
ค: --
คำแถลงอัตราของธนาคารกลางออสเตรเลีย
ประธานธนาคารกลางออสเตรเลีย Bullock จัดงานแถลงข่าวนโยบายการเงิน
เยอรมนี อัตราการส่งออก MoM (SA) (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีความเชื่อมั่นของธุรกิจขนาดเล็ก NFIB (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
เม็กซิโก CPI หลัก YoY (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
เม็กซิโก อัตราเงินเฟ้อ 12-เดือน (CPI) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --


ไม่มีข้อมูลที่ตรงกัน
ทัศนคติล่าสุด
ทัศนคติล่าสุด
หัวข้อยอดนิยม
คอลัมนิสต์ยอดนิยม
อัปเดตล่าสุด
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
ดูผลการค้นหาทั้งหมด

ไม่มีข้อมูล
นิวยอร์ค--5 ส.ค.--รอยเตอร์
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์และดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐปิดร่วงลงในวันพุธ หลังจากมีรายงานระบุว่า การจ้างงานในสหรัฐชะลอการเติบโตลงในเดือนก.ค. และหุ้นบริษัทเจเนอรัล มอเตอร์ส (GM) ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์ดิ่งลง 8.9% ซึ่งถือเป็นการดิ่งลงครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ต้นเดือนมี.ค. ในขณะที่บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ทั่วโลกเผชิญกับความไม่แน่นอนทั้งในด้านเทคโนโลยีและด้านเศรษฐกิจ ทางด้านหุ้นฟอร์ด มอเตอร์ซึ่งเป็นคู่แข่งของ GM รูดลง 5.0% ทั้งนี้ ตลาดหุ้นได้รับแรงกดดัน หลังจากบริษัทเอดีพีรายงานในวันพุธว่า การจ้างงานภาคเอกชนในสหรัฐเพิ่มขึ้นเพียง 330,000 ตำแหน่งในเดือนก.ค. ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ในโพลล์รอยเตอร์ที่ 695,000 ตำแหน่ง ในขณะที่การจ้างงานอาจได้รับแรงกดดันจากภาวะขาดแคลนวัตถุดิบและคนงาน
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดร่วงลง 0.92% สู่ 34,792.67, ดัชนี S&P 500 ปิดปรับลง 0.46% สู่ 4,402.66 แต่ดัชนี Nasdaq ปิดบวกขึ้น 0.13% สู่ 14,780.53 ทั้งนี้ หุ้น 9 กลุ่มจาก 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐปิดตลาดในแดนลบ ซึ่งรวมถึงหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมและหุ้นกลุ่มพลังงาน อย่างไรก็ดี ดัชนี Nasdaq ปิดตลาดในแดนบวก หลังจากสถาบันจัดการอุปทานของสหรัฐ (ISM) รายงานในวันพุธว่า ดัชนีกิจกรรมภาคบริการของสหรัฐพุ่งขึ้นจาก 60.1 ในเดือนมิ.ย. สู่ 64.1 ในเดือนก.ค. ซึ่งถือเป็นสถิติสูงสุดนับตั้งแต่เริ่มมีการจัดทำตัวเลขนี้ในปี 2008 เป็นต้นมา และอยู่สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ในโพลล์รอยเตอร์ที่ 60.5 โดยรายงานนี้บ่งชี้ว่า เศรษฐกิจสหรัฐในวงกว้างยังคงฟื้นตัวต่อไป
หลังจากดัชนี S&P 500 ปรับขึ้นมานาน 6 เดือนติดต่อกัน ดัชนีก็ได้รับแรงกดดันในเดือนส.ค.จากความกังวลเรื่องการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ และจากความกังวลเรื่องการพุ่งขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ โดยปัจจัยลบเหล่านี้บดบังแรงหนุนที่ดัชนีได้รับจากฤดูการรายงานผลประกอบการที่สดใส ทั้งนี้ นายริชาร์ด คลาริดา รองประธานกรรมการธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวในวันพุธว่า เศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มที่จะบรรลุเงื่อนไขด้านการจ้างงานและภาวะเงินเฟ้อก่อนสิ้นปี 2022 ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่เฟดตั้งไว้สำหรับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และสิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า เฟดน่าจะอยู่ในสถานะที่พร้อมสำหรับการเริ่มต้นปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี 2023
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีหรือกลุ่มบริษัทที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีพุ่งขึ้นในวันพุธ โดยหุ้นเน็ตฟลิกซ์ทะยานขึ้น 1.28% ส่วนหุ้นเฟซบุ๊กพุ่งขึ้น 2.19% อย่างไรก็ดี หุ้นคราฟท์ ไฮนซ์ซึ่งเป็นผู้ผลิตอาหารดิ่งลง 5.14% หลังจากคราฟท์ ไฮนซ์ประกาศเตือนว่า อัตราผลกำไรได้รับแรงกดดันจากการพุ่งขึ้นของราคาส่วนประกอบในอาหาร
หุ้นโรบินฮูด มาร์เก็ตส์ อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทผู้ให้บริการทางการเงินทางแอปพลิเคชันพุ่งขึ้น 50.4% และปรับขึ้นเป็นวันที่ 4 ติดต่อกัน โดยได้รับแรงหนุนจากนางแคธี วูด ผู้จัดการกองทุนชื่อดัง และจากเทรดเดอร์รายย่อย--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--2 ส.ค.--รอยเตอร์
นักวิเคราะห์ตลาดหุ้นสหรัฐระบุว่า การดีดขึ้นของผลกำไรภาคเอกชนและการดิ่งลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยิลด์) ในช่วงนี้ช่วยจำกัดมูลค่าหุ้นในตลาดหุ้นสหรัฐไม่ให้อยู่ในระดับที่แพงเกินไป และปัจจัยนี้ช่วยกระตุ้นให้นักลงทุนเข้าซื้อหุ้นสหรัฐต่อไป ถึงแม้ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐเคลื่อนตัวอยู่ใกล้สถิติสูงสุด และถึงแม้ตลาดหุ้นได้รับแรงกดดันจากการพุ่งขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ และจากการคาดการณ์ที่ว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะชะลอการเติบโตลง ทั้งนี้ ถึงแม้ดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐพุ่งขึ้นมาแล้วกว่า 17% จากช่วงต้นปีนี้ มูลค่าหุ้นสหรัฐกลับขยับลงนับตั้งแต่ช่วงต้นปีนี้ โดยค่าพีอีเรโชของหุ้นในดัชนี S&P 500 อยู่ที่ 21.4 เท่าของตัวเลขคาดการณ์ผลกำไรสำหรับช่วง 12 เดือนข้างหน้า โดยร่วงลงจาก 22.7 เท่าในเดือนม.ค. แต่ยังคงอยู่สูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 15.4 เท่า
นายปีเตอร์ ทูซ ประธานบริษัทเชส อินเวสท์เมนท์ เคาน์เซลกล่าวว่า "ผมคิดว่าตลาดหุ้นยังคงเป็นสถานที่ที่น่าลงทุน เพราะถึงแม้ว่ามูลค่าหุ้นอยู่ในระดับสูง ปัจจัยพื้นฐานของตลาดหุ้นก็ยังคงอยู่ในภาวะที่ดี นอกจากนี้ บริษัทส่วนใหญ่ก็มีผลประกอบการรายไตรมาสที่ดีมาก และมีแนวโน้มที่ดีมากด้วย" ทั้งนี้ นักลงทุนมุ่งความสนใจไปยังมูลค่าหุ้นในช่วงนี้ ในขณะที่นักลงทุนพยายามประเมินปัจจัยต่าง ๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อทิศทางตลาดในช่วงหลายเดือนข้างหน้า โดยปัจจัยเหล่านี้รวมถึงเศรษฐกิจสหรัฐที่มีแนวโน้มชะลอการเติบโตลง, การพุ่งขึ้นของยอดผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา และแผนการของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในการปรับลดขนาดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
นักลงทุนจะจับตาดูตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนก.ค.ที่รัฐบาลสหรัฐจะรายงานออกมาในวันศุกร์ที่ 6 ส.ค. และรอดูผลประกอบการที่บริษัทสหรัฐจะรายงานออกมาในสัปดาห์นี้ โดยเฉพาะผลประกอบการของบริษัทอีไล ลิลลี ซึ่งทำธุรกิจเวชภัณฑ์, ซีวีเอส เฮลธ์ ซึ่งทำธุรกิจประกันสุขภาพ และเจเนอรัล มอเตอร์ส (GM) ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์ โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์ในตอนนี้ว่า ผลกำไรของบริษัทในดัชนี S&P 500 อาจพุ่งขึ้น 87.2% ในไตรมาส 2 เมื่อเทียบรายปี โดยปรับขึ้นจากระดับ 65.4% ที่เคยคาดการณ์ไว้ในช่วงต้นเดือนก.ค. และการที่บริษัทสหรัฐรายงานผลกำไรที่สูงเกินคาดอย่างต่อเนื่องจะช่วยจำกัดมูลค่าหุ้นไม่ให้พุ่งสูงเกินไป ทั้งนี้ ธนาคารเครดิต สวิสคาดการณ์ว่า ดัชนี S&P 500 อาจจะปิดตลาดสิ้นปีนี้ที่ 4,600 โดยพุ่งขึ้นราว 4% จากระดับปิดวันพฤหัสบดีที่แล้วที่ 4,419.15 ส่วนธนาคารโกลด์แมน แซคส์ระบุว่า ทางธนาคารคาดว่าดัชนี S&P 500 อาจจะปิดตลาดสิ้นปีนี้ที่ 4,300 โดยตั้งอยู่บนสมมุติฐานที่ว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีอยู่ที่ 1.9% แต่ถ้าหากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอยู่ที่ 1.6% ระดับที่เหมาะสมของดัชนี S&P ก็จะพุ่งขึ้นสู่ 4,700 ในช่วงสิ้นปีนี้
นักลงทุนมองว่าหุ้นมีความน่าดึงดูดมากยิ่งขึ้น ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีดิ่งลงราว 0.55% จากระดับ 1.776% ในวันที่ 30 มี.ค. สู่ระดับ 1.226% ในช่วงท้ายวันศุกร์ที่ผ่านมา ทั้งนี้ สถาบันการลงทุนเวลส์ ฟาร์โกระบุว่า ค่าพรีเมียมความเสี่ยงของหุ้น ซึ่งเป็นส่วนต่างระหว่างอัตราผลตอบแทนจากผลกำไรของหุ้นกับอัตราดอกเบี้ยของพันธบัตร อยู่ในระดับที่สอดคล้องกับแนวโน้มในอดีตที่บ่งชี้ว่า ดัชนี S&P 500 จะพุ่งขึ้น 15.2% ในช่วง 12 เดือนข้างหน้า
นักลงทุนบางรายกังวลกับมูลค่าหุ้นที่อยู่ในระดับสูงในช่วงนี้ ในขณะที่ค่า CAPE ซึ่งเป็นค่าพีอีเรโชที่ปรับตามวัฏจักรเศรษฐกิจ ส่งสัญญาณเตือนออกมา โดยค่า CAPE ได้พุ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดในรอบกว่า 20 ปีในช่วงนี้ ทั้งนี้ นายแจ็ค เอบลิน หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของบริษัทเครสเซนท์ แคปิตัล แมเนจเมนท์กล่าวว่า การพุ่งขึ้นของค่า CAPE ถือเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ทางบริษัทตัดสินใจปรับลดการลงทุนในหุ้นโดยรวมลงในช่วงต้นปีนี้สำหรับพอร์ตลงทุนที่มีระยะเวลาการลงทุนอย่างน้อย 7 ปี และเขากล่าวเสริมว่า "มูลค่าหุ้นอยู่ในระดับที่สูงมาก ดังนั้นตลาดหุ้นจึงไม่ใช่สถานที่ที่น่าลงทุนมากนักในระยะยาว"--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--30 ก.ค.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดบวกขึ้นในวันพฤหัสบดี และดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์กับดัชนี S&P 500 ได้ขึ้นไปแตะสถิติสูงสุดใหม่ในระหว่างวัน โดยดัชนีได้รับแรงหนุนจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทสหรัฐ และจากรายงานคาดการณ์ในทางบวกของบริษัทสหรัฐ ในขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐแสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัวขึ้นในไตรมาส 2 จนกลับมาอยู่ในระดับเดียวกับในช่วงก่อนเกิดวิกฤติโรคระบาด ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า มูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) เติบโต 6.5% ในไตรมาส 2 เมื่อเทียบเป็นตัวเลขเต็มปี (annualised) แต่อัตราการเติบโตดังกล่าวอยู่ต่ำกว่าระดับ 8.5% ที่นักเศรษฐศาสตร์ในโพลล์รอยเตอร์คาดการณ์ไว้ อย่างไรก็ดี จีดีพีสหรัฐในตอนนี้ปรับขึ้นมาแล้ว 0.8% เมื่อเทียบกับระดับในไตรมาส 4/2019 และสิ่งนี้ส่งผลให้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจหลังภาวะถดถอยในครั้งนี้ถือเป็นการฟื้นตัวที่รวดเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐ โดยก่อนหน้านี้เศรษฐกิจสหรัฐเคยใช้เวลานานถึง 3 ปีครึ่งในการฟื้นตัวหลังเกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำในปี 2007-09
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวกขึ้น 0.44% สู่ 35,084.53, ดัชนี S&P 500 ปิดปรับขึ้น 0.42% สู่ 4,419.15 หลังจากพุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 4,429.97 ในระหว่างวัน และดัชนี Nasdaq ปิดขยับขึ้น 0.11% สู่ 14,778.26 ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มที่พุ่งขึ้นมากในวันพฤหัสบดีคือหุ้นกลุ่มที่มักปรับตัวตามภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งรวมถึงหุ้นกลุ่มการเงิน, กลุ่มวัสดุ และกลุ่มพลังงาน ทางด้านดัชนีหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์พุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่ในระหว่างวัน ก่อนจะปิดตลาดร่วงลง 0.2%
ตลาดหุ้นได้รับแรงหนุนจากผลประกอบการที่สดใสในภาคเอกชน โดยหุ้นฟอร์ด มอเตอร์ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์พุ่งขึ้น 3.8% หลังจากฟอร์ด มอเตอร์ปรับขึ้นตัวเลขคาดการณ์ผลกำไรสำหรับปีนี้ ส่วนหุ้นยัม แบรนด์ส อิงค์ ซึ่งเป็นเจ้าของเครือข่ายร้านอาหาร KFC ทะยานขึ้น 6.3% หลังจากยัม แบรนด์สเปิดเผยยอดขายรายไตรมาสที่สูงเกินคาด ทั้งนี้ บริษัทราวครึ่งหนึ่งในดัชนี S&P 500 เปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 2 ออกมาแล้ว และบริษัทเกือบ 91% ในกลุ่มนี้เปิดเผยผลกำไรที่ดีเกินคาด ในขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่า บริษัทในดัชนี S&P 500 อาจมีผลกำไรพุ่งขึ้น 87.2% ในไตรมาส 2 เมื่อเทียบรายปี
หุ้นเทสลา อิงค์ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าพุ่งขึ้น 4.7% และถือเป็นหุ้นที่ส่งแรงบวกต่อดัชนี S&P 500 มากที่สุด ในขณะที่หุ้นแอปเปิลปิดบวกขึ้น 0.46% ในวันพฤหัสบดี หลังจากร่วงลงในวันพุธ โดยหุ้นแอปเปิลถือเป็นหุ้นที่ส่งแรงบวกต่อดัชนี S&P 500 มากเป็นอันดับสอง ทั้งนี้ หุ้นเฟซบุ๊กดิ่งลง 4% ในวันพฤหัสบดี ในขณะที่เฟซบุ๊กประกาศเตือนว่า รายได้ของเฟซบุ๊กอาจจะชะลอการเติบโตลงอย่างรุนแรง หลังจากบริษัทแอปเปิล อิงค์ปรับปรุงระบบปฏิบัติการ iOS เพราะการปรับปรุงดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อความสามารถของเฟซบุ๊กในการตั้งเป้าหมายโฆษณาให้ตรงกับกลุ่มลูกค้า
นักวิเคราะห์บางรายระบุว่า ตัวเลขจีดีพีสหรัฐที่เติบโตต่ำเกินคาดอาจจะช่วยกระตุ้นให้นักลงทุนคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะยังคงดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายต่อไปเป็นเวลานาน ทั้งนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐเพิ่งได้รับแรงหนุนในวันพุธ หลังจากเฟดระบุว่า ขณะนี้ยังไม่ถึงเวลาที่เฟดจะเริ่มต้นปรับลดขนาดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--12 ก.ค.--รอยเตอร์
การดิ่งลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐในช่วงนี้ส่งผลให้นักลงทุนบางรายพยายามแสวงหาการลงทุนอื่น ๆ ที่ให้อัตราผลตอบแทนสูง ซึ่งรวมถึงหุ้นที่จ่ายเงินปันผล และพันธบัตรในประเทศตลาดเกิดใหม่ แต่การลงทุนในสินทรัพย์เหล่านี้ต้องแลกมาด้วยความเสี่ยงที่สูงกว่าการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ทั้งนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีอยู่ที่ 1.356% ในวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยดิ่งลงจากจุดสูงสุดของเดือนมี.ค.ที่ 1.77% หลังจากได้รับแรงกดดันจากปัจจัยหลายประการ โดยปัจจัยเหล่านี้รวมถึงการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) หันมาส่งสัญญาณแบบสายเหยี่ยวในช่วงกลางเดือนมิ.ย., ความต้องการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐจากนักลงทุนในประเทศที่พันธบัตรให้อัตราผลตอบแทนติดลบ และการที่นักลงทุนเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐเพื่อชดเชยการทำชอร์ตเซลที่เคยทำไว้เป็นจำนวนมากในช่วงก่อนหน้านี้
นายเอ็ด อัล-ฮุสเซนี นักวิเคราะห์สกุลเงินและอัตราดอกเบี้ยของบริษัทโคลัมเบีย เธรดนีดเดิลกล่าวว่า "ในมุมมองของเรานั้น เราเข้าไปลงทุนในสินทรัพย์อื่น ๆ เพราะเราไม่คาดว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐจะดีดขึ้นในเร็ว ๆ นี้" โดยนายอัล-ฮุสเซนีมุ่งความสนใจไปยังหลักทรัพย์ที่ได้รับการค้ำประกันจากสัญญาจำนอง (MBS) เนื่องจากเขาคาดว่า ภาคครัวเรือนสหรัฐจะมีฐานะการเงินที่ดีหลังผ่านพ้นวิกฤติโรคระบาด ทั้งนี้ กองทุน ETF "iShares MBS" ที่ถือครอง MBS ให้อัตราผลตอบแทน 1.88% ในวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยมีกำหนดไถ่ถอนเฉลี่ย 4.9 ปี
นายดอน เอลเลนเบอร์เกอร์ ผู้จัดการพอร์ตลงทุนของบริษัทเฟเดอเรเท็ด เฮอร์มีส เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตราสารหนี้ตลาดเกิดใหม่ในช่วงนี้ โดยเขาคาดว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐจะยังคงอยู่ในระดับต่ำต่อไป ในขณะที่นักลงทุนไม่แน่ใจว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปล่อยให้อัตราเงินเฟ้อพุ่งขึ้นได้สูงถึงระดับใด หลังจากราคาผู้บริโภคทะยานขึ้นในระยะนี้ นอกจากนี้ เขายังกล่าวอีกด้วยว่า "ตลาดสหรัฐปรับตัวไม่สอดคล้องกันในช่วงนี้ เพราะตลาดหุ้นส่งสัญญาณว่า เศรษฐกิจจะยังคงอยู่ในระดับแข็งแกร่งต่อไป แต่ตลาดพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐส่งสัญญาณว่า เศรษฐกิจจะชะลอการเติบโต" และเขายังคาดการณ์อีกด้วยว่า การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในวงกว้างจะช่วยหนุนประเทศตลาดเกิดใหม่ โดยเฉพาะประเทศผู้ผลิตสินค้าโภคภัณฑ์ ทั้งนี้ กองทุน ETF iShares JP Morgan ที่ลงทุนในตราสารหนี้ตลาดเกิดใหม่ในรูปดอลลาร์สหรัฐ ให้อัตราผลตอบแทนราว 3.85% ในวันศุกร์ที่ผ่านมา และกองทุนแห่งนี้มีสินทรัพย์พุ่งขึ้นเกือบ 430 ล้านดอลลาร์ในช่วงสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 7 ก.ค. ซึ่งถือเป็นการพุ่งขึ้นครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ต้นเดือนเม.ย.
นายเอียน ลินเจน จากแผนกแผนยุทธศาสตร์การลงทุนตราสารหนี้ของบริษัทบีเอ็มโอ แคปิตัล มาร์เก็ตส์กล่าวว่า นักลงทุนไม่ควรจะคาดการณ์ว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐจะดีดขึ้นอย่างรวดเร็วในปีนี้ และเขากล่าวเสริมว่า "ราคาพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐได้รับแรงหนุนในช่วงที่ผ่านมาจากความเป็นจริงด้านโรคระบาดที่ยังคงดำเนินต่อไป ซึ่งรวมถึงความกังวลที่เพิ่มมากขึ้นในเรื่องที่ประชาชนไม่ยอมฉีดวัคซีน และความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์เดลตา"
นางเมโลดี ไบรอันท์ ผู้จัดการพอร์ตลงทุนของกองทุนกาเบลลี แอสเซทกล่าวว่า การดิ่งลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐส่งผลให้หุ้นที่จ่ายเงินปันผลมีความน่าดึงดูดมากยิ่งขึ้น และเธอยังคงคาดการณ์ในทางบวกต่อหุ้นที่จ่ายเงินปันผล อย่างเช่นหุ้นบริษัทเดียร์ แอนด์ โค ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตเครื่องจักรทางการเกษตรที่ปรับเพิ่มเงินปันผลทุกปีในช่วง 25 ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี เธอได้เพิ่มการลงทุนในหุ้นกลุ่มเติบโตบางตัวในช่วงนี้ด้วย ซึ่งรวมถึงหุ้นบริษัทเซลส์ฟอร์ซดอทคอม อิงค์ ที่ทำธุรกิจซอฟต์แวร์ เนื่องจากเธอคาดว่าอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำจะส่งผลให้หุ้นเติบโตมีความน่าดึงดูดมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ นางไบรอันท์กล่าวว่า "เราเพิ่งผ่านพ้นช่วงเวลาที่กำไรจากการขายทรัพย์สินถือเป็นปัจจัยที่ใหญ่ที่สุดที่ช่วยหนุนผลตอบแทนจากการลงทุน และในตอนนี้เราก็กำลังเข้าสู่ช่วงเวลาใหม่ ซึ่งเป็นช่วงที่เงินปันผลจะกลายมาเป็นปัจจัยหลัก"--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
เครื่องมือออกแบบโปสเตอร์
โครงการพันธมิตร
ความเสี่ยงของการสูญเสียในการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น หุ้น FX สินค้าโภคภัณฑ์ ฟิวเจอร์ส พันธบัตร ETFs หรือเงินดิจิทัลอาจมีมาก คุณอาจสูญเสียเงินทุนทั้งหมดที่คุณฝากไว้กับโบรกเกอร์ของคุณ ดังนั้น คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบว่าการซื้อขายดังกล่าวเหมาะสมกับคุณหรือไม่ในสถานการณ์และทรัพยากรทางการเงินของคุณ
ไม่ควรตัดสินใจลงทุนโดยไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบสถานะอย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วยตัวเองหรือปรึกษากับที่ปรึกษาทางการเงินของคุณ เนื้อหาเว็บของเราอาจไม่เหมาะกับคุณเนื่องจากเราไม่ทราบเงื่อนไขทางการเงินและความต้องการในการลงทุนของคุณ ข้อมูลทางการเงินของเราอาจมีความล่าช้าหรือมีความไม่ถูกต้อง ดังนั้นคุณควรรับผิดชอบอย่างเต็มที่ต่อการตัดสินใจซื้อขายและการลงทุนของคุณ บริษัทจะไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียเงินทุนของคุณ
หากไม่ได้รับอนุญาตจากเว็บไซต์ คุณจะไม่สามารถคัดลอกกราฟิก ข้อความ หรือเครื่องหมายการค้าของเว็บไซต์ได้ สิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาในเนื้อหาหรือข้อมูลที่รวมอยู่ในเว็บไซต์นี้เป็นของผู้ให้บริการและผู้ค้าแลกเปลี่ยน
ไม่ได้ล็อกอิน
เข้าสู่ระบบเพื่อเข้าถึงฟังก์ชั่นเพิ่มเติม

สมาชิก FastBull
ยังไม่ได้เปิด
สมัคร
เข้าสู่ระบบ
ลงทะเบียน