ตลาด
ข่าวสาร
การวิเคราะห์
ผู้ใช้
24x7
ปฏิทินเศรษฐกิจ
แหล่งเรียนรู้
ข้อมูล
- ชื่อ
- ค่าล่าสุด
- ครั้งก่อน












สัญญาณ VIP
ทั้งหมด
ทั้งหมด



ฝรั่งเศส อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยการประมูลหนี้ OAT 10-ปีค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน ดัชนียอดค้าปลีก YoY (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
บราซิล GDP YoY (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา จำนวนการปลดพนักงานบริษัทชาเลนเจอร์ เกรย์ และคริสต์มาส YoY (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การเลิกจ้างพนักงานบริษัทชาเลนเจอร์ เกรย์ และคริสต์มาส MoM (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การเลิกจ้างพนักงานบริษัทชาเลนเจอร์ เกรย์ และคริสต์มาส YoY (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ค่าเฉลี่ยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก4 สัปดาห์ (SA)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์ (SA)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานต่อรายสัปดาห์ (SA)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา Ivey PMI (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา Ivey PMI (Not SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา คำสั่งซื้อสินค้าคงทนนอกกระทรวงกลาโหมที่ได้แก้ไข MoM (ไม่รวมเครื่องบิน)(SA) (ก.ย.)ค:--
ค: --
สหรัฐอเมริกา คำสั่งซื้อโรงงาน MoM(ยกเว้นการขนส่ง) (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา คำสั่งซื้อโรงงาน MoM (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา คำสั่งซื้อโรงงาน MoM(ยกเว้นภาคกลาโหม) (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การเปลี่ยนแปลงสต็อกก๊าซธรรมชาติประจำสัปดาห์ของ EIAค:--
ค: --
ค: --
ซาอุดิอาระเบีย การผลิตน้ำมันดิบค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การถือครองธนารักษ์สหรัฐฯของธนาคารกลางต่างประเทศรายสัปดาห์ค:--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น เงินตราที่ใช้เป็นทุนสำรอง (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย อัตราขายคืนค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย ดอกเบี้ยอ้างอิงค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย อัตราขายคืนค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย อัตราเงินสดสำรองค:--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น อินดิเคเตอร์ชั้นนำเบื้องต้น (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหราชอาณาจักร ดัชนีราคาที่อยู่อาศัย Halifax YoY (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหราชอาณาจักร ดัชนีราคาที่อยู่อาศัย Halifax MoM (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส บัญชีเดินสะพัด (Not SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส ดุลการค้า (SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส การผลิตภาคอุตสาหกรรม MoM(SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
อิตาลี ดัชนียอดค้าปลีก MoM (SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงาน YoY (SA) (ไตรมาส 3)--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน GDP Final YoY (ไตรมาส 3)--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน GDP Final QoQ (ไตรมาส 3)--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงาน QoQ (SA) (ไตรมาส 3)--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงานสุดท้าย (SA) (ไตรมาส 3)--
ค: --
บราซิล PPI MoM (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
เม็กซิโก ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา อัตราการว่างงาน (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา อัตราการมีส่วนร่วมในการจ้างงาน (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงาน (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงานนอกเวลา (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงานเต็มเวลา (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา รายได้ส่วนบุคคล MoM (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาธนาคารกลางรัฐดัลลาส สหรัฐอเมริกา PCE YoY (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคา PCE YoY (SA) (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคา PCE MoM (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา รายจ่ายส่วนบุคคล MoM(SA) (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาPCEหลักMoM (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา เงินเฟ้อเบื้องต้น UMich 5-YearYoY (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาPCEหลักYoY (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ค่าใช้จ่ายการบริโภคส่วนบุคคลที่จริง MoM (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การคาดการณ์เงินเฟ้อ 5-10 ปี (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีสถานภาพเบื้องต้น UMich ปัจจุบัน (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้น UMich (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อล่วงหน้า 1 ปี UMich (เบื้องต้น) (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีความคาดหวังผู้บริโภค UMich (เบื้องต้น) (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ปริมาณเครื่องเจาะทั้งหมดรายสัปดาห์--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ปริมาณเครื่องเจาะน้ำมันทั้งหมดรายสัปดาห์--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา สินเชื่ออุปโภคบริโภค (SA) (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ เงินตราที่ใช้เป็นทุนสำรอง (พ.ย.)--
ค: --
ค: --


ไม่มีข้อมูลที่ตรงกัน
ทัศนคติล่าสุด
ทัศนคติล่าสุด
หัวข้อยอดนิยม
คอลัมนิสต์ยอดนิยม
อัปเดตล่าสุด
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
ดูผลการค้นหาทั้งหมด

ไม่มีข้อมูล








ลอนดอน--29 พ.ย.--รอยเตอร์
ตลาดการเงินทั่วโลกในเดือนพ.ย.ได้รับผลกระทบจาก Trump trades หรือการลงทุนตามการคาดการณ์ที่ว่า สินทรัพย์ใดบ้างที่อาจจะได้รับผลกระทบในทางบวกหรือลบจากนโยบายต่าง ๆ ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ โดยตลาดแรกที่ได้รับผลกระทบคือตลาดปริวรรตเงินตราต่างประเทศ โดยยูโรดิ่งลงมาแล้ว 2.88% จาก 1.0883 ดอลลาร์สหรัฐในช่วงสิ้นเดือนต.ค. สู่ 1.0570 ดอลลาร์ในวันนี้ หลังจากรูดลงแตะ 1.0333 ดอลลาร์ในวันศุกร์ที่ 22 พ.ย. ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 30 พ.ย. 2022 หรือจุดต่ำสุดรอบ 2 ปี โดยยูโรอาจจะปิดตลาดเดือนพ.ย.ด้วยการดิ่งลงรายเดือนครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ต้นปี 2022 ในขณะที่ยูโรได้รับแรงกดดันจากความเสี่ยงด้านภาษีศุลกากรของสหรัฐ, จากปัญหาทางการเมืองในฝรั่งเศสและเยอรมนี และจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำอย่างรุนแรงในยูโรโซน ทางด้านนักวิเคราะห์คาดว่า ตลาดปริวรรตเงินตราที่มีขนาด 7.5 ล้านล้านดอลลาร์ต่อวันจะแกว่งตัวผันผวนต่อไป ในขณะที่นักลงทุนไม่แน่ใจว่า ยูโรจะดิ่งลงจนถึงระดับใด และไม่แน่ใจว่ามาตรการของนายทรัมป์จะช่วยหนุนเศรษฐกิจสหรัฐได้จริงหรือไม่ ทั้งนี้ สกุลเงินอื่น ๆ แกว่งตัวผันผวนด้วยเช่นกันในเดือนพ.ย. โดยเปโซของเม็กซิโกดิ่งลง 2.09% จาก 20.012 เปโซต่อดอลลาร์สหรัฐในช่วงสิ้นเดือนต.ค. สู่ 20.430 เปโซต่อดอลลาร์ในวันนี้ ส่วนปอนด์รูดลง 1.48% จาก 1.2899 ดอลลาร์สหรัฐในช่วงสิ้นเดือนต.ค. สู่ 1.2708 ดอลลาร์ในวันนี้ ทางด้านหยวนในตลาดต่างประเทศดิ่งลง 1.63% จาก 7.1211 หยวนต่อดอลลาร์ในช่วงสิ้นเดือนต.ค. สู่ 7.2370 หยวนต่อดอลลาร์ในวันนี้ โดยหยวนอาจจะปิดตลาดเดือนพ.ย.ด้วยการดิ่งลงรายเดือนครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนส.ค. 2023
ตลาดที่สองที่ได้รับผลกระทบอย่างมากจากนายทรัมป์ในเดือนพ.ย.คือตลาดบิทคอยน์ โดยบิทคอยน์พุ่งขึ้น 38% จาก 69,927 ดอลลาร์ในช่วงสิ้นเดือนต.ค. สู่ 96,380 ดอลลาร์ในวันนี้ หลังจากทะยานขึ้นแตะสถิติสูงสุดใหม่ที่ 99,830 ดอลลาร์ในวันที่ 22 พ.ย. โดยบิทคอยน์ได้รับแรงหนุนจากความคาดหวังที่ว่า นายทรัมป์จะผ่อนคลายกฎระเบียบด้านสกุลเงินคริปโต ทั้งนี้ นักวิเคราะห์บางรายมองว่า ถ้าหากบิทคอยน์สามารถพุ่งขึ้นแตะระดับ 100,000 ดอลลาร์ได้ในอนาคต สิ่งนี้ก็จะบ่งชี้ว่าบิทคอยน์ได้กลายเป็นการลงทุนกระแสหลักแล้ว โดยนายแดน โคทส์เวิร์ธ นักวิเคราะห์การลงทุนของบริษัทเอเจ เบลล์ระบุว่า "ถ้าหากบิทคอยน์ทะยานขึ้นเหนือระดับ 100,000 ดอลลาร์ ก็จะมีนักลงทุนจำนวนมากยิ่งขึ้นที่สนใจจะเข้ามาลงทุนในบิทคอยน์" อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์รายอื่น ๆ มองว่า มีความเสี่ยงจากการเก็งกำไรมากเกินไป ซึ่งนั่นหมายความว่า เป็นเรื่องง่ายที่บิทคอยน์อาจจะดิ่งลงอย่างรุนแรงหลังจากพุ่งขึ้นในช่วงที่ผ่านมา
ตลาดที่ 3 ที่ได้รับผลกระทบ คือหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีของสหรัฐ โดยดัชนี Nasdaq 100 ที่ครอบคลุมหุ้นหลายตัวในกลุ่มนี้พุ่งขึ้นสูงมากในเดือนพ.ย. ในขณะที่หุ้นบริษัทเทสลาของนายอีลอน มัสก์ ซึ่งเป็นผู้ให้การสนับสนุนนายทรัมป์พุ่งขึ้น 33% และหุ้นบริษัทเอ็นวิเดียที่เป็นผู้ผลิตชิปทะยานขึ้น 1.94% สู่ 135.34 ดอลลาร์ในเดือนพ.ย. ถึงแม้เอ็นวิเดียคาดการณ์ว่ายอดขายจะชะลอการเติบโต อย่างไรก็ดี ภาคเทคโนโลยีกำลังเผชิญกับความเสี่ยง เพราะว่าแผนภาษีศุลกากรของนายทรัมป์เป็นภัยคุกคามต่อห่วงโซ่อุปทาน และนักลงทุนก็กังวลกับการที่บริษัทศูนย์ข้อมูลขนาดยักษ์ อย่างเช่นไมโครซอฟท์, เมตา แพลตฟอร์มส์ และอะเมซอน ลงทุนในปัญญาประดิษฐ์ (AI) เป็นเงินจำนวนมากด้วย ซึ่งอาจจะนำไปสู่การลงทุนที่มากเกินไป ทั้งนี้ ธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ประกาศเตือนในสัปดาห์ที่แล้วว่า ตลาดทั่วโลกจะได้รับผลกระทบในทางลบ ถ้าหากเกิดภาวะฟองสบู่แตกใน AI และหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีดิ่งลงอย่างรุนแรง
ตลาดที่ 4 ที่ได้รับผลกระทบคือหุ้นกลุ่มธนาคาร ในขณะที่นักลงทุนชื่นชอบหุ้นธนาคารขนาดใหญ่ของสหรัฐ แต่เทขายหุ้นกลุ่มธนาคารของยุโรป โดยดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารของสหรัฐพุ่งขึ้น 13% ในเดือนพ.ย. ซึ่งถือเป็นการพุ่งขึ้นรายเดือนครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 1 ปี โดยได้รับแรงหนุนจากความคาดหวังที่ว่า นายทรัมป์จะผ่อนคลายกฎระเบียบ อย่างไรก็ดี ดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารของยุโรปดิ่งลง 5% ในเดือนพ.ย. โดยได้รับแรงกดดันจากความอ่อนแอทางเศรษฐกิจในยุโรป และความอ่อนแอดังกล่าวกระตุ้นการคาดการณ์เรื่องการปรับลดอัตราดอกเบี้ย แต่ดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารของยุโรปยังคงพุ่งขึ้นมาแล้ว 16% จากช่วงต้นปีนี้ โดยได้รับแรงหนุนจากอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ทั้งนี้ กองทุนเฮดจ์ฟันด์ยังคงขายสุทธิหุ้นกลุ่มธนาคารของยุโรป ส่วนธนาคารดอยช์ แบงก์ระบุว่า ภาคธนาคารจำเป็นจะต้องปรับเพิ่มกิจกรรมที่คิดค่าธรรมเนียม ซึ่งรวมถึงการบริหารสินทรัพย์, การบริหารความมั่งคั่ง, การทำข้อตกลงทางธุรกิจ และวาณิชธนกิจ
ตลาดที่ 5 ที่ได้รับผลกระทบคือตลาดพันธบัตรรัฐบาล โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีขยับลงเล็กน้อยในเดือนพ.ย. โดยปรับลงจาก 4.284% ในช่วงสิ้นเดือนต.ค. สู่ 4.242% ในช่วงท้ายวันพุธ แต่อัตราผลตอบแทนพุ่งขึ้นมาแล้ว 0.60% นับตั้งแต่กลางเดือนก.ย. โดยได้รับแรงหนุนจากตัวเลขเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งในสหรัฐ, จากการคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น และจากการคาดการณ์ที่ว่าจะมีการดำเนินนโยบายการคลังแบบขาดดุลในยุคของประธานาธิบดีทรัมป์ ทางด้านบริษัทแคปิตัล อิโคโนมิคส์คาดว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐอาจจะพุ่งขึ้นสู่ 4.5% ก่อนสิ้นปีนี้ ทั้งนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลเยอรมนีประเภทอายุ 10 ปีดิ่งลงมาแล้ว 0.266% ในเดือนพ.ย. โดยดิ่งลงจาก 2.392% ในช่วงสิ้นเดือนต.ค. สู่ 2.126% ในช่วงท้ายวานนี้ ซึ่งถือเป็นการดิ่งลงรายเดือนครั้งใหญ่ที่สุดในปี 2024 โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรเยอรมนีได้รับแรงกดดันจากความอ่อนแอทางเศรษฐกิจ, จากแผนการด้านภาษีศุลกากรของนายทรัมป์ และจากสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนที่ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ทางด้านอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นประเภทอายุ 10 ปีพุ่งขึ้น 0.115% ในเดือนพ.ย. โดยพุ่งขึ้นจาก 0.935% ในช่วงสิ้นเดือนต.ค. สู่ 1.050% ในวันนี้ ในขณะที่การดิ่งลงของเยนในช่วงหลังการเลือกตั้งสหรัฐกระตุ้นให้นักลงทุนคาดการณ์กันว่า ธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) อาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 18-19 ธ.ค.--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--27 พ.ย.--รอยเตอร์
รอยเตอร์ได้สำรวจความเห็นนักยุทธศาสตร์การลงทุนหุ้น, นักวิเคราะห์, โบรกเกอร์ และผู้จัดการพอร์ตลงทุนเป็นจำนวนรวมกัน 48 รายในวันที่ 15-26 พ.ย. และได้เปิดเผยผลสำรวจออกมาเมื่อวานนี้ โดยผลสำรวจคาดว่า ดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐอาจจะปิดตลาดสิ้นปี 2025 ที่ระดับ 6,500 ซึ่งเท่ากับว่าดัชนีอาจจะพุ่งขึ้นอีกราว 8.5% จากระดับปิดวันจันทร์ที่ 5,987.37 โดยตัวเลขคาดการณ์ใหม่นี้อยู่สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์เดิมที่ระดับ 5,900 ที่เคยคาดไว้ในโพลล์เดือนส.ค. ทั้งนี้ โพลล์คาดว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ของตลาดหุ้นสหรัฐอาจจะปิดตลาดสิ้นปี 2025 ที่ 46,600 หรือเท่ากับว่าดัชนีอาจจะทะยานขึ้นอีก 4.17% จากระดับปิดวันจันทร์ที่ 44,736.57
ตลาดห้นสหรัฐอาจจะได้รับแรงหนุนจากปัจจัยหลายประการ ซึ่งรวมถึงการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด), นโยบายปรับลดกฎระเบียบของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ และความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของสหรัฐ ซึ่งจะส่งผลดีต่อผลกำไรภาคเอกชน โดยนักยุทธศาสตร์การลงทุนบางรายระบุว่า หุ้นกลุ่มการเงินถือเป็นหนึ่งในกลุ่มที่น่าลงทุนมากที่สุดในปี 2025 โดยได้รับแรงหนุนจากนโยบายปรับลดกฎระเบียบของนายทรัมป์ นอกจากนี้ นักลงทุนบางรายยังคาดการณ์อีกด้วยว่า มาตรการปรับลดภาษีเงินได้และมาตรการปรับลดกฎระเบียบของนายทรัมป์จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐ ซึ่งจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นตามไปด้วย
ดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้นมาแล้วราว 26% จากช่วงต้นปี 2024 โดยได้รับแรงหนุนบางส่วนจากการพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งของหุ้นบริษัทขนาดยักษ์ของสหรัฐท่ามกลางกระแสการแข่งขันในเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งรวมถึงหุ้นบริษัทเอ็นวิเดียและบริษัทไมโครซอฟท์ ทั้งนี้ นายเดวิด คอสติน หัวหน้านักยุทธศาสตร์การลงทุนหุ้นสหรัฐของธนาคารโกลด์แมน แซคส์ คาดการณ์ในรายงานแนวโน้มหุ้นปี 2025 ว่า หุ้นกลุ่ม "Magnificent 7" สำหรับบริษัทขนาดยักษ์ 7 แห่งของสหรัฐ มีแนวโน้มที่จะพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งกว่าตลาดหุ้นโดยรวมในปีหน้า แต่ด้วยส่วนต่างที่หดแคบลงจากเดิมเป็นอย่างมาก โดยบริษัทกลุ่ม "Magnificent 7" นี้ประกอบด้วย บริษัทแอปเปิล, ไมโครซอฟท์, แอลฟาเบท, อะเมซอนดอทคอม, เอ็นวิเดีย, เมตา แพลตฟอร์มส์ และเทสลา นอกจากนี้ นายคอสตินยังคาดการณ์อีกด้วยว่า การเติบโตของผลกำไรภาคเอกชนจะช่วยหนุนดัชนี S&P 500 ให้พุ่งขึ้นสู่ระดับ 6,500 ก่อนสิ้นปีหน้า
นักวิเคราะห์คาดว่า ผลกำไรของบริษัทในดัชนี S&P 500 อาจจะพุ่งขึ้น 14.2% ในปี 2025 หลังจากทะยานขึ้น 10.2% ในปีนี้ ทางด้านค่าพีอีเรโชของบริษัทในดัชนี S&P 500 อยู่ที่ 22.6 เท่าของคาดการณ์ผลกำไรในปัจจุบัน ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีที่ระดับราว 18 เท่าเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ดี แมรี แอนน์ บาร์เทลส์ หัวหน้านักยุทธศาสตร์การลงทุนของบริษัทแซงชัวรี เวลธ์ระบุว่า "เราไม่กังวลกับมูลค่าหุ้น" เพราะว่าผลกำไรและเศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มเติบโต และเพราะว่าธุรกิจสหรัฐอาจจะได้รับแรงหนุนจากรัฐบาลสหรัฐชุดใหม่ของนายทรัมป์ ทั้งนี้ นักลงทุนยังคงกังวลกับความเป็นไปได้ที่อัตราเงินเฟ้ออาจจะดีดสูงขึ้น เพราะว่าปัจจัยดังกล่าวจะส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ไม่สามารถปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงได้มากนัก โดยนายทรัมป์เพิ่งประกาศในวันจันทร์ว่า เขาจะเก็บภาษีนำเข้า 25% จากสินค้าทั้งหมดที่มาจากเม็กซิโกและแคนาดาในวันแรกที่เขาเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี และจะเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มเติมอีก 10% จากสินค้าจีน นอกจากนี้ นักลงทุนก็กังวลกับภาวะปั่นป่วนวุ่นวายในภูมิภาคตะวันออกกลางด้วย
เมื่อได้รับคำถามว่า ตลาดหุ้นสหรัฐมีแนวโน้มที่จะปรับฐานลงอย่างน้อย 10% ในช่วงต้นปีหน้าหรือไม่ ผู้ตอบโพลล์ 8 จาก 17 ราย หรือ 47% ของโพลล์ก็ตอบว่า มีแนวโน้มสูง, ผู้ตอบโพลล์ 2 รายตอบว่า มีแนวโน้มสูงมาก, ผู้ตอบโพลล์ 6 รายตอบว่ามีความเป็นไปได้น้อย และผู้ตอบโพลล์ที่เหลืออีก 1 รายตอบว่า มีความเป็นไปได้น้อยมาก ทั้งนี้ ในบรรดาหุ้นกลุ่มต่าง ๆ ในตลาดหุ้นสหรัฐนั้น ดัชนีหุ้นกลุ่มการเงินพุ่งขึ้นมาแล้วราว 35% จากช่วงต้นปีนี้ และถือเป็นดัชนีหุ้นกลุ่มใหญ่ที่ทะยานขึ้นมากที่สุดในปีนี้ ในขณะที่หุ้นกลุ่มธนาคารได้รับแรงหนุนบางส่วนจากการคาดการณ์ที่ว่า กิจกรรมการควบรวมกิจการจะพุ่งสูงขึ้น ทางด้านดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีของสหรัฐทะยานขึ้นมาแล้ว 33% จากช่วงต้นปีนี้--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
ลอนดอน--21 พ.ย.--รอยเตอร์
นายฟรานเซสโก เกร์เรรา ผู้เขียนคอลัมน์ของรอยเตอร์ระบุว่า การที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐในวันที่ 5 พ.ย.ที่ผ่านมาส่งผลบวกต่อราคาสินทรัพย์หลายประเภท โดยเฉพาะหุ้นสหรัฐ, สกุลเงินคริปโต และดอลลาร์สหรัฐ โดยเป็นผลจากนโยบายต่าง ๆ ของนายทรัมป์ ซึ่งรวมถึงนโยบายปรับลดกฎระเบียบ และนโยบายปรับลดภาษีเงินได้ อย่างไรก็ดี ถ้าหากนโยบายของนายทรัมป์ส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐเติบโตอย่างร้อนแรง ยอดขาดดุลงบประมาณและอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐก็อาจจะพุ่งสูงขึ้น และปัจจัยดังกล่าวจะสร้างความกังวลต่อนักลงทุนในตลาดพันธบัตร และนักลงทุนในตลาดพันธบัตรก็อาจจะเทขายพันธบัตรสหรัฐออกมา ซึ่งจะส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยิลด์) พุ่งสูงขึ้น และปัจจัยดังกล่าวจะส่งผลลบต่อตลาดหุ้นสหรัฐได้ด้วย ทั้งนี้ ปัจจัยสำคัญอันหนึ่งที่ส่งผลให้นายทรัมป์ชนะการเลือกตั้งในครั้งนี้ คือภาวะเงินเฟ้อในสหรัฐ โดยราคาผู้บริโภคในสหรัฐพุ่งขึ้นมาแล้ว 21% เมื่อเทียบกับระดับในช่วงที่ปธน.โจ ไบเดนชนะการเลือกตั้งในช่วงปลายปี 2020 ทางด้านผลสำรวจหน้าคูหาการเลือกตั้งของสถานี NBC ระบุว่า ใน 3 รัฐสำคัญของสหรัฐนั้น ผู้โหวตราว 75% ระบุว่าภาวะเงินเฟ้อสร้างความยากลำบากในระดับปานกลางหรือรุนแรงต่อพวกเขาในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา และผู้โหวตส่วนใหญ่ในกลุ่มนี้ระบุว่า พวกเขาเลือกพรรครีพับลิกันในการเลือกตั้งในวันที่ 5 พ.ย.
นายเกร์เรราระบุว่า นโยบายของนายทรัมป์เองก็มีแนวโน้มที่จะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะนโยบายเก็บภาษีนำเข้าถ้วนหน้าในอัตรา 10% และเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนในอัตรา 60% โดยนายดาริโอ เพอร์กินส์จากบริษัททีเอส ลอมบาร์ดระบุว่า มาตรการปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าดังกล่าวจะส่งผลให้อัตราภาษีนำเข้าในสหรัฐพุ่งขึ้นจาก 2% ในปัจจุบัน สู่ระดับราว 17% ซึ่งจะถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่ช่วงหลังจากทศวรรษ 1940 เป็นต้นมา และปัจจัยดังกล่าวจะส่งผลบวกราว 1.3% ต่อดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐ ซึ่งผลกระทบดังกล่าวจะเท่ากับผลกระทบที่เกิดจากการพุ่งขึ้น 20% ของราคาน้ำมัน ทางด้านดัชนี CPI เพิ่งปรับขึ้น 2.6% ในเดือนต.ค.เมื่อเทียบรายปี ทั้งนี้ นักลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐไม่ได้กังวลกับปัจจัยดังกล่าวในช่วงนี้ เพราะว่าดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐพุ่งขึ้นหลังจากนายทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง ในขณะที่นักลงทุนเชื่อว่านายทรัมป์จะดำเนินมาตรการปรับลดกฎระเบียบในวงกว้าง และนโยบายดังกล่าวอาจจะส่งผลให้การควบรวมกิจการเข้าสู่ภาวะเฟื่องฟู โดยการคาดการณ์ในเรื่องนี้มีส่วนช่วยหนุนหุ้นวาณิชธนกิจบางแห่งเป็นอย่างมาก ซึ่งรวมถึงหุ้นบริษัทโมเอลิส และหุ้นบริษัทพีเจที พาร์ทเนอร์สที่พุ่งขึ้นมาแล้วราว 10% นับตั้งแต่วันที่ 5 พ.ย.
ผู้จัดการกองทุนชื่นชอบนโยบายของนายทรัมป์ที่จะปรับลดอัตราภาษีนิติบุคคลลงสู่ 15% จาก 21% โดยการปรับลดอัตราภาษีดังกล่าวจะส่งผลให้ผลกำไรต่อหุ้นของบริษัทสหรัฐโดยเฉลี่ยพุ่งขึ้นไปอีก 4% นอกจากนี้ เทรดเดอร์ก็มองว่าสงครามการค้าอาจจะส่งผลบวกต่อบริษัทขนาดเล็กของสหรัฐด้วย เพราะว่ามาตรการกีดกันทางการค้าจะส่งผลดีต่อบริษัทที่เน้นการทำธุรกิจภายในสหรัฐ โดยการคาดการณ์ในเรื่องนี้มีส่วนช่วยหนุนให้ดัชนี Russell 2000 สำหรับบริษัทขนาดเล็กของสหรัฐพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในช่วงที่ผ่านมา ทั้งนี้ ชัยชนะของนายทรัมป์ส่งผลดีต่อบิทคอยน์ด้วยเช่นกัน โดยบิทคอยน์พุ่งขึ้นแตะสถิติสูงสุดใหม่ที่ 97,902 ดอลลาร์ในวันนี้ โดยทะยานขึ้นมาแล้ว 46.6% จากระดับ 66,776.19 ดอลลาร์ในวันที่ 4 พ.ย. โดยได้รับแรงหนุนจากการที่นายทรัมป์ได้ให้สัญญาว่า เขาจะทำให้สหรัฐกลายเป็น "เมืองหลวงแห่งคริปโตบนดาวเคราะห์ดวงนี้" ทางด้านกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) คาดการณ์ว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของสหรัฐอาจขยายตัว 2.8% ในปีนี้ และ 2.2% ในปี 2025
อย่างไรก็ดี นโยบายของนายทรัมป์อาจจะสร้างความเสียหายต่อการคลังของสหรัฐ โดยคณะกรรมการเพื่องบประมาณของรัฐบาลกลางที่มีความรับผิดชอบประเมินว่า นโยบายของนายทรัมป์จะส่งผลให้ยอดขาดดุลงบประมาณของสหรัฐเพิ่มสูงขึ้นอีก 15.5 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงสิบปีข้างหน้า ในขณะที่ยอดขาดดุลงบประมาณอยู่สูงกว่า 7% ของจีดีพีอยู่แล้วในปัจจุบัน ดังนั้นการที่ยอดขาดดุลงบประมาณจะพุ่งสูงขึ้นไปอีกจึงทำให้เกิดคำถามตามมาว่า ฐานะการคลังของรัฐบาลสหรัฐจะมีความยั่งยืนหรือไม่ ทั้งนี้ นักลงทุนในตลาดพันธบัตรได้แสดงปฏิกิริยาต่อปัจจัยนี้ โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีพุ่งขึ้นจากระดับ 3.6% ในเดือนก.ย. สู่ระดับราว 4.4% ในปัจจุบัน โดยเป็นผลจากปัจจัยสำคัญสองประการ ซึ่งได้แก่ความกังวลที่ว่า เฟดจำเป็นจะต้องตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับสูงเพื่อรับมือกับภาวะเงินเฟ้อ และการที่นักลงทุนต้องการผลตอบแทนที่สูงขึ้นเพื่อชดเชยความเสี่ยงจากระดับหนี้สินที่สูงขึ้นของรัฐบาลสหรัฐ
นักลงทุนบางรายมองว่า ตลาดพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐจะสามารถรับมือกับปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ได้ เพราะว่าดอลลาร์สหรัฐถือเป็นสกุลเงินหลักของโลก และปัจจัยนี้จะส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติต้องการซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐต่อไป อย่างไรก็ดี นายเกร์เรราระบุว่า การพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอาจจะส่งผลลบต่อตลาดหุ้น เพราะว่าการพุ่งขึ้นของบอนด์ยิลด์จะส่งผลให้หุ้นมีความน่าดึงดูดน้อยลง--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;








สกุลเงินตลาดเกิดใหม่ในเอเชียได้รับแรงหนุนบ้างในวันนี้ หลังจากเคลื่อนตัวผันผวนในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา โดยดอลลาร์สิงคโปร์ และบาทแข็งค่าขึ้น ส่วนริงกิตทรงตัว แม้เศรษฐกิจมาเลเซียชะลอตัวในไตรมาส 3 ก็ตาม
นักวิเคราะห์จากพีบีเอสกล่าวว่า "ความหวังที่เกิดขึ้นในช่วงแรกจากการคาดการณ์การลดดอกเบี้ยของสหรัฐราวกลางปีนี้นั้นจางหายไปส่วนใหญ่แล้ว และเมื่อดูจากภูมิหลังที่ท้าทายดังกล่าว ขอบเขตที่ธนาคารกลางในเอเชียจะลดดอกเบี้ยนั้นจึงถูกจำกัดมากขึ้น ขณะที่ความเชื่อมั่นของนักลงทุนเกี่ยวกับตราสารหนี้/อัตราดอกเบี้ยสกุลเงินท้องถิ่นลดลงมากขึ้นด้วย"
ริงกิต และบาทอ่อนค่า 3% และ 3.8% ตามลำดับนับตั้งแต่วันที่ 5 พ.ย. เนื่องจากเศรษฐกิจของมาเลเซียและไทยที่พึ่งพาการค้า โดยเฉพาะกับจีน ทำให้ประเทศเหล่านี้มีความเปราะบางต่ออุปสรรคที่เกี่ยวกับภาษีนำเข้า
บาทแข็งค่า 0.4% ในวันนี้ หลังจากผลสำรวจของรอยเตอร์คาดว่า เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวในอัตราสูงสุดในรอบกว่า 1 ปีในไตรมาส 3
อัตราแลกเปลี่ยน ณ เวลา 12.00 น.ตามเวลาไทย
COUNTRY | FX RIC | FX DAILY % | FX YTD % |
Japan | JPY= | -0.06 | -9.77 |
China | CNY=CFXS | -0.08 | -1.88 |
India | INR=IN | +0.00 | -1.41 |
Indonesia | IDR= | -0.22 | -3.08 |
Malaysia | MYR= | +0.04 | +2.55 |
Philippines | PHP= | -0.02 | -5.88 |
S.Korea | KRW=KFTC | +0.16 | -8.01 |
Singapore | SGD= | +0.15 | -1.84 |
Taiwan | TWD=TP | -0.02 | -5.58 |
Thailand | THB=TH | +0.16 | -2.20 |
Eikon source text






สกุลเงินตลาดเกิดใหม่ในเอเชียส่วนใหญ่อ่อนค่าลงต่อเนื่องในวันนี้ โดยริงกิตร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 3 เดือน เนื่องจากดอลลาร์แข็งค่าแตะระดับสูงสุดในรอบ 1 ปีจากโมเมนตัมที่เกิดขึ้นจากการชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีของนายโดนัลด์ ทรัมป์
ริงกิต, บาท และรูเปียห์ร่วงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 3 เดือน โดยริงกิตร่วงลงเป็นวันที่ 4 ติดต่อกัน
นักวิเคราะห์จากบาร์เคลย์สกล่าวว่า "อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นนานขึ้น และการแข็งค่าของดอลลาร์ดูเหมือนว่ายากที่จะรับมือ แต่ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการลำดับนโยบายต่างๆของนายทรัมป์บ่งชี้ว่า แนวทางดังกล่าวจะไม่เป็นเส้นตรง"
ความเสี่ยงจากการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนและสินค้าเอเชียที่ส่งออกไปยังสหรัฐกลายเป็นเรื่องใหญ่ที่น่าวิตกอีกเรื่องสำหรับตลาดอัตราแลกเปลี่ยนเหล่านี้ ขณะที่มีเงินทุนไหลออกจากมาเลเซียและไทยมากขึ้น เนื่องจากประเทศเหล่านี้มีความเปราะบางต่อความเสี่ยงภาษีนำเข้า โดยริงกิตและบาทร่วงลงราว 4% แล้วนับตั้งแต่ผลการเลือกตั้งสหรัฐ
นักวิเคราะห์จากดีบีเอสกล่าวว่า "อินโดนีเซียและอินเดียมีขับเคลื่อนจากอุปสงค์ในประเทศมากกว่า นักลงทุนจึงมองว่าสามารถฟื้นตัวรับอันตรายจากภาษีนำเข้าได้มากกว่าประเทศอื่นในเอเชีย"
อัตราแลกเปลี่ยน ณ เวลา 11.36 น.ตามเวลาไทย
COUNTRY | FX RIC | FX DAILY % | FX YTD % |
Japan | JPY= | -0.38 | -9.61 |
China | CNY=CFXS | -0.11 | -1.97 |
India | INR=IN | -0.03 | -1.42 |
Indonesia | IDR= | -0.69 | -3.05 |
Malaysia | MYR= | -0.89 | +2.32 |
Philippines | PHP= | -0.16 | -5.81 |
S.Korea | KRW=KFTC | -0.64 | -8.43 |
Singapore | SGD= | -0.18 | -1.94 |
Taiwan | TWD=TP | -0.39 | -5.65 |
Thailand | THB=TH | -0.41 | -2.41 |
Eikon source text
ตลาดการเงินทั่วโลก รวมทั้งหุ้น TESLA หุ้นเรือนจำ หุ้นธนาคารพาณิชย์และ คริปโท ตอบรับชัยชนะของโดนัลด์ ทรัมป์ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐด้วยการปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้จะมีข้อถกเถียงมากมายเกี่ยวกับนโยบายด้านภาษี การค้า และการเข้าเมือง
สำนักข่าวบีบีซี รายงานวันนี้ (13 พ.ย.) ว่า ตลาดการเงินต้อนรับชัยชนะของโดนัลด์ ทรัมป์ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐด้วยการดันดัชนีสินทรัพย์จำนวนมากพุ่งสูงขึ้น
แม้จะมีการถกเถียงอย่างกว้างขวางในประเด็นเรื่องแผนการของทรัมป์การการขึ้นภาษีศุลกากร การลดภาษี และการส่งกลับผู้อพยพครั้งใหญ่ว่าจะส่งผลต่อเศรษฐกิจสหรัฐอย่างไร
หลังจากผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ สภาวะของดัชนีสินทรัพย์ทั่วโลกดูเหมือนจะเริ่มทรงตัว ดัชนีหุ้นสำคัญทั้งสามในสหรัฐปิดตัวในแดนลบเมื่อวันอังคาร หลังจากที่เพิ่มขึ้นประมาณ 5% นับตั้งแต่วันที่ 4 พ.ย. ซึ่งเป็นวันก่อนการเลือกตั้ง
แล้วอนาคตของสินทรัพย์การเงินโลกภายใต้ทรัมป์จะเป็นอย่างไร ?
Tesla
หุ้น Tesla พุ่งขึ้นประมาณ 35% นับตั้งแต่วันที่ 4 พ.ย.
การปรับตัวขึ้นในครั้งนั้นทำให้มูลค่าตลาดของบริษัทฯ กลับมาอยู่เหนือระดับ 1 ล้านล้านดอลลาร์เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2022 และดันความมั่งคั่งของอีลอน มัสก์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) ที่ถือหุ้นประมาณ 13% ในบริษัท มากกว่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์
บทวิเคราะห์ของบีบีซี ระบุว่า การปรับตัวขึ้นทั้งหมดเป็นผลมาจากการที่นักลงทุนคาดการณ์ว่าทำเนียบขาวภายใต้การบริหารงานของโดนัลด์ ทรัมป์จะลดกฎระเบียบการตรวจสอบสมรรถภาพรถยนต์ไฟฟ้าลง เช่น ระบบการขับขี่อัตรโนมัติ
ความสัมพันธ์ระหว่างทรัมป์และมัสก์อาจช่วยให้ Tesla รับมือกับการเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐและจีน ได้อย่างดี เนื่องจากจีนเป็นตลาดที่สำคัญของบริษัทรถยนต์ไฟฟ้าของมัสก์
แม้ว่าทรัมป์คาดว่าจะลดการสนับสนุนจากรัฐบาลสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าอย่าง เครดิตภาษี ทว่านักวิเคราะห์แหล่งข่าวบีบีซีรายงานว่านี่อาจเป็นประโยชน์ต่อ Tesla ซึ่งเป็นผู้นำตลาดในสหรัฐจนทำให้คู่แข่งตามทันได้ยากขึ้น
คริปโทเคอร์เรนซี
ราคาของคริปโทเคอร์เรนซีที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดอย่าง “บิตคอยน์” พุ่งขึ้นมากกว่า 25% สู่ระดับสูงสุดใหม่ตลอดกาลในสัปดาห์นี้หลังชัยชนะของทรัมป์ โดยพุ่งขึ้นเกิน 89,000 ดอลลาร์ในช่วงสั้นๆ
การปรับตัวขึ้นในครั้งนี้ถือเป็นสัญญาณว่านักลงทุนคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่สำหรับอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งเผชิญกับการปราบปรามภายใต้การบริหารของไบเดนจากหน่วยงานกำกับดูแลที่เตือนว่ามีการฉ้อโกงและหลอกลวงอย่างแพร่หลาย
ก่อนหน้านี้ ทรัมป์เคยเรียกคริปโทว่าเข้าข่าย “หลอกลวง” แต่เขาได้เปลี่ยนท่าทีในระหว่างการหาเสียงปีนี้ โดยสัญญาว่าจะทำให้สหรัฐเป็น "เมืองหลวงแห่งคริปโท"
เขากล่าวว่าจะสร้าง "คลังสำรองบิตคอยน์เชิงกลยุทธ์" (Strategic Bitcoin Stockpile) และปลด แกรี เกนสเลอร์ ประธานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (SEC) ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้ทรัมป์ด้วยการดำเนินการทางกฎหมายกับบริษัทต่างๆ ภายใต้กฎหมายการเงินฉบับปัจจุบัน
ที่ผ่านมากลุ่มบริษัทในอุตสาหกรรมคริปโทยืนยันว่า หน่วยงานกำกับดูแลควรใช้กฎหมายที่ออกแบบมาแบบเฉพาะเจาะจงในการกำกับดูแลบริษัทในอุตสาหกรรมคริปโท ทว่าก็ไม่ได้รับการตอบสนองมากนักในรัฐบาลก่อนหน้า ทว่าในสมัยของทรัมป์อาจมีความหวังมากขึ้น
ธนาคาร
หุ้นของธนาคารขนาดใหญ่ที่สุดบางแห่งของอเมริกาปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมากนับตั้งแต่ก่อนการเลือกตั้ง เนื่องจากนักลงทุนเดิมพันว่าบริษัทในอุตสาหกรรมการเงินจะเป็นหนึ่งในผู้ได้รับประโยชน์โดยตรงจากคำมั่นสัญญาของทรัมป์เรื่องการผ่อนคลายกฎระเบียบ
ที่สำคัญ ทรัมป์จะมีส่วนสำคัญในการออกกฎระเบียบล่าสุดที่ว่าด้วยจำนวนเงินสดสำรองที่ธนาคารพาณิชย์ต้องมีสำรองไว้ในกรณีฉุกเฉินเพื่อป้องกันอันตรายจากการเกิดแบงก์รัน
ทรัมป์ยังคาดว่าจะแยกทางกับลินา คาน ประธานคณะกรรมการการค้าของสหรัฐ (Commissioner of the United States Federal Trade Commission) คนปัจจุบัน ซึ่งเป็นที่รู้จักจากมุมมองที่เธอต่อต้านการผูกขาดและก่อนหน้านี้ถูกกล่าวหาว่าทำให้การควบรวมกิจการ (M&A) ซบเซา ซึ่งเครื่องจักรในการหารายได้สำคัญของธนาคาร
หุ้นของ Capital One และ Discover ซึ่งมีการควบรวมกิจการซึ่งอยู่ระหว่างการตรวจสอบโดยหน่วยงานกำกับดูแล พุ่งขึ้นมากกว่า 15% นับตั้งแต่ผลการเลือกตั้ง
ผู้ประกอบการเรือนจำ
หุ้นของบริษัทเรือนจำที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ชั้นนำ GEO Group และ CoreCivic พุ่งขึ้นประมาณ 70% นับตั้งแต่วันที่ 4 พ.ย.
การขยับตัวขึ้นของสินทรัพย์ดังกล่าวชี้ให้เห็นถึงโอกาสใหญ่ที่นักลงทุนมองเห็นสำหรับผู้ประกอบการเรือนจำเอกชน ในขณะที่ทรัมป์สัญญาว่าจะรวบรวมและเนรเทศผู้อพยพนับล้าน
ในปี 2021 ประธานาธิบดีโจ ไบเดน สั่งให้กระทรวงยุติธรรมหยุดทำธุรกิจกับบริษัทเรือนจำเอกชน
แต่ทรัมป์ ซึ่งเคยยกเลิกคำสั่งที่คล้ายคลึงกันในสมัยแรกของเขา คาดว่าจะเปลี่ยนนโยบายนั้นและผลักดันธุรกิจดังกล่าว ท่ามกลางความพยายามของทรัมป์ในการหาพันธมิตรในการดำเนินนโยบายเรื่องการตรวจคนเข้าเมืองและผู้อพยพซึ่งบริษัทเรือนจำอาจเป็นพันธมิตรดังกล่าวได้
ดอลลาร์
ดัชนีค่าเงินดอลลาร์อยู่ในระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. โดยเพิ่มขึ้นมากกว่า 2% ในสัปดาห์ที่ผ่านมา
ทั้งหมดเป็นข่าวดีสำหรับนักท่องเที่ยวชาวอเมริกันที่เดินทางไปต่างประเทศ แต่เป็นสัญญาณที่มีทั้งด้านบวกและด้านลบต่อเศรษฐกิจ
บทวิเคราะห์ของบีบีซี ระบุว่า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความแข็งแกร่งของดอลลาร์เชื่อมโยงกับอัตราดอกเบี้ยอย่างแยกไม่ออกซึ่งนักลงทุนอยู่ในช่วงเดิมพันว่าอาจจะอยู่ในระดับที่สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้
บางส่วนสะท้อนถึงข้อมูลก่อนการเลือกตั้งที่บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐแข็งแกร่งกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้
อย่างไรก็ดี นักลงทุนยังเห็นความเสี่ยงว่าการลดภาษี การลดการเข้าเมือง และอุปสรรคทางการค้าใหม่ๆ อาจทำให้เกิดแรงกดดันต่อเงินเฟ้อต่อไป ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ลังเลที่จะลดอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่อง
ท้ายที่สุด เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เฟดกล่าวถึงคำแนะนำในการประชุมครั้งหน้าไม่มากนัก โดยกล่าวว่ายังเร็วเกินไปที่จะบอกว่านโยบายของทรัมป์จะส่งผลกระทบอย่างไร
อ้างอิง: BBC
ลอนดอน--29 ต.ค.--รอยเตอร์
นักลงทุนทั่วโลกกำลังเข้าซื้อดอลลาร์สหรัฐในช่วงนี้ และนักลงทุนคาดว่าตลาดการเงินจะแกว่งตัวผันผวนมากยิ่งขึ้นในช่วงสัปดาห์นี้และสัปดาห์หน้า ในขณะที่สหรัฐจะจัดการเลือกตั้งประธานาธิบดีในวันที่ 5 พ.ย., ญี่ปุ่นเผชิญกับภาวะชะงักงันทางการเมือง, รัฐบาลพรรคแรงงานของอังกฤษจะนำเสนองบประมาณฉบับแรกในวันที่ 30 ต.ค., ธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) จะจัดการประชุมกำหนดนโยบายในวันที่ 30-31 ต.ค., ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะจัดการประชุมกำหนดนโยบายในวันที่ 6-7 พ.ย. และธนาคารกลางอังกฤษ (บีโออี) จะจัดการประชุมกำหนดนโยบายในวันที่ 7 พ.ย. ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินอยู่ที่ 104.28 ในวันนี้ หลังจากเพิ่งพุ่งขึ้นแตะ 104.57 ในวันพุธที่ 23 ต.ค. ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 30 ก.ค. หรือจุดสูงสุดรอบ 3 เดือน โดยดัชนีดอลลาร์สหรัฐมีแนวโน้มว่าอาจจะปิดตลาดเดือนต.ค.ด้วยการพุ่งขึ้นรายเดือนครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 2 ปีครึ่ง ในขณะที่ดอลลาร์ได้รับแรงหนุนจากตัวเลขเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐ และจากการคาดการณ์ที่ว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์อาจจะชนะการเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐในวันที่ 5 พ.ย.
ตลาดออปชั่นส่งสัญญาณบ่งชี้ว่า นักลงทุนกำลังคาดการณ์กันว่า ระดับความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินและราคาพันธบัตรอาจจะพุ่งขึ้นสูงมากในช่วง 1 เดือนข้างหน้า โดยค่าความผันผวนของยูโรในช่วง 1 เดือนข้างหน้าได้พุ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดรอบ 18 เดือนที่ 8.425 ในวันนี้ ในขณะที่นักลงทุนกังวลว่า นายทรัมป์อาจจะชนะการเลือกตั้ง และเขาจะประกาศปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้า และนโยบายดังกล่าวก็จะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อในสหรัฐปรับสูงขึ้น และจะส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) คงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับสูงต่อไปด้วย ทั้งนี้ ค่าความผันผวนในตลาดพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ซึ่งเป็นตลาดที่มีขนาด 27 ล้านล้านดอลลาร์ ได้พุ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดในรอบเกือบ 1 ปีที่ 130.92 เมื่อวานนี้ ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยิลด์) แกว่งตัวผันผวนในช่วงนี้ตามการคาดการณ์เรื่องแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยเฟด โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีเพิ่งปรับขึ้นจาก 4.232% ในช่วงท้ายวันศุกร์ สู่ 4.278% ในช่วงท้ายวันจันทร์ และทะยานขึ้นแตะ 4.308% ในวันนี้ ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 11 ก.ค. หรือจุดสูงสุดในรอบ 3 เดือนครึ่ง
อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นไม่ได้แกว่งตัวผันผวนมากนัก ในขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐได้รับแรงหนุนจากตัวเลขเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง และผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทสหรัฐ โดยดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐปิดตลาดสัปดาห์ที่แล้วด้วยการปรับลงเพียง 0.96% จากสัปดาห์ก่อนหน้านั้น ก่อนที่จะปิดปรับขึ้น 0.27% สู่ 5,823.52 ในวันจันทร์ อย่างไรก็ดี ดัชนี VIX ที่ใช้วัดระดับความกังวลในตลาดหุ้นสหรัฐ เคลื่อนตัวอยู่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของปี 2024 ในช่วงนี้ และสิ่งนี้บ่งชี้ว่าตลาดหุ้นอาจจะแกว่งตัวผันผวนได้ในอนาคต ทั้งนี้ นายอเลส คูทนี จากบริษัทแวงการ์ดกล่าวว่า เขาได้ขายสินทรัพย์บางประเภทออกมาเพื่อถือครองเงินสดแทนในช่วงนี้ และเขากล่าวเสริมว่า "ตลาดจะแกว่งตัวผันผวนมากในช่วง 2 สัปดาห์ข้างหน้า และตลาดจะเข้าสู่เสถียรภาพก็ต่อเมื่อเข้าสู่ช่วงสัปดาห์หลังการเลือกตั้งในสหรัฐ"
การคาดการณ์ที่ว่านายทรัมป์จะชนะการเลือกตั้งในสหรัฐมีส่วนช่วยหนุนให้ดัชนีดอลลาร์สหรัฐพุ่งขึ้นมาแล้วกว่า 3% จากช่วงต้นเดือนต.ค. และมีส่วนช่วยหนุนให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐทะยานขึ้นแตะจุดสูงสุดรอบ 3 เดือนครึ่ง ทางด้านนายเจมส์ อาเธย์ ผู้จัดการพอร์ตลงทุนตราสารหนี้ของบริษัทมาร์ลโบโรห์กล่าวว่า "เราได้ปรับพอร์ตลงทุนให้เป็นการลงทุนแบบปลอดภัย" และเขาคาดว่าดอลลาร์จะแข็งค่าขึ้นต่อไป โดยเขาได้ปรับลดการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ และเพิ่มการลงทุนในพันธบัตรเยอรมนีแทน ทั้งนี้ คณะกรรมการการค้าสัญญาล่วงหน้าสินค้าโภคภัณฑ์ของสหรัฐ (CFTC) รายงานในวันศุกร์ที่แล้วว่า นักเก็งกำไรได้เริ่มต้นลงทุนในสัปดาห์ที่แล้วตามการคาดการณ์ที่ว่า ดอลลาร์จะแข็งค่าขึ้น ซึ่งถือเป็นการลงทุนแบบนี้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปลายเดือนส.ค.เป็นต้นมา นอกจากนี้ รายงานของ CFTC ยังระบุอีกด้วยว่า มีการถือครองสถานะขายสุทธิในยูโร 28,524 สัญญาในช่วงสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 22 ต.ค. หลังจากมีการถือครองสถานะซื้อสุทธิในยูโรเป็นจำนวน 17,150 สัญญาในช่วงสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 15 ต.ค. โดยการถือครองสถานะขายสุทธิในยูโรนี้ถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ต้นเดือนก.ค. และถือเป็นการถือครองสถานะขายสุทธิยูโรที่สูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.ย. 2022 เป็นต้นมา หรือสูงที่สุดในรอบ 2 ปี
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) เพิ่งประกาศเตือนในสัปดาห์ที่แล้วว่า ตลาดอาจจะประเมินความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์และการเลือกตั้งในระดับที่ต่ำเกินไป ทางด้านดัชนี CBOE Skew ที่ใช้วัดอุปสงค์ในออปชั่นที่จะจ่ายเงินเมื่อตลาดหุ้นดิ่งลงอย่างรุนแรง เคลื่อนตัวอยู่ใกล้ระดับที่บ่งชี้ถึงความวิตกกังวลในตอนนี้ ทั้งนี้ นายเลียม โอ'ดอนเนล ผู้จัดการฝ่ายตราสารหนี้ของบริษัทอาร์เทมิสระบุว่า เขาได้เข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 5 ปีในช่วงนี้ และเขามองว่าตลาดคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยสหรัฐในระดับที่สูงเกินความเป็นจริงสำหรับกรณีที่นายทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง นอกจากนี้ บริษัทอาร์เทมิส, บริษัทอัลไลอันซ์ โกลบัล อินเวสเตอร์, บริษัทพิมโค และบริษัท abrdn ยังระบุอีกด้วยว่า ทางบริษัทมีความสนใจในพันธบัตรรัฐบาลอังกฤษ เพราะบริษัทเหล่านี้มองว่าอัตราผลตอบแทนแทนพันธบัตรรัฐบาลอังกฤษพุ่งสูงเกินไปแล้วในช่วงที่ผ่านมา โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอังกฤษเพิ่งพุ่งขึ้นแตะ 4.291% ในวันนี้ ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. หรือจุดสูงสุดรอบ 4 เดือน--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
เครื่องมือออกแบบโปสเตอร์
โครงการพันธมิตร
ความเสี่ยงของการสูญเสียในการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น หุ้น FX สินค้าโภคภัณฑ์ ฟิวเจอร์ส พันธบัตร ETFs หรือเงินดิจิทัลอาจมีมาก คุณอาจสูญเสียเงินทุนทั้งหมดที่คุณฝากไว้กับโบรกเกอร์ของคุณ ดังนั้น คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบว่าการซื้อขายดังกล่าวเหมาะสมกับคุณหรือไม่ในสถานการณ์และทรัพยากรทางการเงินของคุณ
ไม่ควรตัดสินใจลงทุนโดยไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบสถานะอย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วยตัวเองหรือปรึกษากับที่ปรึกษาทางการเงินของคุณ เนื้อหาเว็บของเราอาจไม่เหมาะกับคุณเนื่องจากเราไม่ทราบเงื่อนไขทางการเงินและความต้องการในการลงทุนของคุณ ข้อมูลทางการเงินของเราอาจมีความล่าช้าหรือมีความไม่ถูกต้อง ดังนั้นคุณควรรับผิดชอบอย่างเต็มที่ต่อการตัดสินใจซื้อขายและการลงทุนของคุณ บริษัทจะไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียเงินทุนของคุณ
หากไม่ได้รับอนุญาตจากเว็บไซต์ คุณจะไม่สามารถคัดลอกกราฟิก ข้อความ หรือเครื่องหมายการค้าของเว็บไซต์ได้ สิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาในเนื้อหาหรือข้อมูลที่รวมอยู่ในเว็บไซต์นี้เป็นของผู้ให้บริการและผู้ค้าแลกเปลี่ยน
ไม่ได้ล็อกอิน
เข้าสู่ระบบเพื่อเข้าถึงฟังก์ชั่นเพิ่มเติม

สมาชิก FastBull
ยังไม่ได้เปิด
สมัคร
เข้าสู่ระบบ
ลงทะเบียน