ตลาด
ข่าวสาร
การวิเคราะห์
ผู้ใช้
24x7
ปฏิทินเศรษฐกิจ
แหล่งเรียนรู้
ข้อมูล
- ชื่อ
- ค่าล่าสุด
- ครั้งก่อน












สัญญาณ VIP
ทั้งหมด
ทั้งหมด



สหราชอาณาจักร ดัชนีราคาที่อยู่อาศัย Halifax YoY (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส บัญชีเดินสะพัด (Not SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส ดุลการค้า (SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส การผลิตภาคอุตสาหกรรม MoM(SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
อิตาลี ดัชนียอดค้าปลีก MoM (SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงาน YoY (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน GDP Final YoY (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน GDP Final QoQ (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงาน QoQ (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงานสุดท้าย (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
บราซิล PPI MoM (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
เม็กซิโก ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา อัตราการว่างงาน (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา อัตราการมีส่วนร่วมในการจ้างงาน (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงาน (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงานนอกเวลา (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงานเต็มเวลา (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา รายได้ส่วนบุคคล MoM (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคา PCE YoY (SA) (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคา PCE MoM (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา รายจ่ายส่วนบุคคล MoM(SA) (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาPCEหลักMoM (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาPCEหลักYoY (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา เงินเฟ้อเบื้องต้น UMich 5-YearYoY (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ค่าใช้จ่ายการบริโภคส่วนบุคคลที่จริง MoM (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การคาดการณ์เงินเฟ้อ 5-10 ปี (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีสถานภาพเบื้องต้น UMich ปัจจุบัน (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้น UMich (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อล่วงหน้า 1 ปี UMich (เบื้องต้น) (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีความคาดหวังผู้บริโภค UMich (เบื้องต้น) (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ปริมาณเครื่องเจาะทั้งหมดรายสัปดาห์--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ปริมาณเครื่องเจาะน้ำมันทั้งหมดรายสัปดาห์--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา สินเชื่ออุปโภคบริโภค (SA) (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ เงินตราที่ใช้เป็นทุนสำรอง (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ปริมาณการส่งออก YoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การนำเข้า YoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การนำเข้าYoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การนำเข้า (CNH) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ดุลการค้า (CNH) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การส่งออก (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น ค่าจ้าง MoM (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น ดุลการค้า (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น GDPที่แท้จริง QoQ (ไตรมาส 3)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น GDP Nominal แก้ไขQoQ (ไตรมาส 3)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น ดุลการค้า (SA)(ข้อมูลศุลกากร) (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น GDP ประจำปี (แก้ไข) QoQ (ไตรมาส 3)--
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ปริมาณการส่งออก YoY (CNH) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ดุลการค้า (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --


ไม่มีข้อมูลที่ตรงกัน
ทัศนคติล่าสุด
ทัศนคติล่าสุด
หัวข้อยอดนิยม
คอลัมนิสต์ยอดนิยม
อัปเดตล่าสุด
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
ดูผลการค้นหาทั้งหมด

ไม่มีข้อมูล
นิวยอร์ค--17 เม.ย.--รอยเตอร์
นักวิเคราะห์ตลาดหุ้นสหรัฐระบุว่า นักลงทุนกำลังรอดูผลประกอบการไตรมาสแรกของบริษัทในกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยของสหรัฐที่จะได้รับการรายงานออกมาในช่วงไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า เพราะว่าผลประกอบการดังกล่าวอาจจะบ่งชี้ได้ว่า เศรษฐกิจสหรัฐมีสถานะเป็นเช่นใด หลังจากเศรษฐกิจเผชิญกับอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูงมาเป็นเวลานาน และได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างแข็งกร้าวของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ ผู้บริโภคสหรัฐรักษาระดับความแข็งแกร่งไว้ได้เป็นอย่างดีในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ถึงแม้มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจำนองและอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิต อย่างไรก็ดี การปรับลดพนักงานจำนวนมากในบริษัทกลุ่มเทคโนโลยีในไตรมาสแรกและวิกฤติภาคธนาคาร ในเดือนมี.ค. อาจจะส่งผลลบต่อแนวโน้มการจับจ่ายใช้สอยในด้านต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงในภาคความบันเทิง, ร้านอาหาร, ภาครถยนต์ และภาคโรงแรม
นายแกร์เรทท์ เมลสัน นักยุทธศาสตร์การลงทุนพอร์ตลงทุนของบริษัทแนติซิส อินเวสท์เมนท์ แมเนเจอร์ส โซลูชันส์กล่าวว่า "นักลงทุนไม่แน่ใจว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะทรุดตัวลงอย่างรุนแรง หรือว่าจะชะลอตัวลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่ถ้าหากตัวเลขในภาคการบริโภคอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง สิ่งนี้ก็จะช่วยสนับสนุนการคาดการณ์ที่ว่า เศรษฐกิจสหรัฐอาจจะสามารถหลีกเลี่ยงจากภาวะเลวร้ายที่สุดได้" โดเขาคาดการณ์ในทางบวกต่อหุ้นกลุ่มก่อสร้างบ้านและหุ้นกลุ่มผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า เนื่องจากเขาคาดว่าตลาดบ้านจะฟื้นตัวขึ้น
นักวิเคราะห์คาดว่า ผลกำไรของบริษัทในดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐอาจดิ่งลง 5.2% ในไตรมาสแรกเมื่อเทียบรายปี หลังจากผลกำไรปรับลดลงไปแล้วในไตรมาส 4/2022 ซึ่งเท่ากับว่าจะเกิดภาวะผลกำไรถดถอย โดยนักวิเคราะห์คาดว่า กลุ่มบริษัทที่อาจจะมีผลกำไรดิ่งลงอย่างรุนแรงในไตรมาสแรกรวมถึงกลุ่มวัสดุที่อาจจะมีผลกำไรดิ่งลง 32.9%, กลุ่มการแพทย์ที่อาจรูดลง 18.9% และกลุ่มเทคโนโลยีที่อาจมีผลกำไรดิ่งลง 14.4% ส่วนกลุ่มบริษัทที่อาจมีผลกำไรพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในไตรมาสแรกรวมถึงกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยที่อาจจะมีผลกำไรพุ่งขึ้น 36.5%, กลุ่มอุตสาหกรรมที่อาจจะทะยานขึ้น 17.1% และกลุ่มพลังงานที่อาจมีผลกำไรพุ่งขึ้น 13.7% ทางด้านดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้นมาแล้วราว 6.5% จากช่วงต้นปีนี้
บริษัทในกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยที่จะรายงานผลประกอบการในสัปดาห์นี้รวมถึงบริษัทเน็ตฟลิกซ์ที่จะรายงานผลประกอบการในวันที่ 18 เม.ย., บริษัทเทสลาที่จะรายงานผลประกอบการในวันที่ 19 เม.ย. และบริษัทออโตเนชัน ส่วนบริษัทอะเมซอนดอทคอมจะรายงานผลประกอบการในวันที่ 27 เม.ย. ทั้งนี้ นายเมลสันกล่าวว่า ความกังวลเรื่องภาวะเศรษฐกิจถดถอยในช่วง 1 ปีที่ผ่านมาส่งผลให้บริษัทหลายแห่งในกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยปรับลดต้นทุนลงเพื่อหนุนอัตราผลกำไร และปัจจัยนี้อาจจะส่งผลให้บริษัทในกลุ่มนี้รายงานผลกำไรไตรมาสแรกที่สูงเกินคาด
บริษัทในกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยได้รับแรงหนุนจากตลาดแรงงานสหรัฐที่ยังคงอยู่ในภาวะแข็งแกร่ง เพราะตลาดแรงงานที่แข็งแกร่งช่วยหนุนปริมาณการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภค โดยดัชนีหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยพุ่งขึ้นมาแล้วราว 14% จากช่วงต้นปีนี้ ซึ่งสูงกว่าอัตราการพุ่งขึ้นของดัชนี S&P 500 เป็นอย่างมาก ในขณะที่หุ้นเทสลาและหุ้นอะเมซอนครองน้ำหนักเกือบ 40% ในดัชนีหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย ทั้งนี้ หุ้นเทสลาพุ่งขึ้นมาแล้วเกือบ 50% จากช่วงต้นปีนี้ ส่วนหุ้นอะเมซอนทะยานขึ้นมาแล้วเกือบ 22% ทางด้านกองทุน SPDR ETF สำหรบหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยมีเงินลงทุนไหลเข้าสุทธิ 229.1 ล้านดอลลาร์ในช่วง 6 สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นยอดเงินไหลเข้าระยะ 6 สัปดาห์ที่สูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนส.ค. 2022--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--17 เม.ย.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดปรับลงในวันศุกร์ ในขณะที่มีการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจที่ไร้ทิศทางชัดเจนในสหรัฐ และรายงานตัวเลขเหล่านี้ดูเหมือนจะสนับสนุนให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้ง โดยปัจจัยลบดังกล่าวบดบังแรงหนุนที่ตลาดหุ้นสหรัฐได้รับในช่วงแรก หลังจากธนาคารขนาดใหญ่ในสหรัฐรายงานตัวเลขผลกำไรที่แข็งแกร่งเกินคาด ซึ่งถือเป็นการเปิดฤดูการรายงานผลประกอบการของบริษัทสหรัฐประจำไตรมาสแรก ทั้งนี้ ธนาคารกลางสหรัฐรายงานในวันศุกร์ว่า การผลิตภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐ ซึ่งครอบคลุมทั้งการผลิตภาคโรงงาน, ภาคเหมืองแร่ และภาคสาธารณูปโภค ปรับขึ้น 0.4% ในเดือนมี.ค. หลังจากปรับขึ้น 0.2% ในเดือนก.พ. โดยการผลิตภาคอุตสาหกรรมปรับขึ้น 0.2% ในไตรมาสแรก หลังจากหดตัวลง 2.5% ในไตรมาส 4/2022 ทางด้านอัตราการใช้กำลังการผลิตในภาคอุตสาหกรรมปรับขึ้นสู่ 79.8% ในเดือนมี.ค. จาก 79.6% ในเดือนก.พ. และอยู่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของปี 1972-2022 ราว 0.1%
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดปรับลง 0.42% สู่ 33,886.47, ดัชนี S&P 500 ปิดปรับลง 0.21% สู่ 4,137.64 และดัชนี Nasdaq ปิดปรับลง 0.35% สู่ 12,123.47 ในวันศุกร์ อย่างไรก็ดี ดัชนีดาวโจนส์, S&P 500 และ Nasdaq ต่างก็ปิดตลาดสัปดาห์นี้ในแดนบวก โดยได้รับแรงหนุนจากการพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในวันพฤหัสบดี โดยก่อนหน้านี้ดัชนีดาวโจนส์เพิ่งทะยานขึ้น 1.14% ในวันพฤหัสบดี ดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้น 1.33% ในวันพฤหัสบดี และดัชนี Nasdaq ทะยานขึ้น 1.99% ในวันพฤหัสบดี ทั้งนี้ หุ้น 7 กลุ่มจาก 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐปิดตลาดวันศุกร์ในแดนลบ โดยหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ดิ่งลงมากที่สุด แต่ดัชนีหุ้นกลุ่มการเงินพุ่งขึ้น 1.1% และถือเป็นกลุ่มที่พุ่งขึ้นมากที่สุดในวันศุกร์
ธนาคารซิตี้กรุ๊ป, เจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค และเวลส์ ฟาร์โก แอนด์ โคต่างก็เปิดเผยผลกำไรที่ดีเกินคาดในวันศุกร์ โดยได้รับแรงหนุนจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และจากการที่ชาวสหรัฐลดความกังวลที่มีต่อวิกฤติภาคธนาคาร โดยนายรอส เมย์ฟิลด์ นักวิเคราะห์แผนยุทธศาสตร์การลงทุนของบริษัท Baird กล่าวว่า "ธนาคารขนาดใหญ่ไม่ได้รับความเสียหายมากนักจากภาวะปั่นป่วนวุ่นวายในธนาคารระดับภูมิภาค และธนาคารขนาดใหญ่อาจจะเป็นฝ่ายที่ได้รับประโยชน์จากภาวะปั่นป่วนวุ่นวายดังกล่าวด้วย โดยเราพบว่างบดุลของธนาคารขนาดใหญ่อยู่ในระดับที่แข็งแกร่งเป็นส่วนใหญ่ และสิ่งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า วิกฤติธนาคารระดับภูมิภาคไม่ได้เป็นวิกฤติเชิงระบบ" ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารของสหรัฐพุ่งขึ้น 3.5% ในวันศุกร์ ในขณะที่หุ้นธนาคารเจพีมอร์แกน เชสทะยานขึ้น 7.6% ซึ่งถือเป็นการพุ่งขึ้นครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 9 พ.ย. 2020 ส่วนหุ้นซิตี้กรุ๊ปทะยานขึ้น 4.8% แต่หุ้นเวลส์ ฟาร์โกขยับลง 0.1%
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ยอดค้าปลีกสหรัฐร่วงลงอย่างรุนแรงเกินคาดในเดือนมี.ค. เนื่องจากผู้บริโภคปรับลดการซื้อรถยนต์และสินค้ารายการใหญ่ โดยยอดค้าปลีกดิ่งลง 1.0% ในเดือนมี.ค.เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากปรับลง 0.2% ในเดือนก.พ. ส่วนมหาวิทยาลัยมิชิแกนรายงานในวันศุกร์ว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐปรับขึ้นจาก 62.0 ในเดือนมี.ค. สู่ 63.5 ในเดือนเม.ย. ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ในโพลล์รอยเตอร์ที่ 62.0 ทั้งนี้ เทรดเดอร์ในตลาดสัญญาล่วงหน้า Fed funds คาดการณ์ว่า มีโอกาส 81% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% สู่ 5.00-5.25% ในการประชุมวันที่ 2-3 พ.ค.
นักลงทุนรอดูผลประกอบการบริษัทสหรัฐหลายแห่งที่จะได้รับการรายงานออกมาในสัปดาห์หน้า ซึ่งรวมถึงผลประกอบการของธนาคารโกลด์แมน แซคส์ กรุ๊ป อิงค์, มอร์แกน สแตนเลย์, แบงก์ ออฟ อเมริกา และบริษัทเน็ตฟลิกซ์ ในขณะที่ธนาคารระดับภูมิภาคและบริษัทในภาคอุตสาหกรรมหลายแห่งก็จะรายงานผลประกอบการออกมาด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ นักวิเคราะห์คาดว่า ผลกำไรของบริษัทในดัชนี S&P 500 อาจดิ่งลง 4.8% ในไตรมาสแรกเมื่อเทียบรายปี--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
ธนาคารขนาดใหญ่ของสหรัฐได้อัดฉีดเงินฝาก 3.0 หมื่นล้านดอลลาร์เข้าสู่ธนาคารเฟิร์สต์ รีพับลิค แบงก์เมื่อวานนี้ เพื่อเข้าพยุงกิจการธนาคารแห่งนี้ที่เผชิญกับวิกฤติที่ขยายวงกว้างขึ้นหลังการล้มละลายของธนาคารขนาดกลาง 2 แห่งของสหรัฐในสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่ราคาหุ้นเฟิร์สต์ รีพับลิค แบงก์ดิ่งลง 70% ในรอบ 9 วันทำการที่ผ่านมา
ธนาคารที่ใหญ่ที่สุดหลายแห่งของสหรัฐ อาทิ เจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค, ซิตี้กรุ๊ป อิงค์, แบงก์ ออฟ อเมริกา คอร์ป, เวลส์ ฟาร์โก แอนด์ โค, โกลด์แมน แซคส์ และมอร์แกน สแตนเลย์มีส่วนร่วมในการเข้ากอบกู้ครั้งนี้ และหุ้นเฟิร์สต์ รีพับลิค แบงก์ก็ปิดพุ่งขึ้น 10% รับข่าวดังกล่าว แต่ก็ร่วงลง 18% ในการซื้อขายหลังตลาดปิดทำการ หลังจากที่ธนาคารประกาศว่าจะระงับการจ่ายปันผล
ข้อตกลงช่วยเหลือครั้งนี้เกิดขึ้นจากการดำเนินการของนายหน้าผู้มีอำนาจ อาทิ เจเน็ท เยลเลน รมว.คลังสหรัฐ, นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และนายเจมี ไดมอน ซีอีโอเจพีมอร์แกน เชส ซึ่งได้หารือถึงมาตรการช่วยเหลือเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา
เยนเลนระบุว่า ระบบธนาคารของสหรัฐยังคงแข็งแกร่งเนื่องจากการดำเนินการที่ "เด็ดขาดและแข็งขัน" หลังการล้มละลายของซิลิคอน วัลเลย์ แบงก์--จบ--
Eikon source text
ธนาคารเครดิตสวิสเปิดเผยว่า จะกู้เงิน 5.4 หมื่นล้านดอลลาร์จากธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ เพื่อนำมาพยุงสภาพคล่อง และความเชื่อมั่นของนักลงทุน หลังจากที่การดิ่งลงของหุ้นได้เพิ่มความวิตกเกี่ยวกับวิกฤติการเงินโลก ซึ่งการประกาศของธนาคารกลางช่วยสกัดแรงเทขายหุ้นในตลาดการเงินในการซื้อขายที่ตลาดเอเชียในวันนี้ได้ หลังจากที่ดิ่งลงอย่างหนักในตลาดยุโรปและสหรัฐเมื่อคืนนี้ เนื่องจากนักลงทุนรู้สึกวิตกกับแนวโน้มที่จะมีการแห่ถอนเงินออกจากธนาคารทั่วโลก
เครดิตสวิสระบุในแถลงการณ์ว่า จะใช้ทางเลือกในการกู้เงินจากธนาคารกลางไม่เกิน 5.0 หมื่นล้านฟรังก์สวิส (5.4 หมื่นล้านดอลลาร์) หลังจากที่ทางการสวิสออกมารับประกันว่า เครดิตสวิสมีการดำรงเงินทุนและสภาพคล่องตามที่กำหนดไว้กับธนาคารที่มีความสำคัญต่อระบบ และอาจจะเข้าถึงสภาพคล่องของธนาคารกลาง ถ้าจำเป็น
เครดิตสวิสนับเป็นธนาคารชั้นนำระดับโลกแห่งแรกที่จะได้รับความช่วยเหลือฉุกเฉินนับตั้งแต่วิกฤติการเงินในปี 2008 และปัญหาของเครดิตสวิสก็ทำให้เกิดความไม่แน่ใจอย่างมากว่า ธนาคารกลางต่างๆจะสามารถต่อสู้กับเงินเฟ้อต่อไปด้วยการขึ้นอัตราดอกเบี้ยแบบเชิงรุกได้หรือไม่
ปัญหาของธนาคารที่ก่อตั้งมา 167 ปีแล้วแห่งนี้ทำให้นักลงทุนและผู้ควบคุมกฎระเบียบเปลี่ยนความสนใจจากสหรัฐมาที่ยุโรป ซึ่งเครดิตสวิสทำให้มีแรงเทขายหุ้นกลุ่มธนาคาร หลังจากนักลงทุนรายใหญ่สุดของธนาคารเปิดเผยว่าไม่สามารถให้ความช่วยเหลือทางการเงินได้ เนื่องจากข้อจำกัดด้านกฎระเบียบ
นักลงทุนกำลังจับตาดูการดำเนินการของธนาคารกลางและผู้ควบคุมกฎในประเทศอื่นเพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นในระบบธนาคารด้วย รวมทั้งความเสี่ยงทางธุรกิจที่อาจจะมีกับเครดิตสวิส ขณะที่การปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้ยากขึ้นที่ธุรกิจบางส่วนจะชำระคืน หรือจ่ายหนี้ ซึ่งเพิ่มโอกาสที่จะเกิดผลขาดทุนสำหรับธนาคารที่มีความวิตกเกี่ยวกับภาวะถดถอย--จบ--
Eikon source text
ลอนดอน--13 มี.ค.--รอยเตอร์
นักวิเคราะห์ระบุว่า ยุคสมัยที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำได้สิ้นสุดลงแล้ว และวัฏจักรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างแข็งกร้าวก็เริ่มส่งผลกระทบต่อตลาดโลกในช่วงนี้ ในขณะที่หน่วยงานควบคุมกฎระเบียบทางการธนาคารของรัฐแคลิฟอร์เนียสั่งปิดธนาคารซิลิคอน แวลลีย์ (SVB) ซึ่งเป็นธนาคารที่เน้นปล่อยกู้แก่ภาคเทคโนโลยีในวันศุกร์ที่ผ่านมา หลังจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในสหรัฐสร้างความยากลำบากด้านการระดมทุนให้แก่ลูกค้าของ SVB ในภาคเทคโนโลยีและภาคการแพทย์ และส่งผลให้ลูกค้าของ SVB ถอนเงินฝากออกจากธนาคาร และสิ่งนี้ก็สร้างความเสียหายต่อพอร์ตลงทุนในพันธบัตรขนาด 2.1 หมื่นล้านดอลลาร์ของ SVB ด้วย ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ได้ระบุถึง 5 จุดสำคัญในตลาดโลกที่ได้รับความเสียหายจากวัฏจักรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยจุดแรกคือภาคธนาคาร ในขณะที่นักลงทุนตั้งข้อสงสัยว่า ธนาคารแห่งอื่น ๆ จะมีความจำเป็นต้องเทขายพันธบัตรในราคาขาดทุนตาม SVB ด้วยหรือไม่ เพื่อจะได้หาเงินมาใช้รองรับการแห่ถอนเงินฝากออกจากธนาคาร โดยทางการสหรัฐเคยระบุในเดือนก.พ.ว่า ธนาคารสหรัฐมียอดขาดทุนทางบัญชีในด้านหลักทรัพย์สูงกว่า 6.20 แสนล้านดอลลาร์ โดยมีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์มองว่า ปัญหาของ SVB ถือเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับธนาคารบางแห่งอย่างเฉพาะเจาะจงเท่านั้น และธนาคารแบงก์ ออฟ อเมริกาตั้งข้อสังเกตว่า ธนาคารพาณิชย์ในยุโรปไม่ได้ปรับเพิ่มปริมาณการถือครองพันธบัตรนับตั้งแต่ปี 2015 เป็นต้นมา
จุดที่ 2 คือหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ในขณะที่การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยส่งผลให้นักลงทุนไม่เต็มใจที่จะลงทุนในหุ้นของบริษัทจัดตั้งใหม่ โดยเฉพาะหลังจากที่บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ออกประกาศเตือนเรื่องผลกำไรและประกาศปลดพนักงานออกจำนวนมาก โดยนักวิเคราะห์บางรายคาดการณ์ว่า ถ้าหากอัตราดอกเบี้ยสหรัฐยังคงปรับขึ้นต่อไปในปี 2023 ดัชนี Nasdaq ของตลาดหุ้นสหรัฐก็อาจจะเผชิญกับแรงเทขายอย่างหนักหน่วง ทั้งนี้ บริษัทที่วางแผนจะปลดพนักงานออกในช่วงนี้รวมถึงอะเมซอนที่วางแผนจะปลดพนักงานออกราว 18,000 คน, แอลฟาเบทที่ระดับราว 12,000 คน, เมตา แพลตฟอร์มส์ที่ระดับราว 11,000 คน, ไมโครซอฟท์ที่ระดับราว 10,000 คน และเซลส์ฟอร์ซที่วางแผนจะปลดพนักงานออกราว 8,000 คน
จุดที่ 3 คืออัตราการผิดนัดชำระหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้นในภาคเอกชน โดยบริษัทเอสแอนด์พี โกลบอลระบุว่า ยอดการผิดนัดชำระหนี้ในยุโรปในปี 2022 ได้พุ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดอันดับ 2 นับตั้งแต่ปี 2009 เป็นต้นมา และทางบริษัทคาดการณ์อีกด้วยว่า อัตราการผิดนัดชำระหนี้ในสหรัฐจะพุ่งขึ้นจาก 1.6% ในเดือนก.ย. 2022 สู่ 3.75% ในเดือนก.ย. 2023 โดยมีตัวเลขคาดการณ์สูงสุดอยู่ที่ 6.0% ส่วนอัตราการผิดนัดชำระหนี้ในยุโรปจะพุ่งขึ้นจาก 1.4% ในเดือนก.ย. 2022 สู่ 3.25% ในเดือนก.ย. 2023 โดยมีตัวเลขคาดการณ์สูงสุดอยู่ที่ 5.5% ทั้งนี้ นักลงทุนมุ่งความสนใจไปที่การกู้ยืมเงินกันนอกตลาดด้วย โดยยอดการกู้ยืมเงินกันนอกตลาดพุ่งขึ้นจาก 2.50 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2010 สู่ระดับราว 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ในปัจจุบัน
จุดที่ 4 คือตลาดสกุลเงินคริปโต ในขณะที่การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเคยส่งผลให้ตลาดสกุลเงินคริปโตประสบภาวะปั่นป่วนวุ่นวายในปี 2022 และส่งผลให้บิทคอยน์ดิ่งลง 64% ในปีนั้น โดยบิทคอยน์ยังคงเคลื่อนตัวอยู่ใกล้จุดต่ำสุดรอบ 2 เดือนในช่วงนี้ ทั้งนี้ หุ้นของบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวข้องกับสกุลเงินคริปโตดิ่งลงอย่างรุนแรงในวันที่ 9 มี.ค. หลังจากบริษัทซิลเวอร์เกต แคปิตัล คอร์ป ซึ่งเป็นธนาคารขนาดใหญ่ที่ทำธุรกิจเกี่ยวข้องกับสกุลเงินคริปโต ประกาศว่าทางธนาคารจะปิดกิจการ
จุดที่ 5 คือตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่เริ่มได้รับความเสียหายตั้งแต่ปีที่แล้ว และมีแนวโน้มว่าราคาบ้านจะร่วงลงต่อไปอีกในปีนี้--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
ดัชนีหุ้นสหรัฐปิดร่วงลงในวันศุกร์ หลังจากข้อมูลการจ้างงานที่แข็งแกร่งเกินคาดทำให้เกิดความวิตกเกี่ยวกับการดำเนินการแบบเชิงรุกของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ขณะที่นักลงทุนได้พิจารณารายงานผลประกอบการของบริษัทขนาดใหญ่ที่ออกมาไร้ทิศทาง
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดลดลง 127.93 จุด หรือ 0.38% ที่ 33,926.01, ดัชนี S&P 500 ปิดร่วงลง 43.28 จุด หรือ 1.04% สู่ระดับ 4,136.48 และดัชนี Nasdaq ปิดร่วงลง 193.86 จุด หรือ 1.59% สู่ 12,006.96 และในสัปดาห์ที่แล้ว ดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้นรวม 1.6%, ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ลดลง 0.15% และดัชนี Nasdaq พุ่งขึ้น 3.3%
การจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐพุ่งขึ้น 517,000 ตำแหน่งในเดือนม.ค. มากกว่าที่คาดไว้ที่ 185,000 ตำแหน่ง ขณะที่อัตราว่างงานแตะระดับต่ำสุดในรอบกว่า 53 ปีครึ่งที่ 3.4% และกิจกรรมภาคบริการของสหรัฐดีดตัวขึ้นแข็งแกร่งในเดือนม.ค.
นักลงทุนได้พิจารณาสัญญาณที่มีหวังที่ว่า เศรษฐกิจอาจจะหลีกเลี่ยงภาวะถดถอยที่วิตกกันได้กับความวิตกว่า เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับสูงต่อไปเพื่อควบคุมเงินเฟ้อเป็นเวลานานเท่าใด
นักลงทุนได้พิจารณารายงานผลประกอบการของภาคเอกชนด้วย โดยหุ้นแอปเปิลพุ่งขึ้น 2.4% หลังจากบริษัทคาดว่า รายได้จะลดลงเป็นไตรมาสที่ 2 ติดต่อกัน แต่ยอดขายไอโฟนอาจจะดีขึ้นเนื่องจากการผลิตในจีนฟื้นตัวสู่ระดับปกติแล้ว แต่หุ้นอเมซอนดิ่งลง 8.4% ขณะที่บริษัทแถลงว่า กำไรจากการดำเนินงานอาจลดลงสู่ระดับ 0 ในไตรมาสปัจจุบัน เนื่องจากการลดต้นทุนจากการปลดพนักงานไม่ได้ชดเชยผลกระทบทางการเงินของผู้บริโภค และทำให้ผู้บริโภคลดการใช้จ่าย และหุ้นอัลฟาเบทร่วงลง 2.7% หลังจากแถลงผลกำไรและยอดขายไตรมาส 4 ที่ต่ำกว่าที่ตลาดวอลล์สตรีทคาดการณ์ไว้มาก--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย เสาวณีย์ เอกปัญญาชัย แปลและเรียบเรียง)
1 ก.พ.--รอยเตอร์
นักวิเคราะห์ระบุว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างแข็งกร้าวของธนาคารกลางทั่วโลกในช่วงที่ผ่านมาจะสร้างความเสียหายเป็นอย่างมากต่อตลาดต่าง ๆ โดยตลาดแรกคือตลาดหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี หลังจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีเคยได้รับแรงหนุนเป็นอย่างมากในทศวรรษที่แล้วท่ามกลางภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ำมากในทศวรรษนั้น ทั้งนี้ นักลงทุนมักจะลงทุนในหุ้นกลุ่มที่จ่ายเงินปันผลสูงในช่วงที่เศรษฐกิจเผชิญกับความไม่แน่นอน ดังนั้นหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจึงอาจจะไม่ได้รับความนิยมในช่วงนี้ ซึ่งรวมถึงหุ้นแอปเปิลที่มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลต่ำกว่า 1% นอกจากนี้ บริษัทหลายแห่งในกลุ่มเทคโนโลยีก็กำลังปรับลดจำนวนพนักงานลงในช่วงนี้ด้วย ซึ่งรวมถึงบริษัทแอลฟาเบทที่วางแผนจะปลดพนักงานออกราว 12,000 ตำแหน่ง ในขณะที่บริษัทไมโครซอฟท์, อะเมซอน และเมตา แพลตฟอร์มส์วางแผนจะปลดพนักงานออกเกือบ 40,000 ตำแหน่ง
ความเสียหายประการที่ 2 คือการผิดนัดชำระหนี้ในภาคเอกชนที่พุ่งสูงขึ้นพร้อมกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยบริษัทเอสแอนด์พี โกลบอลระบุว่า ยุโรปมียอดการผิดนัดชำระหนี้ในปีที่แล้วสูงเป็นอันดับ 2 นับตั้งแต่ปี 2009 เป็นต้นมา และเอสแอนด์พี โกลบอลคาดว่า อัตราการผิดนัดชำระหนี้ในสหรัฐอาจจะพุ่งขึ้นจาก 1.6% ในเดือนก.ย. 2022 สู่ 3.75% ในเดือนก.ย. 2023 โดยมีตัวเลขคาดการณ์สูงสุดอยู่ที่ 6.0% ส่วนอัตราการผิดนัดชำระหนี้ในยุโรปอาจจะพุ่งขึ้นจาก 1.4% ในเดือนก.ย. 2022 สู่ 3.25% ในเดือนก.ย. 2023 โดยมีตัวเลขคาดการณ์สูงสุดอยู่ที่ 5.5%
ความเสียหายประการที่ 3 คือความเสียหายที่อาจมีต่อตลาดการปล่อยกู้ภาคเอกชน ซึ่งรวมถึงการปล่อยกู้โดยตรง หลังจากตลาดดังกล่าวมีขนาดพุ่งขึ้นจาก 2.50 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2010 สู่ 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ในปัจจุบัน เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำมากในช่วงหลังเกิดวิกฤติการเงินปี 2008 กระตุ้นให้นักลงทุนต้องการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงในช่วงนั้น ซึ่งรวมถึงลงทุนในการปล่อยสินเชื่อแบบคิดอัตราดอกเบี้ยลอยตัว อย่างไรก็ดี อัตราดอกเบี้ยที่พุ่งสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมาจะส่งผลให้บริษัทหลายแห่งมีภาระหนี้เพิ่มสูงขึ้น และอาจจะส่งผลให้บริษัทเหล่านี้เผชิญความยากลำบากในการระดมเงินสดให้ได้มากพอเพื่อนำมาจ่ายดอกเบี้ย
ความเสียหายประการที่ 4 คือความเสียหายที่ตลาดสกุลเงินคริปโตได้รับจากอัตราดอกเบี้ยที่พุ่งสูงขึ้น โดยบิทคอยน์ดิ่งลงมาแล้ว 64% ในปี 2022 และมูลค่าของตลาดสกุลเงินคริปโตทั่วโลกก็รูดลงราว 1.3 ล้านล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว
ความเสียหายประการที่ 5 คือความเสียหายในตลาดอสังหาริมทรัพย์ โดยตลาดอสังหาริมทรัพย์เริ่มตกต่ำลงในปีที่แล้วท่ามกลางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และมีแนวโน้มว่าราคาบ้านในสหรัฐอาจจะดิ่งลง 12% ในปี 2023 ด้วย ทั้งนี้ ผู้จัดการกองทุนในผลสำรวจของแบงก์ ออฟ อเมริการะบุว่า ภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีนถือเป็นปัจจัยที่มีความเป็นไปได้สูงเป็นอันดับสองที่จะก่อให้เกิดเหตุการณ์ที่มีผลต่อความสามารถในการชำระหนี้ ทางด้านบริษัทวีล, กอทชาล แอนด์ แมงเจสรายงานว่า หนี้ด้อยคุณภาพในภาคอสังหาริมทรัพย์ของยุโรปพุ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2012 นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ยังกล่าวเตือนอีกด้วยว่า ผลกำไรของภาคธนาคารในยุโรปอาจจะได้รับความเสียหายเป็นอย่างมากจากการดิ่งลงของราคาบ้าน--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
เครื่องมือออกแบบโปสเตอร์
โครงการพันธมิตร
ความเสี่ยงของการสูญเสียในการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น หุ้น FX สินค้าโภคภัณฑ์ ฟิวเจอร์ส พันธบัตร ETFs หรือเงินดิจิทัลอาจมีมาก คุณอาจสูญเสียเงินทุนทั้งหมดที่คุณฝากไว้กับโบรกเกอร์ของคุณ ดังนั้น คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบว่าการซื้อขายดังกล่าวเหมาะสมกับคุณหรือไม่ในสถานการณ์และทรัพยากรทางการเงินของคุณ
ไม่ควรตัดสินใจลงทุนโดยไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบสถานะอย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วยตัวเองหรือปรึกษากับที่ปรึกษาทางการเงินของคุณ เนื้อหาเว็บของเราอาจไม่เหมาะกับคุณเนื่องจากเราไม่ทราบเงื่อนไขทางการเงินและความต้องการในการลงทุนของคุณ ข้อมูลทางการเงินของเราอาจมีความล่าช้าหรือมีความไม่ถูกต้อง ดังนั้นคุณควรรับผิดชอบอย่างเต็มที่ต่อการตัดสินใจซื้อขายและการลงทุนของคุณ บริษัทจะไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียเงินทุนของคุณ
หากไม่ได้รับอนุญาตจากเว็บไซต์ คุณจะไม่สามารถคัดลอกกราฟิก ข้อความ หรือเครื่องหมายการค้าของเว็บไซต์ได้ สิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาในเนื้อหาหรือข้อมูลที่รวมอยู่ในเว็บไซต์นี้เป็นของผู้ให้บริการและผู้ค้าแลกเปลี่ยน
ไม่ได้ล็อกอิน
เข้าสู่ระบบเพื่อเข้าถึงฟังก์ชั่นเพิ่มเติม

สมาชิก FastBull
ยังไม่ได้เปิด
สมัคร
เข้าสู่ระบบ
ลงทะเบียน