ตลาด
ข่าวสาร
การวิเคราะห์
ผู้ใช้
24x7
ปฏิทินเศรษฐกิจ
แหล่งเรียนรู้
ข้อมูล
- ชื่อ
- ค่าล่าสุด
- ครั้งก่อน












สัญญาณ VIP
ทั้งหมด
ทั้งหมด



ฝรั่งเศส บัญชีเดินสะพัด (Not SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส ดุลการค้า (SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส การผลิตภาคอุตสาหกรรม MoM(SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
อิตาลี ดัชนียอดค้าปลีก MoM (SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงาน YoY (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน GDP Final YoY (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน GDP Final QoQ (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงาน QoQ (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงานสุดท้าย (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
บราซิล PPI MoM (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
เม็กซิโก ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา อัตราการว่างงาน (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา อัตราการมีส่วนร่วมในการจ้างงาน (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงาน (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงานนอกเวลา (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงานเต็มเวลา (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา รายได้ส่วนบุคคล MoM (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคา PCE YoY (SA) (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาธนาคารกลางรัฐดัลลาส สหรัฐอเมริกา PCE YoY (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคา PCE MoM (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา รายจ่ายส่วนบุคคล MoM(SA) (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาPCEหลักMoM (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาPCEหลักYoY (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา เงินเฟ้อเบื้องต้น UMich 5-YearYoY (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ค่าใช้จ่ายการบริโภคส่วนบุคคลที่จริง MoM (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การคาดการณ์เงินเฟ้อ 5-10 ปี (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีสถานภาพเบื้องต้น UMich ปัจจุบัน (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้น UMich (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อล่วงหน้า 1 ปี UMich (เบื้องต้น) (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีความคาดหวังผู้บริโภค UMich (เบื้องต้น) (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ปริมาณเครื่องเจาะทั้งหมดรายสัปดาห์--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ปริมาณเครื่องเจาะน้ำมันทั้งหมดรายสัปดาห์--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา สินเชื่ออุปโภคบริโภค (SA) (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ เงินตราที่ใช้เป็นทุนสำรอง (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ปริมาณการส่งออก YoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การนำเข้า YoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การนำเข้าYoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การนำเข้า (CNH) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ดุลการค้า (CNH) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การส่งออก (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น ค่าจ้าง MoM (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น ดุลการค้า (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น GDPที่แท้จริง QoQ (ไตรมาส 3)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น GDP Nominal แก้ไขQoQ (ไตรมาส 3)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น ดุลการค้า (SA)(ข้อมูลศุลกากร) (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น GDP ประจำปี (แก้ไข) QoQ (ไตรมาส 3)--
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ปริมาณการส่งออก YoY (CNH) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --


ไม่มีข้อมูลที่ตรงกัน
ทัศนคติล่าสุด
ทัศนคติล่าสุด
หัวข้อยอดนิยม
คอลัมนิสต์ยอดนิยม
อัปเดตล่าสุด
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
ดูผลการค้นหาทั้งหมด

ไม่มีข้อมูล
กรุงเทพฯ--27 ก.พ.--รอยเตอร์
ดัชนีดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินปรับลงในวันจันทร์ ในขณะที่นักลงทุนรอดูตัวเลขเศรษฐกิจหลายตัวที่จะได้รับการรายงานออกมาในสัปดาห์นี้ โดยเฉพาะตัวเลขยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐที่จะได้รับการรายงานออกมาในวันอังคาร และดัชนีราคาค่าใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ของสหรัฐที่จะได้รับการรายงานออกมาในวันพฤหัสบดี โดยธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มักจะใช้ดัชนี PCE เป็นมาตรวัดภาวะเงินเฟ้อ และนักลงทุนก็จะใช้ตัวเลขเหล่านี้ในการประเมินว่า เฟดอาจจะเริ่มต้นปรับลดอัตราดอกเบี้ยเมื่อใด ทั้งนี้ นักลงทุนคาดการณ์ในตอนนี้ว่า แทบไม่มีโอกาสที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในการประชุมวันที่ 19-20 มี.ค. และนักลงทุนคาดว่า เฟดอาจจะเริ่มต้นปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในการประชุมวันที่ 11-12 มิ.ย. หลังจากสหรัฐรายงานตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) และดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ประจำเดือนม.ค.ที่แข็งแกร่งเกินคาดในช่วงกลางเดือนก.พ. Eikon source text
ดัชนีดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินอยู่ที่ 103.77 ในช่วงท้ายตลาดวันจันทร์ โดยอ่อนค่าลงจาก 103.95 ในช่วงท้ายตลาดวันศุกร์
ดอลลาร์/เยนอยู่ที่ 150.69 เยนในช่วงท้ายตลาดวันจันทร์ โดยปรับขึ้นจากระดับปิดตลาดวันศุกร์ที่ 150.50 เยน
ยูโร/ดอลลาร์อยู่ที่ 1.0847 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันจันทร์ โดยแข็งค่าขึ้นจาก 1.0818 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันศุกร์ โดยยูโรแข็งค่าขึ้นในช่วง 8 วันจาก 9 วันทำการที่ผ่านมา
ตลาดหุ้นสหรัฐปรับลงเล็กน้อยในวันจันทร์ ในขณะที่นักลงทุนรอดูตัวเลขเศรษฐกิจหลายตัวในสัปดาห์นี้ โดยเฉพาะตัวเลขยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐที่จะได้รับการรายงานออกมาในวันอังคาร และดัชนีราคาค่าใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ของสหรัฐที่จะได้รับการรายงานออกมาในวันพฤหัสบดี โดยธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มักจะใช้ดัชนี PCE เป็นมาตรวัดภาวะเงินเฟ้อ และนักลงทุนก็รอดูตัวเลขดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค และกิจกรรมภาคการผลิตของสหรัฐที่จะได้รับการรายงานออกมาในสัปดาห์นี้ด้วย เพราะตัวเลขเหล่านี้อาจจะส่งผลกระทบต่อกำหนดเวลาที่เฟดจะเริ่มต้นปรับลดอัตราดอกเบี้ย ทั้งนี้ ดัชนี Nasdaq ขยับลงเพียงเล็กน้อยในวันจันทร์ เพราะว่าดัชนีได้รับแรงหนุนจากหุ้นบริษัทไมครอน เทคโนโลยีที่พุ่งขึ้น 4.02% ในขณะที่ไมครอนเริ่มต้นการผลิตเซมิคอนดักเตอร์หน่วยความจำความเร็วสูงจำนวนมาก เพื่อใช้ในชิปปัญญาประดิษฐ์ (AI) ของบริษัทเอ็นวิเดีย ทางด้านดัชนีหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐพุ่งขึ้น 1.05% ในวันจันทร์ อย่างไรก็ดี หุ้นแอลฟาเบทซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิลดิ่งลง 4.44% หลังจากแอลฟาเบทประกาศแผนที่จะเปิดตัวเครื่องมือ AI อีกครั้งในอีกหลายสัปดาห์ข้างหน้า หลังจากแผนดังกล่าวหยุดชะงักลงในสัปดาห์ที่แล้ว Eikon source text
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดปรับลง 0.16% สู่ 39,069.23
ดัชนี S&P 500 ปิดปรับลง 0.38% สู่ 5,069.53 ในวันจันทร์ โดยก่อนหน้านี้ดัชนี S&P 500 เพิ่งปิดตลาดรายสัปดาห์ในแดนบวกมาได้นานถึง 15 สัปดาห์ในช่วง 17 สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นครั้งที่สองในรอบ 50 ปีที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ ส่วนครั้งแรกนั้นเกิดขึ้นในปี 1989
ดัชนี Nasdaq ปิดขยับลง 0.13% สู่ 15,976.25
ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX พุ่งขึ้นในวันจันทร์ โดยได้รับแรงหนุนจากอุปสงค์น้ำมันดีเซลในยุโรป ในขณะที่อุปทานน้ำมันในยุโรปประสบปัญหาจากมาตรการคว่ำบาตรรัสเซีย และจากการขาดตอนของการขนส่งน้ำมันผ่านทะเลแดง นอกจากนี้ กำลังการกลั่นน้ำมันของสหรัฐก็ดิ่งลงในช่วงที่ผ่านมา และปัจจัยนี้มีส่วนทำให้อุปทานน้ำมันดีเซลตึงตัวมากยิ่งขึ้นในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมาด้วย และส่งผลลบต่อยอดส่งออกน้ำมันดีเซลจากสหรัฐสู่ยุโรปในเดือนนี้ โดยค่าการกลั่นน้ำมันดีเซลในสหรัฐได้พุ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดรอบ 4 เดือนที่ระดับสูงกว่า 48 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในเดือนนี้ ทั้งนี้ กองบัญชาการกลางของสหรัฐรายงานว่า กลุ่มฮูตีในเยเมนพยายามโจมตีเรือขนส่งน้ำมันที่ติดธงชาติสหรัฐในวันเสาร์ที่ 24 ก.พ. ทางด้านนายเจค ซุลลิแวน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของทำเนียบขาวกล่าวต่อสถานี CNN ในวันอาทิตย์ว่า ผู้เจรจาต่อรองของสหรัฐ, อียิปต์, กาตาร์ และอิสราเอลได้ตกลงกันเรื่องโครงร่างของข้อตกลงเรื่องตัวประกันในการเจรจาที่กรุงปารีส แต่การเจรจาต่อรองยังคงดำเนินต่อไป Eikon source text
ราคาน้ำมันดิบสหรัฐส่งมอบเดือนเม.ย.ทะยานขึ้น 1.09 ดอลลาร์ หรือ 1.43% มาปิดตลาดที่ 77.58 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนเม.ย.ที่ตลาดกรุงลอนดอนพุ่งขึ้น 91 เซนต์ หรือ 1.11% มาปิดตลาดที่ 82.53 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาทองสปอตที่ตลาดสหรัฐปรับลง 5.03 ดอลลาร์ สู่ 2,030.69 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงท้ายตลาดวันจันทร์ ในขณะที่นักลงทุนรอดูตัวเลขเศรษฐกิจหลายตัวที่จะได้รับการรายงานออกมาในสัปดาห์นี้ โดยเฉพาะดัชนีราคาค่าใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ของสหรัฐที่จะได้รับการรายงานออกมาในวันพฤหัสบดี โดยธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มักจะใช้ดัชนี PCE เป็นมาตรวัดภาวะเงินเฟ้อ และนักลงทุนก็จะใช้ตัวเลขนี้ในการประเมินว่า เฟดอาจจะเริ่มต้นปรับลดอัตราดอกเบี้ยเมื่อใด โดยนักลงทุนคาดว่า ดัชนี PCE อาจปรับขึ้น 0.4% เมื่อเทียบรายเดือน ทั้งนี้ นายจิม วิคคอฟ นักวิเคราะห์ของบริษัทคิทโค เมทัลส์กล่าวว่า "ถ้าหากดัชนี PCE อยู่ในระดับที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น สิ่งนี้ก็จะส่งผลลบต่อราคาททอง แต่ราคาทองจะยังคงรักษาระดับ 2,000 ดอลลาร์เอาไว้ได้ โดยราคาทองจะดิ่งผ่านระดับ 2,000 ดอลลาร์ลงไปได้ก็ต่อเมื่อ มีการรายานตัวเลขเศรษฐกิจในสัปดาห์นี้ที่แข็งแกร่งเกินคาดเป็นอย่างมาก" Eikon source text
--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--23 ก.พ.--รอยเตอร์
รอยเตอร์ได้สำรวจความเห็นนักยุทธศาสตร์การลงทุน 40 ราย และได้เปิดเผยผลสำรวจออกมาเมื่อวานนี้ โดยค่ากลางในโพลล์คาดว่า ดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐอาจจะปิดตลาดสิ้นปีนี้ที่ระดับ 5,100 ซึ่งใกล้เคียงกับระดับปิดวานนี้ที่ 5,087.03 ซึ่งถือเป็นสถิติระดับปิดสูงสุดใหม่ โดยตัวเลขคาดการณ์ใหม่นี้พุ่งขึ้นเป็นอย่างมากจากระดับ 4,700 ที่เคยคาดการณ์ไว้ในโพลล์เดือนพ.ย. ในขณะที่นักลงทุนยังคงไม่แน่ใจว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเริ่มต้นปรับลดอัตราดอกเบี้ยเมื่อใด ทั้งนี้ ดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้นมาแล้วราว 6% จากช่วงต้นปีนี้ หลังจากทะยานขึ้น 24% ในปี 2023 โดยดัชนีได้รับแรงหนุนบางส่วนจากการคาดการณ์ที่ว่า เฟดอาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในเร็ว ๆ นี้ และได้รับแรงหนุนบางส่วนจากกระแสการคาดการณ์ในทางบวกต่อธุรกิจปัญญาประดิษฐ์ (AI) ด้วย หลังจากปัจจัยดังกล่าวเคยช่วยหนุนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีให้พุ่งสูงในปีที่แล้ว
โพลล์คาดว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ของตลาดหุ้นสหรัฐอาจจะปิดตลาดสิ้นปีนี้ที่ 41,600 โดยพุ่งขึ้น 6.5% จากระดับปิดวันพฤหัสบดีที่ 39,069.11 ซึ่งถือเป็นระดับปิดสูงสุดใหม่ อย่างไรก็ดี นักยุทธศาสตร์การลงทุน 8 จาก 13 รายในโพลล์ระบุว่า มีแนวโน้มสูงหรือสูงมากที่ตลาดหุ้นสหรัฐจะปรับฐานลงในช่วง 3 เดือนข้างหน้า
นายปีเตอร์ คาร์ดิลโล หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ตลาดของบล.สปาร์ตัน แคปิตัลกล่าวว่า "ผมใช้ความระมัดระวังกับการลงทุนเมื่อดัชนีอยู่ที่ระดับนี้ และผมก็คิดว่าตลาดหุ้นกำลังจะย่อตัวลง เนื่องจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยิลด์) อาจจะปรับสูงขึ้น และธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ก็ไม่มีแนวโน้มที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในเร็ว ๆ นี้ด้วย และปัจจัยเหล่านี้ก็อาจจะสกัดกั้นการพุ่งขึ้นของตลาดหุ้น นอกจากนี้ มูลค่าหุ้นก็อยู่ในระดับสูงด้วย" อย่างไรก็ดี นายคาร์ดิลโลและนักยุทธศาสตร์การลงทุนรายอื่น ๆ คาดว่า ตลาดหุ้นอาจจะเริ่มต้นพุ่งขึ้นในฤดูร้อนปีนี้ในช่วงที่มีการหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ โดยนายคาร์ดิลโลคาดว่า ดัชนี S&P 500 จะปิดตลาดสิ้นปีนี้ที่ 5,400
นักวิเคราะห์คาดว่า ผลกำไรของบริษัทในดัชนี S&P 500 อาจจะปรับขึ้น 9.5% ในปี 2024 หลังจากปรับขึ้นราว 4% ในปี 2023 อย่างไรก็ดี มูลค่าหุ้นพุ่งขึ้นพร้อมกับราคาหุ้นในช่วงที่ผ่านมา โดยค่าพีอีเรโชของดัชนี S&P 500 ในตอนนี้อยู่ที่ 20.7 เท่าของคาดการณ์ผลกำไรล่วงหน้า ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 15.7 เท่าเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ นายซาเมียร์ ซามานา นักยุทธศาสตร์การลงทุนตลาดโลกของสถาบันการลงทุนเวลส์ ฟาร์โกกล่าวว่า "เศรษฐกิจสหรัฐน่าจะยังคงเติบโตอย่างไม่เป็นระเบียบต่อไป และบริษัทสหรัฐก็จะบริหารต้นทุนในแบบที่เปิดโอกาสให้ผลกำไรปรับขึ้นเล็กน้อย" โดยเวลส์ ฟาร์โกคาดว่า ดัชนี S&P 500 อาจจะปิดตลาดสิ้นปีนี้ที่ 4,900
บริษัทเอ็นวิเดียซึ่งถือเป็นบริษัทสำคัญในธุรกิจปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพิ่งเปิดเผยผลประกอบการและแนวโน้มที่ดีเกินคาด โดยเอ็นวิเดียรายงานในช่วงเย็นวันพุธว่า รายได้ในไตรมาส 4/2023 อยู่ที่ 2.210 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ 2.062 หมื่นล้านดอลลาร์ และเอ็นวิเดียคาดว่ารายได้ไตรมาสแรกของปีนี้อาจจะพุ่งขึ้น 233% ซึ่งถือว่าสูงกว่าระดับ +208% ที่นักวิเคราะห์คาดการณ์กันไว้เป็นอย่างมาก โดยรายได้ดังกล่าวจะได้รับแรงหนุนจากอุปสงค์ที่สูงมากในชิป AI ของเอ็นวิเดีย โดยรายงานผลประกอบการนี้ส่งผลให้หุ้นเอ็นวิเดียพุ่งขึ้น 16.4% ในวันพฤหัสบดี และส่งผลให้มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดของเอ็นวิเดียทะยานขึ้น 2.77 แสนล้านดอลลาร์ในวันพฤหัสบดี ซึ่งถือเป็นการพุ่งขึ้นครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของตลาดหุ้นนิวยอร์ค โดยสามารถทำลายสถิติเดิมที่บริษัทเมตา แพลตฟอร์มส์เคยทำไว้ในช่วงต้นเดือนนี้เมื่อมูลค่าตามราคาตลาดของเมตาทะยานขึ้น 1.96 แสนล้านดอลลาร์ภายในวันเดียว--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
22 ก.พ.--รอยเตอร์
บริษัทเอ็นวิเดีย ซึ่งเป็นบริษัทผู้ออกแบบชิปยักษ์ใหญ่ของสหรัฐ ได้เปิดเผยผลประกอบการออกมาหลังจากตลาดหุ้นนิวยอร์คปิดทำการในวันพุธ โดยเอ็นวิเดียคาดว่ารายได้ไตรมาสแรกอาจจะพุ่งขึ้น 233% ซึ่งถือว่าสูงกว่าระดับ +208% ที่นักวิเคราะห์คาดการณ์กันไว้เป็นอย่างมาก โดยรายได้ดังกล่าวจะได้รับแรงหนุนจากอุปสงค์ที่สูงมากในชิปสำหรับปัญญาประดิษฐ์ (AI) ของเอ็นวิเดีย โดยรายงานผลประกอบการในครั้งนี้ส่งผลให้หุ้นเอ็นวิเดียพุ่งขึ้น 10% ในช่วงเย็นวันพุธหลังจากตลาดปิดทำการ ทั้งนี้ หุ้นเอ็นวิเดียเพิ่งปิดตลาดวันพุธด้วยการดิ่งลง 2.85% จากวันอังคาร หลังจากหุ้นเอ็นวิเดียรูดลงกว่า 4% ในวันอังคาร อย่างไรก็ดี หุ้นเอ็นวิเดียพุ่งขึ้นมาแล้วเกือบ 40% จากช่วงต้นปีนี้ และส่งผลให้หุ้นเอ็นวิเดียครองตำแหน่งหุ้นที่พุ่งขึ้นมากที่สุดในดัชนี S&P 500 ในปีนี้ หลังจากหุ้นเอ็นวิเดียเพิ่งทะยานขึ้นเกือบ 240% ในปี 2023
อุปสงค์ในชิปสำหรับศูนย์ข้อมูลของเอ็นวิเดีย และอุปสงค์ในหน่วยประมวลผลกราฟฟิก (GPU) ของเอ็นวิเดียยังคงเพิ่มขึ้นต่อไป ในขณะที่บริษัทหลายแห่งพยายามขยายการให้บริการ AI แก่ลูกค้า โดยเอ็นวิเดียถือเป็นผู้นำในตลาดชิป AI ทั่วโลก และลูกค้าของเอ็นวิเดียก็รวมถึงบริษัทไมโครซอฟท์ด้วย ทั้งนี้ การที่ราคาหุ้นเอ็นวิเดียพุ่งขึ้น 10% ในช่วงเย็นวันพุธส่งผลให้มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดของเอ็นวิเดียทะยานขึ้นกว่า 1.29 แสนล้านดอลลาร์ และส่งผลให้หุ้นบริษัทอื่น ๆ ในธุรกิจ AI ทะยานขึ้นในช่วงเย็นวันพุธด้วยเช่นกัน ซึ่งรวมถึงหุ้นบริษัทอาร์ม โฮลดิงส์ที่เป็นผู้ออกแบบชิป
เอ็นวิเดียรายงานว่า รายได้ในไตรมาส 4/2023 อยู่ที่ 2.210 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ 2.062 หมื่นล้านดอลลาร์ และผลกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 5.16 ดอลลาร์ในไตรมาส 4 ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ 4.64 ดอลลาร์ ทั้งนี้ เอ็นวิเดียเคยรายงานในช่วงก่อนหน้านี้ว่า รายได้ในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2023 อยู่สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ราว 10%-20% และนักวิเคราะห์บางรายก็ตั้งข้อสงสัยว่า รายได้ของเอ็นวิเดียจะยังคงพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งแบบนี้ต่อไปได้อีกนานเพียงใด
เอ็นวิเดียคาดว่า รายได้ในไตรมาสปัจจุบันจะอยู่ที่ 2.40 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ 2.217 หมื่นล้านดอลลาร์ และคาดว่าอัตรากำไรเบื้องต้นในไตรมาสแรกจะอยู่ที่ 77% ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ 75.6% ทั้งนี้ เอ็นวิเดียรายงานว่า ยอดขายในแผนกศูนย์ข้อมูลพุ่งขึ้น 409% สู่ 1.84 หมื่นล้านดอลลาร์ในไตรมาส 4 ของปีงบดุลบัญชี ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ 1.68 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยก่อนหน้านี้รายได้ของแผนกศูนย์ข้อมูลเคยเติบโตในอัตราใกล้ 280% ในไตรมาส 3/2023
เอ็นวิเดียได้ก้าวขึ้นมาครองตำแหน่งหุ้นที่มีมูลค่าการซื้อขายมากที่สุดในตลาดหุ้นสหรัฐด้วย โดยขึ้นมาครองตำแหน่งดังกล่าวแทนที่บริษัทเทสลา ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า โดยมูลค่าการซื้อขายหุ้นเอ็นวิเดียมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ราว 3.0 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อวันในช่วง 30 วันทำการสิ้นสุดวันที่ 20 ก.พ. ซึ่งสูงกว่ามูลค่าการซื้อขายหุ้นเทสลาที่มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 2.2 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อวันในช่วงเวลาเดียวกัน ทั้งนี้ ห่วงโซ่อุปทานของเอ็นวิเดียปรับตัวดีขึ้นในช่วงนี้ อย่างไรก็ดี นายเจนเสน หวง ซีอีโอของเอ็นวิเดียกล่าวต่อนักวิเคราะห์ว่า ไม่มีทางที่เอ็นวิเดียจะสามารถตอบรับต่ออุปสงค์ได้อย่างสมเหตุสมผลในระยะอันสั้นนี้--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
กรุงเทพฯ--16 ก.พ.--รอยเตอร์
ดัชนีดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินร่วงลงในวันพฤหัสบดีเป็นวันที่ 2 ติดต่อกัน หลังจากสหรัฐเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจหลายตัวที่ไร้ทิศทางชัดเจนในวันพฤหัสบดี และนักลงทุนยังคงคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีแนวโน้มที่จะเริ่มต้นปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในการประชุมวันที่ 11-12 มิ.ย. โดยในตอนนี้นักลงทุนในตลาดสัญญาล่วงหน้าคาดว่า มีโอกาส 83% ที่เฟดจะเริ่มต้นปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนมิ.ย. และคาดว่าเฟดมีแนวโน้มจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 3-4 ครั้งในปีนี้ โดยปรับลดลงจากที่เคยคาดไว้เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนว่า เฟดอาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 5 ครั้งในปีนี้ ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานในวันพฤหัสบดีว่า ยอดค้าปลีกสหรัฐดิ่งลง 0.8% ในเดือนม.ค. ซึ่งถือเป็นการดิ่งลงครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค. 2023 โดยมีแนวโน้มว่าได้รับแรงกดดันจากพายุฤดูหนาว ในขณะที่โพลล์รอยเตอร์คาดว่า ยอดค้าปลีกอาจขยับลงเพียง 0.1% ในเดือนม.ค. โดยก่อนหน้านี้ยอดค้าปลีกพุ่งขึ้น 0.4% ในเดือนธ.ค. และทรงตัวในเดือนพ.ย. Eikon source text
ดัชนีดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินอยู่ที่ 104.26 ในช่วงท้ายตลาดวันพฤหัสบดี โดยอ่อนค่าลงจาก 104.68 ในช่วงท้ายตลาดวันพุธ
ดอลลาร์/เยนอยู่ที่ 149.91 เยนในช่วงท้ายตลาดวันพฤหัสบดี โดยร่วงลงจากระดับปิดตลาดวันพุธที่ 150.55 เยน
ยูโร/ดอลลาร์อยู่ที่ 1.0771 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันพฤหัสบดี โดยแข็งค่าขึ้นจาก 1.0725 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันพุธ
ตลาดหุ้นสหรัฐบวกขึ้นในวันพฤหัสบดี หลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานในวันพฤหัสบดีว่า ยอดค้าปลีกสหรัฐดิ่งลง 0.8% ในเดือนม.ค. ซึ่งถือเป็นการดิ่งลงครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค. 2023 โดยได้รับแรงกดดันจากการดิ่งลงของยอดขายในบริษัทตัวแทนจำหน่ายรถยนต์และปั๊มน้ำมันเบนซิน ในขณะที่โพลล์รอยเตอร์คาดไว้ก่อนหน้านี้ว่า ยอดค้าปลีกอาจขยับลงเพียง 0.1% ในเดือนม.ค. โดยรายงานตัวเลขนี้ช่วยกระตุ้นความคาดหวังที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในเร็ว ๆ นี้ ทางด้านนักลงทุนคาดว่า มีโอกาส 40% ที่เฟดอาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างน้อย 0.25% ในการประชุมวันที่ 30 เม.ย.-1 พ.ค. และมีโอกาสราว 79% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในการประชุมวันที่ 11-12 มิ.ย. ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภค, หุ้นกลุ่มวัสดุ และหุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในวันพฤหัสบดี ส่วนดัชนี Russell 2000 สำหรับหุ้นบริษัทขนาดเล็กของสหรัฐทะยานขึ้น 2.3% ในวันพฤหัสบดี ทางด้านหุ้นบริษัท CBRE Group พุ่งขึ้น 8.5% หลังจากทางบริษัทคาดการณ์ผลกำไรรายปีที่สูงเกินคาด และปัจจัยนี้มีส่วนช่วยหนุนดัชนีหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐให้พุ่งขึ้นด้วย อย่างไรก็ดี หุ้นบริษัทแอลฟาเบทดิ่งลง 2.17% หลังจากบริษัทเธิร์ด พอยท์ขายหุ้นแอลฟาเบททั้งหมดที่เคยถือครองไว้ ส่วนหุ้นบริษัทแอปเปิลปรับลง 0.1% หลังจากบริษัทเบิร์คเชียร์ แฮทธาเวย์ระบุว่า ทางบริษัทได้ขายหุ้นบริษัทแอปเปิลเป็นจำนวน 10 ล้านหุ้นในไตรมาส 4/2023 แต่เบิร์คเชียร์ยังคงถือครองหุ้นแอปเปิลเป็นจำนวนสูงกว่า 905 ล้านหุ้น ซึ่งคิดเป็นมูลค่ารวมกันได้ราว 1.74 แสนล้านดอลลาร์ Eikon source text
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดพุ่งขึ้น 0.91% สู่ 38,773.12
ดัชนี S&P 500 ปิดบวกขึ้น 0.58% สู่ 5,029.73
ดัชนี Nasdaq ปิดปรับขึ้น 0.30% สู่ 15,906.17
ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX พุ่งขึ้นในวันพฤหัสบดี โดยได้รับแรงหนุนจากการอ่อนค่าของดอลลาร์ หลังจากสหรัฐรายงานตัวเลขยอดค้าปลีกที่อ่อนแอเกินคาด โดยการอ่อนค่าของดอลลาร์ส่งผลให้น้ำมันมีราคาถูกลงสำหรับผู้ถือครองสกุลเงินอื่น ๆ นอกจากนี้ ตัวเลขยอดค้าปลีกที่ดิ่งลงอย่างรุนแรงเกินคาดในสหรัฐก็ช่วยกระตุ้นการคาดการณ์เรื่องการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ด้วย และปัจจัยนี้อาจจะส่งผลบวกต่ออุปสงค์น้ำมัน ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบได้รับแรงกดดันในวันพฤหัสบดีด้วยเช่นกัน หลังจากองค์การพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) รายงานในวันพฤหัสบดีว่า อุปสงค์น้ำมันในตลาดโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเพียง 1.22 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 2024 โดยปรับลดลงจากตัวเลขคาดการณ์เดิมที่ +1.24 ล้านบาร์เรลต่อวัน นอกจากนี้ IEA ยังคาดการณ์อีกด้วยว่า อุปทานน้ำมันในตลาดโลกอาจพุ่งขึ้น 1.7 ล้านบาร์เรลต่อวันในปีนี้ โดยปรับเพิ่มขึ้นจากตัวเลขคาดการณ์เดิมที่ +1.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน Eikon source text
ราคาน้ำมันดิบสหรัฐส่งมอบเดือนมี.ค.ทะยานขึ้น 1.39 ดอลลาร์ หรือ 1.8% มาปิดตลาดที่ 78.03 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนเม.ย.ที่ตลาดกรุงลอนดอนพุ่งขึ้น 1.26 ดอลลาร์ หรือ 1.5% มาปิดตลาดที่ 82.86 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาทองสปอตที่ตลาดสหรัฐปรับขึ้น 11.70 ดอลลาร์ สู่ 2,004.09 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงท้ายตลาดวันพฤหัสบดี หลังจากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่อ่อนแอส่งผลให้ดอลลาร์อ่อนค่าลง และส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐปรับลง และปัจจัยดังกล่าวส่งผลบวกต่อราคาทอง เพราะทองเป็นสินทรัพย์ที่ไม่ให้ดอกเบี้ย และการอ่อนค่าของดอลลาร์ก็ช่วยให้ทองมีราคาถูกลงสำหรับผู้ถือครองสกุลเงินอื่น ๆ ทั้งนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีปรับลงจาก 4.267% ในช่วงท้ายวันพุธ สู่ 4.240% ในช่วงท้ายวันพฤหัสบดี ในขณะที่นักลงทุนรอดูตัวเลขดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ของสหรัฐที่จะได้รับการรายงานออกมาในวันศุกร์นี้ และนักลงทุนรอฟังถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟดในช่วงต่อไปในสัปดาห์นี้ด้วย Eikon source text
--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
15 ก.พ.--รอยเตอร์
บริษัทเบิร์คเชียร์ แฮทธาเวย์ได้ยื่นหนังสือตามกฎระเบียบเพื่อชี้แจงเรื่องการถือครองหุ้นบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐในช่วงสิ้นปี 2023 โดยเบิร์คเชียร์ระบุว่า ทางบริษัทได้ขายหุ้นบริษัทแอปเปิลเป็นจำนวน 10 ล้านหุ้นในไตรมาส 4/2023 แต่เบิร์คเชียร์ยังคงถือครองหุ้นแอปเปิลเป็นจำนวนสูงกว่า 905 ล้านหุ้น ซึ่งคิดเป็นมูลค่ารวมกันได้ราว 1.74 แสนล้านดอลลาร์ ทั้งนี้ ยังไม่เป็นที่แน่นอนว่า การเทขายหุ้นแอปเปิลในครั้งนี้ดำเนินการโดยนายวอร์เรน บัฟเฟตต์ ซีอีโอของเบิร์คเชียร์หรือไม่ เพราะว่านายท็อดด์ คอมบ์ และนายเท็ด เวชเลอร์ ผู้จัดการพอร์ตลงทุนของนายบัฟเฟตต์ก็อาจเป็นผู้ที่ดำเนินการเทขายหุ้นในครั้งนี้ได้ด้วยเช่นกัน
เบิร์คเชียร์รายงานว่า ทางบริษัทได้ยุติการลงทุนในบริษัท 4 แห่ง โดยเบิร์คเชียร์ไม่ได้ถือครองหุ้นบริษัทดีอาร์ นอร์ทัน ซึ่งทำธุรกิจก่อสร้างบ้าน, หุ้นบริษัทโกลบ ไลฟ์ ซึ่งทำธุรกิจประกัน, หุ้นบริษัทมาร์เคล ซึ่งทำธุรกิจการลงทุนและประกัน และหุ้นบริษัทสโตนโค ซึ่งเป็นผู้ประมวลผลบัตรเครดิตของบราซิลอีกต่อไป หลังจากที่เบิร์คเชียร์เคยถือครองหุ้น 4 บริษัทนี้เป็นมูลค่าสูงกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ในช่วงสิ้นเดือนก.ย. 2023 ทั้งนี้ เบิร์คเชียร์เปิดเผยว่า ทางบริษัทได้เพิ่มการถือครองหุ้นในเชฟรอน ซึ่งเป็นบริษัทน้ำมันขนาดใหญ่ของสหรัฐ แต่ปรับลดการถือครองหุ้นในบริษัท HP ซึ่งเป็นผู้ผลิตคอมพิวเตอร์และเครื่องพิมพ์ และปรับลดการถือครองหุ้นในบริษัทพาราเมาท์ โกลบัล ซึ่งทำธุรกิจสื่อ
เบิร์คเชียร์ได้ขออนุญาตจากคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐ (SEC) ในการปกปิดการถือครองหุ้นบางตัวไว้เป็นความลับด้วย โดยเบิร์คเชียร์มักจะขออนุญาตแบบนี้ในช่วงที่เบิร์คเชียร์กำลังเข้าลงทุนขนาดหลายพันล้านดอลลาร์ในบริษัทขนาดใหญ่บางแห่ง เพื่อเป็นการสกัดกั้นไม่ให้นักลงทุนรายอื่น ๆ ชิงเข้าซื้อหุ้นบริษัทดังกล่าวก่อนที่เบิร์คเชียร์จะเสร็จสิ้นจากการเข้าซื้อหุ้นบริษัทนั้น ทั้งนี้ ในรายงานประจำไตรมาส 3/2023 ที่ออกมาในเดือนพ.ย.ปีที่แล้วนั้น เบิร์คเชียร์ส่งสัญญาณว่า การถือครองหุ้นลับนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับธนาคาร, บริษัทการเงิน หรือบริษัทประกัน เพราะว่าเบิร์คเชียร์ได้ใช้เงิน 1.2 พันล้านดอลลาร์ในการเข้าซื้อหุ้นในกลุ่มนี้ และเบิร์คเชียร์ก็ยังไม่ได้เปิดเผยชื่อบริษัทเป้าหมายในรายงานครั้งนี้
นายบัฟเฟตต์ซึ่งมีอายุ 93 ปีได้บริหารเบิร์คเชียร์นับตั้งแต่ปี 1965 เป็นต้นมา โดยทางบริษัทได้ถือครองธุรกิจหลายสิบแห่งในปัจจุบัน ซึ่งรวมถึงเกโคซึ่งเป็นบริษัทประกันรถยนต์, BNSF ที่ทำธุรกิจทางรถไฟ, บริษัทในกลุ่มพลังงาน, บริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรม และบริษัทเจ้าของสินค้ายี่ห้อดังอีกหลายแห่ง ซึ่งรวมถึงเบนจามิน มัวร์ที่ทำธุรกิจสีทาบ้าน, แดรี่ควีน, ดูราเซลล์, ฟรุต ออฟ เดอะ ลูมที่ทำธุรกิจเสื้อผ้า และซีส์ แคนดีส์ที่ทำธุรกิจขนม
บริษัทเบิร์คเชียร์จะเปิดเผยรายละเอียดเรื่องการลงทุนและธุรกิจของตนเอง เมื่อทางบริษัทเปิดเผยรายงานประจำปีและจดหมายประจำปีของนายบัฟเฟตต์ที่ส่งถึงผู้ถือหุ้นในวันที่ 24 ก.พ.--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
กรุงเทพฯ--15 ก.พ.--รอยเตอร์
ดัชนีดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินปรับลงในวันพุธหลังจากพุ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดรอบ 3 เดือนในระหว่างวัน โดยก่อนหน้านี้ดอลลาร์เพิ่งพุ่งขึ้นในวันอังคาร โดยได้รับแรงหนุนจากตัวเลขอัตราเงินเฟ้อเดือนม.ค.ของสหรัฐที่อยู่ในระดับแข็งแกร่งเกินคาด เพราะตัวเลขดังกล่าวส่งผลให้นักลงทุนปรับลดการคาดการณ์เรื่องการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ทั้งนี้ สำนักงานสถิติแรงงาน (BLS) ในกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานในวันอังคารว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐแบบเทียบรายปีปรับขึ้น 3.1% ในเดือนม.ค. หลังจากพุ่งขึ้น 3.4% ในเดือนธ.ค.เมื่อเทียบรายปี และออกห่างจากจุดสูงสุดของวัฏจักรที่ 9.1% ที่เคยทำไว้ในเดือนมิ.ย. 2022 แต่ตัวเลขดังกล่าวอยู่สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ในโพลล์รอยเตอร์ที่ +2.9% สำหรับเดือนม.ค. ทางด้านนักลงทุนในตลาดสัญญาล่วงหน้า fed funds คาดการณ์ในตอนนี้ว่า เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 5.25-5.50% ตามเดิมในการประชุมวันที่ 19-20 มี.ค. และคาดว่ามีโอกาสสูงเกือบถึง 80% ที่เฟดอาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 11-12 มิ.ย. โดยนักลงทุนคาดการณ์กันอีกด้วยว่า เฟดอาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงเพียง 3 ครั้ง ครั้งละ 0.25% ในปีนี้ หลังจากที่เคยคาดการณ์เมื่อสองสัปดาห์ก่อนว่า เฟดอาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 5 ครั้งในปีนี้ Eikon source text
ดัชนีดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินอยู่ที่ 104.68 ในช่วงท้ายตลาดวันพุธ โดยอ่อนค่าลงจาก 104.86 ในช่วงท้ายตลาดวันอังคาร หลังจากปรับขึ้นแตะ 104.97 ในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดรอบ 3 เดือน
ดอลลาร์/เยนอยู่ที่ 150.55 เยนในช่วงท้ายตลาดวันพุธ โดยปรับลงจากระดับปิดตลาดวันอังคารที่ 150.79 เยน หลังจากดอลลาร์เพิ่งทะยานขึ้นแตะ 150.88 เยนในวันอังคาร ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย. หรือจุดสูงสุดรอบ 3 เดือน โดยดอลลาร์/เยนพุ่งขึ้นมาแล้วกว่า 6% จากช่วงต้นปีนี้ หรือทะยานขึ้นมาแล้วราว 10 เยนจากช่วงต้นปีนี้
ยูโร/ดอลลาร์อยู่ที่ 1.0725 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันพุธ โดยแข็งค่าขึ้นจาก 1.0709 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันอังคาร หลังจากดิ่งลงแตะ 1.0693 ดอลลาร์ในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดรอบ 3 เดือน
ตลาดหุ้นสหรัฐพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในวันพุธ โดยได้รับแรงหนุนจากการทะยานขึ้นของหุ้นบริษัทสำคัญหลายแห่ง ซึ่งรวมถึงหุ้นเอ็นวิเดีย ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตชิปสำหรับปัญญาประดิษฐ์ (AI) รายใหญ่ ก่อนที่เอ็นวิเดียจะเปิดเผยผลประกอบการรายไตรมาสในสัปดาห์หน้า โดยหุ้นเอ็นวิเดียพุ่งขึ้นราว 2.5% ในวันพุธ และส่งผลให้มูลค่าตามราคาตลาดของเอ็นวิเดียทะยานขึ้นมาอยู่ที่ 1.825 ล้านล้านดอลลาร์ และส่งผลให้เอ็นวิเดียก้าวขึ้นมาครองตำแหน่งบริษัทที่มีมูลค่ามากเป็นอันดับ 3 ในตลาดหุ้นสหรัฐ โดยแทนที่บริษัทแอลฟาเบท ในขณะที่หุ้นแอลฟาเบทปรับขึ้น 0.55% ในวันพุธ ซึ่งส่งผลให้แอลฟาเบทมีมูลค่าตามราคาตลาดอยู่ที่ 1.821 ล้านล้านดอลลาร์ ทางด้านหุ้นเมตา แพลตฟอร์มส์พุ่งขึ้น 2.86% ในวันพุธ ส่วนหุ้นเทสลาทะยานขึ้น 2.55% ในวันพุธ และหุ้นสองตัวนี้ก็มีส่วนช่วยหนุนดัชนี S&P 500 ขึ้นด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ ตลาดหุ้นก็ได้รับแรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นบริษัทลิฟท์และบริษัทอูเบอร์ ซึ่งเป็นสองบริษัทผู้ให้บริการเรียกรถด้วย โดยหุ้นลิฟท์พุ่งขึ้น 35% หลังจากลิฟท์เปิดเผยผลกำไรที่สูงเกินคาด และประกาศว่าลิฟท์จะมีตัวเลขกระแสเงินสดอิสระเป็นบวกได้เป็นครั้งแรกในปี 2024 ส่วนหุ้นอูเบอร์พุ่งขึ้น 14.7% สู่สถิติสูงสุดใหม่ โดยได้รับแรงหนุนจากแผนซื้อคืนหุ้นขนาด 7 พันล้านดอลลาร์ ทั้งนี้ ในบรรดาหุ้น 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐนั้น มีอยู่ 9 กลุ่มใหญ่ที่ปิดตลาดวันพุธในแดนบวก โดยดัชนีหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมพุ่งขึ้น 1.67% และถือเป็นกลุ่มที่พุ่งขึ้นมากที่สุด ส่วนดัชนีหุ้นกลุ่มบริการการสื่อสารทะยานขึ้น 1.42% และถือเป็นกลุ่มที่พุ่งขึ้นมากเป็นอันดับสอง ทางด้านดัชนี Russell 2000 สำหรับหุ้นบริษัทขนาดเล็กของสหรัฐทะยานขึ้น 2.4% ในวันพุธ โดยได้รับแรงหนุนจากหุ้นบริษัทซูเปอร์ ไมโคร คอมพิวเตอร์ที่ทะยานขึ้นกว่า 11% โดยบริษัทแห่งนี้ทำธุรกิจขายอุปกรณ์เซิร์ฟเวอร์ Eikon source text
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวกขึ้น 0.40% สู่ 38,424.27
ดัชนี S&P 500 ปิดพุ่งขึ้น 0.96% สู่ 5,000.62
ดัชนี Nasdaq ปิดทะยานขึ้น 1.30% สู่ 15,859.15
ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX ดิ่งลงในวันพุธ ในขณะที่มีความกังวลกันว่าอุปสงค์น้ำมันในสหรัฐอาจจะลดลงในอนาคต หลังจากนายไมค์ เทอร์เนอร์ ประธานคณะกรรมาธิการข่าวกรองประจำสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐออกแถลงการณ์ในวันพุธเพื่อเตือนว่า "มีภัยคุกคามอย่างร้ายแรงต่อความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐ" แต่เขาไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมในเรื่องนี้ และสิ่งนี้ก็สร้างความกังวลต่อนักลงทุนบางราย ทั้งนี้ ราคาน้ำมันได้รับแรงกดดันจากตัวเลขสต็อกน้ำมันด้วย โดยสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) รายงานในวันพุธว่า สต็อกน้ำมันดิบในคลังสหรัฐพุ่งขึ้น 12.0 ล้านบาร์เรล สู่ 439.5 ล้านบาร์เรลในช่วงสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 9 ก.พ. ถึงแม้โพลล์รอยเตอร์คาดว่า สต็อกน้ำมันดิบอาจปรับขึ้นเพียง 2.6 ล้านบาร์เรล โดย EIA ระบุอีกด้วยว่า ปริมาณการนำน้ำมันดิบเข้ากลั่นในโรงกลั่นสหรัฐดิ่งลง 298,000 บาร์เรลต่อวัน สู่ 14.54 ล้านบาร์เรลต่อวันในสัปดาห์ล่าสุด และอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันรูดลง 1.8% สู่ 80.6% ในสัปดาห์ล่าสุด ซึ่งต่างก็ถือเป็นจุดต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค. 2022 ซึ่งเป็นเดือนที่โรงกลั่นน้ำมันหลายแห่งในสหรัฐปิดทำการเพราะพายุฤดูหนาวเอลเลียต Eikon source text
ราคาน้ำมันดิบสหรัฐส่งมอบเดือนมี.ค.รูดลง 1.23 ดอลลาร์ หรือ 1.6% มาปิดตลาดที่ 76.64 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนเม.ย.ที่ตลาดกรุงลอนดอนดิ่งลง 1.17 ดอลลาร์ หรือ 1.4% มาปิดตลาดที่ 81.60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาทองสปอตที่ตลาดสหรัฐขยับขึ้น 0.26 ดอลลาร์ สู่ 1,992.39 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงท้ายตลาดวันพุธ หลังจากดิ่งลงแตะ 1,984.09 ดอลลาร์ในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 13 ธ.ค. หรือจุดต่ำสุดรอบ 2 เดือน โดยราคาทองยังคงได้รับแรงกดดันจากตัวเลขอัตราเงินเฟ้อเดือนม.ค.ที่แข็งแกร่งเกินคาดในสหรัฐ เพราะตัวเลขดังกล่าวส่งผลให้นักลงทุนปรับลดการคาดการณ์เรื่องการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อย่างไรก็ดี ราคาพัลลาเดียมพุ่งขึ้นกว่า 8% ในวันพุธ Eikon source text
--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
กรุงเทพฯ--13 ก.พ.--รอยเตอร์
ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับสกุลเงินสำคัญในวันจันทร์ ในขณะที่นักลงทุนรอดูตัวเลขอัตราเงินเฟ้อของดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) สหรัฐที่จะได้รับการรายงานออกมาในวันอังคาร และรอดูตัวเลขยอดค้าปลีกของสหรัฐที่จะได้รับการรายงานออกมาในวันพฤหัสบดี เพื่อจะได้ใช้ตัวเลขดังกล่าวในการประเมินว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะเริ่มต้นปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงเมื่อใด ทั้งนี้ นักเศรษฐศาสตร์ในโพลล์รอยเตอร์คาดว่า ดัชนี CPI ทั่วไปของสหรัฐอาจปรับขึ้น 2.9% ในเดือนม.ค.เมื่อเทียบรายปี โดยชะลอตัวลงจาก +3.4% ในเดือนธ.ค. และคาดว่าดัชนี CPI พื้นฐานของสหรัฐอาจปรับขึ้น 3.7% ในเดือนม.ค.เมื่อเทียบรายปี โดยชะลอตัวลงจาก +3.9% ในเดือนธ.ค. โดยรายงานตัวเลขนี้อาจจะช่วยให้เฟดมีความเชื่อมั่นมากยิ่งขึ้นว่า อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐจะชะลอตัวลงเข้าใกล้ระดับเป้าหมายที่ 2% ทางด้านนายอาโม ซาโฮทา จากบริษัทแคลริที เอฟเอ็กซ์กล่าวว่า "ในทางจิตวิทยานั้น การที่ดัชนี CPI ทั่วไปชะลอตัวลงสู่ 2.9% จะเป็นสิ่งที่ช่วยกระตุ้นความเชื่อมั่นของนักลงทุน" Eikon source text
ดัชนีดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินอยู่ที่ 104.15 ในช่วงท้ายตลาดวันจันทร์ โดยขยับขึ้น จาก 104.10 ในช่วงท้ายตลาดวันศุกร์
ดอลลาร์/เยนอยู่ที่ 149.34 เยนในช่วงท้ายตลาดวันจันทร์ โดยขยับขึ้นจากระดับปิดตลาดวันศุกร์ที่ 149.30 เยน
ยูโร/ดอลลาร์อยู่ที่ 1.0771 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันจันทร์ โดยอ่อนค่าลงจาก 1.0782 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันศุกร์ หลังจากยูโรพุ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดรอบ 10 วันที่ 1.0805 ดอลลาร์ในระหว่างวัน
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ของตลาดหุ้นสหรัฐปิดบวกขึ้นเล็กน้อยในวันจันทร์ แต่ดัชนี S&P 500 และดัชนี Nasdaq ปิดปรับลงในวันจันทร์ ในขณะที่นักลงทุนรอดูตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐหลายตัวในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ประจำเดือนม.ค.ที่จะได้รับการรายงานออกมาในวันอังคาร, ยอดค้าปลีกที่จะได้รับการรายงานออกมาในวันพฤหัสบดี, ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ที่จะได้รับการรายงานออกมาในวันศุกร์ และนักลงทุนจะจับตาดูตัวเลขผลผลิตภาคอุตสาหกรรม และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐของมหาวิทยาลัยมิชิแกนที่จะได้รับการรายงานออกมาในสัปดาห์นี้ด้วย โดยนักลงทุนจะใช้ตัวเลข CPI และ PPI ในการประเมินแนวโน้มในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในขณะที่นักลงทุนคาดการณ์ในตอนนี้ว่า มีโอกาสเพียง 52.2% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างน้อย 0.25% ในการประชุมวันที่ 30 เม.ย.-1 พ.ค. โดยโอกาสดังกล่าวปรับลดลงจากโอกาสสูงกว่า 95% ที่เคยคาดการณ์ไว้ในช่วงต้นปี 2024 ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานถือเป็นหุ้นกลุ่มที่พุ่งขึ้นมากที่สุดในวันจันทร์ในบรรดาดัชนีหุ้น 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐ โดยดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานได้รับแรงหนุนจากหุ้นบริษัทไดมอนด์แบค เอ็นเนอร์จีที่ทะยานขึ้น 9.4% หลังจากไดมอนด์แบคประกาศว่าทางบริษัทได้ทำข้อตกลงขนาด 2.6 หมื่นล้านดอลลาร์เพื่อเข้าซื้อบริษัทเอ็นเดียเวอร์ เอ็นเนอร์จี พาร์ทเนอร์ส ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติขนาดใหญ่ในแอ่งเพอร์เมียนในสหรัฐ ทางด้านดัชนี Russell 2000 สำหรับหุ้นบริษัทขนาดเล็กของสหรัฐพุ่งขึ้น 1.9% ในวันจันทร์ Eikon source text
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวกขึ้น 0.33% สู่ 38,797.38
ดัชนี S&P 500 ปิดขยับลง 0.09% สู่ 5,021.84 ในวันจันทร์ หลังจากดัชนีเพิ่งทำสถิติระดับปิดสูงสุดใหม่ที่ 5,026.61 ได้ในวันศุกร์ที่ 9 ก.พ.
ดัชนี Nasdaq ปิดปรับลง 0.30% สู่ 15,942.54 ในวันจันทร์ แต่ดัชนียังคงอยู่ใกล้เคียงกับสถิติระดับปิดสูงสุดที่ 16,057.44 ที่เคยทำไว้ในเดือนพ.ย. 2021 และใกล้เคียงกับสถิติสูงสุดที่ 16,212.229
ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX ปิดขยับขึ้นเล็กน้อยในวันจันทร์ แต่ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปิดขยับลงเล็กน้อย ในขณะที่นักลงทุนกังวลกับอัตราดอกเบี้ยและอุปสงค์น้ำมันในตลาดโลก และปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ราคาน้ำมันชะลอตัวลงในวันจันทร์ หลังจากราคาน้ำมันดิบเบรนท์เพิ่งพุ่งขึ้นราว 6% ในสัปดาห์ที่แล้ว โดยได้รับแรงหนุนจากความกังวลเรื่องความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลาง, จากการที่ยูเครนโจมตีโรงกลั่นน้ำมันของรัสเซีย และจากการที่โรงกลั่นน้ำมันในสหรัฐปิดซ่อมบำรุงในสัปดาห์ที่แล้ว ทั้งนี้ องค์การพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ซึ่งเป็นตัวแทนของกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมคาดการณ์ว่า อุปสงค์น้ำมันจะขึ้นไปแตะจุดสูงสุดภายในปี 2030 และการคาดการณ์ดังกล่าวก็ถือเป็นเหตุผลสนับสนุนให้ลดการลงทุนในอุตสาหกรรมน้ำมัน อย่างไรก็ดี กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) คาดว่า ปริมาณการใช้น้ำมันจะยังคงปรับขึ้นต่อไปในช่วง 20 ปีข้างหน้า ส่วนนายแพทริค ปูยานน์ ซีอีโอของบริษัทโทเทลเอ็นเนอร์จีส์ของฝรั่งเศสคาดว่า อุปสงค์น้ำมันจะยังไม่แตะจุดสูงสุด และเขากล่าวเสริมว่า "เราควรจะยุติการหารือกันเรื่องจุดสูงสุดของอุปสงค์น้ำมัน และเราควรจะลงทุนในอุตสาหกรรมน้ำมัน" Eikon source text
ราคาน้ำมันดิบสหรัฐส่งมอบเดือนมี.ค.ปรับขึ้น 8 เซนต์ หรือ 0.1% มาปิดตลาดที่ 76.92 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งถือเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 30 ม.ค. และถือเป็นการปิดตลาดในแดนบวกเป็นวันที่ 6 ติดต่อกัน ซึ่งถือว่ายาวนานที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.ย. 2023
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนเม.ย.ที่ตลาดกรุงลอนดอนปรับลง 19 เซนต์ หรือ 0.2% มาปิดตลาดที่ 82.00 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาทองสปอตที่ตลาดสหรัฐปรับลง 4.37 ดอลลาร์ สู่ 2,019.79 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงท้ายตลาดวันจันทร์ ในขณะที่นักลงทุนรอดูตัวเลขอัตราเงินเฟ้อประจำเดือนม.ค.ของสหรัฐที่จะได้รับการรายงานออกมาในวันอังคาร และรอฟังถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อย่างน้อย 7 คนในสัปดาห์นี้ เพื่อใช้ในการประเมินแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของเฟด ทั้งนี้ นายบาร์ท เมเลค หัวหน้าฝ่ายแผนยุทธศาสตร์การลงทุนสินค้าโภคภัณฑ์ของบล.ทีดีระบุว่า ในขณะที่กำหนดเวลาในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดยังไม่เป็นที่แน่นอนนั้น อุปสงค์ที่แข็งแกร่งในทองจริงและคำสั่งซื้อทองจากภาครัฐบาลก็มีแนวโน้มที่จะช่วยหนุนราคาทองให้พุ่งขึ้นสู่ระดับเฉลี่ยที่ 2,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในไตรมาส 2/2024 Eikon source text
--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
เครื่องมือออกแบบโปสเตอร์
โครงการพันธมิตร
ความเสี่ยงของการสูญเสียในการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น หุ้น FX สินค้าโภคภัณฑ์ ฟิวเจอร์ส พันธบัตร ETFs หรือเงินดิจิทัลอาจมีมาก คุณอาจสูญเสียเงินทุนทั้งหมดที่คุณฝากไว้กับโบรกเกอร์ของคุณ ดังนั้น คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบว่าการซื้อขายดังกล่าวเหมาะสมกับคุณหรือไม่ในสถานการณ์และทรัพยากรทางการเงินของคุณ
ไม่ควรตัดสินใจลงทุนโดยไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบสถานะอย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วยตัวเองหรือปรึกษากับที่ปรึกษาทางการเงินของคุณ เนื้อหาเว็บของเราอาจไม่เหมาะกับคุณเนื่องจากเราไม่ทราบเงื่อนไขทางการเงินและความต้องการในการลงทุนของคุณ ข้อมูลทางการเงินของเราอาจมีความล่าช้าหรือมีความไม่ถูกต้อง ดังนั้นคุณควรรับผิดชอบอย่างเต็มที่ต่อการตัดสินใจซื้อขายและการลงทุนของคุณ บริษัทจะไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียเงินทุนของคุณ
หากไม่ได้รับอนุญาตจากเว็บไซต์ คุณจะไม่สามารถคัดลอกกราฟิก ข้อความ หรือเครื่องหมายการค้าของเว็บไซต์ได้ สิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาในเนื้อหาหรือข้อมูลที่รวมอยู่ในเว็บไซต์นี้เป็นของผู้ให้บริการและผู้ค้าแลกเปลี่ยน
ไม่ได้ล็อกอิน
เข้าสู่ระบบเพื่อเข้าถึงฟังก์ชั่นเพิ่มเติม

สมาชิก FastBull
ยังไม่ได้เปิด
สมัคร
เข้าสู่ระบบ
ลงทะเบียน