ตลาด
ข่าวสาร
การวิเคราะห์
ผู้ใช้
24x7
ปฏิทินเศรษฐกิจ
แหล่งเรียนรู้
ข้อมูล
- ชื่อ
- ค่าล่าสุด
- ครั้งก่อน












สัญญาณ VIP
ทั้งหมด
ทั้งหมด



สหราชอาณาจักร ดัชนีราคาที่อยู่อาศัย Halifax YoY (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส บัญชีเดินสะพัด (Not SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส ดุลการค้า (SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส การผลิตภาคอุตสาหกรรม MoM(SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
อิตาลี ดัชนียอดค้าปลีก MoM (SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงาน YoY (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน GDP Final YoY (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน GDP Final QoQ (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงาน QoQ (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงานสุดท้าย (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
บราซิล PPI MoM (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
เม็กซิโก ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา อัตราการว่างงาน (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา อัตราการมีส่วนร่วมในการจ้างงาน (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงาน (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงานนอกเวลา (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงานเต็มเวลา (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา รายได้ส่วนบุคคล MoM (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคา PCE YoY (SA) (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคา PCE MoM (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา รายจ่ายส่วนบุคคล MoM(SA) (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาPCEหลักMoM (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาPCEหลักYoY (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา เงินเฟ้อเบื้องต้น UMich 5-YearYoY (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ค่าใช้จ่ายการบริโภคส่วนบุคคลที่จริง MoM (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การคาดการณ์เงินเฟ้อ 5-10 ปี (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีสถานภาพเบื้องต้น UMich ปัจจุบัน (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้น UMich (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อล่วงหน้า 1 ปี UMich (เบื้องต้น) (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีความคาดหวังผู้บริโภค UMich (เบื้องต้น) (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ปริมาณเครื่องเจาะทั้งหมดรายสัปดาห์--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ปริมาณเครื่องเจาะน้ำมันทั้งหมดรายสัปดาห์--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา สินเชื่ออุปโภคบริโภค (SA) (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ เงินตราที่ใช้เป็นทุนสำรอง (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ปริมาณการส่งออก YoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การนำเข้า YoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การนำเข้าYoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การนำเข้า (CNH) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ดุลการค้า (CNH) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การส่งออก (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น ค่าจ้าง MoM (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น ดุลการค้า (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น GDPที่แท้จริง QoQ (ไตรมาส 3)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น GDP Nominal แก้ไขQoQ (ไตรมาส 3)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น ดุลการค้า (SA)(ข้อมูลศุลกากร) (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น GDP ประจำปี (แก้ไข) QoQ (ไตรมาส 3)--
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ปริมาณการส่งออก YoY (CNH) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ดุลการค้า (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --


ไม่มีข้อมูลที่ตรงกัน
ทัศนคติล่าสุด
ทัศนคติล่าสุด
หัวข้อยอดนิยม
คอลัมนิสต์ยอดนิยม
อัปเดตล่าสุด
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
ดูผลการค้นหาทั้งหมด

ไม่มีข้อมูล
นิวยอร์ค--11 ส.ค.--รอยเตอร์
นักลงทุนกำลังมองหาหุ้นที่จะได้รับประโยชน์จากการที่รัฐบาลสหรัฐปรับเพิ่มงบประมาณด้านโครงสร้างพื้นฐานครั้งใหญ่ หลังจากวุฒิสภาสหรัฐผ่านร่างกฎหมายโครงสร้างพื้นฐานขนาด 1 ล้านล้านดอลลาร์ในวันอังคารด้วยคะแนนโหวต 69-30 เสียง และร่างกฎหมายดังกล่าวจะเข้าสู่การพิจารณาในสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐในขั้นตอนต่อไป โดยร่างกฎหมายนี้จะส่งผลให้สหรัฐลงทุนเป็นเงินจำนวนมากที่สุดในรอบหลายสิบปีในโครงการด้านถนน, สะพาน, ท่าอากาศยาน และการขนส่งทางน้ำ ทั้งนี้ ผู้จัดการกองทุนได้เข้าซื้อหุ้นบริษัทต่าง ๆ ที่จะได้รับประโยชน์จากงบประมาณด้านโครงสร้างพื้นฐานในช่วงที่ผ่านมา และปัจจัยนี้ก็มีส่วนช่วยหนุนให้หุ้นกลุ่มวัสดุกับหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมของสหรัฐพุ่งขึ้นมาแล้วราว 18% จากช่วงต้นปีนี้ ซึ่งใกล้เคียงกับการทะยานขึ้นของดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐ อย่างไรก็ดี ผู้จัดการกองทุนบางรายพยายามมองหาหุ้นตัวอื่น ๆ ที่มีมูลค่าต่ำเกินไป และมุ่งความสนใจไปยังทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) บางแห่งด้วย
นักลงทุนกำลังกระจายพอร์ตการลงทุนในช่วงนี้ ในขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐยังคงปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และดัชนี S&P 500 เพิ่งพุ่งขึ้นแตะสถิติสูงสุดใหม่ในวันอังคาร ถึงแม้ตลาดหุ้นได้รับแรงกดดันจากปัจจัยหลายประการด้วยกันในช่วงนี้ โดยปัจจัยลบเหล่านี้รวมถึงมูลค่าหุ้นที่ระดับสูง, การพุ่งขึ้นของยอดผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา และการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีแนวโน้มที่จะปรับลดขนาดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจลงในเร็ว ๆ นี้ ทั้งนี้ ดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้นมาแล้วราว 2 เท่าจากจุดต่ำสุดของเดือนมี.ค. 2020 โดยพุ่งขึ้นจากระดับ 2,191.86 ในเดือนมี.ค.2020 สู่สถิติสูงสุดใหม่ที่ 4,445.21 ในวันอังคาร ในขณะที่ค่าพีอีเรโชของดัชนี S&P 500 อยู่ที่ 21.3 เท่าของคาดการณ์ผลกำไรช่วง 12 เดือนข้างหน้า ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 15.4 เท่าเป็นอย่างมาก
นายสก็อตต์ เฮลฟ์สไตน์ หัวหน้าฝ่ายการลงทุนตามแนวโน้มในบริษัทโพรแชร์สกล่าวว่า บริษัทของเขาได้เพิ่มการลงทุนใน REIT ที่เป็นเจ้าของท่าเรือและหอส่งสัญญาณโทรศัพท์มือถือ อย่างเช่น บริษัทคราวน์ คาสเซิล อินเตอร์เนชั่นแนล คอร์ป เพราะเขาเชื่อว่าบริษัทกลุ่มนี้จะได้รับประโยชน์จากกฎหมายโครงสร้างพื้นฐาน โดยหุ้นคราวน์ คาสเซิลพุ่งขึ้นมาแล้วเกือบ 20% จากช่วงต้นปีนี้ ในขณะที่ดัชนี S&P U.S. Real Estate REIT ทะยานขึ้นมาแล้วราว 25% จากช่วงต้นปีนี้ นอกจากนี้ นายเฮฟสไตน์ได้ซื้อหุ้นในบริษัทก๊าซธรรมชาติด้วย ซึ่งรวมถึงบริษัทวิลเลียมส์ คอมปานีส์ อิงค์
นายจอห์น โมว์รีย์ หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของบริษัทเอ็นเอฟเจ อินเวสท์เมนท์ กรุ๊ปได้ปรับเพิ่มการถือหุ้นในบริษัทนอร์โฟล์ค เซาเธิร์น คอร์ป ซึ่งเป็นผู้ประกอบการทางรถไฟ เนื่องจากเขาคาดว่ารายได้ของนอร์โฟล์คจะได้รับแรงหนุนเป็นอย่างมาก เมื่อมีการขนส่งวัสดุก่อสร้างทั่วสหรัฐในอนาคต โดยหุ้นนอร์โฟล์คปรับขึ้นราว 9% จากช่วงต้นปีนี้ ส่วนค่าพีอีเรโชของหุ้นนอร์โฟล์คเคลื่อนตัวอยู่ใกล้จุดต่ำสุดรอบ 52 สัปดาห์ นอกจากนี้ นายโมว์รีย์ก็ได้เข้าซื้อหุ้นบริษัทอเมริกัน วอเตอร์ เวิร์คส์ คอมปานี อิงค์ในกลุ่มสาธารณูปโภคด้วย เนื่องจากเขาคาดว่าบริษัทนี้จะได้รับประโยชน์จากร่างกฎหมายโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งนี้ เขากล่าวว่า "บริษัทเหล่านี้มีโอกาสที่จะปรับปรุงระบบของตนเองให้ดีขึ้นโดยใช้เงินจากภาครัฐบาล แทนที่จะต้องใช้เงินจากภายในบริษัทเอง"
นักลงทุนได้เข้าซื้อกองทุน ETF ที่ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้วย โดยกองทุน iShares U.S. Infrastructure Exchange Traded Fund มีเงินลงทุนไหลเข้าเป็นจำนวน 5 สัปดาห์ในช่วง 6 สัปดาห์ที่ผ่านมา และมีเงินไหลเข้าสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 51 ล้านดอลลาร์ในช่วงสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 7 ก.ค. ทั้งนี้ นายแบร์รี เจมส์ ผู้จัดการกองทุนเจมส์ แอดเวนเทจ ฟันด์ระบุว่า เขาได้ปรับเพิ่มสถานะการลงทุนในบริษัทเฟดเอ็กซ์ คอร์ป และในบริษัทกลุ่มพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ อย่างเช่นอะเมซอนดอทคอม เนื่องจากเขาคาดว่าร่างกฎหมายโครงสร้างพื้นฐานจะช่วยลดเวลาในการขนส่งสินค้าทางถนนลงได้--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--11 ส.ค.--รอยเตอร์
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์และดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐปรับขึ้นมาปิดตลาดที่สถิติระดับปิดสูงสุดใหม่ในวันอังคาร ในขณะที่หุ้นกลุ่มวัฏจักรเศรษฐกิจพุ่งขึ้น โดยได้รับแรงหนุนจากข่าวที่ว่าวุฒิสภาสหรัฐผ่านร่างกฎหมายโครงสร้างพื้นฐานขนาด 1 ล้านล้านดอลลาร์แล้ว โดยร่างกฎหมายดังกล่าวจะเข้าสู่การพิจารณาในสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐในขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ ร่างกฎหมายนี้จะส่งผลให้สหรัฐลงทุนเป็นเงินจำนวนมากที่สุดในรอบหลายสิบปีในโครงการด้านถนน, สะพาน, ท่าอากาศยาน และการขนส่งทางน้ำ และในตอนนี้วุฒิสภาสหรัฐได้เริ่มต้นการอภิปรายเรื่องร่างกฎหมายงบใช้จ่ายขนาด 3.5 ล้านล้านดอลลาร์แล้วด้วย โดยร่างกฎหมายฉบับที่สองนี้จะเน้นการลงทุนในประเด็นที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดนให้ความสำคัญ ซึ่งได้แก่ประเด็นเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ, การให้การศึกษาถ้วนหน้าระดับอนุบาล และที่อยู่อาศัยราคาถูก โดยพรรคเดโมแครตวางแผนว่าจะผ่านร่างกฎหมายขนาด 3.5 ล้านล้านดอลลาร์นี้โดยไม่พึ่งเสียงโหวตจากพรรครีพับลิกัน
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวกขึ้น 0.46% สู่ 35,264.67, ดัชนี S&P 500 ปิดปรับขึ้น 0.10% สู่ 4,436.75 หลังจากพุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 4,445.21 ในระหว่างวัน แต่ดัชนี Nasdaq ปิดร่วงลง 0.49% สู่ 14,788.09 ทั้งนี้ กองทุน ETF ที่ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของสหรัฐพุ่งขึ้น โดยกองทุน iShares US Infrastructure ETF ทะยานขึ้น 1.45% และกองทุน Global X US Infrastructure Development ETF พุ่งขึ้น 2.19%
หุ้นกลุ่มพลังงาน, กลุ่มอุตสาหกรรม และกลุ่มวัสดุพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในวันอังคาร เนื่องจากหุ้น 3 กลุ่มนี้มักจะได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ในขณะที่หุ้นบริษัทที่มีแนวโน้มว่าจะได้รับแรงหนุนจากโครงการด้านโครงสร้างพื้นฐานทะยานขึ้นด้วยเช่นกัน โดยหุ้นบริษัทแคเทอร์พิลลาร์, วัลแคน แมทีเรียลส์ และเดียร์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องจักรก่อสร้างพุ่งขึ้นราว 2% ในวันอังคาร ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มพลังงานได้รับแรงหนุนจากราคาน้ำมันดิบที่ทะยานขึ้น 2.7% ในวันอังคารด้วย
นักลงทุนกังวลกับการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์เดลตาในช่วงนี้ ในขณะที่ยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่ในสหรัฐและยอดผู้ป่วยที่เข้าโรงพยาบาลพุ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดรอบ 6 เดือน โดยยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่ในสหรัฐอยู่ที่ระดับราว 100,000 รายต่อวันมาเป็นเวลานาน 3 วันติดต่อกัน โดยพุ่งขึ้น 35% จากเมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อน
นักลงทุนจะรอดูตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐที่จะได้รับการรายงานออกมาในสัปดาห์นี้ เพื่อใช้ในการประเมินว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับนโยบายการเงินอย่างไรในอนาคต หลังจากนายราฟาเอล บอสติก ประธานเฟดสาขาแอตแลนตา และนายทอม บาร์คินประธานเฟดสาขาริชมอนด์กล่าวในวันจันทร์ว่า พวกเขาเชื่อว่าอัตราเงินเฟ้อในสหรัฐบรรลุเกณฑ์เป้าหมายอัตราเงินเฟ้อ 2% ของเฟดแล้ว ซึ่งถือเป็นหนึ่งในสองเงื่อนไขที่เฟดตั้งไว้สำหรับใช้ในการพิจารณาเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--9 ส.ค.--รอยเตอร์
นักวิเคราะห์ระบุว่า ตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐที่พุ่งสูงเกินคาดในเดือนก.ค.ได้ช่วยสนับสนุนการคาดการณ์ที่ว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอาจจะทะยานขึ้นในช่วงต่อไปในปีนี้ และปัจจัยดังกล่าวอาจจะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นสหรัฐ หลังจากดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐพุ่งขึ้นสู่สถิติสูงสุดใหม่ในช่วงนี้ ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานในวันศุกร์ว่า การจ้างงานนอกภาคเกษตรในสหรัฐพุ่งขึ้น 943,000 ตำแหน่งในเดือนก.ค. ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ในโพลล์รอยเตอร์ที่ 870,000 ตำแหน่ง โดยตัวเลขดังกล่าวส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปี (ซึ่งปรับตัวสวนทางกับราคาพันธบัตร) ทะยานขึ้นแตะ 1.3053% ในวันศุกร์ ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 23 ก.ค.
นักลงทุนบางรายคาดว่า ตัวเลขการจ้างงานที่แข็งแกร่งจะช่วยกระตุ้นให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับลดขนาดมาตรการเข้าซื้อตราสารหนี้ลงในเวลาที่รวดเร็วเกินคาด และปัจจัยดังกล่าวอาจจะส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยิลด์) พุ่งสูงขึ้น และกดดันหุ้นเติบโตให้ร่วงลง อย่างไรก็ดี นักลงทุนยังไม่แน่ใจมากนักในเรื่องนี้ เพราะเศรษฐกิจสหรัฐกำลังเผชิญแรงกดดันจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์เดลตา และเฟดยืนยันว่า อัตราเงินเฟ้อในสหรัฐพุ่งขึ้นเพียงชั่วคราวเท่านั้น ทั้งนี้ นักลงทุนคาดว่า ถ้าหากกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานตัวเลขการจ้างงานประจำเดือนส.ค.ที่แข็งแกร่งมากออกมาในช่วงต้นเดือนก.ย. ปัจจัยดังกล่าวก็อาจจะช่วยสนับสนุนให้เฟดประกาศโครงร่างแผนการปรับลดขนาดมาตรการเข้าซื้อตราสารหนี้รายเดือนลงจากระดับ 1.20 แสนล้านดอลลาร์ต่อเดือนในการประชุมกำหนดนโยบายในวันที่ 21-22 ก.ย.
ถ้าหากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐพุ่งสูงขึ้น ปัจจัยดังกล่าวก็อาจจะส่งผลลบต่อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและหุ้นเติบโต เพราะว่าการพุ่งขึ้นของอัตราดอกเบี้ยส่งผลลบต่อมูลค่ากระแสเงินสดในระยะยาว ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่หนุนหุ้นเติบโต ทั้งนี้ หุ้นเติบโตพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งนับตั้งแต่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรเริ่มร่วงลงในเดือนมี.ค.เป็นต้นมา โดยดัชนี Russell 1000 สำหรับหุ้นเติบโตพุ่งขึ้นมาแล้ว 18% นับตั้งแต่ปลายเดือนมี.ค. ในขณะที่ดัชนีหุ้นคุณค่าปรับขึ้นเพียง 6% ในช่วงเวลาเดียวกัน นอกจากนี้ การพุ่งขึ้นของหุ้นเติบโตและหุ้นเทคโนโลยีก็มีส่วนสำคัญในการช่วยหนุนดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐให้พุ่งขึ้นแตะสถิติสูงสุดใหม่ในช่วงนี้ด้วย เนื่องจากบริษัทกลุ่มนี้ครองน้ำหนักมากในตลาด โดยบริษัทสำคัญ 5 แห่งในกลุ่มเทคโนโลยีหรือกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี ซึ่งได้แก่บริษัทแอปเปิล, ไมโครซอฟท์, อะเมซอน, แอลฟาเบท และเฟซบุ๊ก ครองน้ำหนักรวมกันสูงกว่า 22% ของดัชนี S&P 500
การพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอาจจะส่งผลบวกต่อหุ้นคุณค่า ซึ่งครอบคลุมหุ้นกลุ่มธนาคาร, กลุ่มพลังงาน และกลุ่มอื่น ๆ ที่ปรับตัวตามวัฏจักรเศรษฐกิจ อย่างไรก็ดี ตัวเลขเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งในสหรัฐอาจจะส่งผลให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ซึ่งจะสร้างความเสียหายต่อผู้ส่งออกของสหรัฐ รวมทั้งส่งผลลบต่องบดุลของบริษัทข้ามชาติของสหรัฐด้วย เพราะบริษัทเหล่านี้จำเป็นต้องแปลงผลกำไรในรูปสกุลเงินต่างชาติกลับมาเป็นดอลลาร์
ธนาคารโกลด์แมน แซคส์, แบงก์ ออฟ อเมริกา โกลบัล รีเสิร์ช และบริษัทแบล็คร็อคคาดการณ์ว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐอาจจะพุ่งขึ้นสู่ระดับใกล้ 2% ก่อนสิ้นปีนี้ อย่างไรก็ดี ธนาคาร HSBC คาดว่า บอนด์ยิลด์อาจจะร่วงลงจากระดับปัจจุบัน ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ของบริษัทแคปิตัล อิโคโนมิคส์ระบุในวันศุกร์ว่า "เราคาดว่าการฟื้นตัวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐระยะยาวในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา จะยังคงดำเนินต่อไป" และระบุเสริมว่า "เราคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งในช่วง 2-3 ไตรมาสข้างหน้า และอัตราเงินเฟ้อจะพุ่งขึ้นเป็นเวลานานกว่าที่คนส่วนใหญ่ได้คาดการณ์ไว้"--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--2 ส.ค.--รอยเตอร์
นักวิเคราะห์ตลาดหุ้นสหรัฐระบุว่า การดีดขึ้นของผลกำไรภาคเอกชนและการดิ่งลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยิลด์) ในช่วงนี้ช่วยจำกัดมูลค่าหุ้นในตลาดหุ้นสหรัฐไม่ให้อยู่ในระดับที่แพงเกินไป และปัจจัยนี้ช่วยกระตุ้นให้นักลงทุนเข้าซื้อหุ้นสหรัฐต่อไป ถึงแม้ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐเคลื่อนตัวอยู่ใกล้สถิติสูงสุด และถึงแม้ตลาดหุ้นได้รับแรงกดดันจากการพุ่งขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ และจากการคาดการณ์ที่ว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะชะลอการเติบโตลง ทั้งนี้ ถึงแม้ดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐพุ่งขึ้นมาแล้วกว่า 17% จากช่วงต้นปีนี้ มูลค่าหุ้นสหรัฐกลับขยับลงนับตั้งแต่ช่วงต้นปีนี้ โดยค่าพีอีเรโชของหุ้นในดัชนี S&P 500 อยู่ที่ 21.4 เท่าของตัวเลขคาดการณ์ผลกำไรสำหรับช่วง 12 เดือนข้างหน้า โดยร่วงลงจาก 22.7 เท่าในเดือนม.ค. แต่ยังคงอยู่สูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 15.4 เท่า
นายปีเตอร์ ทูซ ประธานบริษัทเชส อินเวสท์เมนท์ เคาน์เซลกล่าวว่า "ผมคิดว่าตลาดหุ้นยังคงเป็นสถานที่ที่น่าลงทุน เพราะถึงแม้ว่ามูลค่าหุ้นอยู่ในระดับสูง ปัจจัยพื้นฐานของตลาดหุ้นก็ยังคงอยู่ในภาวะที่ดี นอกจากนี้ บริษัทส่วนใหญ่ก็มีผลประกอบการรายไตรมาสที่ดีมาก และมีแนวโน้มที่ดีมากด้วย" ทั้งนี้ นักลงทุนมุ่งความสนใจไปยังมูลค่าหุ้นในช่วงนี้ ในขณะที่นักลงทุนพยายามประเมินปัจจัยต่าง ๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อทิศทางตลาดในช่วงหลายเดือนข้างหน้า โดยปัจจัยเหล่านี้รวมถึงเศรษฐกิจสหรัฐที่มีแนวโน้มชะลอการเติบโตลง, การพุ่งขึ้นของยอดผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา และแผนการของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในการปรับลดขนาดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
นักลงทุนจะจับตาดูตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนก.ค.ที่รัฐบาลสหรัฐจะรายงานออกมาในวันศุกร์ที่ 6 ส.ค. และรอดูผลประกอบการที่บริษัทสหรัฐจะรายงานออกมาในสัปดาห์นี้ โดยเฉพาะผลประกอบการของบริษัทอีไล ลิลลี ซึ่งทำธุรกิจเวชภัณฑ์, ซีวีเอส เฮลธ์ ซึ่งทำธุรกิจประกันสุขภาพ และเจเนอรัล มอเตอร์ส (GM) ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์ โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์ในตอนนี้ว่า ผลกำไรของบริษัทในดัชนี S&P 500 อาจพุ่งขึ้น 87.2% ในไตรมาส 2 เมื่อเทียบรายปี โดยปรับขึ้นจากระดับ 65.4% ที่เคยคาดการณ์ไว้ในช่วงต้นเดือนก.ค. และการที่บริษัทสหรัฐรายงานผลกำไรที่สูงเกินคาดอย่างต่อเนื่องจะช่วยจำกัดมูลค่าหุ้นไม่ให้พุ่งสูงเกินไป ทั้งนี้ ธนาคารเครดิต สวิสคาดการณ์ว่า ดัชนี S&P 500 อาจจะปิดตลาดสิ้นปีนี้ที่ 4,600 โดยพุ่งขึ้นราว 4% จากระดับปิดวันพฤหัสบดีที่แล้วที่ 4,419.15 ส่วนธนาคารโกลด์แมน แซคส์ระบุว่า ทางธนาคารคาดว่าดัชนี S&P 500 อาจจะปิดตลาดสิ้นปีนี้ที่ 4,300 โดยตั้งอยู่บนสมมุติฐานที่ว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีอยู่ที่ 1.9% แต่ถ้าหากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอยู่ที่ 1.6% ระดับที่เหมาะสมของดัชนี S&P ก็จะพุ่งขึ้นสู่ 4,700 ในช่วงสิ้นปีนี้
นักลงทุนมองว่าหุ้นมีความน่าดึงดูดมากยิ่งขึ้น ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีดิ่งลงราว 0.55% จากระดับ 1.776% ในวันที่ 30 มี.ค. สู่ระดับ 1.226% ในช่วงท้ายวันศุกร์ที่ผ่านมา ทั้งนี้ สถาบันการลงทุนเวลส์ ฟาร์โกระบุว่า ค่าพรีเมียมความเสี่ยงของหุ้น ซึ่งเป็นส่วนต่างระหว่างอัตราผลตอบแทนจากผลกำไรของหุ้นกับอัตราดอกเบี้ยของพันธบัตร อยู่ในระดับที่สอดคล้องกับแนวโน้มในอดีตที่บ่งชี้ว่า ดัชนี S&P 500 จะพุ่งขึ้น 15.2% ในช่วง 12 เดือนข้างหน้า
นักลงทุนบางรายกังวลกับมูลค่าหุ้นที่อยู่ในระดับสูงในช่วงนี้ ในขณะที่ค่า CAPE ซึ่งเป็นค่าพีอีเรโชที่ปรับตามวัฏจักรเศรษฐกิจ ส่งสัญญาณเตือนออกมา โดยค่า CAPE ได้พุ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดในรอบกว่า 20 ปีในช่วงนี้ ทั้งนี้ นายแจ็ค เอบลิน หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของบริษัทเครสเซนท์ แคปิตัล แมเนจเมนท์กล่าวว่า การพุ่งขึ้นของค่า CAPE ถือเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ทางบริษัทตัดสินใจปรับลดการลงทุนในหุ้นโดยรวมลงในช่วงต้นปีนี้สำหรับพอร์ตลงทุนที่มีระยะเวลาการลงทุนอย่างน้อย 7 ปี และเขากล่าวเสริมว่า "มูลค่าหุ้นอยู่ในระดับที่สูงมาก ดังนั้นตลาดหุ้นจึงไม่ใช่สถานที่ที่น่าลงทุนมากนักในระยะยาว"--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--22 ก.ค.--รอยเตอร์
นักวิเคราะห์ระบุว่า บริษัทสหรัฐได้สะสมเงินสดไว้เป็นจำนวนมากในช่วงที่ผ่านมา และนักลงทุนคาดว่าเงินดังกล่าวอาจจะช่วยหนุนตลาดหุ้นสหรัฐได้ในช่วงหลายเดือนข้างหน้า ในขณะที่ผู้บริหารบริษัทหลายแห่งประกาศแผนการปรับเพิ่มปริมาณการซื้อคืนหุ้น, แผนปรับเพิ่มเงินปันผล หรือแผนปรับเพิ่มการลงทุนในธุรกิจของตนเอง ทั้งนี้ นายคีธ เลอร์เนอร์ หัวหน้านักยุทธศาสตร์การลงทุนตลาดของบริษัททรูอิสท์ แอดไวซอรี เซอร์วิสเซสระบุว่า บริษัทในดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐมีเงินสดอยู่ในงบดุลบัญชีราว 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงนี้ ซึ่งถือว่าสูงเป็นประวัติการณ์ และพุ่งขึ้นจากระดับ 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงก่อนเกิดวิกฤติโรคระบาดในปี 2020
นายไมเคิล เพอร์เวส ซีอีโอของบริษัททอลแบคเคน แคปิตัล แอดไวเซอร์สกล่าวว่า การที่ภาคเอกชนมีดุลเงินสดอยู่ในระดับสูงจะถือเป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยพยุงตลาดหุ้น และเขากล่าวเสริมว่า “ปัจจัยนี้จะช่วยหนุนตลาดหุ้นต่อไปในปี 2022 และ 2023 ถึงแม้มีการคาดการณ์กันว่าตลาดหุ้นอาจจะพุ่งขึ้นมากเกินไปแล้ว และมูลค่าหุ้นอยู่สูงเกินไป" ทั้งนี้ การที่บริษัทมีเงินสดเก็บไว้เป็นจำนวนมากจะช่วยให้บริษัทมีความยืดหยุ่นในการดำเนินมาตรการต่าง ๆ ที่จะส่งผลดีต่อราคาหุ้น ซึ่งรวมถึงการซื้อคืนหุ้น และการปรับเพิ่มเงินปันผล โดยมาตรการหลังนี้จะช่วยดึงดูดนักลงทุนที่ต้องการรายได้สูง ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐดิ่งลงในช่วงนี้
ตะกร้าหุ้นที่จัดทำโดยบริษัทโกลด์แมน แซคส์ที่รวบรวมหุ้นบริษัทที่คืนเงินสดจำนวนมากให้แก่ผู้ถือหุ้นโดยผ่านทางการซื้อคืนหุ้นหรือการจ่ายเงินปันผล พุ่งขึ้นในปี 2021 ในอัตราที่สูงกว่าดัชนี S&P 500 ราว 5% ส่วนตะกร้าหุ้นของบริษัทที่มีการลงทุนด้านทุนอยู่ในระดับสูง หรือมีรายจ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาอยู่ในระดับสูง พุ่งขึ้นในปี 2021 ในอัตราที่สูงกว่าดัชนี S&P 500 ราว 2% โดยสิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า นักลงทุนชื่นชอบบริษัทที่ใช้ประโยชน์จากเงินสดในปีนี้ นอกจากนี้ นักยุทธศาสตร์การลงทุนของโกลด์แมน แซคส์ยังคาดการณ์อีกด้วยว่า ปริมาณการซื้อคืนหุ้นอาจพุ่งขึ้น 35% ในปีนี้ ทั้งนี้ การคาดการณ์ที่ว่าบริษัทอาจใช้จ่ายเงินจำนวนมากจะช่วยกระตุ้นให้นักลงทุนเข้าช้อนซื้อหุ้น เมื่อราคาหุ้นร่วงลงในอนาคต และปัจจัยนี้จะช่วยชะลอการดิ่งลงของตลาดหุ้นในอนาคต
นายไรอัน ดีทริค หัวหน้านักยุทธศาสตร์การลงทุนตลาดของบริษัทแอลพีแอล ไฟแนนเชียลระบุว่า สถิตินับตั้งแต่ปี 1950 เป็นต้นมาแสดงให้เห็นว่า ดัชนี S&P 500 มักจะย่อตัวลงครั้งละอย่างน้อย 5% เป็นจำนวนเฉลี่ย 3 ครั้งต่อปี แต่ดัชนียังไม่ได้ย่อตัวลงแบบนี้เลยแม้แต่ครั้งเดียวในปีนี้ ดังนั้นนักลงทุนบางรายจึงคาดว่าอาจจะเกิดการย่อตัวขึ้นได้ในอนาคต ทั้งนี้ บริษัทสหรัฐได้ประกาศว่าจะซื้อคืนหุ้นเป็นมูลค่า 3.50 แสนล้านดอลลาร์ในไตรมาส 2 ซึ่งถือว่าสูงที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาส 2/2018 หลังจากประกาศซื้อคืนหุ้น 2.75 แสนล้านดอลลาร์ในไตรมาสแรก ทางด้านปริมาณการจ่ายเงินปันผลของบริษัทในดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้น 3.6% สู่ 1.234 แสนล้านดอลลาร์ในไตรมาส 2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อน แต่ยังคงอยู่ห่างจากสถิติสูงสุดที่เคยทำไว้ในไตรมาสแรกของปี 2020
นักลงทุนจะจับตาดูแผนการใช้จ่ายของบริษัทต่าง ๆ เมื่อบริษัทสหรัฐเปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 2 ในช่วงนี้ โดยเฉพาะบริษัทแอปเปิล, อะเมซอน และไมโครซอฟท์ที่จะเปิดเผยผลประกอบการในสัปดาห์หน้า ทางด้านบริษัทพรูเดนเชียล ไฟแนนเชียล กับบริษัทออโตเนชันเพิ่งประกาศขยายโครงการซื้อคืนหุ้นในสัปดาห์นี้ ทั้งนี้ ธนาคารเจพี มอร์แกนระบุในสัปดาห์นี้ว่า ในบรรดาบริษัทกลุ่มต่าง ๆ ในสหรัฐนั้น กลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มการเงินถือเป็น 2 กลุ่มที่ประกาศซื้อคืนหุ้นมากที่สุดนับตั้งแต่ต้นปีนี้ ซึ่งรวมถึงบริษัทแอปเปิลที่เพิ่งปรับเพิ่มอำนาจในการซื้อคืนหุ้นขึ้นอีก 9.0 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนเม.ย.--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
ดัชนี Nasdaq ปิดลดลงในวันพฤหัสบดี เนื่องจากหุ้นแอปเปิล, อะเมซอนและหุ้นอื่นๆในกลุ่มบิ๊กเทคร่วงลง ขณะที่จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกที่ลดลงทำให้นักลงทุนมีความกังวลเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นในช่วงที่ผ่านมา
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวก 53.79 จุด หรือ 0.15% ที่ 34,987.02, ดัชนี S&P 500 ปิดลดลง 14.27 จุด หรือ 0.32% สู่ระดับ 4,360.03 และดัชนี Nasdaq ปิดลดลง 101.81 จุด หรือ 0.70% สู่ 14,543.13
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในดัชนี S&P 500 ปิดลดลง หลังจากพุ่งขึ้น 4 วันติดต่อกัน ซึ่งความต้องการหุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่มเติบโตของนักลงทุนในช่วงต้นสัปดาห์นี้ทำให้ดัชนี S&P 500 และดัชนี Nasdaq พุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ส่วนหุ้นกลุ่มพลังงานในดัชนี S&P 500 ปิดร่วงลงตามราคาน้ำมันดิบจากการคาดการณ์ว่า จะมีปริมาณการผลิตมากขึ้นหลังจากมีข้อตกลงประนีประนอมระหว่างผู้ผลิตชั้นนำในกลุ่มโอเปก
ข้อมูลที่ระบุว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 16 สัปดาห์ในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่การขาดแคลนแรงงาน และภาวะคอขวดในระบบห่วงโซ่อุปทานสร้างความยุ่งยากให้แก่ภาคธุรกิจในการเพิ่มการผลิตเพื่อตอบสนองความต้องการสินค้าและบริการ
นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวว่า เขาคาดว่า การขาดแคลนและภาวะเงินเฟ้อสูงจะบรรเทาลง แต่นักลงทุนหลายคนก็ยังคงกังวลว่า ภาวะเงินเฟ้อที่นานมากขึ้นอาจจะนำไปสู่การคุมเข้มนโยบายการเงินที่เร็วกว่าคาด--จบ--
(รอยเตอร์ โดย เสาวณีย์ เอกปัญญาชัย แปลและเรียบเรียง)
นิวยอร์ค--28 มิ.ย.--รอยเตอร์
ดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐปรับขึ้นมาปิดตลาดที่สถิติระดับปิดสูงสุดใหม่ในวันศุกร์ โดยได้รับแรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นบริษัทไนกี้และหุ้นธนาคารบางแห่ง ในขณะที่สหรัฐเปิดเผยตัวเลขอัตราเงินเฟ้อที่อ่อนแอเกินคาด และตัวเลขดังกล่าวทำให้นักลงทุนคาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะยังไม่ปรับลดขนาดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจลงในเร็ว ๆ นี้ ทั้งนี้ หุ้นไนกี้ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตรองเท้าผ้าใบพุ่งขึ้น 15.5% สู่สถิติระดับปิดสูงสุดในวันศุกร์ หลังจากไนกี้คาดการณ์ว่ายอดขายในปีงบดุลบัญชี 2022 อาจปรับขึ้นเป็นตัวเลขสองหลัก สู่ระดับสูงกว่า 5.0 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ 4.846 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยการพุ่งขึ้นของหุ้นไนกี้มีส่วนช่วยให้ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ทะยานขึ้นอย่างแข็งแกร่งในวันศุกร์
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวกขึ้น 0.69% สู่ 34,433.84, ดัชนี S&P 500 ปิดปรับขึ้น 0.33% สู่ 4,280.69 หลังจากพุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 4,286.12 ในระหว่างวัน แต่ดัชนี Nasdaq ปิดขยับลง 0.06% สู่ 14,360.39 ทั้งนี้ เมื่อเทียบกับระดับปิดสัปดาห์ที่แล้ว ดัชนีดาวโจนส์ก็ปิดตลาดสัปดาห์นี้พุ่งขึ้น 3.4%, ดัชนี S&P 500 ปิดตลาดสัปดาห์นี้ทะยานขึ้น 2.7% ซึ่งถือเป็นการพุ่งขึ้นรายสัปดาห์ครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ต้นเดือนก.พ. และดัชนี Nasdaq ปิดตลาดสัปดาห์นี้พุ่งขึ้น 2.4% ซึ่งถือเป็นการพุ่งขึ้นครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย.
หุ้นธนาคารแบงก์ ออฟ อเมริกาพุ่งขึ้น 1.9% ส่วนหุ้นธนาคารเวลส์ ฟาร์โกทะยานขึ้น 2.7% หลังจากเฟดประกาศว่า ธนาคารขนาดใหญ่ผ่านการทดสอบภาวะวิกฤติแล้ว และธนาคารเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามข้อจำกัดด้านการซื้อคืนหุ้นและข้อจำกัดด้านการจ่ายเงินปันผลอีกต่อไป โดยข่าวนี้มีส่วนช่วยหนุนดัชนีหุ้นกลุ่มการเงินของสหรัฐให้พุ่งขึ้น 1.3% ในวันศุกร์ และส่งผลให้หุ้นกลุ่มการเงินถือเป็นกลุ่มที่ทะยานขึ้นมากที่สุดในบรรดาหุ้น 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐ ทั้งนี้ นายเดนนิส ดิค เทรดเดอร์ของบริษัทไบรท์ เทรดดิงกล่าวว่า "นักลงทุนเทขายทำกำไรหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีออกมาในวันศุกร์ และโยกย้ายเงินลงทุนเข้าสู่หุ้นกลุ่มธนาคาร หลังจากมีการเปิดเผยผลการทดสอบภาวะวิกฤติ" และเขาคาดว่า ธนาคารในสหรัฐจะประกาศปรับเพิ่มเงินปันผลในเร็ว ๆ นี้
ตลาดหุ้นยังคงได้รับแรงหนุนจากข่าวที่ว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดนของสหรัฐสนับสนุนข้อตกลงระหว่างวุฒิสมาชิกพรรคเดโมแครตกับพรรครีพับลิกันในเรื่องงบลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา โดยข่าวนี้ช่วยหนุนหุ้นกลุ่มวัสดุและหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรม และส่งผลให้ดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ในขณะที่ดัชนี Nasdaq ร่วงลง โดยนายเจค ดอลลาร์ไฮด์ ซีอีโอของบริษัทลองโบว์ แอสเซท แมเนจเมนท์กล่าวว่า "บริษัทในดัชนี Nasdaq ไม่ใช่บริษัทที่จัดหาปูนซีเมนต์ในการสร้างถนน และไม่ใช่บริษัทที่จัดหาเหล็กกล้าในการสร้างสะพาน บริษัทที่ทำธุรกิจเหล่านี้อยู่ในดัชนี S&P 500"
สหรัฐรายงานในวันศุกร์ว่า ดัชนีราคาค่าใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) พื้นฐาน ซึ่งไม่รวมราคาอาหารและพลังงาน ปรับขึ้น 0.5% ในเดือนพ.ค. ซึ่งอยู่ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ที่ 0.6% ส่วนดัชนี PCE พื้นฐานแบบเทียบรายปีพุ่งขึ้น 3.4% ในเดือนพ.ค. ซึ่งถือเป็นการพุ่งขึ้นครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. 1992 และสูงกว่าระดับเป้าหมายที่เฟดตั้งไว้ที่ 2% ทั้งนี้ หุ้นบริษัทเวอร์จิน กาแลกติก ซึ่งเป็นบริษัทของนายริชาร์ด แบรนสันที่ทำธุรกิจด้านยานอวกาศพุ่งขึ้น 38.87% ในวันศุกร์ และถือเป็นหุ้นที่มีการซื้อขายมากเป็นอันดับสองในตลาดหุ้นสหรัฐ หลังจากสำนักงานควบคุมความปลอดภัยทางการบินของสหรัฐอนุมัติให้เวอร์จิน กาแลกติกสามารถส่งคนขึ้นสู่อวกาศ--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
เครื่องมือออกแบบโปสเตอร์
โครงการพันธมิตร
ความเสี่ยงของการสูญเสียในการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น หุ้น FX สินค้าโภคภัณฑ์ ฟิวเจอร์ส พันธบัตร ETFs หรือเงินดิจิทัลอาจมีมาก คุณอาจสูญเสียเงินทุนทั้งหมดที่คุณฝากไว้กับโบรกเกอร์ของคุณ ดังนั้น คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบว่าการซื้อขายดังกล่าวเหมาะสมกับคุณหรือไม่ในสถานการณ์และทรัพยากรทางการเงินของคุณ
ไม่ควรตัดสินใจลงทุนโดยไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบสถานะอย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วยตัวเองหรือปรึกษากับที่ปรึกษาทางการเงินของคุณ เนื้อหาเว็บของเราอาจไม่เหมาะกับคุณเนื่องจากเราไม่ทราบเงื่อนไขทางการเงินและความต้องการในการลงทุนของคุณ ข้อมูลทางการเงินของเราอาจมีความล่าช้าหรือมีความไม่ถูกต้อง ดังนั้นคุณควรรับผิดชอบอย่างเต็มที่ต่อการตัดสินใจซื้อขายและการลงทุนของคุณ บริษัทจะไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียเงินทุนของคุณ
หากไม่ได้รับอนุญาตจากเว็บไซต์ คุณจะไม่สามารถคัดลอกกราฟิก ข้อความ หรือเครื่องหมายการค้าของเว็บไซต์ได้ สิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาในเนื้อหาหรือข้อมูลที่รวมอยู่ในเว็บไซต์นี้เป็นของผู้ให้บริการและผู้ค้าแลกเปลี่ยน
ไม่ได้ล็อกอิน
เข้าสู่ระบบเพื่อเข้าถึงฟังก์ชั่นเพิ่มเติม

สมาชิก FastBull
ยังไม่ได้เปิด
สมัคร
เข้าสู่ระบบ
ลงทะเบียน