ตลาด
ข่าวสาร
การวิเคราะห์
ผู้ใช้
24x7
ปฏิทินเศรษฐกิจ
แหล่งเรียนรู้
ข้อมูล
- ชื่อ
- ค่าล่าสุด
- ครั้งก่อน












สัญญาณ VIP
ทั้งหมด
ทั้งหมด



ฝรั่งเศส อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยการประมูลหนี้ OAT 10-ปีค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน ดัชนียอดค้าปลีก YoY (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
บราซิล GDP YoY (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา จำนวนการปลดพนักงานบริษัทชาเลนเจอร์ เกรย์ และคริสต์มาส YoY (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การเลิกจ้างพนักงานบริษัทชาเลนเจอร์ เกรย์ และคริสต์มาส MoM (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การเลิกจ้างพนักงานบริษัทชาเลนเจอร์ เกรย์ และคริสต์มาส YoY (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ค่าเฉลี่ยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก4 สัปดาห์ (SA)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์ (SA)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานต่อรายสัปดาห์ (SA)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา Ivey PMI (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา Ivey PMI (Not SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา คำสั่งซื้อสินค้าคงทนนอกกระทรวงกลาโหมที่ได้แก้ไข MoM (ไม่รวมเครื่องบิน)(SA) (ก.ย.)ค:--
ค: --
สหรัฐอเมริกา คำสั่งซื้อโรงงาน MoM(ยกเว้นการขนส่ง) (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา คำสั่งซื้อโรงงาน MoM (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา คำสั่งซื้อโรงงาน MoM(ยกเว้นภาคกลาโหม) (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การเปลี่ยนแปลงสต็อกก๊าซธรรมชาติประจำสัปดาห์ของ EIAค:--
ค: --
ค: --
ซาอุดิอาระเบีย การผลิตน้ำมันดิบค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การถือครองธนารักษ์สหรัฐฯของธนาคารกลางต่างประเทศรายสัปดาห์ค:--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น เงินตราที่ใช้เป็นทุนสำรอง (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย อัตราขายคืนค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย ดอกเบี้ยอ้างอิงค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย อัตราขายคืนค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย อัตราเงินสดสำรองค:--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น อินดิเคเตอร์ชั้นนำเบื้องต้น (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหราชอาณาจักร ดัชนีราคาที่อยู่อาศัย Halifax YoY (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหราชอาณาจักร ดัชนีราคาที่อยู่อาศัย Halifax MoM (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส บัญชีเดินสะพัด (Not SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส ดุลการค้า (SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส การผลิตภาคอุตสาหกรรม MoM(SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
อิตาลี ดัชนียอดค้าปลีก MoM (SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงาน YoY (SA) (ไตรมาส 3)--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน GDP Final YoY (ไตรมาส 3)--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน GDP Final QoQ (ไตรมาส 3)--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงาน QoQ (SA) (ไตรมาส 3)--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงานสุดท้าย (SA) (ไตรมาส 3)--
ค: --
บราซิล PPI MoM (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
เม็กซิโก ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา อัตราการว่างงาน (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา อัตราการมีส่วนร่วมในการจ้างงาน (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงาน (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงานนอกเวลา (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงานเต็มเวลา (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา รายได้ส่วนบุคคล MoM (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาธนาคารกลางรัฐดัลลาส สหรัฐอเมริกา PCE YoY (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคา PCE YoY (SA) (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคา PCE MoM (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา รายจ่ายส่วนบุคคล MoM(SA) (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาPCEหลักMoM (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา เงินเฟ้อเบื้องต้น UMich 5-YearYoY (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาPCEหลักYoY (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ค่าใช้จ่ายการบริโภคส่วนบุคคลที่จริง MoM (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การคาดการณ์เงินเฟ้อ 5-10 ปี (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีสถานภาพเบื้องต้น UMich ปัจจุบัน (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้น UMich (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อล่วงหน้า 1 ปี UMich (เบื้องต้น) (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีความคาดหวังผู้บริโภค UMich (เบื้องต้น) (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ปริมาณเครื่องเจาะทั้งหมดรายสัปดาห์--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ปริมาณเครื่องเจาะน้ำมันทั้งหมดรายสัปดาห์--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา สินเชื่ออุปโภคบริโภค (SA) (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ เงินตราที่ใช้เป็นทุนสำรอง (พ.ย.)--
ค: --
ค: --


ไม่มีข้อมูลที่ตรงกัน
ทัศนคติล่าสุด
ทัศนคติล่าสุด
หัวข้อยอดนิยม
คอลัมนิสต์ยอดนิยม
อัปเดตล่าสุด
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
ดูผลการค้นหาทั้งหมด

ไม่มีข้อมูล
นิวยอร์ค--28 ต.ค.--รอยเตอร์
นักวิเคราะห์ตลาดหุ้นสหรัฐระบุว่า การพุ่งขึ้นของตลาดหุ้นสหรัฐในช่วงที่ผ่านมากำลังชะลอตัวลง ในขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐอาจจะได้รับผลกระทบจากปัจจัยสำคัญหลายประการในระยะนี้ โดยปัจจัยเหล่านี้รวมถึงการที่บริษัทขนาดยักษ์ 5 แห่งของสหรัฐจะรายงานผลประกอบการออกมาในสัปดาห์นี้, ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนต.ค.ที่กระทรวงแรงงานสหรัฐจะรายงานออกมาในวันศุกร์ที่ 1 พ.ย., การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในวันที่ 5 พ.ย. และการประชุมกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 6-7 พ.ย. ทั้งนี้ ดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐพุ่งขึ้นมาแล้วราว 22% จากช่วงต้นปีนี้ และเพิ่งทะยานขึ้นแตะสถิติสูงสุดใหม่ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ทางด้านค่าพีอีเรโชของดัชนี S&P 500 อยู่ที่ 21.8 เท่าของตัวเลขคาดการณ์ผลกำไรช่วง 12 เดือนข้างหน้า ซึ่งใกล้เคียงกับจุดสูงสุดในรอบกว่า 3 ปี โดยมูลค่าหุ้นที่ระดับสูงมากแบบนี้อาจจะส่งผลให้ตลาดหุ้นมีความอ่อนไหวมากเป็นพิเศษถ้าหากเผชิญกับตัวเลขเศรษฐกิจหรือผลประกอบการที่อ่อนแอเกินคาดในระยะนี้
บริษัทขนาดยักษ์ในสหรัฐที่จะรายงานผลประกอบการในสัปดาห์นี้รวมถึงบริษัทแอลฟาเบทที่จะเปิดเผยผลประกอบการออกมาในวันที่ 29 ต.ค., บริษัทไมโครซอฟท์กับบริษัทเมตา แพลตฟอร์มส์ที่จะเปิดเผยผลประกอบการในวันที่ 30 ต.ค. และบริษัทแอปเปิลกับบริษัทอะเมซอนที่จะเปิดเผยผลประกอบการในวันที่ 31 ต.ค. โดยบริษัท 5 แห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มบริษัท Magnificent Seven หรือกลุ่มบริษัทขนาดยักษ์ 7 แห่งของสหรัฐ และบริษัท 5 แห่งนี้ก็ครองน้ำหนักรวมกันราว 23% ของดัชนี S&P 500 ดังนั้นความเคลื่อนไหวของหุ้นกลุ่มนี้จึงอาจจะส่งผลกระทบเป็นอย่างมากต่อดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐ ทั้งนี้ หุ้นกลุ่ม Magnificent Seven มีค่าพีอีเรโชโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 35 เท่าของคาดการณ์ผลกำไรล่วงหน้า และนักลงทุนจะจับตาดูว่า การที่บริษัทเหล่านี้ปรับเพิ่มการลงทุนด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในช่วงที่ผ่านมาเริ่มส่งผลบวกออกมาให้เห็นบ้างแล้วหรือไม่ โดยแบงก์ ออฟ อเมริกา โกลบัล รีเสิร์ชระบุว่า บริษัทขนาดยักษ์ที่ให้บริการด้าน AI ซึ่งได้แก่ไมโครซอฟท์, อะเมซอน, แอลฟาเบท และเมตา แพลตฟอร์มส์ มีแนวโน้มที่จะปรับเพิ่มการลงทุนด้านทุนขึ้น 40% ในปีนี้ ในขณะที่บริษัทที่เหลือในดัชนี S&P 500 มีแนวโน้มปรับลดการลงทุนด้านทุนลง 1% ในปี 2024
บริษัทเทสลาได้เปิดเผยผลประกอบการในวันพุธที่ 23 ต.ค. และถือเป็นบริษัทแรกในกลุ่ม Magnificent Seven ที่เปิดเผยผลประกอบการไตรมาสล่าสุดออกมา โดยนายอีลอน มัสก์ ซีอีโอของเทสลาคาดว่า ยอดขายยานพาหนะของเทสลาอาจจะพุ่งขึ้น 20%-30% ในปีหน้า และเทสลาก็รายงานตัวเลขอัตราผลกำไรไตรมาสสามที่สูงเกินคาดด้วย โดยผลประกอบการดังกล่าวมีส่วนช่วยหนุนให้หุ้นเทสลาทะยานขึ้น 22% ในวันพฤหัสบดี และพุ่งขึ้น 3.36% ในวันศุกร์ที่ผ่านมา ทั้งนี้ มีบริษัทกว่า 150 แห่งในดัชนี S&P 500 ที่จะเปิดเผยผลประกอบการออกมาในสัปดาห์นี้
นักลงทุนจะจับตาดูตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรที่กระทรวงแรงงานสหรัฐจะรายงานออกมาในวันศุกร์ที่ 1 พ.ย. โดยนักเศรษฐศาสตร์คาดว่า การจ้างงานนอกภาคเกษตรในสหรัฐอาจเพิ่มขึ้นเพียง 140,000 ตำแหน่งในเดือนต.ค. หลังจากการจ้างงานเพิ่งทะยานขึ้น 254,000 ตำแหน่งในเดือนก.ย. โดยตัวเลขการจ้างงานเดือนต.ค.อาจบิดเบือนไปจากความเป็นจริง โดยเป็นผลจากพายุเฮอริเคนขนาดใหญ่ 2 ลูกที่พัดถล่มภาคตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐในช่วงที่ผ่านมา ทั้งนี้ นาเนทท์ อาบูนอฟ เจค็อบสัน นักยุทธศาสตร์การลงทุนของกองทุนฮาร์ทฟอร์ดระบุว่า สิ่งสำคัญที่ต้องจับตามองในรายงานการจ้างงานนี้คือตัวเลขค่าแรง และเธอกล่าวเสริมว่า "ถ้าหากค่าแรงปรับสูงขึ้นในเดือนต.ค. นั่นก็จะถือเป็นเรื่องที่น่ากังวล" นอกจากนี้ เธอยังระบุอีกด้วยว่า "ตลาดพันธบัตรสหรัฐได้รับผลกระทบไปแล้วจากการคาดการณ์ที่ว่า เศรษฐกิจอาจจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งเกินคาด, อัตราเงินเฟ้ออาจจะเร่งตัวขึ้นอีกครั้ง และเฟดอาจจะไม่สามารถปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงได้มากเท่ากับที่เคยคาดการณ์กันไว้"
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีปรับขึ้นจาก 4.202% ในช่วงท้ายวันพฤหัสบดี สู่ 4.232% ในช่วงท้ายวันศุกร์ และทะยานขึ้นสู่ 4.292% ในระหว่างช่วงการซื้อขายวันนี้ ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 24 ก.ค. หรือจุดสูงสุดรอบ 3 เดือน โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยิลด์) ได้รับแรงหนุนในช่วงนี้จากการคาดการณ์ที่ว่า เฟดอาจจะชะลอความเร็วในการปรับลดอัตราดอกเบี้ย และจากการคาดการณ์ที่ว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์อาจจะชนะการเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;










28 ต.ค.--รอยเตอร์
สกุลเงินรูเปียห์ของอินโดนีเซียและริงกิตของมาเลเซียดิ่งลงแตะจุดต่ำสุดรอบหลายสัปดาห์ในวันนี้ ในขณะที่ดอลลาร์สหรัฐได้รับแรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์อาจจะชนะการเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐในวันที่ 5 พ.ย. และดอลลาร์ก็ได้รับแรงหนุนเพิ่มเติมจากตัวเลขเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐด้วย เพราะตัวเลขดังกล่าวทำให้นักลงทุนปรับลดการคาดการณ์เรื่องแนวโน้มในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ทั้งนี้ นักลงทุนคาดการณ์ในตอนนี้ว่า มีโอกาส 93.9% ที่เฟดอาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% สู่ 4.50-4.75% ในการประชุมกำหนดนโยบายในวันที่ 6-7 พ.ย. และมีโอกาส 6.1% ที่เฟดอาจจะตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 4.75-5.00% ตามเดิมในการประชุมกำหนดนโยบายในวันที่ 6-7 พ.ย. โดยนักลงทุนยังคาดการณ์อีกด้วยว่า เฟดอาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงรวมกันราว 0.42% ในช่วงต่อไปในปีนี้ และอาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.86% ในปี 2025 โดยการคาดการณ์ในปัจจุบันนี้มีความแตกต่างเป็นอย่างมากจากเมื่อ 1 เดือนที่แล้ว เพราะเมื่อหนึ่งเดือนที่แล้วนักลงทุนเคยคาดว่า มีโอกาส 57.4% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.50% ในการประชุมเดือนพ.ย.
ดัชนีดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินแข็งค่าขึ้น 0.20% สู่ 104.52 ในช่วงเช้าวันนี้ โดยดัชนีดอลลาร์พุ่งขึ้นมาแล้ว 3.6% จากช่วงต้นเดือนนี้ และอาจจะปิดตลาดเดือนต.ค.ด้วยการพุ่งขึ้นรายเดือนครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. 2022 หรือครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 2 ปีครึ่ง โดยดัชนีดอลลาร์ได้รับแรงหนุนในช่วงที่ผ่านมาจากการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ทั้งนี้ นายไมเคิล ว่าน นักวิเคราะห์สกุลเงินของบริษัท MUFG ระบุว่า "ดอลลาร์สหรัฐและสินทรัพย์สหรัฐยังคงได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก และยังคงถือเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่กระทบตลาดปริวรรตเงินตราในตอนนี้" และเขากล่าวเสริมว่า "อย่างไรก็ดี ถ้าหากจีนประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีความสำคัญ หรือถ้าหากนักลงทุนมุ่งความสนใจไปยังภาวะเฟื่องฟูในชิปปัญญาประดิษฐ์ (AI) หรือการพัฒนาเซมิคอนดักเตอร์ ปัจจัยดังกล่าวก็จะส่งผลกระทบต่อระดับความน่าดึงดูดของสินทรัพย์เอเชีย"
รูเปียห์ร่วงลง 0.6% สู่ 15,735 รูเปียห์ต่อดอลลาร์ในระหว่างช่วงการซื้อขายวันนี้ ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดนับตั้งแต่กลางเดือนส.ค. และรูเปียห์มีแนวโน้มว่าอาจจะปิดตลาดเดือนนี้ด้วยการดิ่งลงรายเดือนครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค. 2020 เป็นต้นมา หรือครั้งใหญ่ที่สุดในรอบกว่า 4 ปี ทั้งนี้ ริงกิตดิ่งลง 0.5% สู่ 4.3610 ริงกิตต่อดอลลาร์ในระหว่างช่วงการซื้อขายวันนี้ ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดนับตั้งแต่กลางเดือนก.ย. และริงกิตมีแนวโน้มที่จะปิดตลาดเดือนนี้ด้วยการดิ่งลงรายเดือนครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ปลายปี 2016 ทางด้านราคาสัญญาล่วงหน้าน้ำมันปาล์มมาเลเซียร่วงลงในวันนี้เป็นวันที่สองติดต่อกัน ส่วนราคาน้ำมันดิบเบรนท์รูดลง 4.09% สู่ 72.94 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในวันนี้ หลังจากดิ่งลงแตะ 71.99 ดอลลาร์ในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.
ริงกิตได้รับแรงกดดันในช่วงนี้จากตัวเลขยอดส่งออกของมาเลเซียที่ดิ่งลงอย่างพลิกความคาดหมาย โดยยอดส่งออกของมาเลเซียร่วงลง 0.3% ในเดือนก.ย.เมื่อเทียบรายปี ซึ่งถือเป็นการร่วงลงครั้งแรกในรอบ 6 เดือน และสวนทางกับตัวเลขคาดการณ์ในโพลล์รอยเตอร์ที่คาดว่า ยอดส่งออกอาจพุ่งขึ้น 7.6% ในเดือนก.ย.เมื่อเทียบรายปี โดยยอดส่งออกของมาเลเซียได้รับแรงกดดันจากการดิ่งลงของยอดส่งออกผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม, เครื่องใช้ไฟฟ้า, สินค้าอิเล็กทรอนิกส์, เหล็ก และเหล็กกล้า ทางด้านยอดเกินดุลการค้าของมาเลเซียอยู่ที่ 1.319 หมื่นล้านริงกิต (3.06 พันล้านดอลลาร์) ในเดือนก.ย. ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ 9.5 พันล้านริงกิต ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ของธนาคารบาร์เคลย์สคาดว่า ริงกิตจะยังคงได้รับผลกระทบต่อไปจากความเสี่ยงด้านการเลือกตั้งในสหรัฐ และนักวิเคราะห์คาดว่า ธนาคารกลางมาเลเซียมีแนวโน้มที่จะระงับการเติมเงินเข้าไว้ในกันชนสกุลเงินตราต่างประเทศ เนื่องจากดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นในช่วงนี้
เปโซของฟิลิปปินส์แข็งค่าขึ้น 0.3%, วอนของเกาหลีใต้แข็งค่าขึ้น 0.3% แต่ดอลลาร์สิงคโปร์อ่อนค่าลง 0.2% ในวันนี้ ทั้งนี้ นักลงทุนรอดูตัวเลขเศรษฐกิจหลายตัวในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของฮ่องกงกับไต้หวัน, ตัวเลขอัตราเงินเฟ้อของอินโดนีเซีย, ตัวเลขดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ของจีน, ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของสหรัฐที่จะได้รับการรายงานออกมาในวันพุธ, ดัชนีราคาค่าใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ของสหรัฐที่จะได้รับการรายงานออกมาในวันพฤหัสบดี โดยดัชนี PCE ถือเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) นิยมใช้ และตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนต.ค.ที่กระทรวงแรงงานสหรัฐจะรายงานออกมาในวันศุกร์ที่ 1 พ.ย.
อัตราแลกเปลี่ยนเทียบดอลลาร์สหรัฐ ณ เวลา 12.27 น. ตามเวลาไทย
COUNTRY | FX RIC | FX DAILY % | FX YTD % |
Japan | JPY= | -0.88 | -8.19 |
China | CNY=CFXS | -0.17 | -0.50 |
India | INR=IN | +0.00 | -1.03 |
Indonesia | IDR= | -0.60 | -2.13 |
Malaysia | MYR= | -0.46 | +5.35 |
Philippines | PHP= | +0.33 | -5.09 |
S.Korea | KRW=KFTC | +0.32 | -6.99 |
Singapore | SGD= | -0.24 | -0.38 |
Taiwan | TWD=TP | -0.03 | -4.19 |
Thailand | THB=TH | +0.06 | +1.17 |
--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
กรุงเทพฯ--28 ต.ค.--รอยเตอร์
ดัชนีดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินแข็งค่าขึ้นในวันศุกร์ และปิดตลาดรายสัปดาห์ในแดนบวกเป็นสัปดาห์ที่ 4 ติดต่อกัน หลังจากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่ออกมาในช่วงนี้ช่วยกระตุ้นการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างรวดเร็ว และนักลงทุนก็รอดูตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนต.ค.ที่กระทรวงแรงงานสหรัฐจะรายงานออกมาในวันที่ 1 พ.ย. โดยนักลงทุนมองว่ารายงานการจ้างงานดังกล่าวอาจจะได้รับผลกระทบจากการผละงานประท้วงในบริษัทโบอิ้ง และจากพายุเฮอริเคน 2 ลูกที่พัดเข้าสู่ภาคตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐ ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานในวันศุกร์ว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าทุนยกเว้นอาวุธและเครื่องบิน หรือยอดสั่งซื้อสินค้าทุนพื้นฐาน ซึ่งถือเป็นมาตรวัดแผนการลงทุนทางธุรกิจ พุ่งขึ้น 0.5% ในเดือนก.ย. หลังจากปรับขึ้น 0.3% ในเดือนส.ค. และอยู่สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ในโพลล์รอยเตอร์ที่ +0.1% สำหรับเดือนก.ย. ทางด้านมหาวิทยาลัยมิชิแกนรายงานว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐพุ่งขึ้นจาก 70.1 ในเดือนก.ย. สู่ 70.5 ในเดือนต.ค. และอยู่สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ 69.0 ในขณะที่การคาดการณ์เงินเฟ้อช่วงหนึ่งปีข้างหน้าอยู่ที่ 2.7% ซึ่งเท่ากับระดับที่เคยคาดไว้ในเดือนก.ย. Eikon source text
ดัชนีดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินอยู่ที่ 104.32 ในช่วงท้ายตลาดวันศุกร์ โดยแข็งค่าขึ้นจาก 104.05 ในช่วงท้ายตลาดวันพฤหัสบดี โดยดัชนีดอลลาร์ปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการปรับขึ้น 0.82% จากสัปดาห์ที่แล้ว และถือเป็นการปิดตลาดรายสัปดาห์ในแดนบวกเป็นสัปดาห์ที่ 4 ติดต่อกัน
ดอลลาร์/เยนอยู่ที่ 152.30 เยนในช่วงท้ายตลาดวันศุกร์ โดยปรับขึ้นจากระดับปิดตลาดวันพฤหัสบดีที่ 151.82 เยน
ยูโร/ดอลลาร์อยู่ที่ 1.0793 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันศุกร์ โดยอ่อนค่าลงจาก 1.0827 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันพฤหัสบดี
ดัชนี Nasdaq ของตลาดหุ้นสหรัฐปิดตลาดวันศุกร์ในแดนบวก โดยได้รับแรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นบริษัทขนาดยักษ์ ในขณะที่นักลงทุนรอดูผลประกอบการรายไตรมาสของบริษัทขนาดยักษ์บางแห่งในสัปดาห์หน้า ซึ่งรวมถึงบริษัทแอลฟาเบทที่จะเปิดเผยผลประกอบการออกมาในวันที่ 29 ต.ค., บริษัทไมโครซอฟท์กับบริษัทเมตา แพลตฟอร์มส์ที่จะเปิดเผยผลประกอบการในวันที่ 30 ต.ค. และบริษัทแอปเปิลกับบริษัทอะเมซอนที่จะเปิดเผยผลประกอบการในวันที่ 31 ต.ค. โดยบริษัท 5 แห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มบริษัท Magnificent Seven หรือกลุ่มบริษัทขนาดยักษ์ 7 แห่งของสหรัฐ ทางด้านหุ้นเทสลาพุ่งขึ้น 3.36% ในวันศุกร์ หลังจากทะยานขึ้น 22% ในวันพฤหัสบดี โดยได้รับแรงหนุนจากตัวเลขคาดการณ์ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าของเทสลา นอกจากนี้ หุ้นบริษัทขนาดยักษ์แห่งอื่น ๆ ก็ปรับขึ้นด้วยเช่นกัน โดยหุ้นอะเมซอนปิดบวกขึ้น 0.78% ในวันศุกร์, หุ้นแอปเปิลปิดปรับขึ้น 0.36% ในวันศุกร์, หุ้นไมโครซอฟท์ปิดบวกขึ้น 0.81% ในวันศุกร์ และหุ้นเอ็นวิเดียปิดปรับขึ้น 0.80% ในวันศุกร์ โดยเอ็นวิเดียสามารถทะยานขึ้นมาครองตำแหน่งบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลกแทนที่บริษัทแอปเปิลได้เป็นเวลาสั้น ๆ ในระหว่างช่วงการซื้อขายวันศุกร์ด้วย ทั้งนี้ ดัชนีดาวโจนส์ปิดร่วงลงในวันศุกร์ตามหุ้นกลุ่มธนาคาร ซึ่งรวมถึงหุ้นธนาคารโกลด์แมน แซคส์ที่ดิ่งลง 2.27% ส่วนหุ้นบริษัทแมคโดนัลด์รูดลง 2.97% โดยได้รับแรงกดดันจากการระบาดของเชื้ออีโคไลที่มีความเกี่ยวข้องกับแฮมเบอร์เกอร์ของแมคโดนัลด์ ทางด้านดัชนีหุ้น 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐปิดตลาดวันศุกร์ในแดนลบเป็นส่วนใหญ่ โดยดัชนีหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคถือเป็นดัชนีหุ้นกลุ่มใหญ่ที่รูดลงมากที่สุดในวันศุกร์ Eikon source text
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดร่วงลง 0.61% สู่ 42,114.40 ในวันศุกร์ และปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการดิ่งลง 2.68% จากสัปดาห์ที่แล้ว
ดัชนี S&P 500 ปิดขยับลง 0.03% สู่ 5,808.12 ในวันศุกร์ และปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการร่วงลง 0.96% จากสัปดาห์ที่แล้ว
ดัชนี Nasdaq ปิดบวกขึ้น 0.56% สู่ 18,518.61 ในวันศุกร์ และปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการปรับขึ้น 0.16% จากสัปดาห์ที่แล้ว
ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX พุ่งขึ้นในวันศุกร์ ในขณะที่นักลงทุนจับตาดูความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลาง และรอดูผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในวันที่ 5 พ.ย. ทางด้านกระทรวงสาธารณสุขของเลบานอนรายงานว่า การโจมตีของอิสราเอลในภาคใต้ของเลบานอนในวันศุกร์ส่งผลให้มีผู้สื่อข่าวเสียชีวิต 3 คน ส่วนสำนักงานผู้ลี้ภัยของสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ประกาศเตือนว่า การที่อิสราเอลดำเนินการโจมตีทางอากาศตรงจุดข้ามพรมแดนที่ติดกับซีเรียถือเป็นอุปสรรคขัดขวางผู้ลี้ภัยที่พยายามหนีภัยสงคราม ทั้งนี้ ธนาคารโกลด์แมน แซคส์คาดการณ์ในวันพฤหัสบดีว่า ราคาน้ำมันดิบเบรนท์อาจจะอยู่ที่ระดับ 70-85 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในปี 2025 ซึ่งเท่ากับตัวเลขคาดการณ์เดิม และโกลด์แมน แซคส์คาดว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนอาจจะส่งผลกระทบเพียงเล็กน้อย โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับผลกระทบจากอุปทานน้ำมันในภูมิภาคตะวันออกกลาง ทางด้านธนาคารแบงก์ ออฟ อเมริกาคาดว่า ราคาน้ำมันดิบเบรนท์อาจจะมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 75 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในปี 2025 Eikon source text
ราคาน้ำมันดิบสหรัฐส่งมอบเดือนธ.ค.ทะยานขึ้น 1.59 ดอลลาร์ หรือ 2.27% มาปิดตลาดที่ 71.78 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในวันศุกร์ และปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการพุ่งขึ้น 3.7% จากสัปดาห์ที่แล้ว
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนธ.ค.ที่ตลาดกรุงลอนดอนพุ่งขึ้น 1.67 ดอลลาร์ หรือ 2.25% มาปิดตลาดที่ 76.05 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในวันศุกร์ และปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการพุ่งขึ้น 4% จากสัปดาห์ที่แล้ว
ราคาทองสปอตที่ตลาดสหรัฐปรับขึ้น 11.99 ดอลลาร์ สู่ 2,747.69 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงท้ายตลาดวันศุกร์ หลังจากทะยานขึ้นแตะสถิติสูงสุดที่ 2,758.37 ดอลลาร์ในวันพุธที่ 23 ต.ค. โดยราคาทองฟื้นตัวขึ้นในวันศุกร์หลังจากเผชิญกับแรงเทขายทำกำไรในช่วงที่ผ่านมา และราคาทองได้รับแรงหนุนจากความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลาง และจากความกังวลของนักลงทุนที่มีต่อการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในวันที่ 5 พ.ย.ด้วย ทั้งนี้ ราคาทองพุ่งขึ้นมาแล้วกว่า 32% จากช่วงต้นปีนี้ ในขณะที่นักลงทุนเข้าซื้อทองในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยท่ามกลางความกังวลเรื่องความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลาง และราคาทองได้รับแรงหนุนเพิ่มเติมในปีนี้จากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.50% ในการประชุมวันที่ 17-18 ก.ย.ด้วย Eikon source text
--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
กรุงเทพฯ--17 ก.ย.--รอยเตอร์
ดอลลาร์/เยนดิ่งลงแตะจุดต่ำสุดในรอบกว่า 1 ปีในระหว่างช่วงการซื้อขายวันจันทร์ ในขณะที่นักลงทุนคาดการณ์ว่า มีโอกาสมากยิ่งขึ้นที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.50% ในการประชุมกำหนดนโยบายในวันที่ 17-18 ก.ย. โดยการคาดการณ์ดังกล่าวได้รับแรงหนุนจากรายงานข่าวของหนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัลและหนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียล ไทมส์ในสัปดาห์ที่แล้ว ทั้งนี้ นักลงทุนคาดการณ์ในตอนนี้ว่า มีโอกาส 67% ที่เฟดอาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.50% สู่ 4.75-5.00% ในการประชุมวันที่ 17-18 ก.ย. โดยโอกาสดังกล่าวพุ่งขึ้นจากระดับราว 15% ที่เคยคาดไว้ในสัปดาห์ที่แล้ว และนักลงทุนก็คาดการณ์ในตอนนี้ว่า มีโอกาส 33% ที่เฟดอาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% สู่ 5.00-5.25% ในการประชุมวันที่ 17-18 ก.ย. Eikon source text
ดัชนีดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินอยู่ที่ 100.70 ในช่วงท้ายตลาดวันจันทร์ โดยอ่อนค่าลงจาก 101.10 ในช่วงท้ายตลาดวันศุกร์
ดอลลาร์/เยนอยู่ที่ 140.60 เยนในช่วงท้ายตลาดวันจันทร์ โดยปรับลงจากระดับปิดตลาดวันศุกร์ที่ 140.82 เยน หลังจากดิ่งลงแตะ 139.58 เยนในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.ค. 2023
ยูโร/ดอลลาร์อยู่ที่ 1.1132 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันจันทร์ โดยแข็งค่าขึ้นจาก 1.1076 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันศุกร์
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์และดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐปรับขึ้นในวันจันทร์ แต่ดัชนี Nasdaq ปรับลงในวันจันทร์ โดยได้รับแรงกดดันจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ในขณะที่ดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีของสหรัฐดิ่งลง 0.95% ในวันจันทร์ และถือเป็นดัชนีหุ้นกลุ่มใหญ่ที่ร่วงลงมากที่สุด ทางด้านหุ้นบริษัทแอปเปิลดิ่งลง 2.78% และถือเป็นหุ้นที่ถ่วงดัชนี S&P 500 และดัชนี Nasdaq ลงมากที่สุดในวันจันทร์ หลังจากนักวิเคราะห์ของบล.ทีเอฟ อินเตอร์เนชันแนลระบุว่า อุปสงค์สำหรับโทรศัพท์ไอโฟน 16 ของแอปเปิลอยู่ต่ำเกินคาด และความกังวลเรื่องอุปสงค์นี้ก็กดดันหุ้นกลุ่มผู้ผลิตชิปของสหรัฐให้ดิ่งลงด้วย โดยดัชนีฟิลาเดลเฟียสำหรับหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐรูดลง 1.41% ในวันจันทร์ ในขณะที่หุ้นบริษัทเอ็นวิเดียดิ่งลง 1.95%, หุ้นบรอดคอมรูดลง 2.19% และหุ้นไมครอน เทคดิ่งลง 4.43% อย่างไรก็ดี ในบรรดาดัชนีหุ้นกลุ่มใหญ่ 11 กลุ่มในตลาดหุ้นสหรัฐนั้น มีดัชนีหุ้นกลุ่มใหญ่เพียงแค่ 2 กลุ่มที่ปิดตลาดวันจันทร์ในแดนลบ ซึ่งได้แก่ดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี และดัชนีหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย ส่วนดัชนีหุ้นกลุ่มใหญ่ที่พุ่งขึ้นมากที่สุดในวันจันทร์ คือดัชนีหุ้นกลุ่มการเงินที่พุ่งขึ้น 1.22% และดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานที่ทะยานขึ้น 1.2% ทั้งนี้ นักลงทุนคาดการณ์ในตอนนี้ว่า มีโอกาส 67% ที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.50% สู่ 4.75-5.00% ในการประชุมวันที่ 17-18 ก.ย. ทางด้านหุ้นบริษัทอินเทล คอร์ปพุ่งขึ้น 6.36% ในวันจันทร์ หลังจากมีข่าวว่าอินเทลมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะได้รับเงินจากรัฐบาลกลางสหรัฐราว 3.5 พันล้านดอลลาร์เพื่อผลิตเซมิคอนดักเตอร์ให้กับกระทรวงกลาโหมสหรัฐ Eikon source text
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวกขึ้น 0.55% สู่ 41,622.08 ซึ่งถือเป็นสถิติสูงสุดใหม่
ดัชนี S&P 500 ปิดปรับขึ้น 0.13% สู่ 5,633.09 ซึ่งอยู่ห่างจากสถิติระดับปิดสูงสุดที่เคยทำไว้ในเดือนก.ค.ในระดับไม่ถึง 1%
ดัชนี Nasdaq ปิดร่วงลง 0.52% สู่ 17,592.13
ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX พุ่งขึ้นในวันจันทร์ โดยได้รับแรงหนุนจากพายุเฮอริเคนฟรานซีนที่ยังคงส่งผลกระทบอย่างต่อเนื่องต่อการผลิตน้ำมันของสหรัฐในอ่าวเม็กซิโก โดยสำนักงานความปลอดภัยและการบังคับใช้ทางสิ่งแวดล้อม (BSEE) ของสหรัฐรายงานในวันจันทร์ว่า ยังคงมีการปิดการผลิตน้ำมันดิบกว่า 12% และมีการปิดการผลิตก๊าซธรรมชาติราว 16% ของสหรัฐในอ่าวเม็กซิโก โดยเป็นผลจากพายุเฮอริเคนฟรานซีน และปัจจัยบวกนี้ก็ช่วยบดบังแรงกดดันที่ราคาน้ำมันได้รับจากความกังวลเรื่องอุปสงค์น้ำมันในจีน นอกจากนี้ นักลงทุนก็รอดูผลการประชุมกำหนดนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 17-18 ก.ย.ด้วย ทั้งนี้ ราคาน้ำมันได้รับแรงกดดันจากตัวเลขเศรษฐกิจที่อ่อนแอของจีนในช่วงสุดสัปดาห์ ที่ผ่านมา ในขณะที่จีนถือเป็นประเทศผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่ที่สุดในโลก โดยจีนรายงานว่า ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของจีนเติบโตเพียง 4.5% ในเดือนส.ค.เมื่อเทียบรายปี ซึ่งถือเป็นอัตราการเติบโตที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค. หรือต่ำที่สุดในรอบ 5 เดือน โดยชะลอตัวลงจาก +5.1% ในเดือนก.ค. ในขณะที่ยอดค้าปลีกของจีนปรับขึ้นเพียง 2.1% ในดือนส.ค. โดยชะลอตัวลงจาก +2.7% ในเดือนก.ค. ทางด้านปริมาณการกลั่นน้ำมันในจีนดิ่งลง 6.2% ในเดือนส.ค.เมื่อเทียบรายปี โดยดิ่งลงเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกัน ในขณะที่มีการนำน้ำมันดิบเข้ากลั่นเพียง 59.07 ล้านตันในเดือนส.ค. หรือ 13.91 ล้านบาร์เรลต่อวัน โดยดิ่งลงจาก 15.23 ล้านบาร์เรลต่อวันในเดือนส.ค.ปีที่แล้ว Eikon source text
ราคาน้ำมันดิบสหรัฐส่งมอบเดือนต.ค.ทะยานขึ้น 1.44 ดอลลาร์ หรือ 2.1% มาปิดตลาดที่ 70.09 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในวันจันทร์ หลังจากพุ่งขึ้นราว 1% ในสัปดาห์ที่แล้ว แต่ยังคงอยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของเดือนส.ค.ที่ 75.43 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนพ.ย.ที่ตลาดกรุงลอนดอนพุ่งขึ้น 1.14 ดอลลาร์ หรือ 1.59% มาปิดตลาดที่ 72.75 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในวันจันทร์ หลังจากพุ่งขึ้นราว 1% ในสัปดาห์ที่แล้ว แต่ยังคงอยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของเดือนส.ค.ที่ 78.88 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาทองสปอตที่ตลาดสหรัฐปรับขึ้น 6.08 ดอลลาร์ สู่ 2,582.58 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงท้ายตลาดวันจันทร์ หลังจากพุ่งขึ้นแตะสถิติสูงสุดใหม่ในระหว่างวันที่ 2,589.59 ดอลลาร์ โดยราคาทองได้รับแรงหนุนจากการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐ และจากการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.50% ในการประชุมวันที่ 17-18 ก.ย. Eikon source text
--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
3 ก.ย.--รอยเตอร์
มูลค่าในตลาดของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ของสหรัฐดิ่งลงในเดือนส.ค. ในขณะที่มีความกังวลเรื่องต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นในการวางโครงสร้างพื้นฐานด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) และความกังวลเรื่องภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐ โดยนักลงทุนมองว่าหุ้นกลุ่มนี้อาจจะได้รับผลกระทบมากเป็นพิเศษ ถ้าหากตลาดหุ้นปรับฐานลงในอนาคต ทั้งนี้ มูลค่าในตลาดของบริษัทแอลฟาเบทของสหรัฐดิ่งลง 4.7% ในเดือนส.ค. โดยได้รับแรงกดดันจากปัจจัยหลายประการ ซึ่งรวมถึงการชะลอตัวลงของยอดขายโฆษณาในยูทูบ, การที่ผู้พิพากษาในสหรัฐตัดสินว่า กูเกิลละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาด และการแข่งขันกับบริษัทโอเพนเอไอ ในขณะที่โอเพนเอไอกำลังพัฒนาตัวจำลองต้นแบบสำหรับโปรแกรมค้นหาข้อมูลออนไลน์ที่ใช้ AI โดยมูลค่าของแอลฟาเบทดิ่งลง 9.978 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนส.ค. สู่ 2.0209 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงสิ้นเดือนส.ค.
แอลฟาเบทถือเป็นบริษัทที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก โดยรองจากแอปเปิลที่มีมูลค่า 3.4818 ล้านล้านดอลลาร์, ไมโครซอฟท์ที่มีขนาด 3.1006 ล้านล้านดอลลาร์ และเอ็นวิเดียที่มีขนาด 2.9282 ล้านล้านดอลลาร์ ทั้งนี้ บริษัทขนาดยักษ์อีกแห่งที่มีมูลค่าดิ่งลงอย่างรุนแรงในเดือนส.ค. คืออะเมซอนดอทคอมที่มีมูลค่าในตลาดดิ่งลง 4.5% โดยได้รับผลกระทบจากยอดขายออนไลน์ที่ชะลอตัวลง โดยมูลค่าของอะเมซอนรูดลง 8.9 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนส.ค. สู่ 1.8735 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงสิ้นเดือนส.ค.
มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดของเทสลาดิ่งลง 7.7% ในเดือนส.ค. หลังจากเทสลาเปิดเผยผลกำไรที่อ่อนแอลงในไตรมาสสอง และหลังจากมีข่าวว่าแคนาดาวางแผนจะเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 100% จากรถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในจีน โดยเทสลาซึ่งถือเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก ได้เริ่มต้นส่งออกรถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในนครเซี่ยงไฮ้ไปสู่แคนาดาในปีที่แล้ว โดยมูลค่าของเทสลาดิ่งลง 5.728 หมื่นล้านดอลลาร์ สู่ 6.828 แสนล้านดอลลาร์ในช่วงปลายเดือนส.ค. ทั้งนี้ มูลค่าในตลาดของเอ็นวิเดียดิ่งลง 7.7% ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนส.ค. สู่ 2.92 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงสิ้นเดือนส.ค. หลังจากเอ็นวิเดียคาดว่า อัตราผลกำไรขั้นต้นจะอยู่ที่ 75% ในไตรมาสสาม ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ 75.5% และเอ็นวิเดียรายงานว่า รายได้พุ่งขึ้น 122% ในไตรมาสสองเมื่อเทียบรายปี หลังจากรายได้เคยพุ่งขึ้นกว่า 200% เมื่อเทียบรายปีมาติดต่อกัน 3 ไตรมาส โดยเอ็นวิเดียครองส่วนแบ่งสูงกว่า 80% ในตลาดชิป AI
มูลค่าของบริษัทบางแห่งพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในเดือนส.ค. โดยมูลค่าในตลาดของบริษัทอีไล ลิลลีในกลุ่มผู้ผลิตยาพุ่งขึ้นเกือบ 20% ในเดือนส.ค. หรือพุ่งขึ้นราว 1.4805 แสนล้านดอลลาร์ สู่ 9.124 แสนล้านดอลลาร์ในช่วงสิ้นเดือนส.ค. โดยได้รับแรงหนุนจากยอดขายที่แข็งแกร่ง และจากการเปิดตัวยาลดน้ำหนักที่ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวานประเภท 2 ในผู้ใหญ่ที่มีน้ำหนักเกิน ทั้งนี้ มูลค่าในตลาดของบริษัทเบิร์คเชียร์ แฮทธาเวย์ของนายวอร์เรน บัฟเฟตต์พุ่งขึ้นมาปิดตลาดเหนือระดับ 1 ล้านล้านดอลลาร์ได้เป็นครั้งแรกในช่วงสิ้นเดือนส.ค. โดยได้รับแรงหนุนจากความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อบริษัทนี้ ในขณะที่นักลงทุนหลายรายมองว่าบริษัทนี้เหมือนเป็นตัวแทนของเศรษฐกิจสหรัฐ โดยมูลค่าของเบิร์คเชียร์พุ่งขึ้น 8.062 หมื่นล้านดอลลาร์ สู่ 1.0264 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงสิ้นเดือนส.ค.
มูลค่าในตลาดของบริษัทเมตา แพลตฟอร์มส์พุ่งขึ้นเกือบ 10% ในเดือนส.ค. หลังจากเมตารายงานว่า รายได้ไตรมาสสองอยู่สูงเกินคาด และเมตาคาดการณ์ว่า รายได้จะเติบโตอย่างแข็งแกร่งในไตรมาสเดือนก.ค.-ก.ย. โดยสิ่งนี้บ่งชี้ว่า รายได้จากโฆษณาดิจิทัลที่แข็งแกร่งในแพลตฟอร์มของเมตาจะสามารถชดเชยต้นทุนจากการลงทุนใน AI ทั้งนี้ มูลค่าของเมตาพุ่งขึ้น 1.1759 แสนล้านดอลลาร์ สู่ 1.3188 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงสิ้นเดือนส.ค.--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;










รูเปียห์ และเปโซอ่อนค่ามากที่สุดในบรรดาสกุลเงินตลาดเกิดใหม่ในเอเชียในวันนี้ ขณะที่สถานการณ์ตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลางลดความต้องการสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก ซึ่งทำให้นักลงทุนเข้าซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย อาทิ ดอลลาร์
ความวิตกว่าข้อพิพาทจะรุนแรงขึ้นหลังจากการโจมตีด้วยขีปนาวุธของอิสราเอลและกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้สกัดกั้นความเชื่อมั่นที่สดใสของนักลงทุน หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณว่าพร้อมจะลดอัตราดอกเบี้ย
เปโซอ่อนค่าลงถึง 0.5% และปรับตัวลงระหว่างวันมากที่สุดในรอบเกือบ 2 สัปดาห์ ขณะที่ริงกิตอ่อนค่าถึง 0.8% ส่วนบาท, ริงกิต และดอลลาร์ไต้หวันอ่อนค่า 0.1-0.3%
นักวิเคราะห์ยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อค่าเงินบาท โดยเมย์แบงก์เชื่อว่า มีโอกาสน้อยลงที่บาทจะอ่อนค่าลงอีก ขณะที่บาร์เคลย์สระบุว่า การท่องเที่ยวที่ขยายตัวมากขึ้นจะหนุนค่าเงินบาทอีก "เรามีมุมมองเชิงบวกต่อค่าเงินบาท และมองเห็นโอกาสที่บาทจะแข็งค่าอีกในช่วงไม่กี่เดือนข้างหน้าเนื่องจากค่าความเสี่ยงทางการเมือง/ารคลังลดลง, ฤดูกาลการท่องเที่ยว, ราคาทองที่ปรับตัวขึ้น"
อัตราแลกเปลี่ยน ณ เวลา 11.14 น.ตามเวลาไทย
COUNTRY | FX RIC | FX DAILY % | FX YTD % |
Japan | JPY= | -0.11 | -2.50 |
China | CNY=CFXS | -0.02 | -0.35 |
India | INR=IN | -0.04 | -0.87 |
Indonesia | IDR= | -0.36 | -0.55 |
Malaysia | MYR= | -0.14 | +5.49 |
Philippines | PHP= | -0.41 | -1.50 |
S.Korea | KRW=KFTC | -0.02 | -3.17 |
Singapore | SGD= | +0.05 | +1.21 |
Taiwan | TWD=TP | -0.31 | -3.70 |
Thailand | THB=TH | -0.12 | +0.47 |
Eikon source text
21 ส.ค.--รอยเตอร์
รอยเตอร์ได้สำรวจความเห็นนักยุทธศาสตร์การลงทุนหุ้น, นักวิเคราะห์, โบรกเกอร์ และผู้จัดการพอร์ตลงทุนเป็นจำนวนรวมกัน 41 รายในวันที่ 8-20 ส.ค. และได้เปิดเผยผลสำรวจออกมาเมื่อวานนี้ โดยผลสำรวจคาดว่า ดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐอาจจะปิดตลาดสิ้นปี 2024 ที่ 5,600 ซึ่งใกล้เคียงกับระดับปิดวันอังคารที่ 5,597.12 และสิ่งนี้บ่งชี้ว่า การพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งของตลาดหุ้นสหรัฐในช่วงที่ผ่านมาเพราะกระแสความนิยมในปัญญาประดิษฐ์ (AI) อาจจะชะลอตัวลงในช่วงต่อจากนี้ นอกจากนี้ ผลสำรวจยังคาดการณ์อีกด้วยว่า ดัชนี S&P 500 จะอยู่ที่ 5,900 ในช่วงสิ้นปีหน้า ซึ่งเท่ากับว่าดัชนีอาจจะพุ่งขึ้น 5.36% ในปีหน้า
ดัชนี S&P 500 เพิ่งทำสถิติระดับปิดสูงสุดใหม่ในวันที่ 16 ก.ค. และหลังจากนั้นดัชนีก็ปรับลงราว 1% จากสถิติระดับปิดดังกล่าว แต่ดัชนีก็ยังคงพุ่งขึ้นมาแล้วราว 17% จากช่วงต้นปีนี้ โดยได้รับแรงหนุนจากการทะยานขึ้นอย่างแข็งแกร่งของหุ้นบริษัทบางแห่งที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี AI ซึ่งรวมถึงหุ้นบริษัทเอ็นวิเดียและบริษัทไมโครซอฟท์ โดยหุ้นเอ็นวิเดียซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตชิปทะยานขึ้นมาแล้ว 158% จากช่วงต้นปีนี้ และนักวิเคราะห์คาดว่า เอ็นวิเดียอาจจะรายงานในสัปดาห์หน้าว่า รายได้สุทธิไตรมาสล่าสุดพุ่งขึ้นกว่า 2 เท่า
อย่างไรก็ดี นักลงทุนกังวลกับการที่บริษัทแอลฟาเบท, ไมโครซอฟท์ และเมตา แพลตฟอร์มส์ใช้เงินจำนวนมากในการลงทุนเพื่อวางโครงสร้างพื้นฐาน AI โดยนายแดเนียล มอร์แกน ผู้จัดการพอร์ตลงทุนของบริษัทไซโนวุส ทรัสต์ระบุว่า "กระแสความนิยมใน AI กำลังชะลอตัวลง และตลาดหุ้นเริ่มปรับตัวรับความเป็นไปได้ที่ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) จะชะลอตัวลง" และเขากล่าวเตือนว่ามูลค่าหุ้นอยู่ในระดับที่สูงมาก ดังนั้นปัจจัยลบเพียงเล็กน้อยก็อาจจะส่งผลให้ราคาหุ้นดิ่งลงได้ ทั้งนี้ ดัชนี S&P 500 มีค่าพีอีเรโชอยู่ที่ 21 เท่าของคาดการณ์ผลกำไรในตอนนี้ ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะ 10 ปีที่ระดับ 18 เท่าของคาดการณ์ผลกำไร
นักลงทุนจับตาดูปัจจัยหลายประการที่สร้างความไม่แน่นอนในช่วงนี้ ซึ่งรวมถึงการเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐในวันที่ 5 พ.ย. ในขณะที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ และกมลา แฮร์ริส ซึ่งเป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐได้รับคะแนนนิยมจากประชาชนในระดับที่สูสีกัน, ภาวะปั่นป่วนวุ่นวายในภูมิภาคตะวันออกกลาง และประเด็นที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมากเพียงใด โดยปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้การคาดการณ์แนวโน้มตลาดหุ้นเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก ทั้งนี้ เทรดเดอร์คาดการณ์ในวันนี้ว่า มีโอกาส 34.5% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.50% สู่ 4.75-5.00% ในการประชุมกำหนดนโยบายในวันที่ 17-18 ก.ย. และคาดว่ามีโอกาส 65.5% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% สู่ 5.00-5.25% ในการประชุมกำหนดนโยบายในวันที่ 17-18 ก.ย. โดยเทรดเดอร์คาดการณ์อีกด้วยว่า เฟดอาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงรวมกันราว 0.99% ในปีนี้
ผู้ตอบโพลล์กว่าครึ่งหนึ่งคาดว่า ตลาดหุ้นมีแนวโน้มที่จะปรับฐานลงอย่างน้อย 10% ก่อนสิ้นเดือนก.ย. และผู้ตอบโพลล์กว่าครึ่งหนึ่งคาดว่า ผลกำไรภาคเอกชนจะอยู่สูงเกินคาดจนถึงสิ้นปี 2024 ทั้งนี้ ถึงแม้กระแสความนิยมใน AI ช่วยหนุนตลาดหุ้นสหรัฐให้พุ่งขึ้นในช่วงต้นปีนี้ หุ้นหลายกลุ่มในสหรัฐก็ปรับขึ้นอย่างอ่อนแอ โดยดัชนีหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย, ดัชนีหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ และดัชนีหุ้นกลุ่มวัสดุปรับขึ้นราว 5% จากช่วงต้นปีนี้--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
เครื่องมือออกแบบโปสเตอร์
โครงการพันธมิตร
ความเสี่ยงของการสูญเสียในการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น หุ้น FX สินค้าโภคภัณฑ์ ฟิวเจอร์ส พันธบัตร ETFs หรือเงินดิจิทัลอาจมีมาก คุณอาจสูญเสียเงินทุนทั้งหมดที่คุณฝากไว้กับโบรกเกอร์ของคุณ ดังนั้น คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบว่าการซื้อขายดังกล่าวเหมาะสมกับคุณหรือไม่ในสถานการณ์และทรัพยากรทางการเงินของคุณ
ไม่ควรตัดสินใจลงทุนโดยไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบสถานะอย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วยตัวเองหรือปรึกษากับที่ปรึกษาทางการเงินของคุณ เนื้อหาเว็บของเราอาจไม่เหมาะกับคุณเนื่องจากเราไม่ทราบเงื่อนไขทางการเงินและความต้องการในการลงทุนของคุณ ข้อมูลทางการเงินของเราอาจมีความล่าช้าหรือมีความไม่ถูกต้อง ดังนั้นคุณควรรับผิดชอบอย่างเต็มที่ต่อการตัดสินใจซื้อขายและการลงทุนของคุณ บริษัทจะไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียเงินทุนของคุณ
หากไม่ได้รับอนุญาตจากเว็บไซต์ คุณจะไม่สามารถคัดลอกกราฟิก ข้อความ หรือเครื่องหมายการค้าของเว็บไซต์ได้ สิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาในเนื้อหาหรือข้อมูลที่รวมอยู่ในเว็บไซต์นี้เป็นของผู้ให้บริการและผู้ค้าแลกเปลี่ยน
ไม่ได้ล็อกอิน
เข้าสู่ระบบเพื่อเข้าถึงฟังก์ชั่นเพิ่มเติม

สมาชิก FastBull
ยังไม่ได้เปิด
สมัคร
เข้าสู่ระบบ
ลงทะเบียน