ตลาด
ข่าวสาร
การวิเคราะห์
ผู้ใช้
24x7
ปฏิทินเศรษฐกิจ
แหล่งเรียนรู้
ข้อมูล
- ชื่อ
- ค่าล่าสุด
- ครั้งก่อน












สัญญาณ VIP
ทั้งหมด
ทั้งหมด



สหราชอาณาจักร ดัชนีราคาที่อยู่อาศัย Halifax YoY (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส บัญชีเดินสะพัด (Not SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส ดุลการค้า (SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ฝรั่งเศส การผลิตภาคอุตสาหกรรม MoM(SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
อิตาลี ดัชนียอดค้าปลีก MoM (SA) (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงาน YoY (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน GDP Final YoY (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน GDP Final QoQ (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงาน QoQ (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
ค: --
ยูโรโซน การจ้างงานสุดท้าย (SA) (ไตรมาส 3)ค:--
ค: --
บราซิล PPI MoM (ต.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
เม็กซิโก ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา อัตราการว่างงาน (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา อัตราการมีส่วนร่วมในการจ้างงาน (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงาน (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงานนอกเวลา (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
แคนาดา การจ้างงานเต็มเวลา (SA) (พ.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา รายได้ส่วนบุคคล MoM (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคา PCE YoY (SA) (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคา PCE MoM (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา รายจ่ายส่วนบุคคล MoM(SA) (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาPCEหลักMoM (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีราคาPCEหลักYoY (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา เงินเฟ้อเบื้องต้น UMich 5-YearYoY (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ค่าใช้จ่ายการบริโภคส่วนบุคคลที่จริง MoM (ก.ย.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การคาดการณ์เงินเฟ้อ 5-10 ปี (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีสถานภาพเบื้องต้น UMich ปัจจุบัน (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้น UMich (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา การคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อล่วงหน้า 1 ปี UMich (เบื้องต้น) (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ดัชนีความคาดหวังผู้บริโภค UMich (เบื้องต้น) (ธ.ค.)ค:--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ปริมาณเครื่องเจาะทั้งหมดรายสัปดาห์--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา ปริมาณเครื่องเจาะน้ำมันทั้งหมดรายสัปดาห์--
ค: --
ค: --
สหรัฐอเมริกา สินเชื่ออุปโภคบริโภค (SA) (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ เงินตราที่ใช้เป็นทุนสำรอง (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ปริมาณการส่งออก YoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การนำเข้า YoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การนำเข้าYoY (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การนำเข้า (CNH) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ดุลการค้า (CNH) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ การส่งออก (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น ค่าจ้าง MoM (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น ดุลการค้า (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น GDPที่แท้จริง QoQ (ไตรมาส 3)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น GDP Nominal แก้ไขQoQ (ไตรมาส 3)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น ดุลการค้า (SA)(ข้อมูลศุลกากร) (ต.ค.)--
ค: --
ค: --
ญี่ปุ่น GDP ประจำปี (แก้ไข) QoQ (ไตรมาส 3)--
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ปริมาณการส่งออก YoY (CNH) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --
จีนแผ่นดินใหญ่ ดุลการค้า (USD) (พ.ย.)--
ค: --
ค: --


ไม่มีข้อมูลที่ตรงกัน
ทัศนคติล่าสุด
ทัศนคติล่าสุด
หัวข้อยอดนิยม
คอลัมนิสต์ยอดนิยม
อัปเดตล่าสุด
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
ดูผลการค้นหาทั้งหมด

ไม่มีข้อมูล
นิวยอร์ค--16 ต.ค.--รอยเตอร์
นักวิเคราะห์ตลาดหุ้นสหรัฐระบุว่า นักลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐจะจับตาดูผลประกอบการรายไตรมาสของธนาคารระดับภูมิภาคของสหรัฐในสัปดาห์นี้ เพราะถ้าหากผลประกอบการดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า สินเชื่อเติบโตในอัตราที่รวดเร็วยิ่งขึ้น สิ่งนี้ก็อาจจะเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า ภาวะคอขวดในห่วงโซ่อุปทานลดระดับลงแล้ว หลังจากภาวะคอขวดดังกล่าวเป็นอุปสรรคขัดขวางการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐในช่วงที่ผ่านมา ทั้งนี้ สำนักงานธุรกิจขนาดเล็กของสหรัฐระบุว่า ธนาคารขนาดเล็กครองสัดส่วน 63% ของสินเชื่อขนาด 5.20 แสนล้านดอลลาร์ในโครงการให้สินเชื่อเพื่อคุ้มครองธุรกิจ (Paycheck Protection Program) ของรัฐบาลกลางสหรัฐ ซึ่งเป็นโครงการที่จัดตั้งขึ้นเพื่อรับมือกับวิกฤติโรคระบาด โดยโครงการดังกล่าวเปิดโอกาสให้ธุรกิจขนาดเล็กกู้ยืมเงินได้ โดยที่สินเชื่อดังกล่าวอาจจะได้รับการยกหนี้ หรืออาจจะจ่ายดอกเบี้ย 1%
นายเดฟ เอลลิสัน ผู้จัดการพอร์ตลงทุนของกองทุนเฮนเนสซีกล่าวว่า ถ้าหากความต้องการกู้เงินใหม่ในอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นปรับเพิ่มขึ้นจากเดิม สิ่งนี้ก็อาจจะบ่งชี้ว่าธุรกิจขนาดเล็กกำลังปรับเพิ่มสต็อกสินค้าคงคลัง และกำลังขยายกิจการในช่วงนี้ และเขากล่าวเสริมว่า "ดูเหมือนว่าธุรกิจเกือบทุกประเภทได้รับประโยชน์จากการเปิดเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมา ยกเว้นภาคธนาคารพาณิชย์ เพราะว่าสินเชื่อเติบโตขึ้นน้อยมาก" ในโครงการ Paycheck Protection Program และเขายังระบุอีกด้วยว่า "วิกฤติโรคระบาดสร้างความเสียหายต่อธุรกิจขนาดเล็กมากเป็นพิเศษ และธุรกิจกลุ่มนี้คือลูกค้าของธนาคารระดับภูมิภาค" ทั้งนี้ บรรษัทประกันเงินฝากของรัฐบาลกลางสหรัฐ (FDIC) ระบุว่า หากนับจากตัวเลขในวันที่ 30 มิ.ย. ธนาคารขนาดเล็กก็ครองสัดส่วน 15% ของสินเชื่อทั้งหมดในภาคธนาคารสหรัฐ แต่ครองสัดส่วน 31% ในสินเชื่อในโครงการ Paycheck Protection Program
ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ระบุว่า สินเชื่อเพื่อการพาณิชย์ดิ่งลง 12% ในเดือนก.ย.เมื่อเทียบรายปี แต่อัตราการดิ่งลงนี้ชะลอตัวลงจากอัตรา -16.3% ในเดือนพ.ค.เมื่อเทียบรายปี อย่างไรก็ดี นายคริส โคทอฟสกี นักวิเคราะห์ของบริษัทออพเพนไฮเมอร์ระบุว่า การพุ่งขึ้นของสต็อกสินค้าคงคลังในภาคค้าปลีกและในบริษัทซัพพลายเออร์รถยนต์น่าจะช่วยหนุนการเติบโตของสินเชื่อต่อไปในช่วงหนึ่งปีข้างหน้า และเขากล่าวเสริมว่า "ความเคลื่อนไหวสำคัญครั้งถัดไปน่าจะเป็นการพุ่งขึ้น ไม่ใช่การดิ่งลง เพราะว่าสินเชื่อไม่น่าจะดิ่งลงได้มากไปกว่าในช่วงที่ผ่านมา"
นายสตีเวน โคเมอรี นักวิเคราะห์ของกองทุนกาเบลลีกล่าวว่า ถ้าหากสินเชื่อใหม่ในธนาคารระดับภูมิภาคพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่ง นั่นก็จะเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า ปัญหาในห่วงโซ่อุปทานลดระดับลงแล้ว และเขากล่าวเสริมว่า "ถ้าหากลูกค้าไม่สามารถนำสินค้ามาวางขายในตลาดเพราะปัญหาด้านห่วงโซ่อุปทาน ลูกค้าก็จะไม่กู้เงินเพื่อปรับเพิ่มสต็อกสินค้าคงคลัง" และเขากล่าวเสริมว่า "ถ้าหากมีสัญญาณบ่งชี้ว่า ปัญหาด้านห่วงโซ่อุปทานยังไม่ได้รับการคลี่คลาย สิ่งนี้ก็จะส่งผลกระทบต่อตัวเลขคาดการณ์ผลกำไรจนถึงปี 2023"
ธนาคารขนาดใหญ่ของสหรัฐรายงานตัวเลขสินเชื่อรายไตรมาสที่ไร้ทิศทางชัดเจนในสัปดาห์ที่แล้ว โดยเจพี มอร์แกนรายงานว่า สินเชื่อเพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อน แต่ธนาคารแบงก์ ออฟ อเมริกากับเวลส์ ฟาร์โกรายงานว่าสินเชื่อปรับลดลง ทั้งนี้ ในบรรดาธนาคารระดับภูมิภาคที่จะเปิดเผยผลประกอบการในสัปดาห์นี้นั้น ธนาคารเฟิร์สท์ คอมมูนิตี แบงก์แชร์ส อิงค์, เฟิร์สท์ มิดเวสต์ แบงคอร์ป อิงค์ และไซออนส์ แบงคอร์ป จะรายงานผลประกอบการในวันนี้ ส่วนธนาคารฟิฟธ์ เธิร์ด แบงคอร์ป และยูไนเต็ด คอมมูนิตี แบงก์ส อิงค์จะรายงานผลประกอบการในวันอังคาร--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--22 ก.ค.--รอยเตอร์
นักวิเคราะห์ระบุว่า บริษัทสหรัฐได้สะสมเงินสดไว้เป็นจำนวนมากในช่วงที่ผ่านมา และนักลงทุนคาดว่าเงินดังกล่าวอาจจะช่วยหนุนตลาดหุ้นสหรัฐได้ในช่วงหลายเดือนข้างหน้า ในขณะที่ผู้บริหารบริษัทหลายแห่งประกาศแผนการปรับเพิ่มปริมาณการซื้อคืนหุ้น, แผนปรับเพิ่มเงินปันผล หรือแผนปรับเพิ่มการลงทุนในธุรกิจของตนเอง ทั้งนี้ นายคีธ เลอร์เนอร์ หัวหน้านักยุทธศาสตร์การลงทุนตลาดของบริษัททรูอิสท์ แอดไวซอรี เซอร์วิสเซสระบุว่า บริษัทในดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐมีเงินสดอยู่ในงบดุลบัญชีราว 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงนี้ ซึ่งถือว่าสูงเป็นประวัติการณ์ และพุ่งขึ้นจากระดับ 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงก่อนเกิดวิกฤติโรคระบาดในปี 2020
นายไมเคิล เพอร์เวส ซีอีโอของบริษัททอลแบคเคน แคปิตัล แอดไวเซอร์สกล่าวว่า การที่ภาคเอกชนมีดุลเงินสดอยู่ในระดับสูงจะถือเป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยพยุงตลาดหุ้น และเขากล่าวเสริมว่า “ปัจจัยนี้จะช่วยหนุนตลาดหุ้นต่อไปในปี 2022 และ 2023 ถึงแม้มีการคาดการณ์กันว่าตลาดหุ้นอาจจะพุ่งขึ้นมากเกินไปแล้ว และมูลค่าหุ้นอยู่สูงเกินไป" ทั้งนี้ การที่บริษัทมีเงินสดเก็บไว้เป็นจำนวนมากจะช่วยให้บริษัทมีความยืดหยุ่นในการดำเนินมาตรการต่าง ๆ ที่จะส่งผลดีต่อราคาหุ้น ซึ่งรวมถึงการซื้อคืนหุ้น และการปรับเพิ่มเงินปันผล โดยมาตรการหลังนี้จะช่วยดึงดูดนักลงทุนที่ต้องการรายได้สูง ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐดิ่งลงในช่วงนี้
ตะกร้าหุ้นที่จัดทำโดยบริษัทโกลด์แมน แซคส์ที่รวบรวมหุ้นบริษัทที่คืนเงินสดจำนวนมากให้แก่ผู้ถือหุ้นโดยผ่านทางการซื้อคืนหุ้นหรือการจ่ายเงินปันผล พุ่งขึ้นในปี 2021 ในอัตราที่สูงกว่าดัชนี S&P 500 ราว 5% ส่วนตะกร้าหุ้นของบริษัทที่มีการลงทุนด้านทุนอยู่ในระดับสูง หรือมีรายจ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาอยู่ในระดับสูง พุ่งขึ้นในปี 2021 ในอัตราที่สูงกว่าดัชนี S&P 500 ราว 2% โดยสิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า นักลงทุนชื่นชอบบริษัทที่ใช้ประโยชน์จากเงินสดในปีนี้ นอกจากนี้ นักยุทธศาสตร์การลงทุนของโกลด์แมน แซคส์ยังคาดการณ์อีกด้วยว่า ปริมาณการซื้อคืนหุ้นอาจพุ่งขึ้น 35% ในปีนี้ ทั้งนี้ การคาดการณ์ที่ว่าบริษัทอาจใช้จ่ายเงินจำนวนมากจะช่วยกระตุ้นให้นักลงทุนเข้าช้อนซื้อหุ้น เมื่อราคาหุ้นร่วงลงในอนาคต และปัจจัยนี้จะช่วยชะลอการดิ่งลงของตลาดหุ้นในอนาคต
นายไรอัน ดีทริค หัวหน้านักยุทธศาสตร์การลงทุนตลาดของบริษัทแอลพีแอล ไฟแนนเชียลระบุว่า สถิตินับตั้งแต่ปี 1950 เป็นต้นมาแสดงให้เห็นว่า ดัชนี S&P 500 มักจะย่อตัวลงครั้งละอย่างน้อย 5% เป็นจำนวนเฉลี่ย 3 ครั้งต่อปี แต่ดัชนียังไม่ได้ย่อตัวลงแบบนี้เลยแม้แต่ครั้งเดียวในปีนี้ ดังนั้นนักลงทุนบางรายจึงคาดว่าอาจจะเกิดการย่อตัวขึ้นได้ในอนาคต ทั้งนี้ บริษัทสหรัฐได้ประกาศว่าจะซื้อคืนหุ้นเป็นมูลค่า 3.50 แสนล้านดอลลาร์ในไตรมาส 2 ซึ่งถือว่าสูงที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาส 2/2018 หลังจากประกาศซื้อคืนหุ้น 2.75 แสนล้านดอลลาร์ในไตรมาสแรก ทางด้านปริมาณการจ่ายเงินปันผลของบริษัทในดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้น 3.6% สู่ 1.234 แสนล้านดอลลาร์ในไตรมาส 2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อน แต่ยังคงอยู่ห่างจากสถิติสูงสุดที่เคยทำไว้ในไตรมาสแรกของปี 2020
นักลงทุนจะจับตาดูแผนการใช้จ่ายของบริษัทต่าง ๆ เมื่อบริษัทสหรัฐเปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 2 ในช่วงนี้ โดยเฉพาะบริษัทแอปเปิล, อะเมซอน และไมโครซอฟท์ที่จะเปิดเผยผลประกอบการในสัปดาห์หน้า ทางด้านบริษัทพรูเดนเชียล ไฟแนนเชียล กับบริษัทออโตเนชันเพิ่งประกาศขยายโครงการซื้อคืนหุ้นในสัปดาห์นี้ ทั้งนี้ ธนาคารเจพี มอร์แกนระบุในสัปดาห์นี้ว่า ในบรรดาบริษัทกลุ่มต่าง ๆ ในสหรัฐนั้น กลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มการเงินถือเป็น 2 กลุ่มที่ประกาศซื้อคืนหุ้นมากที่สุดนับตั้งแต่ต้นปีนี้ ซึ่งรวมถึงบริษัทแอปเปิลที่เพิ่งปรับเพิ่มอำนาจในการซื้อคืนหุ้นขึ้นอีก 9.0 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนเม.ย.--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
ดัชนี Nasdaq ปิดลดลงในวันพฤหัสบดี เนื่องจากหุ้นแอปเปิล, อะเมซอนและหุ้นอื่นๆในกลุ่มบิ๊กเทคร่วงลง ขณะที่จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกที่ลดลงทำให้นักลงทุนมีความกังวลเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นในช่วงที่ผ่านมา
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวก 53.79 จุด หรือ 0.15% ที่ 34,987.02, ดัชนี S&P 500 ปิดลดลง 14.27 จุด หรือ 0.32% สู่ระดับ 4,360.03 และดัชนี Nasdaq ปิดลดลง 101.81 จุด หรือ 0.70% สู่ 14,543.13
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในดัชนี S&P 500 ปิดลดลง หลังจากพุ่งขึ้น 4 วันติดต่อกัน ซึ่งความต้องการหุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่มเติบโตของนักลงทุนในช่วงต้นสัปดาห์นี้ทำให้ดัชนี S&P 500 และดัชนี Nasdaq พุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ส่วนหุ้นกลุ่มพลังงานในดัชนี S&P 500 ปิดร่วงลงตามราคาน้ำมันดิบจากการคาดการณ์ว่า จะมีปริมาณการผลิตมากขึ้นหลังจากมีข้อตกลงประนีประนอมระหว่างผู้ผลิตชั้นนำในกลุ่มโอเปก
ข้อมูลที่ระบุว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 16 สัปดาห์ในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่การขาดแคลนแรงงาน และภาวะคอขวดในระบบห่วงโซ่อุปทานสร้างความยุ่งยากให้แก่ภาคธุรกิจในการเพิ่มการผลิตเพื่อตอบสนองความต้องการสินค้าและบริการ
นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวว่า เขาคาดว่า การขาดแคลนและภาวะเงินเฟ้อสูงจะบรรเทาลง แต่นักลงทุนหลายคนก็ยังคงกังวลว่า ภาวะเงินเฟ้อที่นานมากขึ้นอาจจะนำไปสู่การคุมเข้มนโยบายการเงินที่เร็วกว่าคาด--จบ--
(รอยเตอร์ โดย เสาวณีย์ เอกปัญญาชัย แปลและเรียบเรียง)
นิวยอร์ค--5 ก.ค.--รอยเตอร์
นักวิเคราะห์ตลาดหุ้นสหรัฐระบุว่า การคาดการณ์ที่ว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอาจจะอยู่ในระดับต่ำในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ส่งผลให้นักลงทุนบางรายพิจารณาเรื่องการลงทุนในหุ้นบริษัทที่จ่ายเงินปันผลในอัตราที่สูงกว่าพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ทั้งนี้ กองทุน ProShares S&P Dividend Aristocrats ETF ที่ลงทุนในบริษัทที่ปรับเพิ่มเงินปันผลทุกปีในช่วง 25 ปีที่ผ่านมา ปรับขึ้นมาแล้ว 14.3% จากช่วงต้นปีนี้ ในขณะที่ดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐพุ่งขึ้นมาแล้ว 15.8% จากช่วงต้นปีนี้ อย่างไรก็ดี นักลงทุนบางรายเชื่อว่า หุ้นกลุ่มดังกล่าวอาจจะกลายเป็นการลงทุนที่ดีสำหรับช่วงหลายเดือนข้างหน้า หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) หันมาส่งสัญญาณแบบสายเหยี่ยวในช่วงกลางเดือนมิ.ย. และมีสัญญาณบ่งชี้ว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐอาจจะแตะจุดสูงสุดแล้ว โดยปัจจัยเหล่านี้ทำให้นักลงทุนคาดการณ์ว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (บอนด์ยิลด์) อาจจะอยู่ในระดับต่ำต่อไป
ดัชนีหุ้นกลุ่ม S&P Dividend Aristocrats ให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล 2.15% ส่วนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีให้อัตราผลตอบแทน 1.48% นอกจากนี้ กองทุน S&P 500 Dividend Aristocrats ETF ก็ยังคงร่วงลงมาแล้วราว 4% จากจุดสูงสุดของเดือนพ.ค. ทั้งนี้ ธนาคารโกลด์แมน แซคส์คาดว่า บริษัทในดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐจะจ่ายเงินปันผลเพิ่มขึ้น 6% ในปีนี้และปีหน้า ถึงแม้ว่ามูลค่าหุ้นในปัจจุบันบ่งชี้ว่าเงินปันผลอาจเพิ่มขึ้นเพียง 0.8% เท่านั้น นอกจากนี้ โกลด์แมน แซคส์ยังประเมินอีกด้วยว่า ในบรรดาบริษัทสหรัฐ 57 แห่งที่ปรับลดหรือระงับการจ่ายเงินปันผลในปี 2020 นั้น บริษัท 22 แห่งได้กลับมาจ่ายเงินปันผลหรือปรับเพิ่มเงินปันผลแล้ว และยังมีบริษัทอีก 19 แห่งที่มีแนวโน้มว่าจะปรับเพิ่มเงินปันผลก่อนสิ้นปีนี้
นายมาร์ค แฮเฟล หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของบริษัทยูบีเอส โกลบัล เวลธ์ แมเนจเมนท์กล่าวว่า บริษัทการเงินมีแนวโน้มที่จะเป็นผู้นำในการปรับเพิ่มเงินปันผล หลังจากเฟดผ่อนคลายข้อจำกัดในการจ่ายเงินปันผลและการซื้อคืนหุ้น ทั้งนี้ ธนาคารโกลด์แมน แซคส์ กรุ๊ป, มอร์แกน สแตนเลย์, เจพีมอร์แกน เชส และแบงก์ ออฟ อเมริการะบุในวันที่ 28 มิ.ย.ว่า ทางธนาคารจะปรับเพิ่มเงินปันผล หลังจากทางธนาคารผ่านการทดสอบภาวะวิกฤติของเฟด ทางด้านนักวิเคราะห์ประเมินว่า บริษัทการเงินของสหรัฐจะจ่ายเงินปันผลและซื้อคืนหุ้นเป็นมูลค่ารวมกันกว่า 1.30 แสนล้านดอลลาร์
นายบ็อบ ไลนิงเจอร์ ผู้จัดการพอร์ตลงทุนของกองทุนกาเบลลีกล่าวว่า เขาเริ่มตั้งเป้าหมายการลงทุนไปยังบริษัทอย่างเช่นโมลสัน คัวร์ส เบฟเวอเรจ ซึ่งเป็นบริษัทที่ระงับการจ่ายเงินปันผลในปีที่แล้ว แต่แถลงในเดือนเม.ย.ปีนี้ว่าทางบริษัทจะกลับมาจ่ายเงินปันผลก่อนสิ้นปี 2021 โดยหุ้นโมลสัน คัวร์สพุ่งขึ้นมาแล้วเกือบ 19% จากช่วงต้นปีนี้ ทั้งนี้ นางแคที นิกสัน หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของบริษัทนอร์ทเธิร์น ทรัสต์กล่าวว่า หุ้นบริษัทที่จ่ายเงินปันผลมีราคาอยู่ต่ำกว่า 18 เท่าของตัวเลขคาดการณ์ผลกำไร ซึ่งส่งผลให้หุ้นกลุ่มนี้มีมูลค่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต และปัจจัยนี้จะช่วยให้หุ้นกลุ่มนี้มีความน่าดึงดูดมากยิ่งขึ้น โดยนางนิกสันกล่าวเสริมว่า "เราคาดว่าเงินปันผลจะพุ่งขึ้นในอัตราที่สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า ซึ่งจะเปิดโอกาสให้นักลงทุนสามารถสร้างกระแสเงินสดของตนเองได้"
นักลงทุนจะรอดูรายงานการประชุมกำหนดนโยบายของเฟดประจำวันที่ 15-16 มิ.ย. ซึ่งจะได้รับการเปิดเผยออกมาในวันพุธที่ 7 ก.ค.นี้ โดยนักลงทุนจะจับตาดูความเห็นของเฟดที่มีต่อภาวะเงินเฟ้อ นอกจากนี้ นักลงทุนก็จะรอดูดัชนีกิจกรรมภาคบริการของสหรัฐที่สถาบันจัดการอุปทาน (ISM) จะรายงานออกมาในวันอังคารนี้ด้วย หลังจากดัชนีดังกล่าวเพิ่งพุ่งขึ้นแตะสถิติสูงสุดในเดือนพ.ค. ทั้งนี้ นายเบิร์นส์ แมคคินนีย์ จากบริษัทเอ็นเอฟเจ อินเวสท์เมนท์ กรุ๊ปกล่าวว่า หุ้นกลุ่มที่จ่ายเงินปันผลดูเหมือนจะอยู่ในสถานะที่ดีมากในช่วงนี้ เพราะหุ้นกลุ่มนี้มีแนวโน้มที่จะจ่ายเงินปันผลสูงขึ้น ถ้าหากเศรษฐกิจยังคงฟื้นตัวต่อไป--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--30 มิ.ย.--รอยเตอร์
ดัชนี S&P 500 และดัชนี Nasdaq ของตลาดหุ้นสหรัฐปรับขึ้นมาปิดตลาดที่สถิติระดับปิดสูงสุดใหม่ในวันอังคาร โดยได้รับแรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นบริษัทแอปเปิล อิงค์ และหุ้นตัวอื่น ๆ ในกลุ่มเทคโนโลยี หลังจากสำนักงาน Conference Board ของสหรัฐรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่แข็งแกร่ง ทั้งนี้ ดัชนี S&P 500 ได้รับแรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นธนาคารมอร์แกน สแตนเลย์ หลังจากมอร์แกน สแตนเลย์ประกาศปรับขึ้นเงินปันผล และดัชนี S&P 500 ก็สามารถทำสถิติระดับปิดสูงสุดใหม่ในวันอังคารได้เป็นวันที่ 4 ติดต่อกัน อย่างไรก็ดี ดัชนี S&P 500 และดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดขยับขึ้นเพียงเล็กน้อยในวันอังคาร เนื่องจากนักลงทุนรอดูตัวเลขเศรษฐกิจอื่น ๆ ที่จะได้รับการรายงานออกมาในสัปดาห์นี้
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดขยับขึ้น 0.03% สู่ 34,292.29, ดัชนี S&P 500 ปิดขยับขึ้น 0.03% สู่ 4,291.8 และดัชนี Nasdaq ปิดปรับขึ้น 0.19% สู่ 14,528.34 ทั้งนี้ หุ้น 3 กลุ่มจาก 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐปิดตลาดในแดนบวกในวันอังคาร โดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีบวกขึ้น 0.7% และถือเป็นกลุ่มที่ปรับขึ้นมากที่สุด ส่วนหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยปรับขึ้น 0.23% ในวันอังคาร
นักลงทุนรอดูตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรที่รัฐบาลสหรัฐจะรายงานออกมาในวันศุกร์นี้ เพราะตัวเลขดังกล่าวอาจจะส่งผลกระทบต่อจุดยืนของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ต้องการให้ตลาดแรงงานฟื้นตัวขึ้นอย่างทั่วถึง ทั้งนี้ สำนักงาน Conference Board รายงานในวันอังคารว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐพุ่งขึ้นจาก 120.0 ในเดือนพ.ค. สู่ 127.3 ในเดือนมิ.ย. ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ. 2020 โดยตัวเลขดังกล่าวช่วยสนับสนุนการคาดการณ์ที่ว่า เศรษฐกิจสหรัฐอาจเติบโตอย่างแข็งแกร่งในไตรมาสสอง
หุ้นธนาคารมอร์แกน สแตนเลย์พุ่งขึ้น 3.4% หลังจากมอร์แกน สแตนเลย์ปรับขึ้นเงินปันผลเป็นสองเท่า สู่ 70 เซนต์ต่อหุ้นในไตรมาส 3 ทางด้านธนาคารเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค, แบงก์ ออฟ อเมริกา คอร์ป และโกลด์แมน แซคส์ กรุ๊ปต่างก็ปรับขึ้นเงินปันผลเช่นกัน ทั้งนี้ ดัชนีตลาดหุ้นสำคัญทั้ง 3 ดัชนีของสหรัฐมีแนวโน้มว่าจะปิดตลาดไตรมาส 2 ในแดนบวกเป็นไตรมาสที่ 5 ติดต่อกัน โดยได้รับแรงหนุนจากนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายมากเป็นพิเศษ, การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐ และผลประกอบการภาคเอกชนที่แข็งแกร่ง นอกจากนี้ ดัชนี S&P 500 ก็พุ่งขึ้นมาแล้วเกือบ 14% ในช่วงครึ่งปีแรก และนักลงทุนก็มุ่งความสนใจไปยังฤดูการรายงานผลประกอบการไตรมาส 2 ที่จะเริ่มต้นขึ้นในเดือนก.ค. เพื่อใช้ในการประเมินแนวโน้มของตลาดหุ้นสำหรับช่วงต่อไป
หุ้นบริษัทโมเดอร์นา อิงค์พุ่งขึ้น 5.2% สู่สถิติสูงสุดในวันอังคาร หลังจากผลการศึกษาในห้องแล็บบ่งชี้ว่า วัคซีนโรคโควิด-19 ของโมเดอร์นาอาจจะใช้ป้องกันเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์เดลตาได้ดี--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
เครื่องมือออกแบบโปสเตอร์
โครงการพันธมิตร
ความเสี่ยงของการสูญเสียในการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น หุ้น FX สินค้าโภคภัณฑ์ ฟิวเจอร์ส พันธบัตร ETFs หรือเงินดิจิทัลอาจมีมาก คุณอาจสูญเสียเงินทุนทั้งหมดที่คุณฝากไว้กับโบรกเกอร์ของคุณ ดังนั้น คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบว่าการซื้อขายดังกล่าวเหมาะสมกับคุณหรือไม่ในสถานการณ์และทรัพยากรทางการเงินของคุณ
ไม่ควรตัดสินใจลงทุนโดยไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบสถานะอย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วยตัวเองหรือปรึกษากับที่ปรึกษาทางการเงินของคุณ เนื้อหาเว็บของเราอาจไม่เหมาะกับคุณเนื่องจากเราไม่ทราบเงื่อนไขทางการเงินและความต้องการในการลงทุนของคุณ ข้อมูลทางการเงินของเราอาจมีความล่าช้าหรือมีความไม่ถูกต้อง ดังนั้นคุณควรรับผิดชอบอย่างเต็มที่ต่อการตัดสินใจซื้อขายและการลงทุนของคุณ บริษัทจะไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียเงินทุนของคุณ
หากไม่ได้รับอนุญาตจากเว็บไซต์ คุณจะไม่สามารถคัดลอกกราฟิก ข้อความ หรือเครื่องหมายการค้าของเว็บไซต์ได้ สิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาในเนื้อหาหรือข้อมูลที่รวมอยู่ในเว็บไซต์นี้เป็นของผู้ให้บริการและผู้ค้าแลกเปลี่ยน
ไม่ได้ล็อกอิน
เข้าสู่ระบบเพื่อเข้าถึงฟังก์ชั่นเพิ่มเติม

สมาชิก FastBull
ยังไม่ได้เปิด
สมัคร
เข้าสู่ระบบ
ลงทะเบียน