ตลาด
ข่าวสาร
การวิเคราะห์
ผู้ใช้
24x7
ปฏิทินเศรษฐกิจ
แหล่งเรียนรู้
ข้อมูล
- ชื่อ
- ค่าล่าสุด
- ครั้งก่อน












สัญญาณ VIP
ทั้งหมด
ทั้งหมด



สหรัฐอเมริกา ค่าเฉลี่ยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก4 สัปดาห์ (SA)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานต่อรายสัปดาห์ (SA)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา Ivey PMI (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา Ivey PMI (Not SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา คำสั่งซื้อสินค้าคงทนนอกกระทรวงกลาโหมที่ได้แก้ไข MoM (ไม่รวมเครื่องบิน)(SA) (ก.ย.)ค:--
ค: --
สหรัฐอเมริกา คำสั่งซื้อโรงงาน MoM(ยกเว้นการขนส่ง) (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา คำสั่งซื้อโรงงาน MoM (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา คำสั่งซื้อโรงงาน MoM(ยกเว้นภาคกลาโหม) (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การเปลี่ยนแปลงสต็อกก๊าซธรรมชาติประจำสัปดาห์ของ EIAค:--
ค: --
ค: --
ซาอุดิอาระเบีย การผลิตน้ำมันดิบค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การถือครองธนารักษ์สหรัฐฯของธนาคารกลางต่างประเทศรายสัปดาห์ค:--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น เงินตราที่ใช้เป็นทุนสำรอง (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย อัตราขายคืนค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย ดอกเบี้ยอ้างอิงค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย อัตราขายคืนค:--
ค: --
ค: --
อินเดีย อัตราเงินสดสำรองค:--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น อินดิเคเตอร์ชั้นนำเบื้องต้น (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหราชอาณาจักร ดัชนีราคาที่อยู่อาศัย Halifax YoY (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหราชอาณาจักร ดัชนีราคาที่อยู่อาศัย Halifax MoM (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส บัญชีเดินสะพัด (Not SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส ดุลการค้า (SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส การผลิตภาคอุตสาหกรรม MoM(SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
อิตาลี ดัชนียอดค้าปลีก MoM (SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงาน YoY (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน GDP Final YoY (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน GDP Final QoQ (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงาน QoQ (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงานสุดท้าย (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
บราซิล PPI MoM (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
เม็กซิโก ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา อัตราการว่างงาน (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา อัตราการมีส่วนร่วมในการจ้างงาน (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงาน (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงานนอกเวลา (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงานเต็มเวลา (SA) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา รายได้ส่วนบุคคล MoM (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาธนาคารกลางรัฐดัลลาส สหรัฐอเมริกา PCE YoY (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคา PCE YoY (SA) (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคา PCE MoM (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา รายจ่ายส่วนบุคคล MoM(SA) (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาPCEหลักMoM (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา เงินเฟ้อเบื้องต้น UMich 5-YearYoY (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาPCEหลักYoY (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ค่าใช้จ่ายการบริโภคส่วนบุคคลที่จริง MoM (ก.ย.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การคาดการณ์เงินเฟ้อ 5-10 ปี (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีสถานภาพเบื้องต้น UMich ปัจจุบัน (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้น UMich (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อล่วงหน้า 1 ปี UMich (เบื้องต้น) (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีความคาดหวังผู้บริโภค UMich (เบื้องต้น) (ธ.ค.)--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ปริมาณเครื่องเจาะทั้งหมดรายสัปดาห์--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ปริมาณเครื่องเจาะน้ำมันทั้งหมดรายสัปดาห์--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา สินเชื่ออุปโภคบริโภค (SA) (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ เงินตราที่ใช้เป็นทุนสำรอง (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ปริมาณการส่งออก YoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การนำเข้า YoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การนำเข้าYoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การนำเข้า (CNH) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ดุลการค้า (CNH) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การส่งออก (พ.ย.)--
ค: --
ค: --


ไม่มีข้อมูลที่ตรงกัน
ทัศนคติล่าสุด
ทัศนคติล่าสุด
หัวข้อยอดนิยม
คอลัมนิสต์ยอดนิยม
อัปเดตล่าสุด
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
ดูผลการค้นหาทั้งหมด

ไม่มีข้อมูล
13 มิ.ย.--รอยเตอร์
ถึงแม้นักลงทุนในตลาดโลกพึงพอใจที่วิกฤติภาคธนาคารในเดือนมี.ค.ไม่ได้ส่งผลให้เกิดภาวะสินเชื่อหดตัวอย่างฉับพลัน และพึงพอใจที่สหรัฐสามารถคลี่คลายวิกฤติเพดานหนี้ได้ทันก่อนเส้นตาย เศรษฐกิจโลกก็ยังคงเผชิญกับสัญญาณเตือนต่าง ๆ ในช่วงนี้ ซึ่งรวมถึงการที่เศรษฐกิจยูโรโซนได้เข้าสู่ภาวะถดถอยไปแล้ว และตัวเลขเศรษฐกิจจีนที่น่าผิดหวัง ทางด้านนักวิเคราะห์ได้ระบุถึงสัญญาณบางประการที่บ่งชี้ถึงความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอยดังต่อไปนี้
สัญญาณแรกคือการคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจในปีหน้าในทางลบมากยิ่งขึ้น ถึงแม้มีการปรับขึ้นตัวเลขคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจในปีนี้ โดยธนาคารโลกได้ปรับขึ้นตัวเลขคาดการณ์อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลกประจำปี 2023 เนื่องจากเศรษฐกิจจีน, สหรัฐ และประเทศสำคัญอื่น ๆ รักษาระดับความแข็งแกร่งไว้ได้ดีเกินคาด โดยธนาคารโลกคาดว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ที่แท้จริงทั่วโลกอาจเพิ่มขึ้น 2.1% ในปีนี้ โดยปรับขึ้นจากตัวเลขคาดการณ์เดิมที่ 1.7% ที่เคยคาดไว้ในเดือนม.ค. อย่างไรก็ดี ธนาคารโลกคาดว่า เศรษฐกิจโลกอาจจะเติบโตเพียง 2.4% ในปี 2024 โดยปรับลดลงจากตัวเลขคาดการณ์เดิมที่ 2.7% โดยธนาคารโลกให้เหตุผลว่า การปรับลดนี้เป็นเพราะการคุมเข้มนโยบายการเงินของธนาคารกลางส่งผลกระทบอย่างล่าช้า และสินเชื่อที่ตึงตัวมากยิ่งขึ้นจะส่งผลลบต่อการลงทุนทางธุรกิจและการลงทุนในที่อยู่อาศัย ทั้งนี้ ดัชนีตัวเลขเศรษฐกิจที่น่าประหลาดใจทั่วโลกที่จัดทำโดยซิตี้กรุ๊ปอยู่ที่ระดับราว -5 ในช่วงนี้ และสิ่งนี้บ่งชี้ว่ามีการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจทั่วโลกที่แย่เกินคาดออกมาในช่วงนี้ในอัตราที่รวดเร็วที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.ย. 2022 เป็นต้นมา
สัญญาณที่ 2 คือภาวะตึงตัวด้านสินเชื่อ โดยสัญญาณดังกล่าวรวมถึงผลสำรวจที่ระบุว่า สัดส่วนสุทธิของธนาคารพาณิชย์ในยูโรโซนที่รายงานว่า ภาคเอกชนลดความต้องการกู้เงินลงในไตรมาสแรก อยู่ที่ระดับ 38% ซึ่งถือเป็นสัดส่วนสุทธิที่สูงที่สุดนับตั้งแต่เกิดวิกฤติการเงินโลกในปี 2008 เป็นต้นมา และผลสำรวจยังระบุอีกด้วยว่า สัดส่วนสุทธิของธนาคารพาณิชย์ในยูโรโซนที่คุมเข้มมาตรฐานการปล่อยกู้ในไตรมาสแรก อยู่ที่ระดับ 27% ซึ่งเท่ากับในไตรมาส 4/2022 และถือเป็นสัดส่วนสุทธิที่สูงที่สุดนับตั้งแต่เกิดวิกฤติหนี้ยูโรโซนในปี 2011 เป็นต้นมา ทางด้านปริมาณการปล่อยกู้แก่ภาคธุรกิจในยูโรโซนปรับขึ้นเพียง 4.6% ในเดือนเม.ย.เมื่อเทียบรายปี โดยชะลอตัวลงจาก +5.2% ในเดือนมี.ค. ทั้งนี้ ธนาคารดอยช์ แบงก์ตั้งข้อสังเกตว่า โดยปกติแล้วธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มักจะผ่อนคลายนโยบายการเงินลง เมื่อผลสำรวจความเห็นเจ้าหน้าที่สินเชื่อระดับสูง (SLOOS) ในสหรัฐแสดงให้เห็นว่า ดัชนีความเต็มใจในการปล่อยกู้อยู่ใกล้ระดับ 0 อย่างไรก็ดี ดัชนีดังกล่าวอยู่ที่ระดับติดลบเป็นอย่างมากในปัจจุบัน
สัญญาณที่ 3 คือการปลดพนักงานออกเป็นจำนวนมาก โดยสัญญาณดังกล่าวรวมถึงรายงานของบริษัทแชลเลนเจอร์, เกรย์ แอนด์ คริสต์มาสที่ระบุว่า ยอดการประกาศปรับลดตำแหน่งงานในบริษัทสหรัฐพุ่งขึ้น 20% สู่ 80,089 ตำแหน่งในเดือนพ.ค., ประกาศของบริษัทบีที กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทผู้ให้บริการสื่อสารไร้สายและสื่อสารความเร็วสูงรายใหญ่ที่สุดในอังกฤษที่ระบุว่า บีทีจะปรับลดตำแหน่งงานลง 55,000 ตำแหน่งก่อนสิ้นปี 2030 หรือกว่า 40% ของจำนวนพนักงานทั้งหมดของบีที และประกาศของบริษัทโวดาโฟน ซึ่งเป็นบริษัทโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่ของอังกฤษที่ระบุว่า โวดาโฟนวางแผนจะปรับลดตำแหน่งงานทั่วโลกลง 11,000 ตำแหน่งในช่วง 3 ปีข้างหน้า ทั้งนี้ มีการตั้งข้อสังเกตว่า บริษัทสหรัฐหลายแห่งระบุถึงการปลดพนักงานออกในการรายงานผลกำไรไตรมาสแรกด้วย
สัญญาณที่ 4 คือการคาดการณ์ที่ว่า ยอดผิดนัดชำระหนี้จะพุ่งสูงขึ้น โดยเป็นผลจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยและการคุมเข้มเงื่อนไขการปล่อยกู้ โดยธนาคารดอยช์ แบงก์คาดว่าจะเกิดกระแสการผิดนัดชำระหนี้ในเร็ว ๆ นี้ และกระแสดังกล่าวจะแตะจุดสูงสุดในไตรมาส 4/2024 โดยอัตราการผิดนัดชำระหนี้ในสหรัฐจะขึ้นไปแตะจุดสูงสุดของวัฏจักรที่ 11.3% ซึ่งใกล้กับสถิติสูงสุด ทั้งนี้ สัญญาณที่ 5 คือการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยและความเคลื่อนไหวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ โดยในช่วงนี้เทรดเดอร์คาดว่า เฟดจะไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในปีนี้ แต่อัตราดอกเบี้ยสหรัฐจะร่วงลงสู่ระดับราว 3.9% ภายในเดือนก.ย. 2024 จากระดับ 5.00-5.25% ในปัจจุบัน ทางด้านเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐยังคงอยู่ในภาวะพลิกกลับหรือลาดลง (inverted) เป็นอย่างมากในช่วงนี้ หรือภาวะที่ต้นทุนการกู้ยืมระยะสั้นอยู่สูงกว่าต้นทุนการกู้ยืมระยะยาว และภาวะ inverted นี้มักจะเป็นสัญญาณเตือนล่วงหน้าว่าเศรษฐกิจกำลังจะเข้าสู่ภาวะถดถอย--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--17 เม.ย.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดปรับลงในวันศุกร์ ในขณะที่มีการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจที่ไร้ทิศทางชัดเจนในสหรัฐ และรายงานตัวเลขเหล่านี้ดูเหมือนจะสนับสนุนให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้ง โดยปัจจัยลบดังกล่าวบดบังแรงหนุนที่ตลาดหุ้นสหรัฐได้รับในช่วงแรก หลังจากธนาคารขนาดใหญ่ในสหรัฐรายงานตัวเลขผลกำไรที่แข็งแกร่งเกินคาด ซึ่งถือเป็นการเปิดฤดูการรายงานผลประกอบการของบริษัทสหรัฐประจำไตรมาสแรก ทั้งนี้ ธนาคารกลางสหรัฐรายงานในวันศุกร์ว่า การผลิตภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐ ซึ่งครอบคลุมทั้งการผลิตภาคโรงงาน, ภาคเหมืองแร่ และภาคสาธารณูปโภค ปรับขึ้น 0.4% ในเดือนมี.ค. หลังจากปรับขึ้น 0.2% ในเดือนก.พ. โดยการผลิตภาคอุตสาหกรรมปรับขึ้น 0.2% ในไตรมาสแรก หลังจากหดตัวลง 2.5% ในไตรมาส 4/2022 ทางด้านอัตราการใช้กำลังการผลิตในภาคอุตสาหกรรมปรับขึ้นสู่ 79.8% ในเดือนมี.ค. จาก 79.6% ในเดือนก.พ. และอยู่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของปี 1972-2022 ราว 0.1%
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดปรับลง 0.42% สู่ 33,886.47, ดัชนี S&P 500 ปิดปรับลง 0.21% สู่ 4,137.64 และดัชนี Nasdaq ปิดปรับลง 0.35% สู่ 12,123.47 ในวันศุกร์ อย่างไรก็ดี ดัชนีดาวโจนส์, S&P 500 และ Nasdaq ต่างก็ปิดตลาดสัปดาห์นี้ในแดนบวก โดยได้รับแรงหนุนจากการพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในวันพฤหัสบดี โดยก่อนหน้านี้ดัชนีดาวโจนส์เพิ่งทะยานขึ้น 1.14% ในวันพฤหัสบดี ดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้น 1.33% ในวันพฤหัสบดี และดัชนี Nasdaq ทะยานขึ้น 1.99% ในวันพฤหัสบดี ทั้งนี้ หุ้น 7 กลุ่มจาก 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐปิดตลาดวันศุกร์ในแดนลบ โดยหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ดิ่งลงมากที่สุด แต่ดัชนีหุ้นกลุ่มการเงินพุ่งขึ้น 1.1% และถือเป็นกลุ่มที่พุ่งขึ้นมากที่สุดในวันศุกร์
ธนาคารซิตี้กรุ๊ป, เจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค และเวลส์ ฟาร์โก แอนด์ โคต่างก็เปิดเผยผลกำไรที่ดีเกินคาดในวันศุกร์ โดยได้รับแรงหนุนจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และจากการที่ชาวสหรัฐลดความกังวลที่มีต่อวิกฤติภาคธนาคาร โดยนายรอส เมย์ฟิลด์ นักวิเคราะห์แผนยุทธศาสตร์การลงทุนของบริษัท Baird กล่าวว่า "ธนาคารขนาดใหญ่ไม่ได้รับความเสียหายมากนักจากภาวะปั่นป่วนวุ่นวายในธนาคารระดับภูมิภาค และธนาคารขนาดใหญ่อาจจะเป็นฝ่ายที่ได้รับประโยชน์จากภาวะปั่นป่วนวุ่นวายดังกล่าวด้วย โดยเราพบว่างบดุลของธนาคารขนาดใหญ่อยู่ในระดับที่แข็งแกร่งเป็นส่วนใหญ่ และสิ่งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า วิกฤติธนาคารระดับภูมิภาคไม่ได้เป็นวิกฤติเชิงระบบ" ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารของสหรัฐพุ่งขึ้น 3.5% ในวันศุกร์ ในขณะที่หุ้นธนาคารเจพีมอร์แกน เชสทะยานขึ้น 7.6% ซึ่งถือเป็นการพุ่งขึ้นครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 9 พ.ย. 2020 ส่วนหุ้นซิตี้กรุ๊ปทะยานขึ้น 4.8% แต่หุ้นเวลส์ ฟาร์โกขยับลง 0.1%
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ยอดค้าปลีกสหรัฐร่วงลงอย่างรุนแรงเกินคาดในเดือนมี.ค. เนื่องจากผู้บริโภคปรับลดการซื้อรถยนต์และสินค้ารายการใหญ่ โดยยอดค้าปลีกดิ่งลง 1.0% ในเดือนมี.ค.เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากปรับลง 0.2% ในเดือนก.พ. ส่วนมหาวิทยาลัยมิชิแกนรายงานในวันศุกร์ว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐปรับขึ้นจาก 62.0 ในเดือนมี.ค. สู่ 63.5 ในเดือนเม.ย. ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ในโพลล์รอยเตอร์ที่ 62.0 ทั้งนี้ เทรดเดอร์ในตลาดสัญญาล่วงหน้า Fed funds คาดการณ์ว่า มีโอกาส 81% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% สู่ 5.00-5.25% ในการประชุมวันที่ 2-3 พ.ค.
นักลงทุนรอดูผลประกอบการบริษัทสหรัฐหลายแห่งที่จะได้รับการรายงานออกมาในสัปดาห์หน้า ซึ่งรวมถึงผลประกอบการของธนาคารโกลด์แมน แซคส์ กรุ๊ป อิงค์, มอร์แกน สแตนเลย์, แบงก์ ออฟ อเมริกา และบริษัทเน็ตฟลิกซ์ ในขณะที่ธนาคารระดับภูมิภาคและบริษัทในภาคอุตสาหกรรมหลายแห่งก็จะรายงานผลประกอบการออกมาด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ นักวิเคราะห์คาดว่า ผลกำไรของบริษัทในดัชนี S&P 500 อาจดิ่งลง 4.8% ในไตรมาสแรกเมื่อเทียบรายปี--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
28 มี.ค.--รอยเตอร์
หุ้นกลุ่มธนาคารทั่วโลกได้รับแรงหนุนในวันจันทร์ หลังจากบรรษัทประกันเงินฝากของรัฐบาลกลางสหรัฐ (FDIC) ประกาศว่า ธนาคารเฟิร์สท์ ซิติเซนส์ แบงก์แชร์ส อิงค์ จะเข้าซื้อเงินฝากและสินเชื่อทั้งหมดของ SVB จาก FDIC โดยการทำข้อตกลงนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ FDIC ได้เข้าเทคโอเวอร์ SVB ในวันที่ 10 มี.ค. ในขณะที่ผู้ฝากเงินแห่ถอนเงินฝากออกจาก SVB โดยวิกฤติภาคธนาคารในช่วงนั้นส่งผลให้มีการสั่งปิดกิจการธนาคารซิกเนเจอร์ในวันที่ 12 มี.ค.ด้วย และส่งผลให้ธนาคารระดับภูมิภาคแห่งอื่น ๆ ในสหรัฐมีมูลค่าในตลาดดิ่งลงอย่างรุนแรงในช่วงนั้นด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ FDIC ประเมินว่า การล้มของ SVB จะส่งผลให้กองทุนของ FDIC ที่ใช้ในการช่วยเหลือธนาคารพาณิชย์มีขนาดลดลงราว 2.0 หมื่นล้านดอลลาร์ แต่กองทุนนี้ไม่ได้ใช้เงินของประชาชนผู้เสียภาษีในสหรัฐ แต่จะนำเงินที่ได้จากการเก็บภาษีจากภาคธนาคารในสหรัฐมาเติมในกองทุนนี้
ธนาคารเฟิร์สท์ ซิติเซนส์จะไม่จ่ายเงินสดในการทำข้อตกลงนี้ แต่จะมอบสิทธิที่จะได้รับประโยชน์จากราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้นของเฟิร์สท์ ซิติเซนส์แก่ FDIC โดยสิทธิดังกล่าวอาจจะมีมูลค่าไม่เกิน 500 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถือว่าต่ำกว่ามูลค่าของ SVB ในช่วงก่อนการถูกสั่งปิดกิจการเป็นอย่างมาก เพราะว่า SVB เคยมีสินทรัพย์ราว 2.09 แสนล้านดอลลาร์ในช่วงสิ้นปีที่แล้ว และเคยถือเป็นธนาคารขนาดใหญ่อันดับที่ 16 ของสหรัฐในช่วงนั้น ทางด้าน FDIC จะสามารถใช้สิทธิที่จะได้รับประโยชน์จากราคาหุ้นของเฟิร์สท์ ซิติเซนส์ที่เพิ่มขึ้นนี้ได้ระหว่างวันที่ 27 มี.ค.-14 เม.ย. โดยปริมาณเงินสดที่ FDIC จะได้รับจะขึ้นอยู่กับว่ามูลค่าหุ้นของเฟิร์สท์ ซิติเซนส์อยู่ที่ระดับใด ทางด้านราคาหุ้นเฟิร์สท์ ซิติเซนส์ แบงก์แชร์ส อิงค์พุ่งขึ้น 53.7% ในวันจันทร์
เฟิร์สท์ ซิติเซนส์จะเข้ามาครอบครองสินทรัพย์ของ SVB เป็นมูลค่า 1.10 แสนล้านดอลลาร์ และจะเข้ามาครอบครองเงินฝาก 5.6 หมื่นล้านดอลลาร์ และสินเชื่อ 7.2 หมื่นล้านดอลลาร์ของ SVB ด้วย ส่วน FDIC จะยังคงถือครองหลักทรัพย์และสินทรัพย์อื่น ๆ ของ SVB เป็นมูลค่าราว 9.0 หมื่นล้านดอลลาร์เพื่อจำหน่ายออก
นายแฟรงค์ โฮลดิง ซีอีโอของเฟิร์สท์ ซิติเซนส์กล่าวต่อนักลงทุนในวันจันทร์ว่า "เราเชื่อว่าการทำธุรกรรมในครั้งนี้จะส่งผลดีเป็นอย่างมากต่อผู้ฝากเงิน" โดยธนาคารเฟิร์สท์ ซิติเซนส์นั้นถือเป็นธนาคารระดับภูมิภาคในสหรัฐที่มีชื่อเสียงด้านการเข้าซื้อธนาคารคู่แข่งที่ประสบปัญหา และเฟิร์สท์ ซิติเซนส์ก็เคยทำข้อตกลงซื้อกิจการโดยได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลสหรัฐแบบนี้ไปแล้ว 21 ครั้ง ซึ่งรวมถึงการทำข้อตกลงแบบนี้ 14 ครั้งนับตั้งแต่นายโฮลดิงได้เข้ามาดำรงตำแหน่งประธานกรรมการในปี 2009 เป็นต้นมา ทั้งนี้ ข้อตกลงนี้จะช่วยให้เฟิร์สท์ ซิติเซนส์สามารถขยายกิจการในรัฐแคลิฟอร์เนียได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น และจะช่วยให้เฟิร์สท์ ซิติเซนส์สามารถดำเนินธุรกิจบริหารความมั่งคั่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐด้วย โดยปัจจุบันนี้เฟิร์สท์ ซิติเซนส์มีสินทรัพย์ราว 1.09 แสนล้านดอลลาร์ และมีเงินฝากราว 8.94 หมื่นล้านดอลลาร์ แต่เมื่อมีการรวมกิจการกับ SVB ในอนาคต เฟิร์สท์ ซิติเซนส์ก็จะมีสินทรัพย์ราว 2.19 แสนล้านดอลลาร์ และมีเงินฝากราว 1.45 แสนล้านดอลลาร์
เฟิร์สท์ ซิติเซนส์จะได้รับวงเงินสินเชื่อจาก FDIC เพื่อใช้ในกรณีที่ต้องการสภาพคล่องฉุกเฉิน และทางธนาคารจะทำข้อตกลงกับ FDIC เรื่องการแบ่งปันยอดขาดทุนจากสินเชื่อเชิงพาณิชย์ด้วย--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
ธนาคารเครดิตสวิสเปิดเผยว่า จะกู้เงิน 5.4 หมื่นล้านดอลลาร์จากธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ เพื่อนำมาพยุงสภาพคล่อง และความเชื่อมั่นของนักลงทุน หลังจากที่การดิ่งลงของหุ้นได้เพิ่มความวิตกเกี่ยวกับวิกฤติการเงินโลก ซึ่งการประกาศของธนาคารกลางช่วยสกัดแรงเทขายหุ้นในตลาดการเงินในการซื้อขายที่ตลาดเอเชียในวันนี้ได้ หลังจากที่ดิ่งลงอย่างหนักในตลาดยุโรปและสหรัฐเมื่อคืนนี้ เนื่องจากนักลงทุนรู้สึกวิตกกับแนวโน้มที่จะมีการแห่ถอนเงินออกจากธนาคารทั่วโลก
เครดิตสวิสระบุในแถลงการณ์ว่า จะใช้ทางเลือกในการกู้เงินจากธนาคารกลางไม่เกิน 5.0 หมื่นล้านฟรังก์สวิส (5.4 หมื่นล้านดอลลาร์) หลังจากที่ทางการสวิสออกมารับประกันว่า เครดิตสวิสมีการดำรงเงินทุนและสภาพคล่องตามที่กำหนดไว้กับธนาคารที่มีความสำคัญต่อระบบ และอาจจะเข้าถึงสภาพคล่องของธนาคารกลาง ถ้าจำเป็น
เครดิตสวิสนับเป็นธนาคารชั้นนำระดับโลกแห่งแรกที่จะได้รับความช่วยเหลือฉุกเฉินนับตั้งแต่วิกฤติการเงินในปี 2008 และปัญหาของเครดิตสวิสก็ทำให้เกิดความไม่แน่ใจอย่างมากว่า ธนาคารกลางต่างๆจะสามารถต่อสู้กับเงินเฟ้อต่อไปด้วยการขึ้นอัตราดอกเบี้ยแบบเชิงรุกได้หรือไม่
ปัญหาของธนาคารที่ก่อตั้งมา 167 ปีแล้วแห่งนี้ทำให้นักลงทุนและผู้ควบคุมกฎระเบียบเปลี่ยนความสนใจจากสหรัฐมาที่ยุโรป ซึ่งเครดิตสวิสทำให้มีแรงเทขายหุ้นกลุ่มธนาคาร หลังจากนักลงทุนรายใหญ่สุดของธนาคารเปิดเผยว่าไม่สามารถให้ความช่วยเหลือทางการเงินได้ เนื่องจากข้อจำกัดด้านกฎระเบียบ
นักลงทุนกำลังจับตาดูการดำเนินการของธนาคารกลางและผู้ควบคุมกฎในประเทศอื่นเพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นในระบบธนาคารด้วย รวมทั้งความเสี่ยงทางธุรกิจที่อาจจะมีกับเครดิตสวิส ขณะที่การปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้ยากขึ้นที่ธุรกิจบางส่วนจะชำระคืน หรือจ่ายหนี้ ซึ่งเพิ่มโอกาสที่จะเกิดผลขาดทุนสำหรับธนาคารที่มีความวิตกเกี่ยวกับภาวะถดถอย--จบ--
Eikon source text
กองทุนตราสารหนี้โลกได้รับคำสั่งขายเป็นสัปดาห์ที่ 9 ติดต่อกันในรอบสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 19 ต.ค. ขณะที่ข้อมูลเงินเฟ้อที่สูงเกินคาดได้เพิ่มความวิตกที่ว่า ธนาคารกลางชั้นนำทั่วโลกจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยแบบเชิงรุกต่อไป
ข้อมูลจาก Refinitiv Lipper พบว่า นักลงทุนขายสุทธิกองทุนตราสารหนี้โลก 1.188 หมื่นล้านดอลลาร์ หลังจากที่ขาย 1.287 หมื่นล้านดอลลาร์ในสัปดาห์ก่อน
นักลงทุนขายกองทุนตราสารหนี้ยุโรป 7.29 พันล้านดอลลาร์ และของสหรัฐ 4.16 พันล้านดอลลาร์ แต่ซื้อกองทุนตราสารหนี้เอเชีย 210 ล้านดอลลาร์
สินทรัพย์ปลอดภัย อาทิ กองทุนพันธบัตรรัฐบาล และกองทุนตลาดเงินได้รับคำสั่งซื้อ 5.33 พันล้านดอลลาร์ และ 2.671 หมื่นล้านดอลลาร์ตามลำดับ
แรงขายกองทุนหุ้นลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 9 สัปดาห์ที่ 213 ล้านดอลลาร์ เนื่องจากบริษัทสหรัฐหลายแห่ง อาทิ โกลด์แมน แซคส์ กรุ๊ป, เน็ทฟลิกซ์ และจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสันได้รายงานผลประกอบการที่ดีเกินคาด ส่วนกองทุนตราสารหนี้และหุ้นตลาดเกิดใหม่ได้รับคำสั่งขาย 2.25 พันล้านดอลลาร์ และ 2.36 พันล้านดอลลาร์ตามลำดับ--จบ--
ภาวะตลาดกระทิงที่ดำเนินมาร่วม 40 ปีของตลาดพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐสิ้นสุดลงแล้ว เมื่อตลาดพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐดิ่งลงมากที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ในช่วงต้นปีนี้ และนักลงทุนพันธบัตรบางรายรู้สึกวิตกอีกครั้งว่า การพุ่งขึ้นร่วมหลายทศวรรษของพันธบัตรรัฐบาลกำลังจะสิ้นสุดลง ซึ่งทำให้ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีร่วงลงจากระดับสูงสุดที่ 15.3% ในปี 1981 มาที่ 0.54% ในเดือนมี.ค.2020
ตลาดพันธบัตรฟื้นตัวขึ้นจากแรงเทขายในอดีต ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจต่ำ และธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่มีมุมมองเชิงผ่อนคลายนโยบาย แต่มุมมองเชิงลบดังกล่าวกลับมาอีกครั้งในขณะนี้ เมื่อเฟดส่งสัญญาณว่า พร้อมที่จะปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นอย่างมาก และเร่งการลดขนาดงบดุลลงอย่างรวดเร็วเพื่อทำให้อัตราเงินเฟ้อลดลงจากระดับสูงสุดในรอบ 40 ปี
พันธบัตรอยู่ในสินทรัพย์ประเภทหนึ่งที่ติดอันดับสถานะขายมากที่สุดของกลุ่มผู้จัดการกองทุนโลกในผลสำรวจล่าสุดของแบงก์ ออฟ อเมริกา เมอร์ริล ลินช์ โดยนักลงทุนได้ถอนการลงทุนออกจากกองทุนพันธบัตรสุทธิในรอบ 10 สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นสถิติติดต่อกันนานที่สุดนับตั้งแต่ปลายปี 2013 ขณะที่กองทุน iShares 20+ Year Treasury Bond ETF ซึ่งเป็นกองทุน ETF ที่เน้นพันธบัตรที่มีการซื้อขายหนาแน่นที่สุด ร่วงลง 18% แล้วในปีนี้
ภาวะชะลอตัวเป็นเวลานานของพันธบัตรอาจจะมีผลกระทบในวงกว้างนับตั้งแต่กระทบต้นทุนการกู้ของภาคเอกชนไปจนถึงกระทบพอร์ทการลงทุนของนักลงทุน ขณะที่ข้อมูลจากสมาคมธุรกิจหลักทรัพย์และตลาดการเงินพบว่า สัดส่วนการถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐของนักลงทุนรายย่อยและกองทุนรวมอยู่ที่ 4.39 ล้านล้านดอลลาร์ ณ สิ้นปี 2021
สำหรับหุ้นนั้น ผลกระทบจากผลตอบแทนพันธบัตรที่สูงขึ้นขึ้นอยู่กับว่า เกิดขึ้นพร้อมกับราคาผู้บริโภคเพิ่มขึ้นด้วยหรือไม่ ซึ่งอาจจะสร้างปัญหาให้แก่หุ้นในสภาวะที่เงินเฟ้อพุ่งสูงมากในปัจจุบัน ขณะที่หุ้นให้ผลตอบแทน 6.4% โดยเฉลี่ยในช่วงเวลาที่ผลตอบแทนพันธบัตรพุ่งขึ้น 13 ครั้งระหว่างปี 1962 ถึงปี 2016 เมื่อเทียบกับระดับเฉลี่ยของระยะยาวที่ 7.1% ในช่วงเวลาดังกล่าว แต่เมื่อผลตอบแทนเพิ่มขึ้น และอัตราเงินเฟ้อสูง ผลตอบแทนต่อปีโดยเฉลี่ยลดลงสู่ระดับ -0.4%--จบ--
นิวยอร์ค--18 ก.พ.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดดิ่งลงอย่างรุนแรงในวันพฤหัสบดี ในขณะที่ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐกับรัสเซียในเรื่องยูเครนทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น และปัจจัยดังกล่าวกระตุ้นให้นักลงทุนหันไปซื้อหุ้นกลุ่มปลอดภัยและสินทรัพย์ปลอดภัย อย่างเช่นพันธบัตรและทองคำ ทั้งนี้ ประธานาธิบดีโจ ไบเดนของสหรัฐกล่าวในวันพฤหัสบดีว่า ขณะนี้มีสัญญาณบ่งชี้เป็นอย่างมากว่า รัสเซียกำลังวางแผนจะรุกรานยูเครนในอีกไม่กี่วันข้างหน้า และรัสเซียกำลังเตรียมข้ออ้างเพื่อใช้เป็นเหตุผลในการรุกราน หลังจากกองทัพยูเครนยิงต่อสู้กับกลุ่มกบฏแบ่งแยกดินแดนที่สนับสนุนรัสเซียในภาคตะวันออกของยูเครน ทางด้านรัสเซียกล่าวหาปธน.ไบเดนว่ากระตุ้นความขัดแย้ง และรัสเซียออกจดหมายที่ระบุว่า รัฐบาลสหรัฐเพิกเฉยต่อข้อเรียกร้องด้านความมั่นคงของรัสเซีย
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดดิ่งลง 1.78% สู่ 34,312.03 ซึ่งถือเป็นการดิ่งลงครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 30 พ.ย. 2021, ดัชนี S&P 500 ปิดรูดลง 2.12% สู่ 4,380.26 ซึ่งถือเป็นการดิ่งลงครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 2 สัปดาห์ และดัชนี Nasdaq ปิดดิ่งลง 2.88% สู่ 13,716.72 ซึ่งถือเป็นการรูดลงครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 3 ก.พ. ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและหุ้นกลุ่มบริการการสื่อสารดิ่งลงอย่างรุนแรง ในขณะที่หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคและหุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นถือเป็นหุ้นเพียงสองกลุ่มที่ปิดตลาดในแดนบวก เนื่องจากหุ้นสองกลุ่มนี้ถือเป็นหุ้นกลุ่มปลอดภัย โดยหุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นได้รับแรงหนุนจากหุ้นวอลมาร์ทที่พุ่งขึ้น 4.01% หลังจากวอลมาร์ทเปิดเผยยอดขายไตรมาสสี่ที่สูงเป็นประวัติการณ์
หุ้นกลุ่มการเงินร่วงลงตามอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ในขณะที่นักลงทุนเข้าซื้อพันธบัตรในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย และส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีร่วงลงสู่ 1.968% ในช่วงท้ายวันพฤหัสบดี จาก 2.040% ในช่วงท้ายวันพุธ ทั้งนี้ หุ้นธนาคารขนาดใหญ่ ซึ่งรวมถึงเจพีมอร์แกน เชส, มอร์แกน สแตนเลย์ และแบงก์ ออฟ อเมริการ่วงลง ส่วนหุ้นธนาคารโกลด์แมน แซคส์และเวลส์ ฟาร์โกปรับลงด้วยเช่นกัน ถึงแม้ธนาคารทั้งสองคาดการณ์แนวโน้มในทางบวก
หุ้นเอ็นวิเดียซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปดิ่งลง 7.51% หลังจากเอ็นวิเดียรายงานว่าอัตรากำไรขั้นต้นทรงตัว และนักลงทุนกังวลกับผลกระทบที่เอ็นวิเดียอาจได้รับจากตลาดสกุลเงินคริปโต โดยการดิ่งลงของหุ้นเอ็นวิเดียมีส่วนกดดันให้ดัชนีหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐปิดตลาดดิ่งลง 3.74% ในวันพฤหัสบดีด้วย ทั้งนี้ หุ้นทริปแอดไซเซอร์ ซึ่งเป็นผู้ประกอบการเว็บไซต์สำหรับการหาโรงแรมดิ่งลง 2.50% หลังจากทริปแอดไวเซอร์รายงานว่า ทางบริษัทมียอดขาดทุนในไตรมาสสี่
หุ้นแฮสโบรซึ่งเป็นผู้ผลิตของเล่นพุ่งขึ้น 2.09% หลังจากบริษัทแอลทา ฟ็อกซ์ แคปิตัล แมเนจเมนท์ ซึ่งเป็นนักลงทุนนักเคลื่อนไหวเสนอชื่อกรรมการ 5 คนให้ดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการบริหารของแฮสโบร ทั้งนี้ หุ้นดอร์แดชซึ่งเป็นบริษัทจัดส่งอาหารทะยานขึ้น 10.69% หลังจากดอร์แดชรายงานรายได้รายไตรมาสที่แข็งแกร่ง และอุปสงค์ในการจัดส่งอาหารยังไม่มีแนวโน้มว่าจะชะลอตัวลง--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
เครื่องมือออกแบบโปสเตอร์
โครงการพันธมิตร
ความเสี่ยงของการสูญเสียในการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น หุ้น FX สินค้าโภคภัณฑ์ ฟิวเจอร์ส พันธบัตร ETFs หรือเงินดิจิทัลอาจมีมาก คุณอาจสูญเสียเงินทุนทั้งหมดที่คุณฝากไว้กับโบรกเกอร์ของคุณ ดังนั้น คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบว่าการซื้อขายดังกล่าวเหมาะสมกับคุณหรือไม่ในสถานการณ์และทรัพยากรทางการเงินของคุณ
ไม่ควรตัดสินใจลงทุนโดยไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบสถานะอย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วยตัวเองหรือปรึกษากับที่ปรึกษาทางการเงินของคุณ เนื้อหาเว็บของเราอาจไม่เหมาะกับคุณเนื่องจากเราไม่ทราบเงื่อนไขทางการเงินและความต้องการในการลงทุนของคุณ ข้อมูลทางการเงินของเราอาจมีความล่าช้าหรือมีความไม่ถูกต้อง ดังนั้นคุณควรรับผิดชอบอย่างเต็มที่ต่อการตัดสินใจซื้อขายและการลงทุนของคุณ บริษัทจะไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียเงินทุนของคุณ
หากไม่ได้รับอนุญาตจากเว็บไซต์ คุณจะไม่สามารถคัดลอกกราฟิก ข้อความ หรือเครื่องหมายการค้าของเว็บไซต์ได้ สิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาในเนื้อหาหรือข้อมูลที่รวมอยู่ในเว็บไซต์นี้เป็นของผู้ให้บริการและผู้ค้าแลกเปลี่ยน
ไม่ได้ล็อกอิน
เข้าสู่ระบบเพื่อเข้าถึงฟังก์ชั่นเพิ่มเติม

สมาชิก FastBull
ยังไม่ได้เปิด
สมัคร
เข้าสู่ระบบ
ลงทะเบียน