ตลาด
ข่าวสาร
การวิเคราะห์
ผู้ใช้
24x7
ปฏิทินเศรษฐกิจ
แหล่งเรียนรู้
ข้อมูล
- ชื่อ
- ค่าล่าสุด
- ครั้งก่อน












สัญญาณ VIP
ทั้งหมด
ทั้งหมด



สหรัฐอเมริกา คำสั่งซื้อสินค้าคงทนนอกกระทรวงกลาโหมที่ได้แก้ไข MoM (ไม่รวมเครื่องบิน)(SA) (ก.ย.)ค:--
ค: --
สหรัฐอเมริกา คำสั่งซื้อโรงงาน MoM(ยกเว้นการขนส่ง) (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา คำสั่งซื้อโรงงาน MoM(ยกเว้นภาคกลาโหม) (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การเปลี่ยนแปลงสต็อกก๊าซธรรมชาติประจำสัปดาห์ของ EIAค:--
ค: --
ค: --
ซาอุดิอาระเบีย การผลิตน้ำมันดิบค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การถือครองธนารักษ์สหรัฐฯของธนาคารกลางต่างประเทศรายสัปดาห์ค:--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น เงินตราที่ใช้เป็นทุนสำรอง (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย อัตราขายคืนค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย ดอกเบี้ยอ้างอิงค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย อัตราขายคืนค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย อัตราเงินสดสำรองค:--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น อินดิเคเตอร์ชั้นนำเบื้องต้น (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหราชอาณาจักร ดัชนีราคาที่อยู่อาศัย Halifax YoY (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหราชอาณาจักร ดัชนีราคาที่อยู่อาศัย Halifax MoM (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส บัญชีเดินสะพัด (Not SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส ดุลการค้า (SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส การผลิตภาคอุตสาหกรรม MoM(SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
อิตาลี ดัชนียอดค้าปลีก MoM (SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงาน YoY (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน GDP Final YoY (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน GDP Final QoQ (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงาน QoQ (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงานสุดท้าย (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
บราซิล PPI MoM (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
เม็กซิโก ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา อัตราการว่างงาน (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา อัตราการมีส่วนร่วมในการจ้างงาน (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงาน (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงานนอกเวลา (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงานเต็มเวลา (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา รายได้ส่วนบุคคล MoM (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาธนาคารกลางรัฐดัลลาส สหรัฐอเมริกา PCE YoY (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคา PCE YoY (SA) (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคา PCE MoM (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา รายจ่ายส่วนบุคคล MoM(SA) (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาPCEหลักMoM (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา เงินเฟ้อเบื้องต้น UMich 5-YearYoY (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาPCEหลักYoY (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ค่าใช้จ่ายการบริโภคส่วนบุคคลที่จริง MoM (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การคาดการณ์เงินเฟ้อ 5-10 ปี (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีสถานภาพเบื้องต้น UMich ปัจจุบัน (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้น UMich (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อล่วงหน้า 1 ปี UMich (เบื้องต้น) (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีความคาดหวังผู้บริโภค UMich (เบื้องต้น) (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ปริมาณเครื่องเจาะทั้งหมดรายสัปดาห์--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ปริมาณเครื่องเจาะน้ำมันทั้งหมดรายสัปดาห์--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา สินเชื่ออุปโภคบริโภค (SA) (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ เงินตราที่ใช้เป็นทุนสำรอง (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ปริมาณการส่งออก YoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การนำเข้า YoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การนำเข้าYoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การนำเข้า (CNH) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ดุลการค้า (CNH) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การส่งออก (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น ค่าจ้าง MoM (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น ดุลการค้า (ต.ค.)--
ค: --
ค: --


ไม่มีข้อมูลที่ตรงกัน
ทัศนคติล่าสุด
ทัศนคติล่าสุด
หัวข้อยอดนิยม
คอลัมนิสต์ยอดนิยม
อัปเดตล่าสุด
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
ดูผลการค้นหาทั้งหมด

ไม่มีข้อมูล
ขณะที่ใกล้จะถึงช่วงสุดท้ายของปี ตลาดก็มีคลายกังวลที่วงจรการคุมเข้มนโยบายการเงินทั่วโลกที่รุนแรงที่สุดในรอบหลายทศวรรษกำลังจะสิ้นสุดลงในที่สุด แต่ภาวะตึงตัวจากการขึ้นดอกเบี้ยเพิ่งเริ่มส่งผ่านออกมา และเนื่องจากธนาคารกลางต่างๆส่งสัญญาณว่า อัตราดอกเบี้ยอาจจะสูงขึ้นนานขึ้น แนวคิดที่บางอย่าง "จะพังทลายลง" นั้นจึงยังคงชัดเจน และแรงกดดันที่ต้องจับตาดูนั้นมีดังนี้
ผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นกำลังเกิดขึ้นรุนแรงกว่ากับภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งยังคงได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ขณะที่ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของเยอรมนีเผชิญกับภาวะล้มละลายหลายแห่ง ตลาดสำนักงานของลอนดอนก็อยู่ในภาวะถดถอย เนื่องจากอัตราพื้นที่ว่างพุ่งสูงสุดในรอบ 30 ปี และธนาคารในสหรัฐแถลงผลขาดทุนจากอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งปีแรก และเตือนว่าอาจจะขาดทุนอีก ส่วนสวีเดนก็เป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบหนักสุดในยุโรป เนื่องจากหนี้อสังหาริมทรัพย์ส่วนใหญ่เป็นหนี้ระยะสั้น ขณะที่บริษัทเอสบีบี ซึ่งเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ กำลังพยายามอย่างหนักเพื่อฟื้นฟูการเงินที่ขาดทุนอย่างหนักและเงินสดลดน้อยลง อีกทั้งวิกฤตินี้ยังเกิดขึ้นกับบริษัทฮีมสตาเดน บอสตั๊ด ซึ่งเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัยที่ใหญ่ที่สุดของสวีเดนที่กำลังประสบกับภาวะตึงตัวในการจัดหาเงินทุนหลายพันล้านดอลลาร์
อสังหาริมทรัพย์เป็นศูนย์กลางของวิกฤติของจีนด้วย และเป็นเหตุผลข้อหนึ่งที่เศรษฐกิจจีนติดอันดับเรื่องที่นักลงทุนกังวล โดยไชน่า เอเวอร์แกรนด์ กรุ๊ป ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีหนี้สูงสุดในโลกกว่า 3.00 แสนล้านดอลลาร์ เป็นศูนย์กลางของวิกฤติสภาพคล่องในภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ส่วนบริษัทคันทรี การ์เด้น ผู้พัฒนาในภาคเอกชนรายใหญ่สุดของจีน ก็กำลังต่อสู้เพื่อหลีกเลี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ และเนื่องจากภาคอสังหาริมทรัพย์มีสัดส่วนราว 1 ใน 4 ของเศรษฐกิจ จึงมีความวิตกมากขึ้นเกี่ยวกับผลกระทบสำหรับเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ของจีนและผลกระทบที่เป็นลูกโซ่
การผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ภาคเอกชนเริ่มมีจำนวนมากขึ้น แม้แต่ในช่วงเดือนที่มักจะเงียบเหงา โดยข้อมูลจากเอสแอนด์พีพบว่า จำนวนของการผิดนัดชำระหนี้ใหม่ทั่วโลกแตะ 16 ในเดือนส.ค. ซึ่งเป็นยอดรวมสูงสุดในเดือนส.ค.นับตั้งแต่ปี 2009 และเป็นสัญญาณล่าสุดที่แสดงว่า ภาวะตึงตัวในภาคเอกชนกำลังก่อตัวขึ้น และเอสแอนด์พียังคาดว่า การผิดนัดชำระหุ้นกู้ของบริษัทยุโรปที่ได้รับการจัดอันดับขยะจะแตะ 3.75% ภายในเดือนมิ.ย.ปีหน้า จาก 3.4% ในเดือนส.ค.
ภาวะตึงตัวในภาคธนาคารสร้างความวิตกน้อยลงให้แก่นักลงทุนนับตั้งแต่วิกฤติในเดือนมี.ค.ได้สร้างความเสียหายหนัก โดยธนาคารขนาดใหญ่ของสหรัฐสามารถผ่านบททดสอบภาวะวิกฤติประจำปีของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในเดือนมิ.ย.ได้ ขณะที่ธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ได้ขอให้ธนาคารต่างๆจัดสรรข้อมูลสภาพคล่องรายสัปดาห์เพื่อให้อีซีบีสามารถทำการตรวจสอบได้บ่อยครั้งขึ้นเพื่อดูความสามารถของธนาคารในการป้องกันผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นขณะที่อัตราดอกเบี้ยปรับขึ้น อย่างไรก็ดี ยังคงมีคำถามสำคัญเกี่ยวกับอนาคต โดยเฉพาะจากปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์
ธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) ยังคงดำเนินนโยบายการเงินผ่อนคลายพิเศษ แต่จุดยืนที่เข้มงวดขึ้นอาจจะเกิดขึ้นในไม่ช้า และมีความเสี่ยงมากขึ้นที่จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงจากยุคที่เงินสดญี่ปุ่นอัดฉีดเข้าสู่ทุกอย่างนับตั้งแต่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีของสหรัฐไปจนถึงสกุลเงินตลาดเกิดใหม่ที่ให้ผลตอบแทนสูง โดยแคปิตอล อีโคโนมิคส์คาดว่า บีโอเจจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนม.ค.ปีหน้า และตั้งข้อสังเกตว่า นักลงทุนญี่ปุ่นถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอยู่ราว 1 ล้านล้านดอลลาร์ และยังถือครองพันธบัตรรัฐบาลของยุโรป และออสเตรเลียเป็นจำนวนมากด้วย ซึ่งแรงเทขายพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐของญี่ปุ่นก็อาจจะทำให้ผลตอบแทนพันธบัตรเพิ่มขึ้นอีก และนั่นอาจกระทบหุ้นที่มีแนวโน้มว่าจะปรับตัวแย่กว่าเมื่อนักลงทุนคาดหวังผลตอบแทนที่สูงกว่าจากพันธบัตรรัฐบาลที่มีความเสี่ยงต่ำ--จบ--
Eikon source text
นิวยอร์ค--28 ก.ย.--รอยเตอร์
ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) แสดงจุดยืนแบบสายเหยี่ยวในช่วงนี้ โดยเฟดคาดการณ์ในรายงานที่ออกมาในวันที่ 20 ก.ย.ว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดจะแตะจุดสูงสุดของวัฏจักรในปีนี้ที่ระดับ 5.50-5.75% และอัตราดอกเบี้ยจะอยู่ที่ 5.1% ในช่วงสิ้นปี 2024 ซึ่งใกล้เคียงกับกรอบเป้าหมายอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันที่ 5.25-5.50% และสิ่งนี้บ่งชี้ว่า เฟดมีแนวโน้มที่จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับสูงต่อไปเป็นเวลานาน โดยการแสดงจุดยืนแบบสายเหยี่ยวนี้มีส่วนช่วยหนุนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีให้พุ่งขึ้นแตะ 4.642% ในวันพุธ ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนต.ค. 2007 หรือจุดสูงสุดในรอบเกือบ 16 ปี แต่การพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยิลด์) ส่งผลลบต่อตลาดหุ้นสหรัฐ และส่งผลให้นักลงทุนบางรายคาดการณ์กันว่า ตลาดหุ้นสหรัฐอาจจะได้รับแรงกดดันต่อไปอีกในอนาคต ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้นักลงทุนในตลาดหุ้นเคยมองว่า การพุ่งขึ้นของบอนด์ยิลด์สหรัฐเป็นเพียงแค่ผลพลอยได้จากเศรษฐกิจสหรัฐที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งเกินคาด แต่ในตอนนี้นักลงทุนเริ่มกังวลว่า บอนด์ยิลด์ที่พุ่งขึ้นสูงเกินไปอาจจะสร้างความเสียหายต่อตลาดหุ้นได้ในที่สุด
ดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐดิ่งลงมาแล้วกว่า 7% จากจุดสูงสุดของเดือนก.ค. โดยได้รับแรงกดดันจากการรูดลงอย่างรุนแรงของหุ้นบริษัทหลายแห่งที่เคยพุ่งขึ้นในช่วงต้นปีนี้ ซึ่งรวมถึงหุ้นบริษัทแอปเปิล, อะเมซอนดอทคอม และเอ็นวิเดีย ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐพุ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดรอบ 16 ปี โดยได้รับแรงหนุนจากการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงของเจ้าหน้าที่เฟด ทั้งนี้ การพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรส่งผลให้พันธบัตรมีความน่าดึงดูดมากยิ่งขึ้น และส่งผลให้นักลงทุนหันมาซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ซึ่งถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย แทนที่จะเสี่ยงลงทุนในหุ้น นอกจากนี้ การพุ่งขึ้นของบอนด์ยิลด์ก็ส่งผลให้ต้นทุนการกู้ยืมของภาคเอกชนและภาคครัวเรือนเพิ่มสูงขึ้นด้วย โดยนายเจค เชอร์ไมเยอร์ ผู้จัดการพอร์ตลงทุนของบริษัทฮาร์เบอร์ แคปิตัล แอดไวเซอร์สกล่าวว่า นักลงทุน "กำลังหามูลค่าที่เหมาะสมสำหรับหุ้นในยุคที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 5%" และเขากล่าวเสริมว่า "นักลงทุนกำลังตั้งคำถามว่า เพราะเหตุใดเราถึงต้องรับความเสี่ยงจากหุ้นด้วย ในเมื่อเราสามารถได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่านั้นด้วยการทำเพียงแค่ถือครองตั๋วเงินคลังสหรัฐ"
สถิติข้อมูลจากในอดีตบ่งชี้ว่า อัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงมักจะส่งผลลบต่อตลาดหุ้น โดยบริษัทเอคิวอาร์ แคปิตัล แมเนจเมนท์ระบุในรายงานวิจัยว่า ข้อมูลนับตั้งแต่ปี 1990 เป็นต้นมาแสดงให้เห็นว่า การลงทุนในหุ้นสหรัฐให้ผลตอบแทนสูงกว่าเงินสดเฉลี่ยเพียง 5.4% ในช่วงเวลาที่อัตราดอกเบี้ยอยู่สูงกว่าค่ากลาง ซึ่งเหมือนกับสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน แต่การลงทุนในหุ้นสหรัฐให้ผลตอบแทนสูงกว่าเงินสดราว 11.5% ในช่วงเวลาที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ต่ำกว่าค่ากลาง ทั้งนี้ นายแดน วิลลาลอน ผู้บริหารในบริษัทเอคิวอาร์คาดว่า อัตราดอกเบี้ยในช่วง 5-10 ปีข้างหน้าจะอยู่สูงกว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งจะส่งผลกระทบต่ออัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้น และเขากล่าวเสริมว่า "หุ้นมีราคาแพงมากในปัจจุบัน"
รายงานวิจัยของเอคิวอาร์แสดงให้เห็นว่า กองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่ลงทุนตามกระแสมีแนวโน้มที่จะมีผลประกอบการดีเมื่ออัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูง เพราะว่ากองทุนเหล่านี้ถือครองเงินสดจำนวนมาก และเงินสดเหล่านี้จะได้รับประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น
นายคีธ เลอร์เนอร์ หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของบริษัททรูอิสต์ แอดไวซอรี เซอร์วิสเซสระบุว่า ค่าพรีเมียมความเสี่ยงของหุ้น (ERP) ซึ่งเป็นการเปรียบเทียบความน่าดึงดูดของหุ้นเมื่อเทียบกับพันธบัตรรัฐบาลที่ปลอดความเสี่ยง หดตัวลงในช่วงเวลาส่วนใหญ่ในปี 2023 และอยู่ที่จุดต่ำสุดในรอบราว 14 ปีในช่วงนี้ โดยระดับ ERP ในปัจจุบันนี้บ่งชี้ว่า การลงทุนในดัชนี S&P 500 ในช่วง 12 เดือนข้างหน้าจะให้ผลตอบแทนสูงกว่าการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีเพียงราว 1.3% เท่านั้น--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
กรุงเทพฯ--27 ก.ย.--รอยเตอร์
ดัชนีดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินปรับขึ้นแตะจุดสูงสุดรอบ 10 เดือนในวันอังคาร ในขณะที่ดอลลาร์/เยนแข็งค่าขึ้นเข้าใกล้ 150 เยน และนักลงทุนจับตามองว่าทางการญี่ปุ่นจะเข้ามาแทรกแซงตลาดที่ระดับ 150 เยนหรือไม่เพื่อจะได้หนุนเยนให้แข็งค่าขึ้น ทางด้านอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีพุ่งขึ้นจาก 4.542% ในช่วงท้ายวันจันทร์ สู่ 4.558% ในช่วงท้ายวันอังคาร หลังจากทะยานขึ้นแตะ 4.566% ในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดรอบ 16 ปี โดยได้รับแรงหนุนจากตัวเลขเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งในสหรัฐในช่วงที่ผ่านมา โดยการปรับขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยิลด์) มีส่วนช่วยหนุนดอลลาร์ให้แข็งค่าขึ้นด้วย ทั้งนี้ นายนีล แคชคารี ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขามินนิอาโปลิสกล่าวในวันอังคารว่า มีแนวโน้มที่เศรษฐกิจสหรัฐจะชะลอตัวลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่มีโอกาส 40% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย "อย่างสำคัญ" เพื่อควบคุมภาวะเงินเฟ้อ Eikon source text
ดัชนีดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินอยู่ที่ 106.21 ในช่วงท้ายตลาดวันอังคาร โดยแข็งค่าขึ้นจาก 105.95 ในช่วงท้ายตลาดวันจันทร์ หลังจากพุ่งขึ้นแตะ 106.26 ในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 30 พ.ย. 2022 หรือจุดสูงสุดในรอบเกือบ 10 เดือน
ดอลลาร์/เยนอยู่ที่ 149.05 เยน ในช่วงท้ายตลาดวันอังคาร โดยปรับขึ้นจากระดับปิดตลาดวันจันทร์ที่ 148.88 เยน หลังจากทะยานขึ้นแตะ 149.19 เยนในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดรอบ 11 เดือน
ยูโร/ดอลลาร์อยู่ที่ 1.0570 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันอังคาร โดยอ่อนค่าลงจาก 1.0590 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันจันทร์ หลังจากดิ่งลงแตะ 1.0560 ดอลลาร์ในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 16 มี.ค. หรือจุดต่ำสุดรอบ 6 เดือน
ตลาดหุ้นสหรัฐดิ่งลงในวันอังคาร ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีพุ่งขึ้นแตะ 4.566% ในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนต.ค. 2007 หรือจุดสูงสุดในรอบราว 16 ปี และนักลงทุนยังคงปรับตัวรับการคาดการณ์ที่ว่า อัตราดอกเบี้ยสหรัฐอาจจะยังคงอยู่ในระดับสูงต่อไปเป็นเวลานาน ซึ่งอาจจะสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจสหรัฐ นอกจากนี้ นักลงทุนก็กังวลกับความเป็นไปได้ที่หน่วยงานบางแห่งของรัฐบาลสหรัฐอาจจะเริ่มปิดทำการชั่วคราวตั้งแต่ช่วงสุดสัปดาห์นี้ด้วย ในขณะที่บริษัทมูดี้ส์ระบุว่า การปิดทำการชั่วคราว (ชัตดาวน์) ของรัฐบาลสหรัฐจะทำลายความน่าเชื่อถือของสหรัฐ ทั้งนี้ หุ้นทั้ง 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐปิดตลาดวันอังคารในแดนลบ โดยดัชนีหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคดิ่งลง 3.05% และดัชนีหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์รูดลง 1.8% เนื่องจากหุ้นทั้งสองกลุ่มนี้มักจะได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ย ทางด้านดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีดิ่งลง 1.8% Eikon source text
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดดิ่งลง 1.14% สู่ 33,618.88 ซึ่งถือเป็นระดับปิดต่ำสุดในรอบกว่า 3 เดือน และการดิ่งลงในวันอังคารถือเป็นการดิ่งลงครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.
ดัชนี S&P 500 ปิดรูดลง 1.47% สู่ 4,273.53 ซึ่งถือเป็นระดับปิดต่ำสุดในรอบกว่า 3 เดือน
ดัชนี Nasdaq ปิดดิ่งลง 1.57% สู่ 13,063.61 ซึ่งถือเป็นระดับปิดต่ำสุดในรอบกว่า 3 เดือน
ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX ปรับขึ้นในวันอังคาร โดยได้รับแรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่า อุปทานน้ำมันจะตึงตัว และปัจจัยบวกดังกล่าวก็ช่วยบดบังแรงกดดันที่ราคาน้ำมันได้รับจากความกังวลที่ว่า แนวโน้มเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนจะส่งผลลบต่ออุปสงค์น้ำมัน นอกจากนี้ ราคาน้ำมันก็ได้รับแรงหนุนเพิ่มเติมจากความกังวลของนักลงทุนที่มีต่ออุปทานน้ำมันที่ตึงตัวในเมืองคุชชิง รัฐโอกลาโฮมา ซึ่งเป็นจุดส่งมอบน้ำมันตามสัญญาในตลาด NYMEX ด้วย โดยรัฐบาลสหรัฐรายงานว่า สต็อกน้ำมันดิบที่เมืองคุชชิงดิ่งลงสู่ระดับต่ำกว่า 23 ล้านบาร์เรลในวันที่ 15 ก.ย. ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.ค. 2022 และออกห่างจากจุดสูงสุดรอบ 2 ปีที่ระดับสูงกว่า 43 ล้านบาร์เรลที่เคยทำไว้ในเดือนมิ.ย. โดยการดิ่งลงของสต็อกน้ำมันนี้เป็นผลจากการกลั่นน้ำมันในปริมาณมากและเป็นผลจากการส่งออกน้ำมันในปริมาณมาก และปัจจัยนี้ทำให้นักลงทุนกังวลกับคุณภาพของน้ำมันที่เหลืออยู่ในคลัง และกังวลว่าปริมาณน้ำมันในคลังอาจจะดิ่งลงสู่ระดับต่ำเกินไป ทั้งนี้ หลังจากตลาด NYMEX ปิดทำการในวันอังคาร การปิโตรเลียมสหรัฐ (API) ซึ่งเป็นหน่วยงานของเอกชน ได้เปิดเผยตัวเลขสต็อกน้ำมันสหรัฐประจำสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 22 ก.ย. โดยระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบในคลังสหรัฐพุ่งขึ้นราว 1.6 ล้านบาร์เรล, สต็อกน้ำมันเบนซินในคลังสหรัฐลดลงราว 70,000 บาร์เรล และสต็อกน้ำมัน distillate ในคลังสหรัฐดิ่งลงราว 1.7 ล้านบาร์เรล Eikon source text
ราคาน้ำมันดิบสหรัฐส่งมอบเดือนพ.ย.ปรับขึ้น 71 เซนต์ หรือ 0.8% มาปิดตลาดที่ 90.39 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจากดิ่งลงแตะ 88.19 ดอลลาร์ในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดรอบ 2 สัปดาห์
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนพ.ย.ที่ตลาดกรุงลอนดอนปรับขึ้น 67 เซนต์ หรือ 0.7% มาปิดตลาดที่ 93.96 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจากดิ่งลงแตะ 91.80 ดอลลาร์ในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดรอบ 2 สัปดาห์
ราคาทองสปอตที่ตลาดสหรัฐร่วงลง 15.17 ดอลลาร์ สู่ 1,900.49 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงท้ายตลาดวันอังคาร โดยได้รับแรงกดดันจากการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ และจากการแข็งค่าของดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่นักลงทุนคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับสูงต่อไปเป็นเวลานาน ทั้งนี้ นายออสตัน กูลส์บี ประธานเฟดสาขาชิคาโกกล่าวในวันจันทร์ว่า การที่อัตราเงินเฟ้อเคลื่อนตัวอยู่สูงกว่าระดับเป้าหมายที่ 2% เป็นเวลานาน ถือเป็นความเสี่ยงที่ใหญ่กว่าการดำเนินนโยบายการเงินแบบเข้มงวดจนส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอตัวลง ทางด้านกองทุน SPDR Gold Trust ซึ่งถือเป็นกองทุน ETF ทองที่ใหญ่ที่สุดในโลกระบุว่า ปริมาณการถือครองทองของกองทุนแห่งนี้ดิ่งลงในวันจันทร์จนแตะจุดต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนม.ค. 2020 Eikon source text
--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--25 ก.ย.--รอยเตอร์
นักวิเคราะห์ตลาดหุ้นสหรัฐระบุว่า ตลาดหุ้นสหรัฐเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงหลายประการในช่วงนี้ ซึ่งรวมถึงการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) แสดงจุดยืนแบบสายเหยี่ยว, การพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ และความเสี่ยงที่หน่วยงานราชการสหรัฐอาจจะปิดทำการ ถ้าหากสภาคองเกรสของสหรัฐไม่สามารถผ่านร่างกฎหมายงบประมาณได้ทันก่อนเส้นตายในวันที่ 30 ก.ย. ทั้งนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐดิ่งลงมาแล้วกว่า 6% จากจุดสูงสุดของช่วงปลายเดือนก.ค. และดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐรูดลง 2.9% ในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งถือเป็นการดิ่งลงรายสัปดาห์ครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค. หลังจากเฟดประกาศผลการประชุมกำหนดนโยบายประจำวันที่ 19-20 ก.ย. โดยเฟดคาดว่าเฟดจะยังคงอัตราดอกเบี้ยระดับสูงต่อไปเป็นเวลานานกว่าที่เคยคาดการณ์กันไว้ อย่างไรก็ดี ดัชนี S&P 500 ยังคงพุ่งขึ้นมาแล้ว 12.8% จากช่วงต้นปีนี้ ทางด้านแบงก์ ออฟ อเมริกา โกลบัล รีเสิร์ชรายงานว่า นักลงทุนเทขายหุ้นทั่วโลกเป็นมูลค่าสุทธิ 1.69 หมื่นล้านดอลลาร์ในช่วงสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 20 ก.ย. ซึ่งถือเป็นยอดเงินลงทุนไหลออกรายสัปดาห์ที่สูงที่สุดในปีนี้
นายชาร์ลี ริปเลย์ นักยุทธศาสตร์การลงทุนของบริษัทอัลไลอันซ์ อินเวสท์เมนท์ แมเนจเมนท์กล่าวว่า "เศรษฐกิจสหรัฐรักษาระดับความแข็งแกร่งไว้ได้ดีในฤดูร้อนปีนี้ แต่เรากำลังจะเข้าสู่ช่วงเวลาที่เศรษฐกิจเผชิญความเสี่ยงเป็นอย่างมาก ทางด้านนักลงทุนมองเห็นเหตุผลที่จะปรับลดความเสี่ยงทางการลงทุน" และปัจจัยดังกล่าวก็ส่งผลลบต่อความต้องการซื้อหุ้นด้วย ทั้งนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีเพิ่งพุ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดรอบ 16 ปีที่ 4.508% ในวันศุกร์ และการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยิลด์) ก็ส่งผลให้การลงทุนในพันธบัตรมีความน่าดึงดูดมากยิ่งขึ้น และส่งผลให้หุ้นมีความน่าดึงดูดน้อยลง
นักลงทุนจับตาดูภัยคุกคามที่มีต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในสหรัฐด้วย โดยภัยคุกคามแรกเกิดจากอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูง โดยเฉพาะถ้าหากเฟดทำตามสัญญาที่ว่า เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับสูงต่อไปเป็นเวลานาน ทั้งนี้ นายไบรอัน จาค็อบเสน หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของบริษัทแอนเน็กซ์ เวลธ์ แมเนจเมนท์กล่าวว่า "เฟดมีความเชื่อมั่นมากเกินไปในการคาดการณ์ที่ว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะชะลอตัวลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป" และเขากล่าวเสริมว่า "เฟดที่มีความเชื่อมั่นถือเป็นเฟดที่อันตราย เพราะเฟดจะมองข้ามสัญญาณบ่งชี้ถึงความอ่อนแอทางเศรษฐกิจในช่วงแรก"
ปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ สำหรับเศรษฐกิจสหรัฐรวมถึงราคาน้ำมันที่ระดับสูง, การที่ชาวสหรัฐจำนวนมากจะต้องเริ่มชำระหนี้การศึกษาในเดือนต.ค. และความเป็นไปได้ที่หน่วยงานรัฐบาลสหรัฐอาจจะปิดทำการ ทั้งนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐเผชิญกับปัจจัยลบด้านฤดูกาลด้วย โดยแบงก์ ออฟ อเมริกา โกลบัล รีเสิร์ชระบุว่า ตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวอ่อนแอกว่าค่าเฉลี่ยในช่วง 10 วันแรกของเดือนก.ย.ปีนี้ และข้อมูลสถิติจากในอดีตบ่งชี้ว่า ในปีใดก็ตามที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว ดัชนี S&P 500 ก็จะดิ่งลงเฉลี่ย 1.66% ในช่วงเวลา 10 วันที่เริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 18 ก.ย. ซึ่งส่งผลให้ช่วง 10 วันนี้ถือเป็นช่วง 10 วันที่ตลาดหุ้นสหรัฐดิ่งลงเฉลี่ยมากที่สุดในแต่ละปี อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์ของแบงก์ ออฟ อเมริกาตั้งข้อสังเกตว่า การร่วงลงของตลาดหุ้นอาจจะเปิดโอกาสสำหรับการเข้าช้อนซื้อหุ้น
ถ้าหากหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐปิดทำการเป็นเวลายาวนาน อัตราผลตอบแทนพันธบัตรก็อาจจะพุ่งสูงขึ้นไปอีก ซึ่งจะยิ่งส่งผลลบต่อตลาดหุ้น อย่างไรก็ดี มีรายงานระบุว่ามีนักลงทุนจำนวนมากที่รอดูท่าทีอยู่นอกตลาดในช่วงนี้ เพื่อรอจังหวะในการเข้าช้อนซื้อเมื่อตลาดหุ้นดิ่งลง โดยนายคีธ เลอร์เนอร์ หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของบริษัททรูอิสต์กล่าวว่า ถ้าหากดัชนี S&P 500 ดิ่งลงราว 3% จากระดับปัจจุบัน สู่ระดับ 4,200 ในอนาคต ระดับดังกล่าวก็อาจจะกระตุ้นให้นักลงทุนส่งคำสั่งซื้อเข้ามาในตลาด และระดับดังกล่าวจะส่งผลให้ค่าพีอีเรโชของหุ้นสหรัฐอยู่ที่ 17.5 เท่าของผลกำไร ซึ่งจะสอดคล้องกับค่าเฉลี่ย 10 ปี--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
กรุงเทพฯ--25 ก.ย.--รอยเตอร์
ดัชนีดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินปรับขึ้นในวันศุกร์ โดยได้รับแรงหนุนจากตัวเลขกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วโลกที่แสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจสหรัฐอยู่ในสถานะที่ดีกว่าเศรษฐกิจของประเทศสำคัญอื่น ๆ ทั้งนี้ บริษัทเอสแอนด์พี โกลบอลรายงานในวันศุกร์ว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) โดยรวมของสหรัฐ ซึ่งครอบคลุมทั้งภาคการผลิตและภาคบริการ ขยับลงจาก 50.2 ในเดือนส.ค. สู่ 50.1 ในเดือนก.ย. ในขณะที่ดัชนีที่ระดับสูงกว่า 50 บ่งชี้ถึงการขยายตัว โดยรายงานนี้บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐอยู่ในสถานะที่ดีกว่าเศรษฐกิจยุโรป หลังจากมีรายงานระบุว่า ดัชนี PMI โดยรวมของฝรั่งเศสร่วงลงจาก 46.0 ในเดือนส.ค. สู่ 43.5 ในเดือนก.ย. นอกจากนี้ ผลสำรวจก็พบว่า เศรษฐกิจยูโรโซนอาจหดตัวลงในไตรมาส 3 ในขณะที่ดัชนี PMI คอมโพสิตขั้นต้นของยูโรโซนเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 47.1 ในเดือนก.ย. จากระดับต่ำสุดในรอบ 33 เดือนที่ 46.7 ในเดือนส.ค. แต่ยังคงอยู่ต่ำกว่าระดับ 50 Eikon source text
ดัชนีดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินอยู่ที่ 105.55 ในช่วงท้ายตลาดวันศุกร์ โดยแข็งค่าขึ้นจาก 105.39 ในช่วงท้ายตลาดวันพฤหัสบดี หลังจากพุ่งขึ้นแตะ 105.78 ในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค. หรือจุดสูงสุดรอบ 6 เดือน โดยดัชนีดอลลาร์ปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการปรับขึ้นราว 0.3% จากสัปดาห์ที่แล้ว และถือเป็นการปิดตลาดรายสัปดาห์ในแดนบวกเป็นสัปดาห์ที่ 10 ติดต่อกัน ซึ่งถือว่ายาวนานที่สุดในรอบเกือบ 10 ปี
ดอลลาร์/เยนอยู่ที่ 148.37 เยนในช่วงท้ายตลาดวันศุกร์ โดยปรับขึ้นจากระดับปิดตลาดวันพฤหัสบดีที่ 147.58 เยน หลังจากทะยานขึ้นแตะจุดสูงสุดในรอบกว่า 10 เดือนที่ 148.45 เยนในวันพฤหัสบดี
ยูโร/ดอลลาร์อยู่ที่ 1.0652 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันศุกร์ โดยขยับลงจาก 1.0658 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันพฤหัสบดี หลังจากดิ่งลงแตะ 1.0613 ดอลลาร์ในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค. หรือจุดต่ำสุดรอบ 6 เดือน
ตลาดหุ้นสหรัฐปรับลงในวันศุกร์ หลังจากแกว่งตัวผันผวนในระหว่างวัน ในขณะที่นักลงทุนปรับตัวรับแนวโน้มที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีพุ่งขึ้นแตะ 4.508% ในวันศุกร์ ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย. 2007 หรือจุดสูงสุดรอบ 16 ปี ก่อนจะปรับลงสู่ 4.440% ในช่วงท้ายวันศุกร์ ทางด้านมิเชลล์ โบว์แมน หนึ่งในผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวในวันศุกร์ว่า เฟดจำเป็นจะต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปเพื่อควบคุมภาวะเงินเฟ้อภายในเวลาที่เหมาะสม โดยถ้อยแถลงแบบสายเหยี่ยวในครั้งนี้ตั้งอยู่บนการคาดการณ์ที่ว่า ราคาพลังงานอาจจะปรับสูงขึ้น และการต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้ออาจจะดำเนินต่อไปอีกนานหลายปี ทั้งนี้ มีเพียงหุ้น 2 กลุ่มจาก 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐที่ปิดตลาดวันศุกร์ในแดนบวก ซึ่งได้แก่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีกับหุ้นกลุ่มพลังงาน ส่วนหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยถือเป็นกลุ่มที่ดิ่งลงมากที่สุดในวันศุกร์ Eikon source text
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดปรับลง 0.31% สู่ 33,963.84
ดัชนี S&P 500 ปิดปรับลง 0.23% สู่ 4,320.06 หลังจากดัชนีเพิ่งร่วงผ่านค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 100 วันซึ่งถือเป็นแนวรับสำคัญในวันพฤหัสบดี และถือเป็นการร่วงผ่านแนวรับดังกล่าวเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนมี.ค. โดยการที่ดัชนีไม่สามารถพุ่งขึ้นเหนือระดับดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ดัชนียังคงได้รับแรงกดดันในทางลบ นอกจากนี้ ดัชนี S&P 500 ก็ปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการดิ่งลงรายสัปดาห์ครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.ด้วย
ดัชนี Nasdaq ปิดขยับลง 0.09% สู่ 13,211.81 โดยดัชนีปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการดิ่งลงรายสัปดาห์ครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.
ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX ปรับขึ้นในวันศุกร์ โดยได้รับแรงหนุนจากรายงานของบริษัทเบเกอร์ ฮิวจ์ที่ระบุว่า จำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันที่ใช้งานในสหรัฐดิ่งลง 8 แท่น สู่ 507 แท่นในช่วงสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 22 ก.ย. ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ. 2022 ทางด้านบริษัทไอไออาร์ เอ็นเนอร์จีระบุว่า มีการคาดการณ์กันว่าโรงกลั่นน้ำมันในสหรัฐจะปิดกำลังการกลั่นน้ำมันราว 1.4 ล้านบาร์เรลต่อวันในสัปดาห์ล่าสุด โดยเพิ่มขึ้นจาก 800,000 บาร์เรลต่อวันในสัปดาห์ก่อนหน้านั้น ในขณะที่โรงกลั่นน้ำมันในสหรัฐมักจะปิดซ่อมบำรุงในฤดูใบไม้ร่วง หลังจากใช้กำลังการกลั่นจำนวนมากในช่วงฤดูร้อนเพื่อตอบรับต่ออุปสงค์น้ำมันที่ระดับสูง ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ทรงตัวในวันศุกร์ แต่ปิดตลาดสัปดาห์นี้ในแดนลบ โดยได้รับแรงกดดันจากคำสั่งเทขายทำกำไร ในขณะที่ราคาน้ำมันได้รับแรงกดดันจากการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป ซึ่งจะส่งผลลบต่ออุปสงค์น้ำมัน แต่ราคาน้ำมันก็ได้รับแรงหนุนจากความกังวลเรื่องอุปทานน้ำมัน หลังจากรัสเซียประกาศห้ามส่งออกเชื้อเพลิง Eikon source text
ราคาน้ำมันดิบสหรัฐส่งมอบเดือนพ.ย.ปรับขึ้น 40 เซนต์ หรือ 0.5% มาปิดตลาดที่ 90.03 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในวันศุกร์ แต่ราคาน้ำมันดิบสหรัฐปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการขยับลง 0.03% จากสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งถือเป็นการปิดตลาดรายสัปดาห์ในแดนลบเป็นครั้งแรกในรอบ 4 สัปดาห์
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนพ.ย.ที่ตลาดกรุงลอนดอนขยับลง 3 เซนต์ มาปิดตลาดที่ 93.27 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในวันศุกร์ และปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการปรับลง 0.3% จากสัปดาห์ที่แล้ว หลังจากปิดตลาดรายสัปดาห์ในแดนบวกมานานติดต่อกัน 3 สัปดาห์ โดยราคาน้ำมันดิบเคยพุ่งขึ้นกว่า 10% ในช่วง 3 สัปดาห์ดังกล่าว โดยได้รับแรงหนุนจากความกังวลเรื่องอุปทานน้ำมันตึงตัว
ราคาทองสปอตที่ตลาดสหรัฐปรับขึ้น 5.42 ดอลลาร์ สู่ 1,924.99 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงท้ายตลาดวันศุกร์ หลังจากปิดตลาดในแดนลบมานานติดต่อกัน 3 วัน ในขณะที่ดัชนีดอลลาร์ลดช่วงบวกลงในวันศุกร์ หลังจากพุ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดรอบ 6 เดือนในระหว่างวัน ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีก็พุ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดรอบ 16 ปีที่ 4.508% ในวันศุกร์ ก่อนจะร่วงลงมาปิดตลาดที่ 4.44% ในวันศุกร์ โดยปรับลงจาก 4.48% ในวันพฤหัสบดี โดยการร่วงลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรส่งผลบวกต่อราคาทอง เพราะทองเป็นสินทรัพย์ที่ไม่ให้ดอกเบี้ย Eikon source text
--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
กรุงเทพฯ-- ก.ย.--รอยเตอร์
ดัชนีดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินแข็งค่าขึ้นในวันพุธ หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 5.25-5.50% ตามเดิมในการประชุม แต่เฟดแสดงจุดยืนแบบสายเหยี่ยวมากยิ่งขึ้น และเฟดยังคงคาดการณ์เหมือนในเดือนมิ.ย.ว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดจะแตะจุดสูงสุดของวัฏจักรในปีนี้ที่ระดับ 5.50-5.75% ซึ่งเท่ากับว่าเฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% ในช่วงต่อไปในปีนี้ นอกจากนี้ เฟดยังคาดการณ์ในรายงานสรุปการคาดการณ์เศรษฐกิจ (SEP) รายไตรมาสฉบับล่าสุดอีกด้วยว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงเพียง 0.50% ในปี 2024 แทนที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 1% ในปี 2024 เหมือนอย่างที่เคยคาดการณ์ไว้ในเดือนมิ.ย. ทั้งนี้ นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟดกล่าวว่า ถึงแม้บางสิ่งอยู่นอกเหนือจากการควบคุมของเฟด ก็มีโอกาสสูงที่การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างแข็งกร้าวของเฟดจะไม่ส่งผลให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะตกต่ำ ทางด้านอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 2 ปีพุ่งขึ้นแตะ 5.178% ในระหว่างช่วงการซื้อขายวันพุธ ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดรอบ 17 ปี Eikon source text
ดัชนีดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินอยู่ที่ 105.44 ในช่วงท้ายตลาดวันพุธ โดยแข็งค่าขึ้นจาก 105.12 ในช่วงท้ายตลาดวันอังคาร โดยระดับ 105.44 นี้ถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค. หรือจุดสูงสุดรอบ 6 เดือน
ดอลลาร์/เยนอยู่ที่ 148.33 เยนในช่วงท้ายตลาดวันพุธ โดยปรับขึ้นจากระดับปิดตลาดวันอังคารที่ 147.86 เยน หลังจากพุ่งขึ้นแตะ 148.36 เนในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดรอบ 10 เดือน
ยูโร/ดอลลาร์อยู่ที่ 1.0659 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันพุธ โดยอ่อนค่าลงจาก 1.0677 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันอังคาร
ตลาดหุ้นสหรัฐร่วงลงในวันพุธ หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 5.25-5.50% ตามความคาดหมาย และเฟดปรับขึ้นตัวเลขคาดการณ์อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจให้สูงขึ้นจากเดิม ในขณะที่นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟดกล่าวเตือนว่า จะยังคงต้องใช้เวลาอีกนานก่อนที่อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐจะชะลอตัวลงสู่ระดับเป้าหมายที่ 2% ทั้งนี้ รายงานสรุปการคาดการณ์เศรษฐกิจ (SEP) รายไตรมาสฉบับใหม่ของเฟดคาดว่า อัตราดอกเบี้ยจะแตะจุดสูงสุดของวัฏจักรที่ 5.50-5.75% ในปีนี้ ก่อนจะปรับลดลงสู่ 5.1% ในช่วงสิ้นปี 2024 และ 3.9% ในช่วงสิ้นปี 2025 โดยการที่เฟดคาดว่าอัตราดอกเบี้ยจะยังคงอยู่ในระดับสูงต่อไปเป็นเวลานานส่งผลลบต่อหุ้นกลุ่มที่มักจะได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ย ซึ่งรวมถึงหุ้นกลุ่มบริการการสื่อสาร และหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี โดยหุ้น 2 กลุ่มนี้ถือเป็นหุ้น 2 กลุ่มที่ดิ่งลงมากที่สุดในวันพุธในบรรดาหุ้น 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐ นอกจากนี้ หุ้นบริษัทขนาดยักษ์ที่มักได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยก็รูดลงในวันพุธด้วยเช่นกัน ซึ่งรวมถึงหุ้นไมโครซอฟท์ที่ดิ่งลง 2.4%, หุ้นแอปเปิลที่รูดลง 2.0% และหุ้นเอ็นวิเดียที่ดิ่งลง 2.9% และการดิ่งลงของหุ้นเหล่านี้ก็ส่งผลลบต่อดัชนี Nasdaq เป็นอย่างมาก Eikon source text
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดปรับลง 0.22% สู่ 34,440.88
ดัชนี S&P 500 ปิดร่วงลง 0.94% สู่ 4,402.2
ดัชนี Nasdaq ปิดดิ่งลง 1.53% สู่ 13,469.13
ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX ดิ่งลงในวันพุธ หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 5.25-5.50% ตามเดิมในการประชุม แต่เฟดแสดงจุดยืนแบบสายเหยี่ยวมากยิ่งขึ้น และเฟดยังคงคาดการณ์เหมือนในเดือนมิ.ย.ว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดจะแตะจุดสูงสุดของวัฏจักรในปีนี้ที่ระดับ 5.50-5.75% ซึ่งเท่ากับว่าเฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% ในช่วงต่อไปในปีนี้ ทั้งนี้ ตลาดน้ำมันไม่ได้รับผลกระทบมากนักจากรายงานของสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) ที่ระบุในวันพุธว่า สต็อกน้ำมันดิบในคลังสหรัฐดิ่งลง 2.1 ล้านบาร์เรล สู่ 418.5 ล้านบาร์เรลในช่วงสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 15 ก.ย. ซึ่งใกล้เคียงกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ในโพลล์รอยเตอร์ที่คาดว่าอาจรูดลง 2.2 ล้านบาร์เรล ส่วนสต็อกน้ำมันเบนซินในคลังสหรัฐปรับลดลง 0.8 ล้านบาร์เรล สู่ 219.5 ล้านบาร์เรล ทางด้านสต็อกน้ำมัน Distillate ในคลังสหรัฐ ซึ่งครอบคลุมน้ำมันดีเซลและน้ำมัน heating oil ดิ่งลง 2.9 ล้านบาร์เรล สู่ 119.7 ล้านบาร์เรล ในขณะที่อัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันในสหรัฐดิ่งลง 1.8% สู่ 91.9%
ราคาน้ำมันดิบสหรัฐส่งมอบเดือนต.ค.ดิ่งลง 92 เซนต์ หรือ 1.0% มาปิดตลาดที่ 90.28 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ในขณะที่สัญญาน้ำมันดิบสหรัฐส่งมอบเดือนต.ค.ครบกำหนดส่งมอบในช่วงปิดตลาดวันพุธ ทางด้านราคาน้ำมันดิบสหรัฐส่งมอบเดือนพ.ย.ร่วงลง 82 เซนต์ มาปิดตลาดที่ 89.66 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนพ.ย.ที่ตลาดกรุงลอนดอนร่วงลง 81 เซนต์ หรือ 0.9% มาปิดตลาดที่ 93.53 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งถือเป็นระดับปิดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 13 ก.ย. หรือระดับปิดต่ำสุดในรอบ 1 สัปดาห์ อย่างไรก็ดี สัญญาณทางเทคนิคยังคงบ่งชี้ว่า มีคำสั่งซื้อน้ำมันดิบเบรนท์เข้ามามากเกินไปเป็นวันที่ 14 ติดต่อกัน ซึ่งถือว่ายาวนานที่สุดนับตั้งแต่ปี 2012
ราคาทองสปอตที่ตลาดสหรัฐขยับลง 1.26 ดอลลาร์ สู่ 1,929.68 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงท้ายตลาดวันพุธ หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 5.25-5.50% ตามเดิมในการประชุม แต่เฟดแสดงจุดยืนแบบสายเหยี่ยวมากยิ่งขึ้น และเฟดยังคงคาดการณ์เหมือนในเดือนมิ.ย.ว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดจะแตะจุดสูงสุดของวัฏจักรในปีนี้ที่ระดับ 5.50-5.75% ซึ่งเท่ากับว่าเฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% ในช่วงต่อไปในปีนี้ ทั้งนี้ ซูกิ คูเพอร์ นักวิเคราะห์ของธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ดกล่าวว่า "เราคาดว่าราคาทองมีความเสี่ยงด้านสูงเพียงในวงจำกัดในระยะใกล้ และราคาทองอาจจะไม่สามารถรักษาแรงหนุนส่งในทางบวกไว้ได้นาน จนกว่าตลาดจะมีความเชื่อมั่นมากยิ่งขึ้นว่า อัตราดอกเบี้ยสหรัฐและอัตราดอกเบี้ยในตลาดโลกจะมีแนวโน้มปรับลดลง และจนกว่าดอลลาร์จะอ่อนค่าลง" Eikon source text
--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
กรุงเทพฯ--18 ก.ย.--รอยเตอร์
ดัชนีดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินอ่อนค่าลงในวันศุกร์ หลังจากมหาวิทยาลัยมิชิแกนรายงานว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐร่วงลงจาก 69.5 ในเดือนส.ค. สู่ 67.7 ในเดือนก.ย. และอยู่ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ในโพลล์รอยเตอร์ที่ 69.1 อย่างไรก็ดี ผู้บริโภคสหรัฐปรับลดตัวเลขคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อลงจากเดิม โดยผู้บริโภคคาดว่า อัตราเงินเฟ้อในอีก 1 ปีข้างหน้าอาจอยู่ที่ 3.1% ซึ่งถือเป็นตัวเลขคาดการณ์ต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค. 2021 โดยปรับลดลงจากเดิมที่เคยคาดไว้ที่ 3.5% และผู้บริโภคคาดว่า อัตราเงินเฟ้อในอีก 5 ปีข้างหน้าอาจอยู่ที่ 2.7% ซึ่งถือเป็นตัวเลขคาดการณ์ต่ำสุดในรอบ 1 ปี โดยปรับลดลงจากตัวเลขคาดการณ์เดิมที่ 3.0% ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานในวันศุกร์ว่า ราคานำเข้าปรับขึ้น 0.5% ในเดือนส.ค.เมื่อเทียบรายเดือน โดยได้รับแรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของราคาเชื้อเพลิง แต่ราคานำเข้าพื้นฐานที่ไม่รวมราคาเชื้อเพลิงและอาหารปรับลดลง 0.2% ในเดือนส.ค. หลังจากปรับลดลง 0.2% ในเดือนก.ค.เมื่อเทียบรายเดือน ทางด้านธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขานิวยอร์ครายงานในวันศุกร์ว่า ดัชนีกิจกรรมภาคโรงงานในรัฐนิวยอร์คพุ่งขึ้นสู่ 1.9 ในเดือนก.ย. จาก -19.0 ในเดือนส.ค. โดยดัชนีที่ระดับสูงกว่าศูนย์บ่งชี้ว่ากิจกรรมภาคโรงงานขยายตัว Eikon source text
ดัชนีดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินอยู่ที่ 105.34 ในช่วงท้ายตลาดวันศุกร์ โดยอ่อนค่าลงจาก 105.41 ในช่วงท้ายตลาดวันพฤหัสบดี โดยดัชนีดอลลาร์ปิดตลาดสัปดาห์นี้ในแดนบวกเป็นสัปดาห์ที่ 9 ติดต่อกัน ซึ่งถือเป็นการปิดตลาดรายสัปดาห์ในแดนบวกติดต่อกันยาวนานที่สุดนับตั้งแต่ปี 2014
ดอลลาร์/เยนอยู่ที่ 147.82 เยน ในช่วงท้ายตลาดวันศุกร์ โดยแข็งค่าขึ้นจากระดับปิดตลาดวันพฤหัสบดีที่ 147.47 เยน หลังจากพุ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดรอบ 10 เดือนในระหว่างวันที่ 147.96 เยน
ยูโร/ดอลลาร์อยู่ที่ 1.0655 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันศุกร์ โดยปรับขึ้นจาก 1.0641 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันพฤหัสบดี หลังจากดิ่งลงแตะจุดต่ำสุดรอบ 6 เดือนที่ 1.0629 ดอลลาร์ในวันพฤหัสบดี โดยยูโรปิดตลาดสัปดาห์นี้ในแดนลบเป็นสัปดาห์ที่ 9 ติดต่อกัน
ตลาดหุ้นสหรัฐดิ่งลงอย่างรุนแรงในวันศุกร์ ในขณะที่หุ้นกลุ่มผู้ผลิตชิปรูดลง หลังจากรอยเตอร์รายงานข่าวว่า บริษัท TSMC ของไต้หวัน ซึ่งถือเป็นบริษัทผู้รับเหมาผลิตชิปรายใหญ่ที่สุดในโลก ได้ขอให้บริษัทซัพพลายเออร์รายใหญ่ของ TSMC เลื่อนเวลาในการจัดส่งอุปกรณ์ผลิตชิปชั้นดี และข่าวนี้ก็ส่งผลให้นักลงทุนกังวลกับความอ่อนแอของอุปสงค์ผู้บริโภค โดยหุ้นบริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์ชิป ซึ่งได้แก่บริษัทแอพพลายด์ แมทีเรียลส์, แลม รีเสิร์ช และเคแอลเอ คอร์ป ต่างก็ดิ่งลงกว่า 4% ทางด้านดัชนีฟิลาเดลเฟียสำหรับหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์รูดลง 3.01% ในวันศุกร์ ในขณะที่หุ้นบริษัทผู้ผลิตชิปหลายแห่งดิ่งลง ซึ่งรวมถึงหุ้นเอ็นวิเดียที่ดิ่งลง 3.7%, หุ้นแอดวานซ์ ไมโคร ดีไวเซส (AMD) ที่รูดลง 4.8%, หุ้นบรอดคอมที่ดิ่งลง 2.3% และหุ้นไมครอน เทคโนโลยีที่รูดลง 2.7% ทั้งนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีพุ่งขึ้นจาก 4.290% ในช่วงท้ายวันพฤหัสบดี สู่ 4.322% ในช่วงท้ายวันศุกร์ ก่อนที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะจัดการประชุมกำหนดนโยบายในวันที่ 19-20 ก.ย. และการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยิลด์) ก็ส่งผลลบต่อหุ้นบริษัทขนาดยักษ์ในกลุ่มเติบโต โดยหุ้นอะเมซอนดิ่งลง 3%, หุ้นไมโครซอฟท์รูดลง 2.5% และหุ้นเมตา แพลตฟอร์มส์ดิ่งลง 3.7% ทางด้านดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศ (ไอที) รูดลง 1.95% และดัชนีหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยดิ่งลง 1.88% Eikon source text
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดร่วงลง 0.83% สู่ 34,618.24 ในวันศุกร์ แต่ปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการบวกขึ้น 0.12% จากสัปดาห์ที่แล้ว
ดัชนี S&P 500 ปิดดิ่งลง 1.22% สู่ 4,450.32 ในวันศุกร์ และปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการปรับลง 0.16% จากสัปดาห์ที่แล้ว
ดัชนี Nasdaq ปิดรูดลง 1.56% สู่ 13,708.34 ในวันศุกร์ และปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการปรับลง 0.39% จากสัปดาห์ที่แล้ว
ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX ปรับขึ้นในวันศุกร์ โดยได้รับแรงหนุนจากภาวะอุปทานน้ำมันตึงตัว หลังจากซาอุดิอาระเบียและรัสเซียต่ออายุมาตรการปรับลดอุปทานน้ำมันในอัตรา 1.3 ล้านบาร์เรลต่อวันออกไปจนถึงสิ้นปีนี้ และนักลงทุนคาดการณ์ในทางบวกต่ออุปสงค์น้ำมันในจีน ในขณะที่มีรายงานระบุว่า โรงกลั่นน้ำมันในจีนกลั่นน้ำมันเพิ่มขึ้นเกือบ 20% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อน เพื่อจะได้ทำกำไรจากอุปสงค์ผลิตภัณฑ์น้ำมันที่ระดับสูงในตลาดโลก ทั้งนี้ บริษัทเบเกอร์ ฮิวจ์รายงานในวันศุกร์ว่า จำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันที่ใช้งานในสหรัฐปรับขึ้น 2 แท่น สู่ 515 แท่นในสัปดาห์นี้ ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. แต่จำนวนแท่นขุดเจาะดังกล่าวดิ่งลงมาแล้ว 84 แท่นเมื่อเทียบกับสัปดาห์เดียวกันในปีก่อน Eikon source text
ราคาน้ำมันดิบสหรัฐส่งมอบเดือนต.ค.ปรับขึ้น 61 เซนต์ หรือ 0.7% มาปิดตลาดที่ 90.77 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในวันศุกร์ หลังจากพุ่งขึ้นแตะ 91.23 ดอลลาร์ในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดรอบ 10 เดือน โดยราคาน้ำมันดิบสหรัฐปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการทะยานขึ้นราว 4% จากสัปดาห์ที่แล้ว
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนพ.ย.ที่ตลาดกรุงลอนดอนปรับขึ้น 23 เซนต์ หรือ 0.3% มาปิดตลาดที่ 93.93 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในวันศุกร์ หลังจากพุ่งขึ้นแตะ 94.63 ดอลลาร์ในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดรอบ 10 เดือน โดยราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการทะยานขึ้นราว 4% จากสัปดาห์ที่แล้ว และปิดตลาดรายสัปดาห์ในแดนบวกเป็นสัปดาห์ที่ 3 ติดต่อกัน
ราคาทองสปอตที่ตลาดสหรัฐปรับขึ้น 13.26 ดอลลาร์ สู่ 1,923.58 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงท้ายตลาดวันศุกร์ โดยได้รับแรงหนุนจากการอ่อนค่าของดอลลาร์ในวันศุกร์ และจากการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะหยุดพักจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย นอกจากนี้ ราคาทองยังได้รับแรงหนุนจากคำสั่งซื้อทองในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยด้วย หลังจากสหภาพแรงงาน "ยูไนเต็ด ออโต เวิร์คเกอร์ส"(UAW) สำหรับคนงานโรงงานรถยนต์ในสหรัฐไม่สามารถบรรลุข้อตกลงเรื่องสัญญาจ้างงานใหม่กับบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่ 3 แห่งในนครดีทรอยต์ของสหรัฐ ซึ่งได้แก่บริษัทเจเนอรัล มอเตอร์ส (GM), บริษัทฟอร์ด และบริษัทสเตลแลนทิส และความล้มเหลวในเรื่องนี้ก็ส่งผลให้ทางสหภาพเริ่มผละงานประท้วงในวันศุกร์ในโรงงาน 3 แห่งใน 3 รัฐในสหรัฐ Eikon source text
--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
เครื่องมือออกแบบโปสเตอร์
โครงการพันธมิตร
ความเสี่ยงของการสูญเสียในการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น หุ้น FX สินค้าโภคภัณฑ์ ฟิวเจอร์ส พันธบัตร ETFs หรือเงินดิจิทัลอาจมีมาก คุณอาจสูญเสียเงินทุนทั้งหมดที่คุณฝากไว้กับโบรกเกอร์ของคุณ ดังนั้น คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบว่าการซื้อขายดังกล่าวเหมาะสมกับคุณหรือไม่ในสถานการณ์และทรัพยากรทางการเงินของคุณ
ไม่ควรตัดสินใจลงทุนโดยไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบสถานะอย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วยตัวเองหรือปรึกษากับที่ปรึกษาทางการเงินของคุณ เนื้อหาเว็บของเราอาจไม่เหมาะกับคุณเนื่องจากเราไม่ทราบเงื่อนไขทางการเงินและความต้องการในการลงทุนของคุณ ข้อมูลทางการเงินของเราอาจมีความล่าช้าหรือมีความไม่ถูกต้อง ดังนั้นคุณควรรับผิดชอบอย่างเต็มที่ต่อการตัดสินใจซื้อขายและการลงทุนของคุณ บริษัทจะไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียเงินทุนของคุณ
หากไม่ได้รับอนุญาตจากเว็บไซต์ คุณจะไม่สามารถคัดลอกกราฟิก ข้อความ หรือเครื่องหมายการค้าของเว็บไซต์ได้ สิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาในเนื้อหาหรือข้อมูลที่รวมอยู่ในเว็บไซต์นี้เป็นของผู้ให้บริการและผู้ค้าแลกเปลี่ยน
ไม่ได้ล็อกอิน
เข้าสู่ระบบเพื่อเข้าถึงฟังก์ชั่นเพิ่มเติม

สมาชิก FastBull
ยังไม่ได้เปิด
สมัคร
เข้าสู่ระบบ
ลงทะเบียน