ตลาด
ข่าวสาร
การวิเคราะห์
ผู้ใช้
24x7
ปฏิทินเศรษฐกิจ
แหล่งเรียนรู้
ข้อมูล
- ชื่อ
- ค่าล่าสุด
- ครั้งก่อน












สัญญาณ VIP
ทั้งหมด
ทั้งหมด



สหรัฐอเมริกา การเลิกจ้างพนักงานบริษัทชาเลนเจอร์ เกรย์ และคริสต์มาส MoM (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ค่าเฉลี่ยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก4 สัปดาห์ (SA)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์ (SA)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานต่อรายสัปดาห์ (SA)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา Ivey PMI (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา Ivey PMI (Not SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา คำสั่งซื้อสินค้าคงทนนอกกระทรวงกลาโหมที่ได้แก้ไข MoM (ไม่รวมเครื่องบิน)(SA) (ก.ย.)ค:--
ค: --
สหรัฐอเมริกา คำสั่งซื้อโรงงาน MoM(ยกเว้นการขนส่ง) (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา คำสั่งซื้อโรงงาน MoM (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา คำสั่งซื้อโรงงาน MoM(ยกเว้นภาคกลาโหม) (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การเปลี่ยนแปลงสต็อกก๊าซธรรมชาติประจำสัปดาห์ของ EIAค:--
ค: --
ค: --
ซาอุดิอาระเบีย การผลิตน้ำมันดิบค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การถือครองธนารักษ์สหรัฐฯของธนาคารกลางต่างประเทศรายสัปดาห์ค:--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น เงินตราที่ใช้เป็นทุนสำรอง (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย อัตราขายคืนค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย ดอกเบี้ยอ้างอิงค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย อัตราขายคืนค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย อัตราเงินสดสำรองค:--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น อินดิเคเตอร์ชั้นนำเบื้องต้น (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหราชอาณาจักร ดัชนีราคาที่อยู่อาศัย Halifax YoY (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหราชอาณาจักร ดัชนีราคาที่อยู่อาศัย Halifax MoM (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส บัญชีเดินสะพัด (Not SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส ดุลการค้า (SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส การผลิตภาคอุตสาหกรรม MoM(SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
อิตาลี ดัชนียอดค้าปลีก MoM (SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงาน YoY (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน GDP Final YoY (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน GDP Final QoQ (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงาน QoQ (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงานสุดท้าย (SA) (ไตรมาส 3)--
ค: --
บราซิล PPI MoM (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
เม็กซิโก ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา อัตราการว่างงาน (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา อัตราการมีส่วนร่วมในการจ้างงาน (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงาน (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงานนอกเวลา (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงานเต็มเวลา (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา รายได้ส่วนบุคคล MoM (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาธนาคารกลางรัฐดัลลาส สหรัฐอเมริกา PCE YoY (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคา PCE YoY (SA) (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคา PCE MoM (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา รายจ่ายส่วนบุคคล MoM(SA) (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาPCEหลักMoM (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา เงินเฟ้อเบื้องต้น UMich 5-YearYoY (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาPCEหลักYoY (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ค่าใช้จ่ายการบริโภคส่วนบุคคลที่จริง MoM (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การคาดการณ์เงินเฟ้อ 5-10 ปี (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีสถานภาพเบื้องต้น UMich ปัจจุบัน (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้น UMich (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อล่วงหน้า 1 ปี UMich (เบื้องต้น) (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีความคาดหวังผู้บริโภค UMich (เบื้องต้น) (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ปริมาณเครื่องเจาะทั้งหมดรายสัปดาห์--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ปริมาณเครื่องเจาะน้ำมันทั้งหมดรายสัปดาห์--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา สินเชื่ออุปโภคบริโภค (SA) (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ เงินตราที่ใช้เป็นทุนสำรอง (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ปริมาณการส่งออก YoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --


ไม่มีข้อมูลที่ตรงกัน
ทัศนคติล่าสุด
ทัศนคติล่าสุด
หัวข้อยอดนิยม
คอลัมนิสต์ยอดนิยม
อัปเดตล่าสุด
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
ดูผลการค้นหาทั้งหมด

ไม่มีข้อมูล
บริษัทในสหรัฐและแคนาดาลดตำแหน่งงานลงอย่างต่อเนื่องในปีนี้ หลังจากที่ปลดพนักงานไปนับพันคนในปีที่แล้ว ขณะที่แนวโน้มการลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ยังคงไม่แน่นอน แม้ความวิตกเกี่ยวกับภาวะถดถอยลดลงไปอย่างรวดเร็วก็ตาม โดยบริษัทที่ประกาศลดตำแหน่งงานในปีนี้มีดังนี้
กลุ่มเทคโนโลยี ได้แก่บริษัทบริษัทแอมะซอน, บริษัทอัลฟาเบ็ท, บริษัทไมโครซอฟท์, ไอบีเอ็ม, อินเทล, พาราเมาท์, อีเบย์, ยูนิตี้ ซอฟท์แวร์, โดคูไซน์, สแนป, เซลส์ฟอร์ซ, ซิสโก, ออโรรา อินโนเวชั่น, แบล็คเบอร์รี่, ซิริอุส, บัมเบิล
กลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ได้แก่เทสลา, ลูซิด
กลุ่มสื่อได้แก่ บริษัทพิกซาร์ แอนิเมชั่น สตูดิโอส์, สกาย, ลอสแองเจลิส ไทม์ส, พาราเมาท์ โกลบอล, บิสซิเนส อินไซเดอร์, เบลล์ แคนาดา
กลุ่มบริการทางการเงินได้แก่ บริษัทเพย์พาล โฮลดิงส์, บล็อค อิงค์, ซิติกรุ๊ป, มอร์แกน สแตนเลย์, แนสแดค, แบล็คร็อค
กลุ่มบริโภคและค้าปลีกได้แก่ บริษัทวอลมาร์ท, เอสเต้ลอเดอร์, เวย์แฟร์, เมซีส์ เอ็ม.เอ็น, ลีวายส์ สเตราส์ แอนด์ โค, เฮอร์ชีย์, ไนกี้
กลุ่มสุขภาพได้แก่ บริษัทโนวาแวกซ์, เคนวิว,
กลุ่มภาคการผลิตได้แก่บริษัทล็อคฮีด มาร์ติน, สปิริต แอโรซิสเต็มส์, แอลทรีแฮร์ริส,
กลุ่มลอจิสติสก์ได้แก่บริษัทยูไนเต็ด พาร์เซล เซอร์วิส, เฟดเอ็กซ์
กลุ่มทรัพยากรธรรมชาติได้แก่บริษัทเชซาพีค เอเนอร์จี, พายด์มอนต์ ลิเทียม, ทีซี เอเนอร์จี, เอ็นบริดจ์--จบ--
Eikon source text
นิวยอร์ค--23 ก.ค.--รอยเตอร์
นักวิเคราะห์ตลาดหุ้นสหรัฐระบุว่า ฤดูการรายงานผลประกอบการไตรมาสสองของบริษัทสหรัฐกำลังดำเนินต่อไปในช่วงนี้ และนักลงทุนก็ตั้งความหวังว่า บริษัทสหรัฐจะรายงานผลประกอบการที่แข็งแกร่งออกมา และผลประกอบการดังกล่าวจะช่วยสกัดกั้นการดิ่งลงของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในช่วงนี้ ทั้งนี้ นับตั้งแต่สำนักงานสถิติแรงงาน (BLS) ในกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานในวันที่ 11 ก.ค. ว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐขยับลง 0.1% ในเดือนมิ.ย.เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากทรงตัวในเดือนพ.ค. โดยการปรับลดลงในเดือนมิ.ย.ถือเป็นการปรับลดลงครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนพ.ค. 2020 หรือครั้งแรกในรอบ 4 ปี ดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีของสหรัฐก็ดิ่งลงมาแล้วราว 5.7% จนถึงช่วงปลายสัปดาห์ที่แล้ว และส่งผลให้มูลค่าในตลาดของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีลดลงไปแล้วราว 9.00 แสนล้านดอลลาร์ เพราะว่าตัวเลขอัตราเงินเฟ้อที่อ่อนแอเกินคาดช่วยกระตุ้นการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเริ่มต้นปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในการประชุมวันที่ 17-18 ก.ย. นอกจากนี้ การคาดการณ์ที่ว่านายโดนัลด์ ทรัมป์อาจจะชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในวันที่ 5 พ.ย. ก็มีส่วนกระตุ้นให้นักลงทุนโยกย้ายเงินลงทุนออกจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี และนำเงินไปลงทุนในหุ้นกลุ่มอื่น ๆ ที่เคยปรับตัวอ่อนแอในช่วงต้นปีนี้ด้วย
ดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐขยับลงเพียง 1.6% ในช่วงตั้งแต่สหรัฐรายงานตัวเลขเงินเฟ้อจนถึงช่วงปลายสัปดาห์ที่แล้ว ในขณะที่การดิ่งลงของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีถูกชดเชยด้วยการพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งของหุ้นกลุ่มการเงิน, หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรม และหุ้นบริษัทขนาดเล็ก โดยดัชนีหุ้นกลุ่มการเงินพุ่งขึ้น 3.3% ในช่วงเวลาเดียวกัน และดัชนี Russell 2000 สำหรับหุ้นบริษัทขนาดเล็กทะยานขึ้น 7.1% ในช่วงเวลาเดียวกัน นอกจากนี้ ดัชนี S&P 500 ก็พุ่งขึ้นมาแล้วราว 16.2% จากช่วงต้นปีนี้ ในขณะที่ดัชนี Russell 2000 ทะยานขึ้นมาแล้ว 8.4% จากช่วงต้นปีนี้
นักวิเคราะห์คาดว่า ผลประกอบการไตรมาสสองอาจจะช่วยให้หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีพุ่งขึ้นได้อีกครั้ง โดยเฉพาะผลประกอบการของบริษัทในกลุ่ม "Magnificent 7" หรือบริษัทขนาดยักษ์ 7 แห่งที่ประกอบด้วย บริษัทแอปเปิล, ไมโครซอฟท์, แอลฟาเบท, อะเมซอนดอทคอม, เอ็นวิเดีย, เมตา แพลตฟอร์มส์ และเทสลา โดยเทสลากับแอลฟาเบทจะรายงานผลประกอบการออกมาในวันอังคารที่ 23 ก.ค. ส่วนไมโครซอฟท์กับแอปเปิลจะรายงานผลประกอบการออกมาในสัปดาห์หน้า
ถ้าหากบริษัทขนาดยักษ์รายงานผลประกอบการที่แข็งแกร่ง ปัจจัยดังกล่าวก็จะช่วยลดความกังวลของนักลงทุนในเรื่องที่ว่า มูลค่าหุ้นกลุ่มนี้อยู่สูงเกินไป โดยเฉพาะราคาหุ้นเอ็นวิเดียที่พุ่งขึ้นมาแล้ว 145% จากช่วงต้นปีนี้ อย่างไรก็ดี ถ้าหากบริษัทขนาดยักษ์รายงานว่า ผลกำไรชะลอตัวลง หรือการลงทุนของภาคเอกชนในส่วนของปัญญาประดิษฐ์ (AI) อยู่ในระดับต่ำเกินคาด ปัจจัยดังกล่าวก็จะส่งผลลบต่อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี และอาจจะส่งผลลบต่อตลาดหุ้นสหรัฐในวงกว้างตามไปด้วย เพราะว่าบริษัทในกลุ่ม Magnificent 7 ครองสัดส่วนราว 60% ของการพุ่งขึ้นของดัชนี S&P 500 ในปีนี้ ทั้งนี้ นักวิเคราะห์คาดว่า ผลกำไรของบริษัทในกลุ่มเทคโนโลยีอาจพุ่งขึ้น 17% ในไตรมาสสองเมื่อเทียบรายปี และผลกำไรของบริษัทในกลุ่มบริการการสื่อสาร ซึ่งครอบคลุมบริษัทแอลฟาเบทและเมตา อาจทะยานขึ้นราว 22% ในไตรมาสสองเมื่อเทียบรายปี ในขณะที่ผลกำไรของบริษัทโดยรวมในดัชนี S&P 500 อาจปรับขึ้นเพียง 11% ในไตรมาสสองเมื่อเทียบรายปี
นายแอนโทนี ซากลิมเบเน หัวหน้านักยุทธศาสตร์การลงทุนตลาดของบริษัทอเมริไพรส์ ไฟแนนเชียลกล่าวว่า นักลงทุนหลายรายรู้สึกประหลาดใจกับตัวเลขอัตราเงินเฟ้อสหรัฐที่ต่ำเกินคาด และตัวเลขดังกล่าวช่วยสนับสนุนการคาดการณ์เรื่องการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด และส่งผลให้นักลงทุนโยกย้ายเงินลงทุนเข้าสู่หุ้นกลุ่มที่เคยได้รับแรงกดดันจากนโยบายการเงินแบบเข้มงวด นอกจากนี้ แนวโน้มที่นายทรัมป์จะชนะการเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีหลังจากที่เขารอดชีวิตจากความพยายามลอบสังหาร ก็มีส่วนกระตุ้นให้นักลงทุนโยกย้ายเงินลงทุนออกจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีด้วย ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ได้รับแรงกดดันมากเป็นพิเศษ หลังจากมีข่าวออกมาในช่วงต้นสัปดาห์ที่แล้วว่า รัฐบาลสหรัฐกำลังพิจารณาเรื่องการคุมเข้มการส่งออกเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูงให้แก่จีน โดยดัชนีหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐดิ่งลงมาแล้วราว 10.79% ในวันที่ 11-19 ก.ค. อย่างไรก็ดี นายซากลิมเบเนคาดว่า ฤดูการรายงานผลประกอบการครั้งนี้จะช่วยลดแรงเทขายหุ้นบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--15 ก.ค.--รอยเตอร์
นักวิเคราะห์ตลาดหุ้นสหรัฐระบุว่า หลังจากสำนักงานสถิติแรงงาน (BLS) ในกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานในวันพฤหัสบดีว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐขยับลง 0.1% ในเดือนมิ.ย.เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากทรงตัวในเดือนพ.ค. โดยการปรับลดลงในเดือนมิ.ย.ถือเป็นการปรับลดลงครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนพ.ค. 2020 หรือครั้งแรกในรอบ 4 ปี รายงานตัวเลขดังกล่าวก็ช่วยกระตุ้นการคาดการณ์เรื่องการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในสหรัฐ ทั้งนี้ เทรดเดอร์คาดการณ์ในวันศุกร์ว่า มีโอกาส 94% ที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในการประชุมวันที่ 17-18 ก.ย. โดยปรับเพิ่มขึ้นจากโอกาส 73% ที่เคยคาดไว้ก่อนการรายงานดัชนี CPI
นักวิเคราะห์ระบุว่า แนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดส่งผลให้นักลงทุนเผชิญกับทางเลือกที่ยากลำบากในตอนนี้ โดยนักลงทุนจะต้องเลือกว่า พวกเขาจะยังคงลงทุนในหุ้นบริษัทขนาดยักษ์ในกลุ่มเทคโนโลยีต่อไปหรือไม่ หลังจากหุ้นกลุ่มดังกล่าวถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในช่วงเวลากว่า 1 ปีที่ผ่านมา หรือว่าพวกเขาจะหันไปลงทุนในหุ้นกลุ่มอื่น ๆ ที่อาจจะได้รับแรงหนุนจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ย
การปรับลดอัตราดอกเบี้ยอาจจะส่งผลดีต่อหุ้นหลายกลุ่มในตลาดที่เคยปรับตัวอย่างอ่อนแอในช่วงต้นปีนี้ ซึ่งรวมถึงหุ้นบริษัทขนาดเล็ก, หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ และหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นกลุ่มที่มักจะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ ทั้งนี้ ความเคลื่อนไหวในตลาดหุ้นสหรัฐในช่วงปลายสัปดาห์ที่แล้วบ่งชี้ว่า การโยกย้ายเงินลงทุนออกจากหุ้นบริษัทขนาดยักษ์อาจจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว โดยดัชนี Nasdaq 100 ที่ครอบคลุมหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีหลายแห่งดิ่งลง 2.24% ในวันพฤหัสบดี ซึ่งถือเป็นการดิ่งลงรายวันครั้งใหญ่ที่สุดของปี 2024 แต่ดัชนี Russell 2000 สำหรับหุ้นบริษัทขนาดเล็กของสหรัฐพุ่งขึ้น 3.57% ในวันพฤหัสบดี ซึ่งถือเป็นการพุ่งขึ้นรายวันครั้งใหญ่ที่สุดของปี 2024 และดัชนี Russell 2000 ยังทะยานขึ้นอีก 1.09% ในวันศุกร์ด้วย โดยดัชนี Nasdaq 100 พุ่งขึ้นมาแล้วราว 21% จากช่วงต้นปีนี้ ในขณะที่ดัชนี Russell 2000 บวกขึ้นเพียง 6% จากช่วงต้นปีนี้
ดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐพุ่งขึ้นมาแล้วราว 18% จากช่วงต้นปีนี้ ในขณะที่หุ้นบริษัทขนาดยักษ์ในกลุ่มเติบโตและกลุ่มเทคโนโลยีครองน้ำหนักมากในดัชนีนี้ ส่วนดัชนี S&P 500 แบบที่ให้หุ้นทุกตัวในดัชนีมีน้ำหนักเท่ากัน ปรับขึ้นเพียง 6.7% จากช่วงต้นปีนี้ ทางด้านนายวอลเตอร์ ท็อดด์ หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของบริษัทกรีนวูด แคปิตัลกล่าวว่า "การลงทุนในหุ้นกระจุกตัวอยู่ฝั่งเดียวมากเกินไปในช่วงที่ผ่านมา ดังนั้นจึงมีการปรับตัวไปในทิศทางตรงกันข้ามในช่วงนี้" ทั้งนี้ นักลงทุนบางรายระบุว่า การพุ่งขึ้นของหุ้นบริษัทขนาดเล็กและหุ้นกลุ่มอื่น ๆ ที่เคยปรับตัวอย่างอ่อนแอ อาจจะเป็นการดีดกลับของสถานการณ์ในช่วงก่อนหน้านี้ เพราะว่าหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีได้พุ่งขึ้นมากเกินไปเมื่อเทียบกับหุ้นกลุ่มอื่น ๆ ในช่วงที่ผ่านมา และนักลงทุนบางรายกล่าวเตือนว่า การที่ตลาดหุ้นพุ่งขึ้นในวงกว้างกว่าเดิมเคยเป็นเหตุการณ์ที่ดำเนินไปเพียงเวลาสั้น ๆ เท่านั้นในอดีต โดยดัชนีหุ้นบริษัทขนาดเล็กเคยพุ่งขึ้นมาแล้วในช่วงปลายปี 2023 ก่อนที่จะปรับตัวอย่างอ่อนแอในอีกหลายเดือนต่อมา
บริษัทขนาดเล็ก ซึ่งรวมถึงบริษัทในกลุ่มเทคโนโลยีชีวภาพ มักจะต้องพึ่งพาเงินกู้จำนวนมาก ดังนั้นบริษัทกลุ่มนี้จึงมีโอกาสได้รับประโยชน์จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด ทางด้านบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมก็อาจจะได้รับประโยชน์ด้วยเช่นกัน เพราะว่าบริษัทกลุ่มนี้มักจะต้องกู้เงินมาใช้ในโครงการที่จำเป็นต้องใช้เงินลงทุนสูง ทั้งนี้ มูลค่าหุ้นในวงกว้างอาจจะมีความน่าดึงดูดมากยิ่งขึ้นด้วย ถ้าหากอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยิลด์) ร่วงลงต่อไปในอนาคต โดยได้รับแรงกดดันจากการคาดการณ์เรื่องการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีอยู่ที่ 4.21% ในวันนี้ โดยดิ่งลงมาแล้วราว 0.529% จากจุดสูงสุดของเดือนเม.ย.ที่ 4.739% ในขณะที่ค่าพีอีเรโชของดัชนี S&P 500 อยู่ที่ 21.4 เท่าของคาดการณ์ผลกำไรล่วงหน้าในปัจจุบัน ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 15.7 เท่าของคาดการณ์ผลกำไร--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
สกุลเงินตลาดเกิดใหม่ในเอเชียแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์ในวันนี้ ขณะที่ข้อมูลบ่งชี้ว่า เศรษฐกิจสหรัฐกำลังชะลอตัวลง ซึ่งทำให้มีความหวังว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนก.ย.นี้
ดัชนีดอลลาร์ปรับตัวลงในวันนี้ หลังจากรายงานเศรษฐกิจของสหรัฐออกมาอ่อนแอกว่าคาด โดยภาคบริการที่ชะลอตัว และการจ้างงานในภาคเอกชนที่ชะลอตัวลง บ่งชี้ถึงภาวะชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ
รายงานการประชุมเมื่อวันที่ 11-12 มิ.ย.ของเฟดพบว่า เจ้าหน้าที่เฟดตั้งข้อสังเกตถึงเศรษฐกิจที่ชะลอตัวของสหรัฐ และแรงกดดันด้านราคาที่ลดลง และแนะนำให้ใช้ความระมัดระวังก่อนที่จะตัดสินใจเรื่องการลดอัตราดอกเบี้ย ดังนั้น นักลงทุนจึงคาดว่า วงจรการลดดอกเบี้ยของเฟดอาจจะเริ่มขึ้นในเดือนก.ย. ขณะที่เครื่องมือเฟดวอทช์ของซีเอ็มอีพบว่า ตลาดปรับตัวรับโอกาสราว 67% ที่เฟดจะลดดอกเบี้ยในการประชุมในเดือนก.ย. เทียบกับโอกาสราว 60% เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
นายจันเดรช เจน นักกลยุทธ์อัตราดอกเบี้ยและอัตราแลกเปลี่ยนเอเชีย, ตลาดโลกจากบีเอ็นพี พาริบาส์กล่าวว่า "ดอลลาร์ยังคงแข็งแกร่ง และอาจจะแข็งกร่งต่อไปในช่วงที่เหลือของปีนี้เนื่องจากความเสี่ยงจากการเลือกตั้งของสหรัฐ และการที่เฟดคงอัตราดอกเบี้ยนนโยบายสูงนานขึ้น (เราคาดว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยครั้งแรกในเดือนธ.ค.ปีนี้) นั่นจะทำให้ธนาคารกลางในเอเชียยังคงนโยบายไว้ต่อไป และเราคาดว่า ธนาคารกลางเกาหลีอาจจะเป็นธนาคารกลางแห่งแรกในเอเชียที่ลดดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้ หลังจากที่อัตราเงินเฟ้อลดลงเร็วกว่าที่ธนาคารกลางเกาหลีคาดไว้"
นักลงทุนจะรอดูข้อมูลเงินเฟ้อจากไทย, ฟิลิปปินส์ และไต้หวัน และรายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐในวันพรุ่งนี้
อัตราแลกเปลี่ยน ณ เวลา 11.13 น.ตามเวลาไทย
COUNTRY |
FX RIC |
FX DAILY % |
FX YTD % |
Japan |
JPY= |
+0.11 |
-12.66 |
China |
CNY=CFXS |
-0.02 |
-2.39 |
India |
INR=IN |
+0.00 |
-0.38 |
Indonesia |
IDR= |
+0.09 |
-5.84 |
Malaysia |
MYR= |
+0.17 |
-2.55 |
Philippines |
PHP= |
-0.03 |
-5.59 |
S.Korea |
KRW=KFTC |
+0.28 |
-6.79 |
Singapore |
SGD= |
+0.07 |
-2.48 |
Taiwan |
TWD=TP |
+0.28 |
-5.55 |
Thailand |
THB=TH |
+0.11 |
-6.70 |
Eikon source text
3 ก.ค.--รอยเตอร์
บริษัทที่ทำธุรกิจปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยเฉพาะบริษัทผู้ผลิตชิป มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดพุ่งขึ้นสูงมากในเดือนมิ.ย. ซึ่งรวมถึงบริษัทเอ็นวิเดียในสหรัฐที่เคยมีมูลค่าพุ่งขึ้นจนสามารถก้าวขึ้นมาครองตำแหน่งบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลกได้เป็นเวลาสั้น ๆ ในระหว่างเดือนมิ.ย. ทั้งนี้ มูลค่าหลักทรัพย์ของเอ็นวิเดียเคยพุ่งขึ้นแตะ 3.34 ล้านล้านดอลลาร์ในระหว่างเดือนมิ.ย. ก่อนที่จะลดช่วงบวกลงในเวลาต่อมา โดยเป็นผลจากคำสั่งเทขายทำกำไรและความกังวลเรื่องมูลค่าหุ้นที่ระดับสูง โดยมูลค่าของเอ็นวิเดียลดลงมาอยู่ที่ 3.0391 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงปลายเดือนมิ.ย. ซึ่งส่งผลให้เอ็นวิเดียครองตำแหน่งที่ 3 ในอันดับบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก
มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดของไมโครซอฟท์พุ่งขึ้น 7.6% ในเดือนมิ.ย. สู่ 3.3219 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งส่งผลให้ไมโครซอฟท์ครองตำแหน่งบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก ส่วนมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดของแอปเปิลทะยานขึ้น 9.6% ในเดือนมิ.ย. สู่ 3.2297 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งส่งผลให้แอปเปิลครองตำแหน่งบริษัทที่มีมูลค่ามากเป็นอันดับ 2 ของโลก ทั้งนี้ บริษัทที่มีมูลค่ามากเป็นอันดับ 4 ของโลกคือแอลฟาเบาท ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล โดยแอลฟาเบทมีมูลค่า 2.2581 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงปลายเดือนมิ.ย.
มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดของบริษัทอะเมซอนดอทคอม อิงค์พุ่งขึ้นแตะ 2.0111 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงปลายเดือนมิ.ย. ซึ่งส่งผลให้อะเมซอนกลายเป็นบริษัทสหรัฐแห่งที่ 5 ที่มีมูลค่าพุ่งขึ้นเหนือ 2 ล้านล้านดอลลาร์ โดยอะเมซอนได้รับแรงหนุนจากกระแสความนิยมใน AI ด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ บริษัทที่มีมูลค่ามากเป็นอันดับ 6 ของโลกในช่วงปลายเดือนมิ.ย.คือซาอุดิ อาราเบียน ออยล์ ที่มีมูลค่า 1.7998 ล้านล้านดอลลาร์, อันดับ 7 คือเมตา แพลตฟอร์มส์ ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของเฟซบุ๊ก ที่มีมูลค่า 1.279 ล้านล้านดอลลาร์, อันดับ 8 คือเบิร์คเชียร์ แฮทธาเวย์ ที่มีมูลค่า 8.779 แสนล้านดอลลาร์, อันดับ 9 คืออีไล ลิลลี แอนด์ โค ที่เป็นผู้ผลิตยา โดยบริษัทนี้มีมูลค่า 8.605 แสนล้านดอลลาร์ และอันดับ 10 คือบริษัทไต้หวัน เซมิคอนดักเตอร์ แมนูแฟคเจอริง โค (TSMC) ที่มีมูลค่า 7.697 แสนล้านดอลลาร์
อันดับ 11 คือบริษัทบรอดคอม อิงค์ที่มีมูลค่า 7.474 แสนล้านดอลลาร์ โดยมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดของบรอดคอมพุ่งขึ้นราว 20% ในเดือนมิ.ย. หลังจากบรอดคอมปรับขึ้นตัวเลขคาดการณ์รายได้ประจำปีสำหรับชิป AI ราว 10% และประกาศแตกหุ้นเพื่อทำประโยชน์จากการพุ่งขึ้นของราคาหุ้นในปีนี้ ทั้งนี้ อันดับ 12 คือเทสลา ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่มีมูลค่า 6.311 แสนล้านดอลลาร์, อันดับ 13 คือธนาคารเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โคที่มีมูลค่า 5.808 แสนล้านดอลลาร์, อันดับ 14 คือบริษัทวอลมาร์ทในธุรกิจค้าปลีกที่มีมูลค่า 5.446 แสนล้านดอลลาร์ และอันดับ 15 คือบริษัท SPDR S&P 500 ETF Trust ที่มีมูลค่า 5.404 แสนล้านดอลลาร์
อันดับ 16 คือบริษัทวีซ่า อิงค์ที่ทำธุรกิจบัตรเครดิต ซึ่งมีมูลค่า 5.252 แสนล้านดอลลาร์, อันดับ 17 คือบริษัทเอ็กซอน โมบิลที่ทำธุรกิจน้ำมัน ซึ่งมีมูลค่า 5.164 แสนล้านดอลลาร์, อันดับ 18 คือบริษัทโนโว นอร์ดิสก์ของเดนมาร์กที่ทำธุรกิจยา โดยบริษัทนี้มีมูลค่า 4.898 แสนล้านดอลลาร์, อันดับ 19 คือบริษัท iShares Core S&P 500 ETF ที่มีมูลค่า 4.872 แสนล้านดอลลาร์ และอันดับ 20 คือกองทุนแวงการ์ด 500 อินเด็กซ์ ฟันด์ ที่มีมูลค่า 4.717 แสนล้านดอลลาร์--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
เปโซและวอนนำสกุลเงินตลาดเกิดใหม่ในเอเชียอ่อนค่าในวันนี้ท่ามกลางดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้น ส่วนบาท, เปโซ และรูเปียห์อ่อนค่า 0.3%
ดัชนีดอลลาร์ปรับตัวขึ้นมาที่ 105.9 ท่ามกลางการคาดการณ์มากขึ้นว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์จะชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ
วอนอ่อนค่า 0.3% ขณะที่เกาหลีใต้เปิดเผยว่า อัตราเงินเฟ้อลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 11 เดือนในเดือนมิ.ย. เนื่องจากแรงกดดันด้านอุปทานผ่อนคลายลง
นักลงทุนจะรอดูข้อมูลเงินเฟ้อจากไทย, ฟิลิปปินส์ และไต้หวันในสัปดาห์นี้เพื่อให้เห็นภาพรวมที่ชัดเจนขึ้นของแรงกดดันด้านราคาในภูมิภาค และเทรดเดอร์จะรอดูสัญญาณบ่งชี้การลดดอกเบี้ยในการกล่าวแถลงของนายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันนี้
นายลอยด์ ชาน นักกลยุทธ์สกุลเงินอาวุโสจากเอ็มยูเอฟจี แบงก์กล่าวว่า เฟดอาจจะสามารถรอดูข้อมูลเงินเฟ้อและการจ้างงานอีก 2-3 ฉบับได้ก่อนที่จะพิจารณาการลดดอกเบี้ย "ในตอนนี้ เนื่องจากเฟดะยังไม่ทำอะไรกับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ธนาคารกลางในเอเชียจึงต้องรอต่อไป"
อัตราแลกเปลี่ยน ณ เวลา 10.59 น.ตามเวลาไทย
COUNTRY |
FX RIC |
FX DAILY % |
FX YTD % |
Japan |
JPY= |
-0.14 |
-12.75 |
China |
CNY=CFXS |
-0.04 |
-2.38 |
India |
INR=IN |
-0.13 |
-0.41 |
Indonesia |
IDR= |
-0.31 |
-5.96 |
Malaysia |
MYR= |
-0.15 |
-2.69 |
Philippines |
PHP= |
-0.34 |
-5.83 |
S.Korea |
KRW=KFTC |
-0.34 |
-7.26 |
Singapore |
SGD= |
-0.02 |
-2.85 |
Taiwan |
TWD=TP |
-0.14 |
-5.70 |
Thailand |
THB=TH |
-0.26 |
-7.20 |
Eikon source text
ภาวะซื้อขายสกุลเงินตลาดเกิดใหม่ในเอเชียซบเซาในวันนี้ ขณะที่วอนอ่อนค่ามากที่สุด ส่วนริงกิต, ดอลลาร์ไต้หวัน และบาททรงตัว
วอนอ่อนค่า 0.4% ขณะที่เกาหลีใต้เปิดเผยว่า การส่งออกเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 9 ติดต่อกันในเดือนมิ.ย. โดยได้แรงหนุนจากความต้องการชิป แต่ก็ชะลอตัวกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้
สหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาการใช้จ่ายการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคล (PCE)ไม่เปลี่ยนแปลงในเดือนพ.ค. หลังจากที่เพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนเม.ย. และดัชนี PCE เพิ่มขึ้น 2.6% เมื่อเทียบรายปีในเดือนพ.ค. หลังจากที่เพิ่มขึ้น 2.7% ในเดือนเม.ย. ขณะที่การใช้จ่ายของผู้บริโภคเพิ่มขึ้นปานกลาง ซึ่งทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ใกล้ที่จะเริ่มลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้
เครื่องมือเฟดวอทช์ของซีเอ็มอีพบว่า ตลาดกำลังคาดว่าจะมีการลดอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้งเป็นอย่างต่ำจากเฟดในปีนี้ โดยมีความเป็นไปได้ 63% ที่เฟดจะลดดอกเบี้ยในเดือนก.ย.
นักลงทุนจะรอดูข้อมูลเงินเฟ้อจากไทย, ฟิลิปปินส์, ไต้หวันและเกาหลีใต้ในสัปดาห์นี้ ซึ่งจะช่วยให้เห็นแรงกดดันปัจจุบันของประเทศในเอเชีย
อัตราแลกเปลี่ยน ณ เวลา 12.05 น.ตามเวลาไทย
COUNTRY |
FX RIC |
FX DAILY % |
FX YTD % |
Japan |
JPY= |
-0.17 |
-12.44 |
China |
CNY=CFXS |
-0.01 |
-2.34 |
India |
INR=IN |
-0.09 |
-0.30 |
Indonesia |
IDR= |
+0.06 |
-5.90 |
Malaysia |
MYR= |
+0.04 |
-2.61 |
Philippines |
PHP= |
-0.34 |
-5.61 |
S.Korea |
KRW=KFTC |
-0.35 |
-6.77 |
Singapore |
SGD= |
+0.00 |
-2.68 |
Taiwan |
TWD=TP |
-0.19 |
-5.46 |
Thailand |
THB=TH |
-0.03 |
-6.98 |
Eikon source text
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
เครื่องมือออกแบบโปสเตอร์
โครงการพันธมิตร
ความเสี่ยงของการสูญเสียในการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น หุ้น FX สินค้าโภคภัณฑ์ ฟิวเจอร์ส พันธบัตร ETFs หรือเงินดิจิทัลอาจมีมาก คุณอาจสูญเสียเงินทุนทั้งหมดที่คุณฝากไว้กับโบรกเกอร์ของคุณ ดังนั้น คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบว่าการซื้อขายดังกล่าวเหมาะสมกับคุณหรือไม่ในสถานการณ์และทรัพยากรทางการเงินของคุณ
ไม่ควรตัดสินใจลงทุนโดยไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบสถานะอย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วยตัวเองหรือปรึกษากับที่ปรึกษาทางการเงินของคุณ เนื้อหาเว็บของเราอาจไม่เหมาะกับคุณเนื่องจากเราไม่ทราบเงื่อนไขทางการเงินและความต้องการในการลงทุนของคุณ ข้อมูลทางการเงินของเราอาจมีความล่าช้าหรือมีความไม่ถูกต้อง ดังนั้นคุณควรรับผิดชอบอย่างเต็มที่ต่อการตัดสินใจซื้อขายและการลงทุนของคุณ บริษัทจะไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียเงินทุนของคุณ
หากไม่ได้รับอนุญาตจากเว็บไซต์ คุณจะไม่สามารถคัดลอกกราฟิก ข้อความ หรือเครื่องหมายการค้าของเว็บไซต์ได้ สิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาในเนื้อหาหรือข้อมูลที่รวมอยู่ในเว็บไซต์นี้เป็นของผู้ให้บริการและผู้ค้าแลกเปลี่ยน
ไม่ได้ล็อกอิน
เข้าสู่ระบบเพื่อเข้าถึงฟังก์ชั่นเพิ่มเติม

สมาชิก FastBull
ยังไม่ได้เปิด
สมัคร
เข้าสู่ระบบ
ลงทะเบียน