ตลาด
ข่าวสาร
การวิเคราะห์
ผู้ใช้
24x7
ปฏิทินเศรษฐกิจ
แหล่งเรียนรู้
ข้อมูล
- ชื่อ
- ค่าล่าสุด
- ครั้งก่อน












สัญญาณ VIP
ทั้งหมด
ทั้งหมด



สหราชอาณาจักร ดัชนีราคาที่อยู่อาศัย Halifax YoY (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส บัญชีเดินสะพัด (Not SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส ดุลการค้า (SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส การผลิตภาคอุตสาหกรรม MoM(SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
อิตาลี ดัชนียอดค้าปลีก MoM (SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงาน YoY (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน GDP Final YoY (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน GDP Final QoQ (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงาน QoQ (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงานสุดท้าย (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
บราซิล PPI MoM (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
เม็กซิโก ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา อัตราการว่างงาน (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา อัตราการมีส่วนร่วมในการจ้างงาน (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงาน (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงานนอกเวลา (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงานเต็มเวลา (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา รายได้ส่วนบุคคล MoM (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคา PCE YoY (SA) (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคา PCE MoM (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา รายจ่ายส่วนบุคคล MoM(SA) (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาPCEหลักMoM (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาPCEหลักYoY (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา เงินเฟ้อเบื้องต้น UMich 5-YearYoY (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ค่าใช้จ่ายการบริโภคส่วนบุคคลที่จริง MoM (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การคาดการณ์เงินเฟ้อ 5-10 ปี (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีสถานภาพเบื้องต้น UMich ปัจจุบัน (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้น UMich (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อล่วงหน้า 1 ปี UMich (เบื้องต้น) (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีความคาดหวังผู้บริโภค UMich (เบื้องต้น) (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ปริมาณเครื่องเจาะทั้งหมดรายสัปดาห์--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ปริมาณเครื่องเจาะน้ำมันทั้งหมดรายสัปดาห์--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา สินเชื่ออุปโภคบริโภค (SA) (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ เงินตราที่ใช้เป็นทุนสำรอง (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ปริมาณการส่งออก YoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การนำเข้า YoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การนำเข้าYoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การนำเข้า (CNH) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ดุลการค้า (CNH) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การส่งออก (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น ค่าจ้าง MoM (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น ดุลการค้า (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น GDP Nominal แก้ไขQoQ (ไตรมาส 3)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น ดุลการค้า (SA)(ข้อมูลศุลกากร) (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น GDP ประจำปี (แก้ไข) QoQ (ไตรมาส 3)--
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ปริมาณการส่งออก YoY (CNH) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ดุลการค้า (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
เยอรมนี การผลิตภาคอุตสาหกรรม MoM(SA) (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน Sentix (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา อินดิเคเตอร์ชั้นนำ MoM (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา ดัชนีความเชื่อมั่นเศรษฐกิจแห่งชาติ--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาธนาคารกลางรัฐดัลลาส สหรัฐอเมริกา PCE YoY (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา อัตราผลตอบแทนการประมูลพันธบัตรรัฐบาล 3-ปี--
ค: --
ค: --
สหราชอาณาจักร ดัชนียอดค้าปลีกรวม BRC YoY (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
สหราชอาณาจักร ดัชนียอดค้าปลีก Like-For-Like BRC YoY (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
ออสเตรเลีย อัตราหลัก(ดอกเบี้ยเงินกู้)O/N--
ค: --
ค: --
คำแถลงอัตราของธนาคารกลางออสเตรเลีย
ประธานธนาคารกลางออสเตรเลีย Bullock จัดงานแถลงข่าวนโยบายการเงิน
เยอรมนี อัตราการส่งออก MoM (SA) (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีความเชื่อมั่นของธุรกิจขนาดเล็ก NFIB (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
เม็กซิโก CPI หลัก YoY (พ.ย.)--
ค: --
ค: --


ไม่มีข้อมูลที่ตรงกัน
ทัศนคติล่าสุด
ทัศนคติล่าสุด
หัวข้อยอดนิยม
คอลัมนิสต์ยอดนิยม
อัปเดตล่าสุด
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
ดูผลการค้นหาทั้งหมด

ไม่มีข้อมูล
นิวยอร์ค--31 ก.ค.--รอยเตอร์
นักวิเคราะห์ตลาดหุ้นสหรัฐระบุว่า ตลาดหุ้นสหรัฐได้รับแรงหนุนในช่วงนี้จากเศรษฐกิจสหรัฐที่รักษาระดับความแข็งแกร่งไว้ได้เป็นอย่างดี และจากการคาดการณ์ที่ว่า วัฏจักรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว ถึงแม้นักลงทุนกังวลกับมูลค่าหุ้นที่ระดับสูง และกังวลกับความเป็นไปได้ที่อัตราเงินเฟ้อจะดีดขึ้น ทั้งนี้ ดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐพุ่งขึ้นมาแล้วเกือบ 19% จากช่วงต้นปีนี้ และบวกขึ้นมาแล้วราว 1% ในช่วงหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยตลาดหุ้นทะยานขึ้นเกือบ 10% นับตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย.ด้วย โดยดัชนีได้รับแรงหนุนในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาจากการที่รัฐบาลสหรัฐสามารถแก้ไขปัญหาเพดานหนี้ได้, จากการชะลอตัวลงของดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) และจากการที่เศรษฐกิจสหรัฐยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง
หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ช่วยหนุนตลาดหุ้นสหรัฐคือการที่นักลงทุนมองว่า เศรษฐกิจสหรัฐกำลังจะเข้าสู่ภาวะพอเหมาะพอดี (Goldilocks) ซึ่งเป็นภาวะที่ดัชนี CPI ชะลอตัวลงแต่เศรษฐกิจเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยมุมมองดังกล่าวของนักลงทุนได้รับแรงหนุนในสัปดาห์ที่แล้ว หลังจากนายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวในวันพุธที่ 26 ก.ค.ว่า เจ้าหน้าที่เฟดไม่ได้คาดการณ์อีกต่อไปว่าจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐ และเขากล่าวเสริมว่า เฟดมีโอกาสที่จะทำให้อัตราเงินเฟ้อกลับคืนสู่ระดับเป้าหมายที่ 2% ได้ โดยที่การจ้างงานไม่ได้ลดลงมากนัก
เฟดเพิ่งตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ 5.25-5.50% ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดรอบ 16 ปีในการประชุมวันที่ 25-26 ก.ค. โดยเฟดให้เหตุผลว่าอัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูง และแถลงการณ์ของเฟดเปิดโอกาสสำหรับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปอีก ทางด้านนักลงทุนในตลาดสัญญาล่วงหน้าคาดการณ์ในวันศุกร์ว่า มีโอกาสเกือบ 73% ที่เฟดจะไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสูงไปกว่านี้อีกจนถึงช่วงสิ้นปีนี้ โดยโอกาสดังกล่าวปรับขึ้นจากระดับเพียง 24% ที่เคยคาดไว้เมื่อหนึ่งเดือนก่อน
เศรษฐกิจสหรัฐจะเผชิญกับบททดสอบในสัปดาห์นี้เมื่อกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนก.ค.ในวันศุกร์ที่ 4 ส.ค. โดยนักวิเคราะห์ระบุว่า ถ้าหากสหรัฐรายงานตัวเลขการจ้างงานที่สูงเกินไป นักลงทุนก็อาจจะกังวลว่าเฟดจะมีความจำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสู่ระดับที่สูงเกินคาด ทั้งนี้ นายบ็อบ คาลแมน ผู้จัดการพอร์ตลงทุนของบริษัทมิรามาร์ แคปิตัลกล่าวว่า มีความเป็นไปได้มากยิ่งขึ้นที่เฟดอาจจะมีความจำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสู่ระดับสูงกว่า 5.50% ในปัจจุบัน และคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับสูงอย่างนั้นเป็นเวลานานเกินคาด โดยการที่เฟดทำเช่นนั้นอาจจะสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจและราคาสินทรัพย์เสี่ยง นอกจากนี้ เขายังกล่าวเสริมว่า "มีความเป็นไปได้ 50% ที่เศรษฐกิจสหรัฐจะเข้าสู่ภาวะพอเหมาะพอดี และมีความเป็นไปได้ 50% ที่เศรษฐกิจอาจจะตกต่ำลงอย่างรุนแรง"
นักวิเคราะห์หลายรายพยายามประเมินว่าการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีของสหรัฐจะดำเนินไปอย่างยั่งยืนเพียงใด หลังจากดัชนี Nasdaq 100 ที่ครอบคลุมหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจำนวนมากพุ่งขึ้นมาแล้วเกือบ 44% จากช่วงต้นปีนี้ และดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศ (ไอที) ของสหรัฐทะยานขึ้นมาแล้วเกือบ 46% จากช่วงต้นปีนี้ โดยได้รับแรงหนุนบางส่วนจากกระแสความนิยมในปัญญาประดิษฐ์ (AI) ทั้งนี้ บริษัทเมตา แพลตฟอร์มส์คาดการณ์แนวโน้มในทางบวกในช่วงนี้ และบริษัทแอลฟาเบทก็รายงานในสัปดาห์ที่แล้วว่า ผลกำไรไตรมาสสองอยู่สูงกว่าระดับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ โดยได้รับแรงหนุนจากอุปสงค์ในบริการคลาวด์และจากยอดโฆษณาที่ฟื้นตัว โดยปัจจัยเหล่านี้ช่วยส่งเสริมมุมมองที่ว่า การที่มูลค่าหุ้นบริษัทขนาดยักษ์อยู่ในระดับสูงถือเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผล--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--25 ก.ค.--รอยเตอร์
นักลงทุนบางรายหันไปซื้อหุ้นบริษัทที่จ่ายเงินปันผลสูงในสหรัฐ ในขณะที่นักลงทุนคาดการณ์ว่า วัฏจักรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว หลังจากเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปแล้วรวมกัน 5.00% นับตั้งแต่เดือนมี.ค. 2022 เป็นต้นมา ซึ่งถือเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างแข็งกร้าวที่สุดในรอบหลายสิบปี และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวก็มีส่วนช่วยหนุนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 2 ปีให้พุ่งขึ้นแตะ 5.120% ในวันที่ 6 ก.ค. ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2007 หรือจุดสูงสุดในรอบ 16 ปี โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 2 ปีอยู่ที่ 4.856% ในปัจจุบัน ทั้งนี้ การพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยิลด์) ในช่วงที่ผ่านมาเคยส่งผลลบต่อหุ้นบริษัทหลายแห่งที่จ่ายเงินปันผลสูง ในขณะที่นักลงทุนมักจะซื้อหุ้นบริษัทที่จ่ายเงินปันผลสูงในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ต่ำกว่าระดับปัจจุบันเป็นอย่างมาก
นักลงทุนหลายรายคาดว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ 5.25-5.50% ในการประชุมวันที่ 25-26 ก.ค. แต่เฟดอาจจะไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปอีกในช่วงหลังจากนั้น และการคาดการณ์ดังกล่าวก็ส่งผลให้หุ้นบริษัทที่จ่ายเงินปันผลสูงมีความน่าดึงดูดอีกครั้ง ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอาจจะร่วงลงในอนาคต ทั้งนี้ นายเจอร์เรียน ทิมเมอร์ จากบริษัทฟิเดลิที อินเวสท์เมนท์กล่าวว่า "อัตราผลตอบแทนที่ 5% ที่คุณได้จากพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐดูเหมือนจะเป็นเพียงเหตุการณ์ชั่วคราว และการร่วงลงของบอนด์ยิลด์ก็จะช่วยลดแรงกดดันที่มีต่อหุ้นบริษัทที่แข่งขันกับบอนด์ยิลด์" โดยในตอนนี้นายทิมเมอร์มุ่งความสนใจไปยังหุ้นกลุ่มการเงินและหุ้นกลุ่มพลังงาน เนื่องจากเขาคาดว่าหุ้นสองกลุ่มนี้จะได้รับประโยชน์จากการที่เศรษฐกิจสหรัฐจะชะลอตัวลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยไม่เข้าสู่ภาวะถดถอย
กระแสความสนใจที่เริ่มเพิ่มสูงขึ้นในหุ้นที่จ่ายเงินปันผลสูงปรากฏให้เห็นในยอดเงินลงทุนที่ไหลเข้าสู่กองทุน ProShares S&P 500 Dividend Aristocrats ETF ซึ่งเป็นกองทุนขนาด 1.17 หมื่นล้านดอลลาร์ที่ลงทุนในบริษัทที่ปรับเพิ่มเงินปันผลทุกปีในช่วง 25 ปีที่ผ่านมา โดยกองทุนแห่งนี้มียอดเงินลงทุนไหลเข้าสุทธิ 33 ล้านดอลลาร์ในช่วง 2 สัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 19 ก.ค. ซึ่งถือเป็นยอดเงินลงทุนไหลเข้าสุทธิที่สูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนม.ค. โดยกองทุนแห่งนี้พุ่งขึ้นมาแล้วราว 7.5% จากช่วงต้นปีนี้ ในขณะที่ดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐทะยานขึ้นมาแล้วเกือบ 19% จากช่วงต้นปีนี้
ผลสำรวจของแบงก์ ออฟ อเมริกา โกลบัล รีเสิร์ชระบุว่า ผู้จัดการกองทุนทั่วโลกราว 44% คาดการณ์ในตอนนี้ว่า หุ้นที่จ่ายเงินปันผลสูงจะพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งกว่าหุ้นที่จ่ายเงินปันผลต่ำ โดยสัดส่วน 44% นี้ปรับขึ้น 9% จากเดือนก่อน
ข้อมูลจากบริษัทเอสแอนด์พี ดาวโจนส์ อินดิเซสระบุว่า บริษัทสหรัฐปรับเพิ่มการจ่ายเงินปันผลเฉลี่ย 9.1% นับตั้งแต่ต้นปี 2023 หลังจากปรับเพิ่มเงินปันผลเฉลี่ย 11.8% ในช่วงเวลาเดียวกันในปีที่แล้ว โดยมีบริษัทสหรัฐ 14 แห่งที่ได้ระงับการจ่ายเงินปันผลหรือปรับลดเงินปันผลลงนับตั้งแต่ต้นปีนี้ โดยเพิ่มขึ้นจากบริษัทเพียง 4 แห่งที่ทำแบบเดียวกันในปีก่อน ทั้งนี้ นายโฮเวิร์ด ซิลเวอร์แบลท นักวิเคราะห์ดัชนีของบริษัทเอสแอนด์พี ดาวโจนส์ อินดิเซสระบุว่า นักลงทุนต้องการซื้อหุ้นที่จ่ายเงินปันผลสูงในช่วงนี้ เนื่องจากนักลงทุนคาดว่าบอนด์ยิลด์อาจจะร่วงลง แต่ตลาดหุ้นอาจจะยังคงปรับขึ้นต่อไป--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
เศรษฐกิจที่ย่ำแย่ของจีนอาจกระทบบริษัทที่ลงทุนในจีน อาทิ แอปเปิล, ผู้ผลิตชิปรายใหญ่ และผู้ค้าปลีกสินค้าหรู ขณะที่บริษัทเหล่านี้จะรายงานผลประกอบการในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า โดยตลาดวอลล์สตรีทกำลังเตรียมตัวรับผลกำไรไตรมาส 2 ที่ร่วงลงอย่างมากของบริษัทสหรัฐ ซึ่งคาดว่ากำไรขั้นต้นจะได้รับผลกระทบจากอัตราเงินเฟ้อ และการใช้จ่ายที่ลดลงของสหรัฐ ส่วนบริษัทของสหรัฐและยุโรปที่มีการลงทุนในจีนก็อาจจะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจซบเซาของจีน เนื่องจากการฟื้นตัวหลังโควิดชะลอตัวลงอย่างรวดเร็ว
รายงานผลประกอบการเบื้องต้นบ่งชี้ว่า ผลกระทบต่อเนื่องเกิดขึ้นจริงแล้ว โดยเอบีบี บริษัทด้านวิศวกรรมของสวิตเซอร์แลนด์รายงานว่า ยอดสั่งซื้อในจีนร่วงลง 9% ในไตรมาส 2 ขณะที่ริชมอนต์ เจ้าของแบรนด์คาร์เทียร์แถลงว่า ยอดขายในเอเชียต่ำกว่าคาดเล็กน้อย ส่วนเทลสลาเปิดเผยยอดขายรถยนต์ที่ผลิตในจีนสูงเป็นประวัติการณ์ 247,217 คันในไตรมาส 2 แต่ก็มีกำไรขั้นต้นลดลงเนื่องจากบริษัททำสงครามราคากับคู่แข่ง
การแถลงผลประกอบการจากเอ็นเอ็กซ์พี เซมิคอนดัคเตอร์ส เอ็นวีในวันที่ 24 ก.ค. และเท็กซัส อินสทรูเมนต์ในวันที่ 25 ก.ค.จะเป็นตัววัดความต้องการชิป โดยจีนมีสัดส่วนรายได้ 36% ของเอ็นเอ็กซ์พีในปีที่แล้ว และ 50% ของรายได้ของเท็กซัส อินสทรูเมนต์ ซึ่งนายโจนาธาน โกลับ หัวหน้านักกลยุทธ์หุ้นสหรัฐจากเครดิต สวิสกล่าวว่า ภาวะชะลอตัวในจีนที่ขัดขวางเศรษฐกิจสหรัฐอาจจำกัดการพุ่งขึ้นของตลาดหุ้น
ยอดขายของแอปเปิลในจีนร่วงลง 2.9% ในไตรมาสเดือนมี.ค. ซึ่งแย่กว่ารายได้โดยรวมที่ลดลง 2.5% ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่า รายได้ของแอปเปิลจะลดลง 1.7% สู่ระดับ 8.16 หมื่นล้านดอลลาร์ในไตรมาสเดือนมิ.ย. ซึ่งจะต่ำสุดในรอบ 2 ปี
บริษัทสหรัฐที่ประกอบธุรกิจในจีนกำลังเผชิญกับความไม่แน่นอนเกี่ยวกับข้อพิพาทการค้าระหว่างสหรัฐและจีนด้วย โดยเฉพาะในธุรกิจเซมิคอนดัคเตอร์ และผู้ผลิตชิปกำลังเผชิญกับกฎใหม่ของสหรัฐที่บังคับใช้ในเดือนต.ค.เพื่อทำให้อุตสาหกรรมชิปของจีนหยุดชะงัก--จบ--
Eikon source text
ลอนดอน--4 ก.ค.--รอยเตอร์
นักลงทุนจับตาดูว่า ภาคเศรษฐกิจใดบ้างที่จะได้รับความเสียหายจากการที่ธนาคารกลางหลายแห่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างแข็งกร้าวที่สุดในรอบหลายสิบปีในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะหลังจากที่ธนาคารกลางอังกฤษ (บีโออี) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% สู่ 5.00% ในวันที่ 22 มิ.ย. และธนาคารกลางนอร์เวย์ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% สู่ 3.75% ในวันเดียวกัน โดยความเคลื่อนไหวดังกล่าวบ่งชี้ว่า วัฏจักรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางหลายแห่งยังไม่สิ้นสุดลง ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ระบุว่า หนึ่งในภาคเศรษฐกิจที่อาจได้รับความเสียหายเป็นอย่างมากจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยคือภาคที่อยู่อาศัยในยุโรป ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยในอังกฤษพุ่งขึ้นจาก 0.25% เมื่อสองปีก่อน สู่ 5% ในปัจจุบัน และมีการประเมินกันว่า เจ้าของบ้าน 2.4 ล้านรายในอังกฤษจะต้องรับมือกับอัตราดอกเบี้ยจำนองที่ทะยานขึ้นสูงมากก่อนสิ้นปี 2024 ทางด้านสวีเดนก็อาจจะประสบปัญหาในด้านนี้ด้วยเช่นกัน หลังจากธนาคารกลางสวีเดนปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ 3.75% ในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งจะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยจำนองบ้านทะยานขึ้นตามไปด้วย
ภาคเศรษฐกิจที่ 2 ที่อาจได้รับความเสียหายเป็นอย่างมากคือภาคอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ หลังจากธุรกิจภาคนี้เคยฉวยโอกาสกู้เงินจำนวนมากในยุคที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ เพื่อนำเงินดังกล่าวไปกว้านซื้ออสังหาริมทรัพย์ แต่ธุรกิจกลุ่มนี้จะต้องรับมือกับอัตราดอกเบี้ยที่พุ่งขึ้นสูงมากในปัจจุบันเมื่อธุรกิจกลุ่มนี้กู้เงินใหม่เพื่อนำมาชำระหนี้เก่า (รีไฟแนนซ์) นอกจากนี้ ภาคอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ในสวีเดนก็อาจจะได้รับแรงกดดันมากเป็นพิเศษทั้งจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น, จากหนี้สินที่ระดับสูง และจากความอ่อนแอทางเศรษฐกิจในช่วงนี้ด้วย ทั้งนี้ ธุรกิจภาคอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์เผชิญแรงกดดันจากกระแสการลดขนาดสำนักงานลงในช่วงนี้ด้วยเช่นกัน โดยตัวอย่างที่เห็นได้ชัดของกระแสนี้คือการที่ธนาคาร HSBC ย้ายสำนักงานในกรุงลอนดอนไปยังสำนักงานใหม่ที่มีขนาดเล็กกว่าเดิม
ภาคเศรษฐกิจที่ 3 ที่อาจได้รับความเสียหายจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยคือภาคธนาคาร ในขณะที่ธนาคารถือครองสินทรัพย์สองประเภทในงบดุล ซึ่งได้แก่สินทรัพย์ที่ไว้ใช้เป็นสภาพคล่อง และสินทรัพย์ที่มีหน้าที่คล้ายเงินออมที่จะมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ดี การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยส่งผลให้สินทรัพย์หลายรายการมีมูลค่าดิ่งลง 10-15% เมื่อเทียบกับราคาที่ซื้อมา และถ้าหากธนาคารจำเป็นต้องขายสินทรัพย์ดังกล่าวออกไป ธนาคารก็จะขาดทุน ทั้งนี้ สินทรัพย์อสังหาริมทรัพย์ที่ธนาคารถือครองไว้ถือเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงที่สุด และนักลงทุนก็มองว่ามาตรฐานการปล่อยกู้สำหรับภาคครัวเรือนถือเป็นประเด็นที่น่ากังวลด้วย โดยนายฟลอเรียน เอลโป จากบริษัทลอมบาร์ด โอเดียร์ อินเวสท์เมนท์ แมเนเจอร์สคาดว่า ผู้บริโภคจะยุติการชำระหนี้ในไตรมาส 3 และ 4 ซึ่งจะสร้างความเสียหายต่อภาคธนาคาร
นักวิเคราะห์คาดว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะส่งผลให้อัตราการผิดนัดชำระหนี้ในภาคเอกชนพุ่งสูงขึ้นด้วย โดยบริษัทเอสแอนด์พีคาดว่า อัตราการผิดนัดชำระหนี้ของบริษัทยุโรปที่มีอันดับความน่าเชื่อถือต่ำกว่าเกรดน่าลงทุน จะพุ่งขึ้นสู่ 3.6% ในเดือนมี.ค. 2024 จาก 2.8% ในเดือนมี.ค.ปีนี้ ส่วนอัตราการผิดนัดชำระหนี้ของบริษัทสหรัฐที่มีอันดับความน่าเชื่อถือต่ำกว่าเกรดน่าลงทุน จะพุ่งขึ้นสู่ 4.25% ในเดือนมี.ค. 2024 จาก 2.5% ในเดือนมี.ค.ปีนี้
นักวิเคราะห์ระบุว่า อีกปัจจัยที่อาจจะส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินทั่วโลกได้ก็คือสถานการณ์ในรัสเซีย หลังจากกลุ่มทหารรับจ้างแวกเนอร์พยายามจะก่อกบฏในรัสเซียในช่วงปลายเดือนมิ.ย. และยกเลิกปฏิบัติการดังกล่าวไปอย่างรวดเร็ว โดยมีการคาดการณ์กันว่า ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ซึ่งรวมถึงน้ำมันดิบและธัญพืชจะได้รับผลกระทบ ถ้าหากเกิดความเปลี่ยนแปลงภายในรัสเซีย และถ้าหากเหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อและส่งผลให้นักลงทุนหลีกเลี่ยงสินทรัพย์เสี่ยง ประเทศหลายประเทศและบริษัทหลายแห่งก็จะได้รับผลกระทบตามไปด้วย--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--10 มิ.ย.--รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐได้พุ่งขึ้นมาแล้ว 20% จากจุดต่ำสุดของเดือนต.ค. 2022 ซึ่งเท่ากับว่าตลาดหุ้นสหรัฐได้เข้าสู่ภาวะกระทิง ถึงแม้ว่าตลาดหุ้นเคยได้รับแรงกดดันจากปัจจัยหลายประการในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งรวมถึงความกังวลเรื่องภาวะเศรษฐกิจถดถอย, วิกฤติภาคธนาคาร และการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ทั้งนี้ หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เริ่มต้นปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างแข็งกร้าวในเดือนมี.ค. 2022 ดัชนี S&P 500 ก็ดิ่งลง 25% จากสถิติสูงสุด โดยได้ลงไปแตะระดับปิดต่ำสุดของวัฏจักรที่ 3,577.03 ในวันที่ 12 ต.ค. 2022 อย่างไรก็ดี ดัชนีได้พุ่งขึ้นมาปิดตลาดที่ระดับ 4,293.93 ในวันพฤหัสบดีที่ 8 มิ.ย. ซึ่งเท่ากับว่าดัชนีได้พุ่งขึ้นมาแล้ว 20% จากระดับปิดต่ำสุดของวัฏจักร โดยดัชนีได้รับแรงหนุนในช่วงที่ผ่านมาจากแนวโน้มเศรษฐกิจที่ดีขึ้น และจากการคาดการณ์ที่ว่า วัฏจักรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว
นักวิเคราะห์ได้ระบุถึงลักษณะต่าง ๆ ที่น่าสนใจในการพุ่งขึ้นรอบล่าสุดของดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐ โดยสิ่งแรกก็คือว่า ดัชนี S&P 500 ใช้เวลานานถึง 164 วันในการพุ่งขึ้น 20% จากจุดต่ำสุดของภาวะหมีในครั้งนี้ ซึ่งถือว่ายาวนานที่สุดในรอบ 50 ปี ในขณะที่การพุ่งขึ้น 20% แบบเดียวกันนี้เคยใช้เวลาเพียงแค่ 12 วันในปี 2020, 10 วันในปี 2009, 31 วันในปี 2002, 64 วันในปี 1987, 22 วันในปี 1982 และ 23 วันในปี 1974 ทั้งนี้ หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ดัชนีดีดขึ้นอย่างเชื่องช้าในรอบนี้คือการที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐทะยานขึ้นแตะจุดสูงสุดในรอบหลายสิบปี และปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้หุ้นมีความน่าดึงดูดน้อยลงเมื่อเทียบกับพันธบัตรรัฐบาล นอกจากนี้ ตลาดหุ้นก็ได้รับแรงกดดันจากความขัดแย้งเรื่องเพดานหนี้ของรัฐบาลสหรัฐด้วย
ลักษณะสำคัญอย่างที่ 2 คือการกระจุกตัวในการพุ่งขึ้นของตลาดหุ้นสหรัฐรอบนี้ โดยดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้นมาแล้วกว่า 10% จากช่วงต้นปีนี้ แต่การพุ่งขึ้นดังกล่าวได้รับแรงหนุนเกือบทั้งหมดมาจากการทะยานขึ้นของหุ้นเพียง 7 ตัวเท่านั้น ซึ่งได้แก่หุ้นบริษัทอัลฟาเบท, แอปเปิล, ไมโครซอฟท์, อะเมซอน, เมตา แพลตฟอร์มส์, เอ็นวิเดีย และเทสลา โดยหุ้น 7 ตัวนี้ได้รับแรงหนุนจากการที่นักลงทุนมองว่าบริษัทเหล่านี้มีความปลอดภัยสูง และได้รับแรงหนุนจากกระแสความนิยมในปัญญาประดิษฐ์ (AI) ด้วย อย่างไรก็ดี ถ้าหากตัดหุ้น 7 ตัวนี้ออกไป ดัชนี S&P 500 ก็จะปรับขึ้นไม่ถึง 2% จากช่วงต้นปีนี้ ทั้งนี้ การพุ่งขึ้นของตลาดหุ้นสหรัฐในช่วงหลังเริ่มกระจายออกไปในวงกว้างมากยิ่งขึ้น โดยในช่วงนี้มีบริษัทราว 54% ในดัชนี S&P 500 ที่มีราคาหุ้นอยู่สูงกว่าค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 200 วัน
ลักษณะสำคัญอย่างที่ 3 คือการที่ดัชนีความผันผวนในตลาดหุ้นสหรัฐดิ่งลงในช่วงที่ผ่านมา และค่าความผันผวนในตลาดพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐและตลาดปริวรรตเงินตราก็ร่วงลงมาด้วยเช่นกัน โดยสถานการณ์ดังกล่าวมีสาเหตุมาจากการคาดการณ์ของนักลงทุนที่ว่า วัฏจักรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว ทั้งนี้ ลักษณะสำคัญอย่างที่ 4 คือตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่รักษาระดับความแข็งแกร่งไว้ได้อย่างดีเกินคาดในช่วงนี้ ถึงแม้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมาแล้วรวมกัน 5.00% นับตั้งแต่เดือนมี.ค. 2022 โดยดัชนีซิตี้กรุ๊ปสำหรับตัวเลขเศรษฐกิจที่น่าประหลาดใจของสหรัฐพุ่งขึ้นจาก -78.7 ในเดือนมิ.ย.ปีที่แล้ว สู่ 20.8 ในช่วงนี้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐโดยรวมอยู่ในระดับที่ดีเกินคาด โดยเฉพาะตัวเลขการจ้างงานและปริมาณการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภค
นักวิเคราะห์ตั้งข้อสังเกตอีกด้วยว่า การที่ตลาดหุ้นสหรัฐพุ่งขึ้น 20% จากจุดต่ำสุดของภาวะหมีมักจะตามมาด้วยการทะยานขึ้นต่อไป โดยสถิติจากในอดีตระบุว่า ในภาวะหมี 6 ครั้งล่าสุดนั้น มีอยู่ 4 ครั้งที่ดัชนี S&P พุ่งขึ้นต่อไปอีก 20% หรือมากกว่านั้นในเวลา 6 เดือนต่อมาหลังจากดัชนีทะยานขึ้นมาแล้ว 20% จากจุดต่ำสุด ทั้งนี้ ในภาวะหมี 6 ครั้งล่าสุดนั้น หลังจากดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐพุ่งขึ้นมาแล้ว 20% จากจุดต่ำสุดของภาวะหมี ดัชนีก็ทะยานขึ้นต่อไปอีก 20.2% ในอีก 6 เดือนต่อมาในปี 1974, พุ่งขึ้นไปอีก 25.7% ในอีก 6 เดือนต่อมาในปี 1982, ปรับลดลง 1.4% ในอีก 6 เดือนต่อมาในปี 1988, ปรับลดลง 3.2% ในช่วงเวลาเดียวกันในปี 2002, พุ่งขึ้นไปอีก 41% ในช่วงเวลาเดียวกันในปี 2009 และทะยานขึ้นไปอีก 32.2% ในอีก 6 เดือนต่อมาในปี 2020--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--9 มิ.ย.--รอยเตอร์
ปัจจัยลบบางประการที่เคยกดดันตลาดหุ้นสหรัฐในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาได้จางหายไปแล้วในตอนนี้ และสิ่งนี้ก็ส่งผลให้บริษัทบางแห่งในย่านวอลล์สตรีทปรับขึ้นตัวเลขคาดการณ์ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐในช่วงนี้ และระบุว่านักลงทุนที่รอดูท่าทีอยู่นอกตลาดควรจะกลับเข้ามาลงทุนในตลาด ทั้งนี้ ดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐปิดตลาดวานนี้ที่ 4,293.93 โดยพุ่งขึ้นมาแล้วราว 20% จากระดับปิดต่ำสุดของเดือนต.ค. 2022 ซึ่งเท่ากับว่าตลาดหุ้นสหรัฐได้เข้าสู่ภาวะกระทิง โดยตลาดหุ้นสหรัฐได้รับแรงหนุนในช่วงที่ผ่านมาจากปัจจัยหลายประการ ซึ่งรวมถึงตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่แข็งแกร่ง, การบรรลุข้อตกลงเรื่องเพดานหนี้ของรัฐบาลสหรัฐ และการคาดการณ์ที่ว่า วัฏจักรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว
ในการที่ตลาดหุ้นสหรัฐจะพุ่งขึ้นต่อไปได้นั้น นักลงทุนที่เคยปรับลดการลงทุนในหุ้นลงเป็นอย่างมากในช่วง 1 ปีที่ผ่านมาอาจจะต้องกลับเข้ามาลงทุนในตลาด ในขณะที่นักลงทุนถือครองเงินสดไว้เป็นจำนวนมากในช่วงนี้ ทั้งนี้ สินทรัพย์ในกองทุนตลาดเงินสหรัฐเพิ่งพุ่งขึ้นแตะสถิติสูงสุดใหม่ที่ 5.8 ล้านล้านดอลลาร์ในเดือนพ.ค. ในขณะที่ผลสำรวจของแบงก์ ออฟ อเมริกา โกลบัล รีเสิร์ชระบุว่า ผู้จัดการกองทุนทั่วโลกยังคงถือครองเงินสดไว้ในระดับสูง
นายชัค คาร์ลสัน ซีอีโอของบริษัทฮอไรซัน อินเวสท์เมนท์ เซอร์วิสเซสระบุว่า "การที่ตลาดหุ้นพุ่งขึ้นในช่วงที่ผ่านมาอาจจะส่งผลให้ตลาดหุ้นทะยานขึ้นต่อไปได้อีกในอนาคต เพราะนักลงทุนจะไม่ต้องการให้ตัวเองตกกระแส" ทั้งนี้ นักลงทุนหลายรายเคยคาดการณ์ในช่วงหลายเดือนก่อนหน้านี้ว่า เศรษฐกิจสหรัฐอาจจะเข้าสู่ภาวะถดถอย ดังนั้นการที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งเกินคาดในช่วงนี้จึงส่งผลให้นักลงทุนหันมาคาดการณ์แนวโน้มในทางบวกมากยิ่งขึ้น
กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานในวันศุกร์ที่ 2 มิ.ย.ว่า การจ้างงานนอกภาคเกษตรในสหรัฐพุ่งขึ้น 339,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ค. ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ในโพลล์รอยเตอร์ที่ 190,000 ตำแหน่ง โดยรายงานตัวเลขนี้ช่วยสนับสนุนการคาดการณ์ที่ว่า เฟดจะประสบความสำเร็จในการควบคุมภาวะเงินเฟ้อ โดยไม่สร้างความเสียหายมากนักต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้ นายไบรอัน เบลสกี หัวหน้านักยุทธศาสตร์การลงทุนของบริษัทบีเอ็มโอ แคปิตัลระบุว่า "อัตราเงินเฟ้อได้ชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัดในช่วงที่ผ่านมา แต่ตลาดแรงงานสหรัฐยังคงอยู่ในภาวะแข็งแกร่งเหมือนเดิม" โดยบริษัทบีเอ็มโอได้ปรับขึ้นเป้าหมายของดัชนี S&P 500 สำหรับช่วงสิ้นปีนี้สู่ 4,550 จากเดิมที่ตั้งไว้ที่ 4,300 ในขณะที่ดัชนีพุ่งขึ้นมาแล้วกว่า 11% จากช่วงต้นปีนี้
บริษัทเอเวอร์คอร์ ไอเอสไอคาดว่า ดัชนี S&P 500 จะอยู่ที่ 4,450 สำหรับช่วงสิ้นปีนี้ โดยพุ่งขึ้นจากตัวเลขคาดการณ์เดิมที่ 4,150 ส่วนบริษัทสไตเฟลคาดว่าดัชนีจะปรับขึ้นแตะ 4,400 ในไตรมาส 3 ทางด้านแบงก์ ออฟ อเมริกาคาดการณ์ในช่วงปลายเดือนพ.ค.ว่า ดัชนีมีเป้าหมายอยู่ที่ 4,300 สำหรับช่วงสิ้นปีนี้ โดยปรับขึ้นจากเป้าหมายเดิมที่ 4,000 ทั้งนี้ นายคีธ เลอร์เนอร์ หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของบริษัททรูอิสต์ แอดไวซอรี เซอร์วิสเซสคาดการณ์ในวันจันทร์ว่า ดัชนี S&P 500 จะเคลื่อนตัวในกรอบ 3,800-4,500 ในปีนี้ โดยปรับขึ้นจากตัวเลขคาดการณ์เดิมที่ 3,400-4,300 โดยเขาให้เหตุผลว่าเป็นเพราะผลกำไรภาคเอกชนมีแนวโน้มดีขึ้น และเป็นเพราะปัจจัยอื่น ๆ ด้วย--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
2 มิ.ย.--รอยเตอร์
บริษัทเอ็นวิเดีย คอร์ปมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดพุ่งขึ้น 2.48 แสนล้านดอลลาร์ในเดือนพ.ค. ซึ่งส่งผลให้เอ็นวิเดียกลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดพุ่งขึ้นมากที่สุดในเดือนพ.ค.ในบรรดาบริษัท 20 แห่งที่มีมูลค่าในตลาดมากที่สุดในโลก โดยการพุ่งขึ้นส่วนใหญ่ของหุ้นเอ็นวิเดียเกิดขึ้นในช่วงปลายเดือนพ.ค. ทั้งนี้ บริษัทเอ็นวิเดีย ซึ่งถือเป็นบริษัทผู้ผลิตชิปที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก คาดการณ์รายได้รายไตรมาสที่สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ในย่านวอลล์สตรีทราว 50% และระบุว่าเอ็นวิเดียกำลังปรับเพิ่มการผลิตชิปปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อตอบรับต่ออุปสงค์ที่พุ่งขึ้นสูงมาก โดยหุ้นเอ็นวิเดียทะยานขึ้น 24% ในวันพฤหัสบดีที่ 25 พ.ค.หลังจากเอ็นวิเดียประกาศเรื่องนี้ออกมา ส่วนมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดของเอ็นวิเดียอยู่ที่ 9.345 แสนล้านดอลลาร์ในช่วงสิ้นเดือนพ.ค. ซึ่งส่งผลให้เอ็นวิเดียถือเป็นบริษัทที่มีมูลค่าในตลาดมากเป็นอันดับ 6 ของโลก หลังจากมูลค่าของเอ็นวิเดียทะยานขึ้นสู่ระดับสูงกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์เป็นเวลาสั้น ๆ ในช่วงปลายเดือนพ.ค.
หุ้นเอ็นวิเดียพุ่งขึ้นมาแล้ว 159% จากช่วงต้นปีนี้ ในขณะที่บริษัทไต้หวัน เซมิคอนดักเตอร์ แมนูแฟคเจอริง ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปรายสำคัญให้กับเอ็นวิเดีย มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดพุ่งขึ้น 5.0 หมื่นล้านดอลลาร์ สู่ 4.735 แสนล้านดอลลาร์ในเดือนพ.ค. ซึ่งส่งผลให้ไต้หวัน เซมิคอนดักเตอร์เป็นบริษัทที่มีมูลค่าในตลาดมากเป็นอันดับ 10 ของโลก
บริษัทที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดดิ่งลงมากที่สุดในเดือนพ.ค. ได้แก่บริษัทซาอุดิ อาระเบียน ออยล์ที่มีมูลค่ารูดลง 9.65 หมื่นล้านดอลลาร์ สู่ 2.0328 ล้านล้านดอลลาร์ในเดือนพ.ค. และบริษัทเอ็กซอน โมบิล คอร์ปของสหรัฐที่มีมูลค่าดิ่งลง 6.53 หมื่นล้านดอลลาร์ สู่ 4.131 แสนล้านดอลลาร์ในเดือนพ.ค. โดยทั้งสองบริษัทนี้ได้รับแรงกดดันจากการดิ่งลงของราคาน้ำมันในเดือนพ.ค. โดยซาอุดิ อาระเบียน ออยล์ครองอันดับ 3 ในรายชื่อบริษัทที่มีมูลค่าในตลาดมากที่สุดในโลก ส่วนเอ็กซอน โมบิลครองอันดับ 14
ในบรรดาบริษัทที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดมากที่สุดในโลกนั้น แอปเปิลครองอันดับ 1 ด้วยมูลค่าในตลาดที่ 2.7879 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงสิ้นเดือนพ.ค. หลังจากมีมูลค่าพุ่งขึ้น 1.191 แสนล้านดอลลาร์ในเดือนพ.ค., ไมโครซอฟท์ครองอันดับ 2 ด้วยมูลค่าในตลาดที่ 2.4417 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงสิ้นเดือนพ.ค. หลังจากมีมูลค่าทะยานขึ้น 1.571 แสนล้านดอลลาร์ในเดือนพ.ค., แอลฟาเบท ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล ครองอันดับ 4 ด้วยมูลค่าในตลาดที่ 1.5630 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงสิ้นเดือนพ.ค. หลังจากมีมูลค่าพุ่งขึ้น 1.949 แสนล้านดอลลาร์ในเดือนพ.ค. และอะเมซอนดอทคอมครองอันดับ 5 ด้วยมูลค่าในตลาดที่ 1.2372 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงสิ้นเดือนพ.ค. หลังจากมีมูลค่าเพิ่มขึ้น 1.552 แสนล้านดอลลาร์ในเดือนพ.ค.
บริษัทเบิร์คเชียร์ แฮทธาเวย์ครองอันดับ 7 ด้วยมูลค่าในตลาดที่ 7.020 แสนล้านดอลลาร์ในช่วงสิ้นเดือนพ.ค. หลังจากมีมูลค่าดิ่งลง 1.84 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนพ.ค., บริษัทเมตา แพลตฟอร์มส์ ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของเฟซบุ๊ก ครองอันดับ 8 ด้วยมูลค่าในตลาดที่ 6.784 แสนล้านดอลลาร์ในช่วงสิ้นเดือนพ.ค. หลังจากมีมูลค่าทะยานขึ้น 6.25 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนพ.ค. และบริษัทเทสลาซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าครองอันดับ 9 ด้วยมูลค่าในตลาดที่ 6.464 แสนล้านดอลลาร์ในช่วงสิ้นเดือนพ.ค. หลังจากมีมูลค่าทะยานขึ้น 1.256 แสนล้านดอลลาร์ในเดือนพ.ค.--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
เครื่องมือออกแบบโปสเตอร์
โครงการพันธมิตร
ความเสี่ยงของการสูญเสียในการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น หุ้น FX สินค้าโภคภัณฑ์ ฟิวเจอร์ส พันธบัตร ETFs หรือเงินดิจิทัลอาจมีมาก คุณอาจสูญเสียเงินทุนทั้งหมดที่คุณฝากไว้กับโบรกเกอร์ของคุณ ดังนั้น คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบว่าการซื้อขายดังกล่าวเหมาะสมกับคุณหรือไม่ในสถานการณ์และทรัพยากรทางการเงินของคุณ
ไม่ควรตัดสินใจลงทุนโดยไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบสถานะอย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วยตัวเองหรือปรึกษากับที่ปรึกษาทางการเงินของคุณ เนื้อหาเว็บของเราอาจไม่เหมาะกับคุณเนื่องจากเราไม่ทราบเงื่อนไขทางการเงินและความต้องการในการลงทุนของคุณ ข้อมูลทางการเงินของเราอาจมีความล่าช้าหรือมีความไม่ถูกต้อง ดังนั้นคุณควรรับผิดชอบอย่างเต็มที่ต่อการตัดสินใจซื้อขายและการลงทุนของคุณ บริษัทจะไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียเงินทุนของคุณ
หากไม่ได้รับอนุญาตจากเว็บไซต์ คุณจะไม่สามารถคัดลอกกราฟิก ข้อความ หรือเครื่องหมายการค้าของเว็บไซต์ได้ สิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาในเนื้อหาหรือข้อมูลที่รวมอยู่ในเว็บไซต์นี้เป็นของผู้ให้บริการและผู้ค้าแลกเปลี่ยน
ไม่ได้ล็อกอิน
เข้าสู่ระบบเพื่อเข้าถึงฟังก์ชั่นเพิ่มเติม

สมาชิก FastBull
ยังไม่ได้เปิด
สมัคร
เข้าสู่ระบบ
ลงทะเบียน